๖
“ฮัลโหล”
เขากรอกเสียงเข้มลงไป และนั่นก็ทำให้เสียงโวยวายจากอีกฝ่ายหยุดชะงักในทันที ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ สายก็ถูกตัดลงอย่างรวดเร็ว
“สงสัยนึกว่าโทร.ผิด” เขาถอนหายใจอย่างขันๆ นึกอยากเจอเพื่อนปีศาจของหญิงสาวขึ้นมาตงิดๆ แค่เสียงยังขนาดนั้น ถ้าเจอตัวจริงจะขนาดไหน
สุริวัสสาหันออกมามองนอกกระจกร้านกาแฟหวังจะหาวิวสบายๆ ตาดูระหว่างรอเครื่องดื่มที่ตัวเองสั่ง แต่ทันใดนั้นก็ต้องเบิกตากว้าง หัวใจกระตุกวูบเหมือนกำลังตกจากรถไฟเหาะ เมื่อเห็นร่างสูงที่เพิ่งบอกลากันเดินออกมาจากรถขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์ของเธออยู่ มือบางเย็นเฉียบขึ้นมาทันที เหงื่อเย็นๆ ซึมมาตามขมับอย่างคุมไม่อยู่ รีบจ้ำไปที่ประตู เดินออกไปทันตอนที่เขาวางสายพอดี
“คุณ!” หญิงสาวตะโกนเรียกออกไปด้วยอารามตกใจ ระแวงว่าใครเป็นคนโทร.มา แต่แล้วก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันทีที่คุมสติได้ ซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับที่ชายหนุ่มหันมา เธอแสร้งยิ้มหวานตอนเดินเข้าไปใกล้เขา แม้ริมฝีปากกำลังสั่นระริก แต่สุริวัสสาก็พยายามแสดงท่าทางให้เป็นปกติที่สุด
“อ้าว ผมว่าจะเอาโทรศัพท์เข้าไปคืนพอดี เกือบลืมไว้กับผมแล้วไหมล่ะ” รุจน์รวินไม่ใช่คนโง่ ท่าทางของสุริวัสสาเมื่อครู่เหมือนกำลังกลัวอะไรสักอย่าง แม้เธอจะกลบเกลื่อนได้ภายในเสี้ยววินาทีก็เถอะ แววตาที่ฉายออกมาแบบนั้น ไม่ว่าจะกลบเกลื่อนได้เนียนขนาดไหน แต่ชายหนุ่มไม่เคยอ่านสายตาใครผิด และคราวนี้เขาก็มั่นใจแบบนั้นเช่นกัน
“ตกใจหมดเลย ฉันก็เพิ่งนึกออกเมื่อสักครู่เหมือนกัน เลยรีบวิ่งออกมา นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว”
“เรื่องแค่นี้ทำให้คุณสุริวัสสาตกใจหน้าซีดได้ขนาดนี้เลยหรือครับ” เขาตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน ดวงตาคมหรี่ลงแล้วมองไปยังใบหน้าหวานที่ยังยิ้มนิ่ง ไม่ได้มีปฏิกิริยาเลิ่กลั่กกับคำพูดลองเชิงของเขา
“แหม...ก็แน่นอนสิคะ บันทึกงาน บันทึกเตือนความจำทุกอย่างของฉันก็อยู่ในนั้นทั้งหมด ขืนลืมไว้กับคุณแค่วันเดียว ฉันอาจจะเสียงานหรือลืมนัดที่นัดไว้เย็นนี้ หรือพรุ่งนี้ก็ได้ แล้วจะติดต่อให้คุณเอามาคืนยังไง กระดาษที่จดเบอร์คุณไว้ก็ทิ้งไปแล้ว” เธอตอบเจื้อยแจ้วเหมือนเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงโดยไม่ต้องกลั่นกรอง ใบหน้าหวานแสดงออกถึงความโล่งใจ ยิ้มขอบคุณเขาขณะรับโทรศัพท์กลับคืนมา ทั้งที่ความจริง ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งเรื่องที่เขาคุยโทรศัพท์ ทั้งกลัวเขาสงสัยหรือจับได้จากพิรุธเมื่อครู่
ผู้ชายตรงหน้าไม่ธรรมดาจริงๆ เธอเคยมั่นใจว่าตนเป็นคนที่ควบคุมสีหน้าและท่าทางได้เก่ง รวมถึงกลบเกลื่อนความในใจได้รวดเร็วจนไม่ค่อยมีใครสังเกตได้ นอกจากจะเป็นคนที่สนิทกันจริงๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะสังเกตทันและอ่านออกได้เร็วขนาดนี้
“นึกว่าตกใจที่ผมได้คุยกับเพื่อนปีศาจของคุณซะอีก” รุจน์รวินยิงนัดที่สอง เขานึกสนุก แอบยิ้มเมื่อเห็นสายตาของเธอไหววูบไปชั่วขณะ ก่อนจะปรับเป็นปกติอีกครั้ง ตอนนี้เขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคนตรงหน้าต้องมีความลับอะไรที่ตั้งใจปกปิด แน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ยังเดาไม่ออกว่าเกี่ยวกับอะไร แต่ที่แน่ๆ เขามีวิธีที่จะต่อรองกับเธอต่อแล้ว
‘ติณห์! แกจะหลุดพูดอะไรไปบ้างเนี่ย’ เธอกรีดร้องในใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาอีกหนแต่ต้องพยายามทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ รู้ดีว่านิสัยเสียอย่างหนึ่งของเพื่อนคนนี้คือชอบพูดก่อนที่ปลายสายจะตอบรับ หลายครั้งที่ลูกน้องของเธอรับสายแทนแล้วตกใจ เพราะติณห์มักจะระเบิดคำพูดเป็นชุดโดยไม่ได้ฟังว่าคนที่รับสายนั้นไม่ใช่เธอ
“ตะ...เพื่อนปีศาจ? อ๋อ แล้วเขาโทร.มาเรื่องอะไรหรือคะ ได้บอกคุณไว้รึเปล่า” เสียงหวานถามเรื่อยๆ เกือบหลุดชื่อเพื่อนสนิทออกมา เธอแกล้งเดินกลับเข้าไปในร้านกาแฟ เพื่อหยิบเครื่องดื่มที่เพิ่งสั่งไป
“ทั้งส่งข้อความ ทั้งโทร.เลยแหละคุณ เรื่องด่วน” คนที่กำลังถือไพ่เหนือกว่ายิ้มกริ่มตามหลัง เริ่มสนุกที่ได้แกล้งให้เธอหัวปั่นเล่นๆ
“อ้าว หรือคะ เอ๊ะ เมื่อวานเพิ่งเจอกันก็ไม่มีเรื่องด่วนอะไร แล้วสรุปเขาได้ฝากคุณบอกอะไรฉันหรือเปล่า” สุริวัสสาถามย้ำอีกรอบ ถือโอกาสที่ยืนหันหลังให้เขาเพื่อเปิดแอปพลิเคชันแชตอย่างรวดเร็วเพื่อดูว่าติณห์ส่งข้อความอะไรมา โชคยังดีว่าเพื่อนปีศาจของเธอยังฉลาด ส่งข้อความมาแค่ว่าให้เธอรับโทรศัพท์หรือโทร.กลับให้เร็วที่สุด เพียงแต่ตั้งใจส่งประโยคเดิมๆ มาหลายสิบครั้งเท่านั้น
เรื่องอะไรจะด่วนขนาดนั้น จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ติณห์จิกเธอขนาดนี้ คือเมื่อสองปีก่อนตอนที่เบ๊นซ์ เพื่อนในกลุ่มประสบอุบัติเหตุ ขับรถชนกับรถสิบล้อเพราะหลับในกลางดึก โชคยังดีที่รอดตายมาได้หวุดหวิด ดังนั้นแสดงว่าต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และช่วงนี้จะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องที่เพิ่งคุยกันเมื่อคืน ซึ่งนั่นก็คือเรื่องของภาคิน!
“ก็โวยวายเสียงดังอยู่ ตอนแรกยังไม่รู้ว่าเป็นผมมั้ง พอรับสายก็เลยพูดใหญ่” เขาได้ทีแกล้งพูดต่อ อยากรู้ว่าหญิงสาวจะแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป
“แล้วบอกว่าอะไรบ้างล่ะคะ” สุริวัสสากลั้นใจ นึกปลอบใจตัวเองในแง่ดีว่าหากเขารู้ความจริงแล้ว คงไม่มาใจเย็นยืนคุยกับเธอแบบนี้หรอก
“เอาเป็นว่าฟังเขาพูดแล้วผมอยากไปกินข้าวกับคุณเย็นนี้ ไหนๆ คุณก็จะมาช่วยครอบครัวผมอยู่แล้วจะได้รู้จักกันมากขึ้น” รุจน์รวินตั้งใจไม่ตอบ เขาเบี่ยงประเด็นแบบดื้อๆ
“ชวนง่ายๆ แบบนี้เลยก็ได้หรือคะ” ฟังคำชวนตรงๆ แบบนั้นแล้วเธอก็แทบอ้าปากค้าง เขาต้องการอะไรแล้วเมื่อสักครู่เขาได้ยินอะไรมากันแน่...เจอผู้ชายคนนี้แล้วสุริวัสสารู้สึกเหมือนโดนน็อควันละหลายๆ หน ที่เขาพูดก็ถูกเรื่องที่จะได้รู้จักและคุ้นเคยกันมากขึ้น แต่อีกใจหนึ่งหญิงสาวก็อยากกลับบ้านไปตั้งหลักกับเรื่องทั้งหมดก่อน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมดจนเธออยากเรียบเรียงความคิดให้รอบคอบอีกที ดีกว่าไปส่อแววพิรุธหรือพูดอะไรที่ทำให้ชายหนุ่มจับผิดได้อีก
“แล้วได้รึเปล่าล่ะ” ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้ม นึกสนุกที่ได้ต่อกรกับเธอ “หรือเย็นนี้คุณมีนัดแล้ว? ผมเองก็ไม่อยากอ้อมค้อมมาก อยากรู้จักก็บอกว่าอยากรู้จัก พูดเฉไฉไปเดี๋ยวคนหลงตัวเองจะเอาไปคิดเข้าข้างตัวเองแบบผิดๆ ว่าผมมาจีบ”
“ถึงจีบก็ไม่สนหรอกค่ะ แหม...นี่ฉันเพิ่งประกาศแต่งงานไปเมื่อวาน คุณลืมไปแล้วเหรอ” สุริวัสสารู้สึกหมั่นไส้คนตรงหน้าขึ้นมาตงิด
“ประกาศก็จริง แต่จะได้แต่งรึเปล่านั่นอีกเรื่องนึง” รุจน์รวินพูดทีเล่นทีจริง แต่นั่นก็ทำให้หญิงสาวหน้าบึ้งขึ้นมาทันที “แล้วสรุปไปไหม คืนนี้”
“ฉันขอโทร.กลับหาเพื่อนฉันก่อน” สุริวัสสาพยายามเฉไฉ ใจก็อยากโทร.หาติณห์เต็มแก่ แต่ติดที่ว่าคนตรงหน้าเกาะเธอไม่ยอมปล่อย แม้เธอกำลังยืนกดโทรศัพท์ทำท่าทางว่าขอเวลาส่วนตัว แต่เขาก็ยังยืนทำไม่รู้ไม่ชี้ หญิงสาวเองก็ร้อนใจเกินกว่าจะส่งข้อความไปแล้วรออีกฝ่ายตอบเพราะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทไม่ค่อยเช็กโทรศัพท์
หลังจากโทร.ไปหลายรอบก็ไม่มีท่าทีว่าติณห์จะรับโทรศัพท์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขามีงานออกอีเวนต์ตอนช่วงบ่ายถึงเย็น และนั่นก็ยิ่งทำให้สุริวัสสาร้อนใจมากกว่าเดิม เพราะติณห์เป็นคนไม่ใช้โทรศัพท์ติดต่อเรื่องอื่นในเวลาทำงาน นอกจากจะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ และตอนนี้ก็คงยุ่งเกินกว่าจะเฝ้ารับโทรศัพท์
“บางทีถ้าคุณไป ผมอาจจะบอกก็ได้นะว่าเพื่อนปีศาจของคุณพูดอะไรกับผม” รุจน์รวินยักคิ้ว ชายหนุ่มแอบแปลกใจตัวเองเหมือนกันเพราะปกติเขาไม่ใช่คนที่จะชวนใครไปไหนมาไหนก่อนโดยเฉพาะคนที่เพิ่งรู้จักกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยชวนใครเกินหนึ่งครั้งแม้จะสนิทกันแค่ไหนก็ตาม เพราะเจ้าตัวเป็นคนไม่ชอบเซ้าซี้ใคร แต่กับคนตรงหน้า น่าแปลกที่ทำให้เขาอยากคุยต่อด้วยเรื่อยๆ
“คุณเห็นฉันอายุเท่าไหร่คะ ใช้วิธีเดียวกับที่โจรใช้ขนมล่อเด็กไปได้” พูดแล้วก็ส่งค้อนด้วยความหมั่นไส้
“แต่โจรอย่างผมจะชวนคุณไปกินข้าวฟังเพลงที่แจ๊สบาร์นะ ไม่สนเหรอ” ชายหนุ่มจงใจพูดชื่อร้านฟังเพลงในเมืองขึ้นมา
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่าที่เป็นร้านเดียวกับที่สุริวัสสาชอบพอดี และวันอาทิตย์แบบนี้ก็มักจะมีศิลปินเพลงแจ๊สวงดีๆ มาเล่น สุดท้ายหญิงสาวก็พ่ายแพ้ต่อความต้องการของตัวเอง บางทีการฟังเพลงอาจจะช่วยผ่อนคลายความเครียดในตัวเธอลงบ้าง
รุจน์รวินเห็นดังนั้นจึงอาสาขับรถไป แต่สุริวัสสายืนยันว่าเธอจะเอารถของเธอไปเอง เพราะจะได้ไม่ต้องใช้เวลาในรถกับเขาและจะได้แยกกันกลับทันทีหลังจากกินข้าวเสร็จ
หลังจากหาที่นั่งและสั่งอาหารเป็นที่เรียบร้อย สุริวัสสาก็เพิ่งได้คิดว่าเธอก็ไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเหมือนกัน เมื่อก่อนเธอชอบมากับกีรวิชญ์สมัยที่รู้จักกันใหม่ๆ เพราะมีรสนิยมการฟังเพลงที่คล้ายกัน แต่หลังๆ เธอถูกกลุ่มเก้งกวางชวนไปที่ผับมากกว่าจึงไม่ค่อยได้มากับเขาอีก
ที่นี่เป็นแจ๊สบาร์ที่มีน้อยคนนักจะรู้จัก เพราะเป็นร้านเล็กๆ อยู่ใจกลางเมือง เน้นจับตลาดนักดนตรีหรือผู้ที่ชื่นชอบเพลงแจ๊ส คิดถึงตรงนี้ก็อดมองไปที่คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ได้ สุริวัสสาไม่อยากจะเชื่อว่ารุจน์รวินก็สนใจดนตรีแนวนี้เหมือนกัน
“คุณรู้จักร้านนี้ได้ยังไงคะ” หญิงสาวเริ่มชวนคุย เขาและเธออาจเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในอนาคตก็ได้ ตราบใดที่ความลับยังไม่ถูกเปิดเผย
“คนที่พาผมมา ก็คนเดียวกับที่พาคุณมานั่นแหละ”
“นี่คุณสองคนสนิทกันขนาดไหนเนี่ย ทำไมฉันไม่เคยได้ยินวิชญ์พูดถึงชื่อคุณ แต่ดูท่าทางคุณจะรู้จักฉันดีพอๆ กับวิชญ์ด้วยซ้ำ” บรรยากาศที่ค่อนข้างผ่อนคลายของร้านทำให้สุริวัสสากล้าพูดอะไรกับเขามากขึ้น โดยเฉพาะคำถามบางอย่างที่คาอยู่ในใจตั้งแต่ตอนกลางวัน
“ผมจะตอบคำถามไหนก่อนดี” แต่ก่อนที่รุจน์รวินจะเริ่มเล่า พนักงานเสิร์ฟก็เดินเข้ามาพร้อมไวน์ขวดหนึ่ง แล้วจึงบรรจงเปิดจุกก๊อกออก ทำท่าจะรินลงมาในแก้วของเธอ
“เอ้อ ไม่เป็นไรค่ะ” เธอปฏิเสธพร้อมโบกมือเบาๆ
“ผมอุตส่าห์เปิดขวดใหม่ คุณจะเสียมารยาทเหรอคุณสุริวัสสา” เสียงทุ้มแกล้งพูดพลางยิ้มให้อย่างมีเลศนัย
“ก็ไม่อยากเสียหรอกนะคะ แต่คุณก็รู้ว่าฉันขับรถ คุณเองก็ขับรถ จะดื่มได้ยังไง”
“ไม่เห็นยาก ผมรู้จักกับเจ้าของร้าน บอกไปแล้วว่าเดี๋ยวคืนนี้เราสองคนจอดรถไว้ที่นี่ก่อน แล้วนี่ผมก็เรียกคนขับรถให้มารอไปส่งคุณกับผมแล้ว” ขณะพูด ชายหนุ่มก็ผายมือไปที่แก้วสองใบเป็นสัญญาณอนุญาตให้พนักงานเสิร์ฟรินไวน์ใส่แก้วของเขาและเธอ
“นี่คุณเคยเป็นนักมวยรึเปล่า”
“เกี่ยวอะไร”
“เห็นชอบมัดมือชกชาวบ้าน”
ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ คิดจะทิ้งก็เสียดายของ เธอจึงใช้โอกาสที่ชายหนุ่มขอตัวไปคุยโทรศัพท์ ส่งข้อความหากวง หนึ่งในเพื่อนกลุ่มเก้งกวางให้มาขับรถกลับให้แทนและชวนค้างบ้านคืนนี้ โชคดีที่กวงตอบรับกลับมาเกือบจะทันที ระหว่างนั้นเธอก็พยายามติดต่อติณห์ แต่ก็ไร้สัญญาณตอบรับกลับมาเช่นเคย
“เดี๋ยวคืนนี้เพื่อนฉันมาขับกลับให้ คุณไม่ต้องไปส่งหรอก ฉันเกรงใจ” เมื่อรุจน์รวินเดินกลับมาที่โต๊ะ สุริวัสสาจึงรีบบอกพลางแกว่งแก้วไวน์ในมือ เกรงใจนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลหลักๆ คือหญิงสาวไม่อยากให้เขารู้จักชีวิตของเธอมากไปกว่าที่เธออยากให้รู้จัก
“เพื่อนปีศาจของคุณน่ะเหรอ”
“ฉันก็ไม่ได้มีเพื่อนอยู่คนเดียวไหม” ริมฝีปากเล็กยิ้มขึ้นอย่างน่ารัก ดึงดูดให้ดวงตาคมเผลอมองค้าง ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวแล้วเสมองไปที่แก้วใบสวยในมือบาง ชายหนุ่มสังเกตว่าเธอดมกลิ่นไวน์แล้วแกว่งแก้ววนไปมาสักพัก ดวงตาหวานพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณนี่ก็เป็นคนละเอียดเหมือนกันนะ” เสียงเข้มชมออกมาจากใจจริง แม้จะฟังดูเป็นการประชดไปหน่อยก็ตาม น้อยครั้งนักที่เขาจะเจอคนที่ทำแบบเธอ “ผมไม่ค่อยเจอใครที่ชิมและวิเคราะห์ไวน์ละเอียดแบบนี้ อย่างมากก็แค่แกว่งแก้ว หรือไม่ก็ดมกลิ่น”
“วันนี้แก้วเดียวพอนะ ถือว่าดื่มเป็นมารยาทในโอกาสที่เราสองคนรู้จักกัน ถึงมันจะไม่ค่อยราบรื่นหรือปกติเท่าไหร่ก็เถอะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกับเขาจนดังขึ้นเป็นเสียงกังวานใส
“อะไรคุณ แก้วเดียวเองเหรอ” รุจน์รวินถามหลังจากวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะตามเดิม รสชาติของมันละมุนถูกปากสมกับเป็นไวน์ที่แพงที่สุดในร้านที่ตั้งใจโทร.มาเลือกด้วยตัวเองขณะขับรถมา เขารู้ว่าสุริวัสสาก็คิดเช่นนั้นเพราะใบหน้าหวานระบายยิ้มบางๆ หลังจากได้ลิ้มรสชาติ คิ้วได้รูปยกขึ้นคล้ายจะชมว่าเขาเลือกได้ดี
“อย่ามาหลอกมอมฉันให้ยาก แค่แกว่งแก้วดูลักษณะ ฉันก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไวน์ที่คุณเลือกมาน่ะแรงแค่ไหน ไม่ต้องไปดูที่ขวดเลย” หญิงสาวพูดจบก็ยักคิ้วให้เขาครั้งหนึ่งอย่างรู้ทัน เธอตั้งใจจ้องลึกลงไปในดวงตาคม ขณะที่เขากำลังมองเธอกลับมาด้วยสายตาประหลาดใจ
“ไม่นึกว่าคุณจะรู้เยอะ” รุจน์รวินพูดกลั้วหัวเราะ ตั้งใจรวนต่อ
“คุณกำลังหลอกด่าว่าฉันดูโง่” คนพูดยิ้มมุมปาก
“โอเคๆ ผมยอม” ชายหนุ่มยังไม่หยุดหัวเราะ มือทั้งสองข้างยกขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้เพราะไม่อยากเปิดศึกประชันฝีปากกับเธอ “เอ้อ ผมตั้งใจว่าจะเล่าถึงพี่สาวผมให้คุณฟังคร่าวๆ เผื่อคุณจะเข้าใจเธอมากขึ้น” จบประโยค สุริวัสสาก็พยักหน้าเบาๆ วางโทรศัพท์มือถือคว่ำหน้าลงกับโต๊ะแล้วตั้งใจฟัง
“คือพี่รดาเจอความผิดหวังในชีวิตมาเยอะ”
“อย่างเช่น?” หญิงสาวถามต่อเมื่อเห็นเขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง
“ก็ คือต้องเล่าก่อนว่าตั้งแต่สมัยก่อน พ่อแม่ผมทำธุรกิจอสังหาฯ เลยค่อนข้างมีหน้าตาในสังคม รู้จักคนมาก และคนในแวดวงส่วนใหญ่ก็เป็นครอบครัวผู้ดีบ้างละ ไฮโซหรือดาราบ้างละ” รุจน์รวินถอนหายใจเมื่อต้องหาทางเกริ่นให้สุริวัสสาเข้าใจเรื่องได้ง่ายที่สุด “คุณก็อยู่ในแวดวงนี้ น่าจะรู้ว่าเป็นยังไง”
คนเล่ายิ้มแล้วมองมาที่เธอ หญิงสาวเข้าใจดีว่าเขากำลังหมายถึงอะไร...ในทุกสังคม จริงอยู่ที่หลายคนมีความจริงใจให้กัน แต่ก็มักจะมีคนบางส่วนที่มีนิสัยชอบเปรียบเทียบ จ้องจับผิดเรื่องชาวบ้านตั้งแต่ชีวิตส่วนตัวเรื่อยไปจนถึงรายละเอียดยิบย่อย แต่สิ่งที่ทำให้การเปรียบเทียบเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญในสังคมที่เขากำลังพูดถึง คือทุกคนล้วนให้ความสำคัญแก่ภาพพจน์และชื่อเสียงของตนเองเป็นอันดับแรกๆ ดังนั้นจากการจับผิดหรือเปรียบเทียบปกติจึงยิ่งทวีความละเอียดเข้าไปอีก ยกตัวอย่างเช่น รสนิยม ลักษณะการแต่งตัว หรือแม้แต่เครื่องเพชรเครื่องประดับที่ใส่ออกงานแต่ละครั้ง
นี่เป็นสาเหตุที่เธอไม่ไว้ใจใครง่ายๆ และค่อนข้างปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตนเอง รวมถึงต้องรักษาภาพพจน์ คอยทำตัวให้ดี ใส่ใจกับทุกรายละเอียด โดยให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด และที่สำคัญคือต้องรู้จักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กีรวิชญ์ค่อนข้างให้ความสำคัญแก่ภาพลักษณ์และภาพพจน์ไม่น้อยไปกว่าเธอ เห็นได้ชัดจากการออกงานแต่ละครั้ง แม้เขาจะชื่นชมในรสนิยมของเธอมากแค่ไหน แต่เพื่อความสบายใจ เขาจะต้องส่งสไตลิสต์มาช่วยเรื่องการแต่งตัว ทำผม แต่งหน้าและเลือกเครื่องประดับ เพื่อให้สุริวัสสามีที่ติน้อยที่สุดในทุกครั้ง
“ครอบครัวผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกจับตามองจากหลายสื่อ หลายคนยกให้เป็นครอบครัวตัวอย่าง เพราะดูแล้วเป็นครอบครัวที่อบอุ่น อบรมสั่งสอนลูกดี ตั้งแต่เด็ก ผมและพี่รดาก็ดูเอาการเอางาน มีความคิดที่โตกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ส่วนตัวของธุรกิจของครอบครัวก็รุ่งเรือง มีฐานะ พ่อแม่มีบารมี มีหน้ามีตาในสังคม”
ฟังถึงตรงนี้เธอก็แอบอิจฉาเขาอยู่ในใจ นับว่าคนตรงหน้ามีต้นทุนชีวิตที่ดี ไม่เหมือนเธอที่ต้องกระเสือกกระสนแทบตายกว่าจะมายืนได้ในจุดนี้
“พี่รดาถือว่าเป็นดาวเด่นในโรงเรียนตั้งแต่สมัยเด็กๆ พอช่วงวัยรุ่น ด้วยความที่หน้าตาตรงกับแบบสมัยนิยม นิสัยส่วนตัวก็อัธยาศัยดี ร่าเริง เลยได้เป็นดาวโรงเรียน ถึงกับมีแมวมองมาติดต่อให้ไปเทสต์หน้ากล้อง ทั้งถ่ายแบบถ่ายโฆษณา แต่พ่อผมไม่ชอบเลยไม่ได้ทำ เอาเป็นว่ามีคนรู้จักเยอะ แต่ในขณะเดียวกันคนอิจฉาก็มาก”
“อ้าว อย่างนี้คนชอบก็เยอะสิ มีแฟนรึเปล่า” เสียงหวานแทรกขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นทั่วไปตามแบบผู้หญิง แต่แล้วเธอก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เมื่อรุจน์รวินเงียบไปเหมือนกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง
“นี่แหละที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิต พี่รดามีแฟนตั้งแต่อยู่มอสี่หรือห้าเนี่ยแหละ ผมก็จำไม่ค่อยได้ รู้แค่ว่าตั้งใจช่วยกันสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน”
“ก็ดีนี่คะ ช่วยกันเรียน”
“มันก็ดีถ้าไม่พลาด ท้องขึ้นมาก่อน ถึงจะเป็นเด็กกิจกรรมแต่พี่รดาก็ดูเรียบร้อยตั้งใจเรียน ไม่ได้ชอบเที่ยวหรือกลับบ้านดึกดื่น ตอนแรกที่ทุกคนในบ้านรู้ข่าวทำอะไรไม่ถูกกันไปพักหนึ่ง”
มาถึงจุดนี้สุริวัสสาก็ถึงบางอ้อ นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด เธอก็สงสัยอยู่ตั้งแต่กลางวัน เพราะดูเหมือนรดาจะอายุมากกว่ารุจน์รวินไม่เท่าไหร่ แต่ภัทรากลับเป็นวัยรุ่นซะแล้ว
ในความคิดของเธอ ปัญหานี้คือหนึ่งในปัญหาสังคมอันดับแรกๆ ของประเทศ เนื่องจากไม่มีการให้ความรู้แก่เยาวชนเท่าที่ควร จริงอยู่ว่าสิ่งที่เกิดนั้นมันผิดจารีตประเพณีไทย แต่ในเมื่อห้ามไม่ได้ ก็ควรสอนทั้งเรื่องของการป้องกัน การคุมกำเนิดอย่างจริงจัง รวมถึงปลูกฝัง ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและผลเสียมากมายที่ตามมาทั้งต่ออนาคตของตนเอง ครอบครัว และเด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหานั้นสำคัญมาก เพราะเด็กหลายคนที่ประสบปัญหา เมื่อขาดวุฒิภาวะในการตัดสินใจก็เลือกที่จะทำแท้งจนอาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต เธอเชื่อมาตลอดว่า ครอบครัวเป็นพื้นฐานแรกที่สำคัญ ในการปลูกฝังความคิดดังกล่าวให้แก่เยาวชน
“ช่วงนั้นครอบครัวผมเหมือนเจอฟ้าผ่ากะทันหัน บรรยากาศดีๆ ในบ้านหายไปในพริบตา เหลือแต่ความตึงเครียด พ่อแม่ก็โทษตัวเองว่าดูแลอบรมใส่ใจไม่เพียงพอ พี่รดาก็เอาแต่เก็บตัวไม่กล้าสู้หน้าใคร เครียดไปหมดทุกเรื่อง ทั้งอนาคตตัวเอง ทั้งชื่อเสียงครอบครัว ทั้งหน้าตาของพ่อแม่ในสังคม สิ่งที่ทำให้เค้าเครียดที่สุดก็คือเค้ารู้ว่าตัวเองสร้างปัญหาให้พ่อแม่ เลยพยายามทำให้แท้งอยู่พักใหญ่ ระหว่างนั้นคนในบ้านต้องคอยจับตาดู คอยช่วย และห้ามอยู่เสมอเพราะกลัวเป็นอันตราย ถึงเด็กจะเกิดมาแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่เราก็ไม่ควรทำลายชีวิตเขา เขาไม่รู้เรื่องอะไร”
“แล้วตอนนั้นแก้ปัญหายังไงคะ”
“ก็ถือว่าโชคยังดีที่เรื่องมันเกิดหลังจากวันจบมัธยมปลายไม่กี่วัน เลยไม่ต้องห่วงเรื่องโรงเรียน พอผลสอบออก พี่รดาก็สอบติดคณะที่อยากเรียน แต่พ่อก็ให้ดรอปไว้แล้วไปอยู่ต่างประเทศกับแม่ ช่วงนั้นทุกคนต้องพยายามปิดข่าว แม้แต่เพื่อนสนิทของพ่อแม่ก็ไม่มีใครรู้ มีแค่คนในบ้านจริงๆ พอคลอดลูกเสร็จกลับมาก็ไปเรียนปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” รุจน์รวินยกไวน์ขึ้นจิบ ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ “เรื่องหลักๆ ก็ประมาณนั้นแหละ”
“เดี๋ยวนะคะ ฉันรอคุณพูดถึงคุณภาคินอยู่ ทำไมไม่มีกล่าวถึงเลย” คนฟังแย้งทันที ตานี่ไม่ถูกกับภาคินถึงขั้นไม่อยากพูดถึงเลยหรือ
“ไอ้คินน่ะหรือ” เขายิ้มด้วยสายตาดูถูก “พูดตรงๆ ว่าตอนพี่รดาท้องก็มาดูแลเอาใจใส่ดีพอสมควร ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งหรืออะไร แต่ระหว่างนั้นพ่อแม่ผมก็ค่อนข้างกีดกัน ไม่อยากให้ลงเอยกันเพราะจริงๆ ภาคินในตอนนั้นก็เหมือนหมามองเครื่องบิน”
“แต่เขาก็มีความรับผิดชอบนะคะ”
“รับผิดชอบเงินละสิไม่ว่า อยากเป็นหนูตกถังข้าวสาร คุณน่ะรู้จักคนน้อยเกินไป”
“แล้วอะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้นล่ะคะ” ข้อมูลที่เธอรู้เกี่ยวกับภาคินนั้นก็มีไม่มาก ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกประวัติ การทำงาน ตารางเวลา ซึ่งสรุปได้อย่างเดียวจากการมาจ้างเธอ คือเขาเป็นคนเจ้าชู้ ซึ่งอาจจะเพิ่งมาเป็นช่วงหลังๆ ก็ได้
“ตอนนั้นภาคินทำตัวดี มีความรับผิดชอบ ดูจริงจัง กลับจากมหาลัยก็มาช่วยเลี้ยงเจ้าแพม ตามตื๊อทำดีสารพัดอยู่หลายปีจนชนะใจคนในบ้าน ผมยังเคยชมเลยนะว่าทำแบบนี้นี่เป็นลูกผู้ชายมาก กล้าทำก็กล้ารับ”
“ก็ยังไม่เห็นไม่ดีตรงไหน”
“มันมาไม่ดีตรงนี้แหละ เพราะไม่กี่ปีผ่านไปดันมีผู้ชายอีกคนที่เป็นแฟนเก่าของพี่รดามาอ้างว่าตัวเองเป็นพ่อเด็ก แต่ก็มาช้าไป พี่รดากับภาคินแต่งงานกันแล้ว จัดงานไม่นานหลังจากเรียนจบ”
“อ้าว” สุริวัสสาเริ่มสนใจเรื่องตรงหน้าขึ้นมาจริงจัง เธอยกมือขึ้นเท้าคาง นั่งฟังเขาตาแป๋วอย่างตั้งใจ
“พอลองไล่ช่วงเวลา ปรากฏว่าพี่รดาคบสองคนนี้ซ้อนกัน ต่างคนต่างยืนยันว่าน้องแพมเป็นลูก”
“อย่างนี้ก็ไม่ยากสิคะ ตรวจดีเอ็นเอให้รู้ชัดๆ ไปเลย นี่ถ้าคุณภาคินเขาไม่รักลูก ไม่รักคุณรดา แล้วเขาจะมาดูแล มาทำดีแบบนี้หลายๆ ปีไปทำไม”
“คุณเข้าใจคำว่าเงินไหม อำนาจของเงินน่ะ เพื่อเงิน คนอย่างไอ้ภาคินทำได้ทุกอย่าง นี่ต้องให้ผมพูดอีกกี่รอบ” เขากลอกตาเหมือนเบื่อที่จะอธิบายให้คนโลกสวยฟังเต็มที “ส่วนเรื่องดีเอ็นเอ พี่รดาแกไม่ยอมตรวจ”
“อ้าว” ประหลาดคนจริงๆ สุริวัสสาได้แต่คิดประโยคนั้นในใจ ไม่กล้าพูดออกไปเพราะถึงยังไงก็เป็นพี่สาวของเขา
“หลังจากเจอเรื่องหนักๆ ในชีวิต ความคิดความอ่านของแกก็เปลี่ยนไปมาก มีอะไรหลายอย่างที่เราไม่เข้าใจ พอไปขัดก็เป็นเรื่องใหญ่ โวยวายอาละวาด จนทุกคนเลือกที่จะตามใจ ไม่มีใครอยากมีเรื่อง”
“ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลยคราวนี้” เธอพึมพำเบาๆ
“เรื่องมันก็เลยคาราคาซัง เพราะทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ แกก็จะอาละวาด ทำร้ายตัวเอง”
“แล้วสรุปคือคุณภาคินเป็นพ่อเด็ก ส่วนผู้ชายคนนั้นก็โมเมไปเองใช่ไหม”
“คุณไม่สงสัยเหรอว่าอยู่ๆ ผู้ชายคนนั้นโผล่มาจากไหน ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นพ่อเด็กจริงๆ ทำไมไม่มาตั้งแต่แรก จะรอให้ผ่านไปหลายปีทำไม”
“ก็จริง หรือตอนแรกอาจจะยังไม่พร้อมรับผิดชอบ”
“ถ้าคิดว่านี่เป็นลูกเมียตัวเองจริงๆ ถึงจะพร้อมไม่พร้อมมันก็ต้องมาแสดงตัวตั้งแต่ตอนนั้น จริงอยู่ที่ครอบครัวฝั่งนั้นไม่อยากให้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ใช่ปล่อยให้ผ่านไปหลายปีแล้วค่อยมาโวยวาย อีกอย่างถ้าตัวเองไม่ใช่พ่อเด็ก แล้วจะมาอ้างเพื่อเพิ่มภาระให้ชีวิตทำไม เพราะผมเคยรู้จักผู้ชายคนนี้อยู่ เขาเป็นคนไม่พูดอะไรถ้าไม่มีหลักฐานที่ทำให้มั่นใจในระดับหนึ่ง”
“เงินไงคะ” เธอได้ทีย้อนเขาบ้าง
“คนอย่างเขาไม่สนใจเงินหรอก”
“ฟังก็รู้ว่าคุณอยู่ฝั่งผู้ชายคนนี้” เธอยิ้ม “แล้วทุกวันนี้เรื่องเคลียร์จบไปรึยัง”
“ยัง”
“จนน้องแพมโตเป็นสาวแล้วเนี่ยนะ” เธอถามเสียงแหลม รุจน์รวินจำต้องพยักหน้ารับ สีหน้าแสดงถึงความเหนื่อยใจ
“แต่แพมไม่รู้เรื่องนี้นะ แกเข้าใจว่าภาคินเป็นพ่อมาตลอด ส่วนผู้ชายคนนี้ก็ไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ คิดจะกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกับพี่รดาให้ได้ ถึงครอบครัวผมจะกีดกันไม่ให้เข้ามายุ่งก็ตาม นี่ก็ยังคอยติดต่อผ่านผมเป็นระยะเพื่อถามเรื่องเจ้าแพม ผมเองก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ก็เข้าใจว่าเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นพ่อ เลยขอแค่ให้คุยกับผมแค่นี้ อย่าไปรบกวนคนอื่นถ้ายังไม่มีผลดีเอ็นเอหรือหลักฐานอะไรที่แน่ชัดจริงๆ”
“ดีแล้วละ เด็กจะได้ไม่สับสนด้วย”
“อืม ฝั่งภาคินก็ไม่ยอมถอย เขาบอกว่าเขาก็เลี้ยงดูแลรับผิดชอบมาจนแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็แน่ใจว่าตัวเองเป็นพ่อเด็ก เหมือนจะเอาหลานผมเป็นตัวประกันอย่างนั้นแหละ” ชายหนุ่มอดพูดเหน็บไม่ได้
“แล้วไม่มีใครมาขุดประวัติเหรอ อย่างเช่นเห็นน้องแพมเป็นลูกคุณรดา แล้วนับย้อนไปวันแต่งงานกลายเป็นรู้ว่ามีลูกอยู่ก่อนแล้วอะไรแบบนี้”
“จริงๆ มันก็มี แต่ข่าวมันเล่นไม่ได้เพราะไม่ได้เป็นกระแส ที่ผมเล่าไงว่าพี่รดาเก็บตัวตั้งแต่ตอนนั้น กลับจากเมืองนอกแกก็ไปๆ กลับๆ แค่มหา’ลัยกับบ้าน ไม่สุงสิงกับใคร งานสังคมอะไรก็ไม่ยอมออก ส่วนน้องแพมก็ไม่เคยออกงานอะไรที่ไหน คนก็ลืมๆ กันไป พอดีกับช่วงที่พ่อแม่ผมวางมือ ผมขึ้นมาบริหารธุรกิจเอง คนเลยหันมาสนใจประวัติของผมและเล่นข่าวของผมมากกว่า”
“อ้าว แล้วประวัติครอบครัวไม่มีใครสืบเลยเหรอคะ”
“คุณก็รู้นี่ว่าคนส่วนใหญ่เวลาพูดถึงข่าวอะไรพวกนี้ ก็มักสนใจแต่ข่าวในวงการบันเทิง ดาราคนนั้นเป็นแฟนคนนี้ คนนี้มีเรื่องกับคนนั้น ไม่ค่อยมีใครมาเจาะรายละเอียดพวกครอบครัวนักธุรกิจหรอก คำถามที่ผมเจอก็จะมีแค่คำถามคร่าวๆ เกี่ยวกับธุรกิจ เรื่องส่วนตัวก็จะมีแค่ ไลฟ์สไตล์ เวลาว่างชอบทำอะไร โสดไหม สเปกผู้หญิงเป็นแบบไหน”
“ก็จริงของคุณ แล้วที่โรงเรียนของน้องแพมล่ะคะ”
“ก็มีคนถามบ้าง น้องแพมแกก็ตอบเรื่องแม่ไปตามจริง แต่ก็อย่างที่ผมบอกแหละ เวลาผ่านมาหลายปี ข่าวมันไม่ได้อยู่ในกระแสเลยเล่นไม่ได้ คนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงจริงๆ ก็ไม่รู้จักว่าพี่สาวผมเป็นใคร พ่อแม่ผมเป็นใคร ก็เลยกลายเป็นเรื่องปกติไป ส่วนคนรอบตัวเวลารู้ก็เฉยๆ เขาดูที่ปัจจุบันมากกว่าว่าเป็นยังไง พี่รดากับภาคินก็แต่งงานกันเรียบร้อย ถึงจะเป็นงานเล็กๆ เชิญแค่คนสนิท แต่ก็ถูกต้องตามประเพณีทุกอย่าง”
“แต่คุณภาคินก็ไม่เห็นเคยออกสื่อนี่คะว่ามีครอบครัวแล้ว”
“ใช่ ภาคินเลี่ยงการพูดเรื่องแบบนี้มาก เพราะมีผลต่ออาชีพไง เรียกได้ว่าปิดเป็นความลับสุดๆ ดีกว่า จริงๆ ก็โชคเข้าข้างด้วยที่ไม่ได้ดังระเบิดเป็นพลุแตก มากสุดก็เป็นพิธีกร ถ่ายแบบอะไรก็ว่าไป คนเลยไม่ค่อยขุดประวัติแบบจริงๆ จังๆ จะว่าไปถึงขุดก็ไม่เจอ เพราะไม่เคยมีเอกสารอะไรเป็นเรื่องเป็นราว รูปแต่งงานก็เก็บหมด ไม่เคยมีใครลงโซเชียล งานแต่งงานไม่เชิญนักข่าว มีแต่ญาติสนิท ทะเบียนสมรสก็ไม่จด เรื่องประวัติที่เกี่ยวข้องกับแพมก็ไม่รั่ว เพราะตอนแพมเกิด พี่รดาแกไม่ให้ใส่ชื่อพ่อเด็ก”
“มิน่าล่ะ” สุริวัสสาพึมพำเบาๆ ฟังมาถึงจุดนี้เธอก็เริ่มเข้าใจ ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอกับติณห์พลาด ไม่ใช่แค่ติณห์สืบไม่ละเอียดดี แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายปิดความลับได้ดีไม่แพ้กัน
“มิน่าอะไร” เขาเริ่มเอะใจ
“มิน่าถึงไม่มีใครรู้ไงคะ ว่าคุณภาคินมีครอบครัว” หญิงสาวเฉไฉ “แล้วนี่คุณ อุ๊ย!” เสียงหวานกำลังจะชวนเขาคุยต่อ แต่ร่างบางก็ต้องสะดุ้งเพราะมีคนเดินมาสะกิดจากทางด้านหลัง เธอรีบหันไปมองทันที สมองของเธอแล่นภายในเสี้ยววินาทีเพื่อหาข้อแก้ตัว เผื่อผู้มาใหม่สงสัยว่าทำไมมากับคนอื่นที่ไม่ใช่กีรวิชญ์
“คิดอยู่นานว่าจะทักดีไหม ตอนแรกพี่ไม่มั่นใจว่าเป็นวสารึเปล่า” เมื่อผู้มาใหม่ทักทายเช่นนั้น เธอและรุจน์รวินจึงลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ
“พี่กร!” ไฟสลัวของร้านอาหารบวกกับระยะเวลาที่ไม่ได้ติดต่อกันนาน ทำให้คิ้วได้รูปของสุริวัสสาขมวดเข้าหากันนิดหน่อยระหว่างที่กำลังประมวลผลว่าผู้มาใหม่เป็นใคร กรธวัชคือพี่ชายของกีรวิชญ์ ใบหน้าของทั้งสองคล้ายกันแต่ติดที่คนเป็นพี่จะเข้มกว่าหน่อย ตั้งแต่ชายหนุ่มเรียนจบเป็นจิตแพทย์ เขาก็ไปๆ มาๆ ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศตลอด แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้อยู่ไทยสักเท่าไหร่
“นึกว่าจะจำกันไม่ได้ซะแล้ว” กรธวัชยิ้ม มือหนาแกว่งแก้วในมือแก้เก้อ
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไม่นึกว่าจะได้เจอกันที่นี่นะเนี่ย ดูสิเกือบจำไม่ได้แล้ว โซเชียลก็ไม่เล่น ไม่รู้จะติดต่อยังไงเลยถ้าไม่คุยผ่านวิชญ์” เธอบ่นยาวเป็นชุด ก่อนจะนึกออกว่าตนไม่ได้อยู่คนเดียว “เอ้อ พี่กรคะ นี่คุณรุจน์รวิน เพื่อนของวสา คุณรุจน์คะ นี่คุณกรธวัช พี่ชายของกีรวิชญ์” หลังจากการแนะนำอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มทั้งสองก็ยิ้มให้กันเป็นการทักทาย
“แล้วกานต์ไม่ได้บอกเหรอว่าพี่กลับมาก่อนกำหนดนิดหน่อย”
“ยังไม่ได้คุยกันเลยค่ะ”
“เอ้อ แล้วนี่เจ้าวิชญ์ไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน นี่ร้านโปรดเขานี่ ปกติไม่น่าพลาด” ชายหนุ่มผู้มีดวงตาเรียวคล้ายกีรวิชญ์ชะเง้อมองที่โต๊ะ หวังจะเห็นแก้วอีกใบของน้องชายตัวเอง
“พี่กรได้คุยกับวิชญ์หรือคะ” ได้ยินคำถามแค่นั้น หัวใจของสุริวัสสาก็สูบฉีดแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ดวงตาหวานเป็นประกายวาววับอย่างมีความหวัง
“อ้าว ทำไมล่ะ วิชญ์ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ เหรอ พี่ไม่รู้ พอดียังไม่ได้เข้าบ้านเลย เครื่องเพิ่งลงเมื่อเช้าละพี่ก็ไปจัดการธุระนั่นนี่ ตอนเย็นเพื่อนชวนมาฟังเพลงก็เลยมาเนี่ยแหละ”
“อ้อ” ใบหน้าหวานเจื่อนลง ครอบครัวของเขาคงรอให้เขากลับมาก่อนแล้วค่อยปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น
“พี่กลับไปนั่งกับเพื่อนก่อนดีกว่า เดี๋ยววสาจะคุยกับเพื่อนไม่สนุก แล้วไว้คุยกันนะ” ทั้งสองแลกเบอร์โทรศัพท์กันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่กรธวัชจะหันมายิ้มให้รุจน์รวินอีกทีแล้วค่อยเดินกลับไป ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่วงดนตรีเริ่มเล่นเพลงแรกในค่ำคืนนี้ บทสนทนาระหว่างเขากับเธอที่ค้างไว้จึงต้องหยุดลง
สุริวัสสาประทับใจวงดนตรีที่เล่นในวันนี้มาก แต่ละเพลงที่เล่นนั้นเป็นเพลงแจ๊สที่หวานและชวนฝัน จนเธอได้ไอเดียในการจัดงานแต่งงานอีกหลายอย่าง จากไวน์แก้วเดียวจึงกลายเป็นสองแก้วและสามแก้วโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว จนเวลาล่วงเข้าสี่ทุ่ม กวงก็โทร.มาตามว่าเขาถึงหน้าร้านแล้ว เธอจึงต้องขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนกลับ
ชายหนุ่มนั่งฟังเพลงต่อเพื่อรอเดินออกไปส่งเธอ แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อโทรศัพท์ที่สุริวัสสาวางไว้กลับสั่นขึ้นอย่างต่อเนื่องคล้ายตอนกลางวัน เมื่อพลิกหน้าจอดูจึงเห็นว่าเป็นเพื่อนปีศาจคนเดิมที่ติดต่อมา
“ฮัลโหล เดี๋ยวให้วสาโทร.กลับนะครับ” รุจน์รวินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสาย แล้วรีบกรอกเสียงลงไปเพื่อบอกว่าหญิงสาวไม่อยู่ แต่ท่าทางดนตรีที่กำลังเล่นนั้นคงจะดังกลบเสียงของเขาจนมิด
“วสา! แก ฉันไม่ได้ยินแกเลย” เสียงปลายสายนั้นฟังดูร้อนใจไม่ต่างจากตอนกลางวัน แต่ยังไม่ทันที่รุจน์รวินจะพูดย้ำอีกรอบ อีกฝ่ายคงดีใจที่สุดท้ายก็ติดต่อเพื่อนได้เสียที เสียงห้าวของเพื่อนปีศาจจึงรีบพูดกรอกโทรศัพท์อย่างรวดเร็วแบบไม่คิดชีวิต แทบไม่ได้หายใจหายคอ
“อกฉันจะแตกตายอยู่แล้ว กว่าอีเวนต์จะจบนี่ฉันนั่งนับวินาทีรอโทร.หาแก แกเอ๊ย เราซวยแล้ว เรื่องคุณภาคินที่เราคุยกันเมื่อวาน วันนี้มันมีนักสืบบ้าบอที่ไหนไม่รู้มาสืบเจอตัวฉันแล้ว! มันขู่ด้วยว่าเจ้านายมันจะเอาเรื่องฉัน แต่แกไม่ต้องตกใจนะ ฉันไม่ยอมให้มันสาวมาถึงแกแน่ ฉันจะบอกว่าฉันเป็นคนวางแผนทั้งหมดเอง ถ้ามันมีคนมาถามอะไรแกแปลกๆ แกก็พูดไปตามนี้นะ อย่าไปบอกความจริงว่าแกเป็นเบื้องหลังทั้งหมดล่ะ” เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทยังไม่โต้ตอบอะไร ติณห์จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังช็อก “ดีไซเนอร์อย่างฉันน่ะ นักข่าวมันเล่นข่าวอะไรไม่ได้หรอก เดี๋ยวเรื่องก็ซา แต่ถ้าเป็นแกโดนเล่นข่าวเนี่ยสิ จบ จบหมดทั้งชื่อเสียงทั้งอนาคต เวดดิงแพลนเนอร์ชื่อดัง ดาวค้างฟ้าตกเป็นดาวจมดิน เพราะทำอาชีพขัดกับศีลธรรม จรรยาบรรณ หวังรวยทางลัด โอ๊ย! แล้วนี่แกอยู่ไหนเนี่ย เสียงดังอย่างกับอยู่กลางยุทธหัตถี...ฮัลโหล นี่แกพูดแล้วฉันไม่ได้ยินหรือแกเงียบวะเนี่ย ฮัลโหล วสา แกฟังฉันอยู่หรือเปล่า”
ข้อมูลทุกอย่างถูกป้อนเข้าสมองรุจน์รวินแบบไม่ต้องสืบที่ไหนเพิ่มเติม ชายหนุ่มกดตัดสาย เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว สงสัยจะต้องมีการเปลี่ยนข้อตกลงกับสุริวัสสาซะใหม่ โทษฐานเบื้องต้นก็น่าจะรู้ดีอยู่ แต่อีกกระทงที่ทำให้เขาโมโหคือเธอจงใจหลอกเขา หลอกใช้ครอบครัวของเขาทางอ้อมด้วย!
โชคดีที่สุริวัสสาไม่ได้ตั้งรหัสผ่านของโทรศัพท์เอาไว้ รุจน์รวินกดลบข้อมูลการโทร.เมื่อครู่ออกแล้วกดบล็อกเบอร์ของติณห์อย่างรวดเร็วก่อนจะวางโทรศัพท์คืนไว้ที่เดิม เป็นจังหวะเดียวกับที่ตัวต้นเรื่องเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมหยิบกระเป๋าถือเตรียมไปเจอเพื่อนที่รออยู่หน้าร้าน เมื่อเห็นชายหนุ่มมองมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เธอจึงส่งยิ้มนำไว้ก่อนตามแบบฉบับ
รุจน์รวินยิ้มกลับอย่างเลือดเย็น
ดาวค้างฟ้างั้นหรือ...อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขานี่แหละที่จะเปลี่ยนดาวค้างฟ้าดวงนี้ให้กลายเป็นดาวลูกไก่ในกำมือ!
ความคิดเห็น |
---|