5

ตอนที่ 5


 

“กรี๊ดดด!”

เสียงกรี๊ดที่ดังออกมาจากตัวบ้านอย่างต่อเนื่องทำให้สุริวัสสาเริ่มขวัญเสีย แต่มาถึงขนาดนี้เธอจะถอยไม่ได้แล้ว...ร่างบางก้าวเข้าไปที่โถงกลางบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ ต้นเสียงดังมาจากห้องทางซ้าย เมื่อเดินเข้าไปดูจึงเห็นว่าเป็นห้องกินข้าว ตรงกลางมีโต๊ะตัวใหญ่ขนาดนั่งได้สิบคนสบายๆ เธอเดินตามต้นเสียงไปที่ประตูในสุดแล้วจึงเจอห้องครัว ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเรื่อง

            เมื่อชะโงกหน้าเข้าไป สุริวัสสาก็เห็นถึงความโกลาหลที่กำลังเกิดขึ้น เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นข้าวของจานชามแตกกระจายเต็มพื้นไปหมด บนพื้นมีเลือดเปื้อนอยู่ทั่วเหมือนฉากในหนังฆาตกรรมจนเธอขนหัวลุก แต่ในที่นี้น่าจะเกิดจากการเหยียบโดนเศษแก้วและกระเบื้องมากกว่า

            ด้านในครัว ใหญ่พอที่จะให้คนประมาณหกคนยืนอยู่ฝั่งหนึ่งได้ ทุกคนใส่ชุดสีเรียบๆ คล้ายๆ กัน แต่ละคนล้วนมีแผลตรงแขนบ้าง ตรงศีรษะบ้าง ส่วนอีกฝั่ง ผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่งกำลังหยิบข้าวของบนชั้นมาขว้างลงพื้นไม่หยุดในขณะที่ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเสียสติ เธอดูซูบผอมแบบคนสุขภาพไม่ดี ผมเผ้ายุ่งเหยิงจนดูไม่ได้

            รุจน์รวินยืนอยู่กลางห้องไม่ไกลออกไป เขาพยายามเข้าไปปลอบอย่างใจเย็น สุริวัสสายืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีคนมายืนอยู่ข้างหลัง

“คุณสุริวัสสา!”

เสียงเข้มนั้นเรียกเธอจากข้างหลังด้วยความประหลาดใจค่อนไปทางตกใจ เธอหันกลับไปตามต้นเสียงจึงเจอกับภาคินตัวจริงเสียงจริงในชุดเสื้อผ้าหลุดลุ่ยยับยู่ยี่ ซึ่งดูจากสภาพแล้วเมื่อคืนเขาคงไม่ได้กลับบ้าน

ภาคินยืนห่างออกไปไม่ถึงฟุต สุริวัสสาไม่นึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงรู้จักเธอทั้งๆ ที่ทั้งสองไม่เคยพบกัน แต่ภาคินทำงานอยู่ในวงการใกล้เคียงกับเธอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะจำหน้าเธอได้จากสื่อหรืองานต่างๆ ที่ไปร่วมกัน สุริวัสสาพูดอะไรไม่ออก เพราะมัวแต่ตกใจและเป็นห่วงเหตุการณ์ด้านใน

“คิน!” รุจน์รวินเรียกออกมาจากด้านในให้เข้าไปช่วยทำให้รดาสงบสติอารมณ์ลง

รดาหันตามสายตาของน้องชาย แต่เมื่อเห็นใบหน้าของภาคิน คนที่กำลังอาละวาดอยู่ก็เดินเหยียบเศษแก้วที่พื้นอย่างไม่สนใจ ตรงเข้ามาหาสามีด้วยสายตาเคียดแค้น

สุริวัสสาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ รีบหลบเข้าริมผนังเพื่อเอาตัวรอดก่อนโดยสัญชาตญาณ

“แก! เพราะแกคนเดียว” เสียงนั้นกรี๊ดขึ้นอีกหน ใบหน้าของเธอแดงก่ำจนน่ากลัว “ฉันเกลียดแก!”

            แต่แล้วก็ผิดคาด เพราะแทนที่รดาจะตรงเข้าหาภาคิน ร่างเล็กกลับกระโจนเข้ามาหาสุริวัสสาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวไม่ได้ตั้งหลักจึงโดนกระชากจนเซไปที่โต๊ะกินข้าว เล็บของรดาข่วนเข้าที่ต้นแขนของเธอจนแดงเป็นทางก่อนจะกดตัวสุริวัสสาไว้บนโต๊ะ มือทั้งสองจับเข้าที่ลำคอระหงแล้วออกแรงบีบจนคนที่กำลังตกใจสำลักตาเหลือก เธอพยายามดิ้นสุดชีวิตแต่ไม่น่าเชื่อว่าจะสู้แรงของคนที่ตัวเล็กกว่าไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองคนรีบเข้ามาดึงตัวรดาออกไป ภาคินล็อกแขนภรรยาเอาไว้แล้วลากไปที่โถงกว้างด้านนอก ฝ่ายสุริวัสสาก็ล้มลงนั่งที่พื้น เธอรีบสูดอากาศเข้าปอด ไอสำลักอย่างน่าสงสาร หายใจหายคอแทบไม่ทัน

“เดี๋ยวผมมา” รุจน์รวินพยุงร่างบางขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ เขาพะวงอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจวิ่งตามออกไป โชคดีที่คุณหมอมาทันเวลาพอดี ภาคินจึงรีบอุ้มรดาขึ้นไปชั้นบน ตามด้วยหมอและพยาบาล รวมถึงแม่บ้านอีกสองคน

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มกลับมาเป็นปกติ รุจน์รวินจึงเดินกึ่งวิ่งกลับเข้ามาหาคนที่นั่งอยู่ในห้องกินข้าว เขาไม่อยากเชื่อว่าสุริวัสสาจะเจอแจ็กพอตแตก เพราะปกติรดาไม่เคยมีอาการอาละวาดหนักจนทำร้ายร่างกายคนแบบนี้

สุริวัสสายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เธอเริ่มหายใจเป็นปกติ ข้างๆ กันมีแม่บ้านหยิบพัดกับยาดมมาให้ ชายหนุ่มเข้าไปนั่งแทนที่ด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้เธอต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้ ระหว่างนั้นก็ประคองคนที่กำลังตกใจเอาไว้ มือข้างหนึ่งลูบหลังเธอไปเรื่อยๆ เพื่อปลอบขวัญเพราะยังคงตกใจจนตัวสั่นเป็นลูกนก

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ฉันสบายดีแล้ว” หญิงสาวพูดออกมาเบาๆ หลังจากได้นั่งสักพัก ตั้งแต่เกิดเธอมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน

“คุณโอเคแน่นะ” เขาถามอย่างเป็นห่วง มือใหญ่ถือวิสาสะประคองใบหน้าหวานให้เงยขึ้นมามองเขา เพื่อดูว่าเธอหายจากอาการตกใจกลัวแล้ว เมื่อเห็นว่าหญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เขาจึงเดินประคองเธอเพื่อพาไปนั่งที่ห้องรับแขก นึกเห็นใจเมื่อมองไปที่รอยแดงเป็นทางที่รดาฝากไว้บนแขนเล็ก

“ทายาไหม” เขาถามพลางชี้ไปที่รอยเหล่านั้นด้วยสายตา เธอมองตามครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือเบาๆ บอกเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

สักพักก็มีผู้ชายวัยประมาณห้าสิบต้นๆ เดินเข้ามา เขากระแอมเบาๆ เมื่อรุจน์รวินหันไปเห็นจึงรีบยืนขึ้น ส่วนสุริวัสสาก็หันไปยกมือไหว้แล้วยิ้มให้บางๆ

“หมอฉีดยาตัวเดิมกับเมื่อคืนให้นะ คุณรดาต้องพักผ่อนเยอะๆ ถ้ายังไงพอเย็นนี้ตื่นก็ให้กินข้าวต้มอ่อนๆ แล้วกินยาตาม หมอจัดยาไว้ให้แล้ว แล้วพรุ่งนี้ค่อยพาไปที่โรงพยาบาล จะเช็กอะไรค่อยชี้แจงอีกที”

หลังจากคุยกันสักพักเรื่องอาการพี่สาวของตน ชายหนุ่มก็เดินออกไปส่งคุณหมอที่หน้าบ้าน เมื่อเดินกลับเข้ามาเขาก็เกือบหลุดหัวเราะทันทีที่เห็นสุริวัสสานั่งเอนหลัง หัวพิงพนักโซฟาอย่างหมดสภาพ

“เป็นไง ยังจะอยากช่วยอีกไหม”

“ขอฉันตั้งหลักก่อนนะคะ วันนี้มาวันแรกก็โดนรับน้องเลย” เธอพูดติดตลก

“เข้าใจหรือยังว่าทำไมผมต้องรีบกลับบ้าน พี่สาวผมอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เจออะไรที่ไปกระตุ้นปมของเขาเข้าหน่อย เขาก็จะอาละวาดขึ้นมาแบบนี้”

สุริวัสสาสะดุดหูกับคำว่าปมที่เขาพูด แต่ในเวลานี้เธอรู้ดีว่าควรเก็บไว้ก่อน ไม่ควรถามอะไรมากมาย

“ถ้าเจอตอนอารมณ์ดีๆ แล้วค่อยๆ ตะล่อมก็น่าจะมีโอกาสอยู่ แต่ฉันว่าเราแก้ที่พี่สาวคุณอย่างเดียวไม่ได้ น่าจะต้องเป็นอีกฝ่ายด้วย”

“ภาคินน่ะเหรอ” รุจน์รวินพูดแล้วแค่นยิ้ม

“ทำไม! ฉันมันทำไม!”

เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นจากทางประตูของห้องรับแขกอย่างหาเรื่อง ภาคินน่าจะยืนฟังอยู่สักพักแล้ว

“เมื่อคืนไปไหนมา” คนที่นั่งอยู่ในห้องเริ่มหันไปเปิดศึกกับพี่เขยของตน

สุริวัสสานึกประหลาดใจที่ทั้งสองไม่ได้ดูมีความเกรงใจซึ่งกันและกันเลย การแสดงออกยังค่อนไปทางศัตรูมากกว่าด้วยซ้ำ

“โดนเมียปาของไล่ขนาดนั้น เป็นแก แกจะอยู่ให้เจ็บตัวหรือไง”

ภาคินเลี่ยงการตอบคำถามแล้วเดินหายไปด้านบน ท่าทางรุจน์รวินจะอยากตามไปเอาเรื่องเต็มแก่ แต่ติดที่ยังมีคนนอกอย่างเธอนั่งปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ข้างๆ

“เอ่อ แล้วน้องแพมไปไหนล่ะคะ แกเป็นคนโทร.ไปหาคุณเองแท้ๆ”

“ก็คงอยู่ในห้องนั่นแหละ นั่งเล่นคอมพ์ แชตกับเพื่อน” คนตอบถอนหายใจ

            คำตอบนั้นทำให้สุริวัสสาแปลกใจเป็นรอบที่ร้อยของวันนี้ เด็กคนนี้ประหลาดจริงๆ แม่ตัวเองไม่สบายขนาดนี้ ตัวเองทำแค่โทร.ไปบอกให้น้ากลับมาช่วย แล้วก็ขึ้นไปอยู่บนห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ธรรมดาจริงๆ...สุริวัสสาตั้งใจจะถามเขาต่อ แต่โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นขัดจังหวะอีกครั้ง ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูแล้วเดินออกไปรับสายด้านนอก

            ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงเดินตามออกไปแล้วแอบฟังอยู่ในตัวบ้าน

“เป็นไง สืบไปถึงไหนแล้ว”

เพียงแค่ประโยคแรกขึ้นต้นมา หัวใจของเธอก็เต้นรัวขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

            รุจน์รวินเงียบฟังโทรศัพท์อยู่สักพัก “ชื่ออะไรนะ กวิน? สัญญาณไม่ดีเลย สะกดเป็นตัวอักษรมาหน่อย ได้ยินไม่ชัด อ้อ ติณห์”

ชื่อสุดท้ายที่โผล่ออกมาท้ายประโยค ทำให้ขาเรียวอ่อนแรงจนแทบทรุดลงกับพื้น หน้าของเธอชาวาบไล่เรื่อยลงไปจนถึงสันหลัง...ขอเถอะ ขอให้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญของคนชื่อเหมือน ขอให้เรื่องที่เขากำลังสืบนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอแม้แต่น้อย

รุจน์รวินเงียบฟังปลายสายพูดต่ออีกสักพักก่อนจะกดตัดสาย สุริวัสสารีบตั้งสติ แกล้งทำเป็นเพิ่งเดินออกมา

“เดี๋ยวฉันว่าจะกลับแล้ว รบกวนคุณช่วยส่งไปเอารถหน่อยสิคะ”

“ได้สิ แล้วเราค่อยคุยเรื่องของพี่รดากันวันหลัง อย่าตกใจจนลืมข้อตกลงระหว่างเราไปก่อนล่ะ” เขาแกล้งพูดแซ็วแล้วเดินเข้าไปหยิบกุญแจรถ สุริวัสสาใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ อยากกลับบ้านเต็มแก่

“เมื่อสักครู่นี้ใครโทร.มาหรือคะ ทำไมคุณดูเครียดๆ” สุริวัสสากลั้นใจถามขึ้นขณะที่นั่งอยู่ในรถหลังจากคิดวนไปวนมาเรื่องโทรศัพท์ปริศนาอยู่นาน ท่าทางนักสืบของเขาจะไม่ธรรมดา ดังนั้นถ้าเรื่องนี้เกี่ยวกับเธอจริง มีโอกาสสูงมากที่เขาจะสาวมาถึงตัวเธอได้ในไม่ช้า ถึงตอนนั้น...ชื่อเสียงของเธอคงเละเป็นโจ๊กเพราะโดนเขาแฉแน่ๆ

“คุณอยากรู้จริงๆ หรือ”

“มันเกี่ยวกับคุณรดาหรือคุณภาคินหรือเปล่าล่ะคะ ถ้าเกี่ยว ฉันก็อาจจะต้องรู้ เพราะมันน่าจะช่วยให้ฉันหาทางให้เขาคืนดีกันง่ายขึ้น”

“จริงๆ มันก็ไม่ค่อยเกี่ยวหรอก”

ได้ยินดังนั้นสุริวัสสาก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

“แต่คุณรู้ไว้ก็ดี”

“คะ?”

“เมื่อคืนเค้าเพิ่งจับได้ว่าภาคินแอบมีคนอื่น หลังจากอาละวาดจนไอ้บ้านั่นเตลิดออกไปจากบ้าน ส่วนพี่รดาก็เข้านอนด้วยยานอนหลับแล้ว ผมเลยสงสัยว่าพี่รดาไปจับได้ได้ยังไงตอนไหน เพราะเค้าก็อยู่บ้านตลอด”

            ถึงจุดนี้สุริวัสสาเริ่มฝืนกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ

“ผมเลยลองเปิดคอมพิวเตอร์ของเค้าดู ปรากฏว่าเค้าแอบเข้าไปดูอีเมลของภาคิน แล้วไปเจออีเมลประหลาดที่เจ้าของทำลายหลักฐานไม่ครบ นี่ไง ผมพรินต์มาด้วย” รุจน์รวินใช้ช่วงเวลาที่รถติด เอื้อมมือไปหยิบซองที่วางอยู่บนเบาะหลังแล้วส่งให้สุริวัสสาดู

            มือบางค่อยๆ แกะซองออกด้วยใจระทึก เธอพยายามคุมมือไม่ให้สั่นจนผิดสังเกต เมื่อดึงกระดาษด้านในออกมา สุริวัสสาก็แทบกรี๊ด เธอรู้สึกหูดับไปชั่วขณะทันทีที่เห็นเนื้อความของอีเมลที่เธอเป็นคนพิมพ์เองกับมือ

“หยิบออกมาอ่านเลยก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ปล่อยให้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาดีกว่า” สุริวัสสาแอบทำหน้าเบ้ อยากจะร้องไห้เต็มแก่ เธอจะอ่านไปทำไม ในเมื่อเนื้อความทั้งหมดนั้นออกมาจากความคิดของเธอเอง ทั้งตาราง ทั้งคำอธิบายทั้งหมด

“ผมลองอ่านแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน ไอ้ตรงคำเตือนนี่ก็เขียนชัดแล้วนะว่าให้ลบทิ้งให้หมด ทั้งจากโทรศัพท์ จากคอมพิวเตอร์ เรื่องแผนก็วางไว้ดี เนียนใช้ได้ เสียดายไอ้คนเอามาใช้มันโง่ไปหน่อย” เสียงเข้มนั้นพูดเหน็บแนม ตั้งใจด่าพี่เขยของตนทุกประตู

“นั่นสิคะ” เสียงหวานตอบไปอัตโนมัติแบบหุ่นยนต์ เพราะตอนนี้สมองของเธอไม่พร้อมประมวลผลอะไรทั้งนั้น

“จะว่าไปไอ้คนคิดอะไรแบบนี้ได้ ความคิดมันต้องชั่วพอสมควรเลยนะ มีที่ไหน มาช่วยวางแผนให้คนมีชู้ หาเงินกันง่ายๆ แบบนี้ ผิดศีลธรรมไม่พอ ยังจะไม่มีความเป็นคนอีก ทำครอบครัวคนอื่นเขาแตกแยก เห็นแก่เงิน เห็นแก่ตัว” รุจน์รวินใส่เป็นชุดจนคนฟังแอบสำลัก รู้สึกเหมือนกำลังโดนตบหน้าอย่างแรงจนชาไปหมด

“เอ้อ บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่าคุณภาคินเขามีครอบครัวอยู่แล้วก็ได้นะคะ” สุริวัสสาสะอึกไปหลายหนเมื่อเจอคำด่าเป็นชุดจนแทบฟังไม่ทัน

“ถึงจะยังโสด แต่คบใครหลายคนพร้อมกัน ผมก็ว่าไม่ถูก” รุจน์รวินพูดจบก็นิ่งไปพักหนึ่ง เพราะเพิ่งนึกออกว่าตนเองก็เคยทำแบบนั้น “อะ...อย่างน้อยถ้าจะเจ้าชู้มันก็ต้องมีชั้นเชิงใช้ความคิดตัวเอง มีที่ไหน คิดจะชั่วแล้วยังไปจ้างคนชั่วให้วางแผนชั่วๆ ให้อีก คอยดูนะ ผมจะตามหานายติณห์อะไรนี่ให้เจอแล้วไปเอาเรื่อง”

“ฉะ...ฉันว่าไม่น่าจะเอาเรื่องได้นะคะ คือมันก็ไม่ได้ผิดกฎหมายนี่คะ คุณยอมปล่อยๆ ไปเถอะ อโหสิกรรมให้กันไป เรามาแก้ที่อนาคตดีกว่านะคะ” หญิงสาวพยายามไกล่เกลี่ยเพราะกลัวโดนสาวมาถึงตัว

“ไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่มันผิดมนุษยธรรม ผมจะเอาให้ไม่มีที่ยืนในสังคมอีกเลย เอาให้รู้ไปเลยว่าเล่นผิดคนแล้ว” เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

            ได้ยินดังนั้นสุริวัสสาก็แอบสูดปากเบาๆ ลุ้นให้เขาไม่ทำแบบที่พูด

“ผมพูดจริงทำจริงด้วย คุณคอยดูก็แล้วกัน” เขาพูดตบท้ายอย่างมุ่งมั่น

หญิงสาวสะดุ้งเบาๆ นึกถึงหน้าติณห์แล้วก็อยากกอดกันร้องไห้ พอดีรถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าร้านกาแฟเมื่อเช้า สุริวัสสารีบขอบคุณเขาแล้วเผ่นลงจากรถโดยทันที ตอนนี้สติสตังของเธอกระเจิงไปไกลแล้ว ก่อนอื่นต้องรีบกลับบ้านไปตั้งสติ วางแผนป้องกันไม่ให้รุจน์รวินสาวมาเจอถึงตัวต้นตอของแผนการสลับรางรถไฟให้ได้ก่อน

            สมองของเธอทำงานอย่างหนักจนเริ่มปวดหัว ทั้งระแวง ทั้งกลัวความผิด แถมยังต้องคอยคิดหาทางปิดพิรุธ อุดรอยรั่วทั้งหมด ร่างบางเดินลากขาเข้าไปในร้านกาแฟ สั่งกาแฟเย็นแก้วใหญ่กลับบ้านทั้งๆ ที่เมื่อเช้าก็เพิ่งกินไป

            ฝ่ายรุจน์รวินที่กำลังจะเลี้ยวรถออกจากลานจอดก็ต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้น เขาลืมไปเสียสนิทว่ายึดโทรศัพท์ของสุริวัสสาไว้แล้วลืมคืน ชายหนุ่มเลี้ยวรถกลับเข้ามา กะจะนำโทรศัพท์ไปส่งคืนเจ้าของที่ยืนซื้อกาแฟอยู่ แต่เมื่อเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่าใครโทร.มา ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเบาๆ กับการบันทึกชื่อเพื่อนของเธอ

            หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏชื่อว่า เพื่อนปีศาจ ก่อนที่ปลายสายจะวางไปเพราะไม่มีคนรับ

            เขาดับเครื่องยนต์ คว้ากุญแจรถ เตรียมลงไปดักหญิงสาวเพื่อคืนโทรศัพท์ให้ที่หน้ารถของเธอเนื่องจากเขาขี้เกียจเดินเข้าไปในร้าน โทรศัพท์เครื่องเดิมสั่นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันสั่นไม่นานแล้วก็ดับไป จากนั้นจึงมีข้อความส่งเข้ามาติดต่อกันอย่างรวดเร็วเป็นสิบๆ ข้อความจากเพื่อนปีศาจ

            ท่าทางอีกฝ่ายจะมีเรื่องด่วนน่าดู...รุจน์รวินคิดในใจ เขามีมารยาทพอที่จะไม่อ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอ แต่แล้วโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมาอีกครั้งจากคนโทร.คนเดิม

            คราวนี้ชายหนุ่มกดรับสายแล้วรีบก้าวลงจากรถ ตั้งใจจะบอกให้ปลายสายรอสักครู่ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะกำลังโวยวายเข้ามาในโทรศัพท์โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนรับสายจะฟังทันหรือเปล่า เขาถึงกับต้องเว้นระยะห่างระหว่างโทรศัพท์กับหูตัวเอง ไม่อย่างนั้นอาจเสี่ยงต่อการหูดับได้

“ฮัลโหล”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น