“ฉันไม่เป็นไร แค่นี้ไม่ตายหรอก หรือถ้าจะมีใครตาย คนคนนั้นก็ไม่มีวันเป็นฉัน!”
“แกก็เลยปล่อยให้แม่นั่นอยู่กับพ่อแกแบบนี้น่ะเหรอ”
รชยาพูดพลางมองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ที่ยังตั้งอกตั้งใจตักอาหารตรงหน้าใส่ปาก ถึงจะเคี้ยวจนแก้มตุ่ยทั้งๆ ที่ปกติกินทีละน้อยเพื่อรักษารูปร่าง แต่หญิงสาวหน้าตาสะสวยก็ยังดูน่าเอ็นดูจนรชยารู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลยที่สร้างผู้หญิงแบบนี้ขึ้นมา
มินตรามีบิดาที่มีเชื้อสายชาวจีน ทำให้หญิงสาวมีผิวขาวผุดผ่อง จนสาวๆ ที่มีค่านิยมความงามในยุคนี้ยังต้องอิจฉา ผมยาวสีดำที่ได้รับการดูแลอย่างดีเหยียดตัวราวกับเส้นไหมอ่อนนุ่มเต็มหลัง เครื่องหน้าเหมาะเจาะจิ้มลิ้ม ดูหวาน เรียบร้อยราวกับนางเอกในละคร แต่หากจะเป็นนางเอกจริงก็คงเป็นนางเอกสุดแซ่บที่พร้อมจะตบตีกับนางร้ายได้ทุกสถานการณ์ ยิ่งอยู่ในเครื่องแบบนักศึกษา เสื้อไซซ์เล็กจนรัดตรึงทรวดทรงชวนใจหาย กระโปรงทรงเอที่สูงเลยเข่าขึ้นไปหลายนิ้วไม่พอ ยังมีรอยแหวกเผยต้นขาขาวเนียน ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่มีเสียละที่รชยาจะเคยเห็นหนุ่มๆ คนไหนไม่มองตามหญิงสาวจนคอเคล็ด ตั้งแต่รุ่นน้องไปถึงรุ่นพ่อหรือรุ่นปู่ ต่างก็เข้ามาข้องแวะทั้ง ‘เอ็นดู’ และ ‘อยากช่วยเหลือ’ หล่อนทั้งนั้น
เนื่องจากเป็นเพื่อนที่ซี้กันมาตั้งแต่เด็ก รชยาจึงเป็นทั้งเพื่อนและพี่สาวของมินตราไปด้วย หากมีปัญหาใด เธอก็จะถูกยกหน้าที่ที่ปรึกษาและกระโถนให้แม่คุณระบายทุกอย่าง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงขนาดลากเธอมาเลี้ยงข้าว ก็เพื่อจะระบายปัญหาภายในบ้านให้ฟังตามเคย
“ฉันไม่ได้เปิดโอกาส แต่ฉันจงใจให้สองคนนั้นตายใจต่างหาก”
“แกแน่ใจเหรอว่าถ้าจับได้คาหนังคาเขาจริง พ่อแกจะยอมเลิกกับแม่นั่น อีกอย่างให้ฉันเดานะ คุณป้ายังไม่รู้เรื่องใช่ไหม”
อาการเคี้ยวของหญิงสาวช้าลง แต่หน้าบูดกว่าเดิม จากนั้นก็ทอดถอนใจ
“ฉันก็อยากบอก แต่ก็สงสารแม่”
ถึงมินตราจะยอมรับเรื่องที่ผู้ชายออกไปหาเศษหาเลยนอกบ้าน ถ้าตราบใดที่มันเริ่มและจบแค่ข้างนอก แต่ครั้งนี้เห็นได้ว่านังนั่นจงใจที่จะจับพ่อของเธอจริงๆ เพราะทิ้งเบาะแสให้เธอจับได้มากมาย ทั้งโทรศัพท์ ข้อความที่ส่งถึงพ่อ แล้วไหนจะพฤติกรรมของพ่อที่เปลี่ยนไป มินตราที่สนิทและติดพ่อมาตั้งแต่เด็กมีหรือจะไม่สังเกต
แต่พอทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่แล้ว ถึงทั้งคู่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน นายอดิรุจบิดาของมินตราแม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โต แต่ตำแหน่งหน้าที่ในยามนี้ก็คือว่ามั่นคงมีหน้ามีตา ส่วนมารดาการทำหน้าที่เป็นทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย น่าจะการันตีได้ดีว่านางอนงค์อรเป็นผู้หญิงทำงานที่อยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ชาย แล้วสุดท้ายไอ้ ‘หน้าที่การงาน’ นี่กระมังที่ทำให้ชีวิตคู่ห่างเหินและจืดชืดลงเรื่อยๆ มินตราจึงไม่แปลกใจที่พ่อจะออกไปเกเรข้างนอก แถมคนเป็นเมียก็มัวแต่บ้างานจนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักนิด
ตอนแรกมินตรายอมรับว่าเห็นใจพ่อ และถึงจะไม่ได้สนิทกับแม่ ถึงพิจารณาแล้วทั้งคู่จะบกพร่องในด้านหน้าที่ของสามีและภรรยาพอๆ กัน แต่ในความเป็นผู้หญิง ต่อให้รักพ่อมากแค่ไหน สำหรับเรื่องนี้มินตราขอถือฝั่งแม่เท่านั้น
“แล้วแกพอรู้หรือยังว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“ยังไม่รู้อะไรนัก แต่น่าจะเป็นคนในที่ทำงานของพ่อ ฉันกำลังให้สายสืบตามประกบอยู่”
“ต๊าย นี่ขนาดมีสายเชียวหรือยายมิ้น” รชยาไม่รู้จะขันหรือทึ่งดี ปกติเพื่อนสาวนิสัยขี้เบื่อ อดทนกับอะไรได้ไม่นาน ไอ้จะให้มานั่งวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน แม่คุณโบกมือลาอย่างเดียว ยกเว้นก็แต่เรื่องไหนที่ตั้งใจจะทำให้ได้จริงๆ เธอเป็นต้องนั่งทึ่งกับความพยายามของแม่คุณเสมอ
“แน่สิ แกคอยดูก็แล้วกัน ว่าแต่คืนนี้ไปเที่ยวไหม ฉันไม่อยากไปคนเดียว พี่กันต์บอกว่ามีผับเปิดใหม่ อยากชวนฉันไปด้วย”
“นายกันต์ธรอะไรนั่นน่ะเหรอ” รชยาทบทวนครู่หนึ่งก็จำได้ทันทีเพราะรายนี้ประวัติไม่ค่อยดีนัก เธอเคยเตือนให้เพื่อนสาวเลิกคบหาหลายครั้ง หลังๆ พอไม่ได้ยินมินตราเอ่ยถึงอีก เธอก็นึกว่าเลิกติดต่อไปแล้ว “ฉันว่าแกอย่าเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตานี่นักเลย ก็รู้ๆ ว่าหวังเคลมแก ไปทำตัวสนิทสนมแถมไปไหนมาไหนด้วย เดี๋ยวก็คิดว่าแกให้ท่า”
คำพูดตรงไปตรงมา หากเป็นคนอื่นมินตราคงชักสีหน้าใส่ แต่เพราะเป็นรชยาหญิงสาวถึงเพียงพยักหน้ารับฟังแต่โดยดี
ขณะที่สองสาวยังพูดคุยกันต่อไป มินตราไม่รู้สึกเลยว่าตนเองอยู่ภายใต้สายตาของใครบางคน สายตาที่มองประเมินนวลเนื้อของเธอไม่ได้ปกปิดความสนใจ แต่พอประตูร้านเปิดออกโดยมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวเข้มเดินเข้ามา ความสนใจของเขาจึงค่อยละไปจากเธอ
ภูริมองไปรอบร้านครู่หนึ่ง กระทั่งสบเข้ากับชายที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งขวามือ ฝ่ายนั้นยกมือขึ้นทักทายพอเป็นพิธี ขณะที่เขายิ้มกว้างรับพลางเดินตรงไปยังโต๊ะที่พี่ชายนั่งอยู่
“รอนานไหมครับพี่ภูมิ” ภูริยังคงยิ้มแย้มทักทายขณะนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เห็นว่าบนโต๊ะมีจานอาหารประเภทของกินเล่นสองอย่างซึ่งถูกกวาดเรียบเหลือแค่ผักรองจาน เหลือแค่เบียร์ที่เจ้าตัวดื่มไปเล็กน้อย ยิ่งพอเห็นหน้าตาอิดโรยแบบคนอดนอน ใต้ตาคล้ำกับหนวดเคราที่ไม่ได้โกนมาสองสามวัน ทำให้คนเป็นน้องชายถามยิ้มๆ “นี่ได้หลับได้นอนบ้างหรือเปล่าครับ หรือถูกแม่พิมประกายรบเร้าเสียจนไม่มีเวลาพักผ่อน”
คำพูดส่อความหมายไปถึงแม่ม่ายสาวสาย ทำให้สีหน้าคนเป็นพี่ชายยิ่งดูหงุดหงิดเพิ่มขึ้น
“มะเหงกนี่ จะให้บอกกี่ครั้งว่าฉันเลิกสนใจแม่นั่นไปนานแล้ว ที่มานี่ก็เพราะมาคุยเรื่องงาน”
“แหม...ก็เห็นๆ อยู่ว่าคุณพิมไม่ได้หวังแค่จะเป็นหุ้นส่วน แต่ยังอยากเป็นอย่างอื่นด้วย ผมว่าคุณพิมเขาก็ไม่เลวเลยนะครับ ทั้งสวย เก่ง แถมยังสาว ถึงเคยแต่งงานมาแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไร ส่วนเรื่องในอดีตคนเรามันก็ผิดพลาดกันได้น่า”
“ขืนแกพูดอีก ฉันจะใช้แกแทนพรมเช็ดเท้าแน่”
แทนที่จะกลัวคำขู่ ภูริกลับหัวเราะชอบใจ ในบรรดาพี่น้องสี่คนโดยมีภูมิเป็นพี่ใหญ่ ภูมิสนิทสนมกับภูริมากที่สุด เพราะหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตกะทันหันตั้งแต่ภูมิอายุยังไม่ถึงสิบแปด ชายหนุ่มก็จำต้องหยุดเรียน ออกมาทำสวนผลไม้และฟาร์มปศุสัตว์ซึ่งเป็นสมบัติที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวปากกัดตีนถีบ เลี้ยงดูน้องๆ สามคนโดยไม่เคยปริปากบ่น แม้จะมีญาติๆ หวังดีขอรับน้องๆ ไปเลี้ยงดู ภูมิก็ยังตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะเลี้ยงน้องด้วยตัวเอง ความยากลำบากยิ่งทำให้ภูริเทิดทูนบูชาพี่ชายไม่ต่างกับพ่อ หลังผ่านพ้นเหตุการณ์ร้ายๆ มากมายจนวันนี้สี่พี่น้องมีชีวิตความเป็นอยู่ หน้าที่การงานมั่นคง...หากไม่นับนายตะวัน ก็ถือว่าภูมิแทบไม่มีอะไรให้ต้องห่วงอีก และควรคิดเรื่องอนาคตตัวเองเสียที
อันที่จริงพิมประกายก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ภูมิพอใจที่สุด ในอดีตเขาพอจะทราบว่าทั้งพิมประกายกับภูริเคยคบหาดูใจกันมาก่อน แต่หลังจากบิดามารดาของเขาจากไป ทั้งคู่ก็ห่างกัน มารู้ว่าพิมประกายแต่งงานไปแล้วก็ตอนที่เรื่องของเธอขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์ ทีวีแต่ละช่องออกข่าวกันทั้งประเทศ เรื่องสาวน้อยวัยเพียงยี่สิบต้นๆ แต่งงานกับเจ้าสัวใหญ่ ก่อนหน้านี้ภูริและภรรยาเคยพยายามแนะนำให้พี่ชายรู้จักหญิงสาวหลายราย แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่ภูมิอยากสานความสัมพันธ์ต่อ ดังนั้นผู้หญิงที่ใกล้ชิดเขามากที่สุดก็คงจะเหลือแค่ม่ายสาวเท่านั้น
พิมประกายมีโรงงานผลิตอาหารแปรรูปซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว ผลผลิตที่โรงงานรับซื้อส่วนหนึ่งก็มาจากสวนและฟาร์มของภูมิ นอกจากนี้สามีผู้ล่วงลับก็ยังทิ้งสมบัติเงินทองไว้ให้มากมาย ทั้งที่ดิน ตึกแถว เงินสด บวกกับความสวยความสาวด้วยแล้ว คงเรียกได้ว่าพิมประกายเป็นม่ายเนื้อทองที่ใครๆ ก็ปรารถนา หากได้มาเป็นพี่สะใภ้ฐานะและความมั่นคงของครอบครัวเขาคงจะยิ่งเพิ่มขึ้น... แต่ก็มาติดตรงที่ผู้เป็นพี่ชายยังคงนิ่งเฉย ไม่คิดจะพัฒนาความสัมพันธ์นี่แหละ
“แล้วนารีเป็นยังไงบ้าง” ภูมิพูดไปเรื่องอื่น พร้อมกับยกมือขอเมนูจากพนักงาน แอบเห็นจากหางตาว่าแม่สาวนักศึกษาในเครื่องแต่งกายชิ้นน้อยจนแทบไม่หุ้มตัวกำลังนั่งสลับขาอยู่ใต้โต๊ะ เผยเรียวขายาวและต้นขาขาวๆ ให้เห็นจนไอ้หนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ แทบน้ำลายหกลงในจานอยู่แล้ว
“ดีครับ แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูก” เมื่อใดที่ภูริเอ่ยถึงภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์สี่เดือน รอยยิ้มของชายหนุ่มจะขยายกว้างจนตาหยีเสมอ และรอยยิ้มนี้แหละที่ทำให้พี่น้องต่างกัน
ภูริมักถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพี่ชายเสมอ เพียงแต่ทั้งคู่ไม่ได้เหมือนกันในเชิงหน้าตา ภูมิมีใบหน้าเข้ม คิ้วหนา ตาดำคมล้อมรอบด้วยขนตายาวงอน จมูกโด่งรับกับริมฝีปากบาง แต่เมื่อนำมาประกอบกันแล้วกลับได้ใบหน้าในระดับพื้นๆ ออกจะกระด้างและดุดันเกินไปด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้ภูมิโดดเด่นคือความเยือกเย็นและแววอำนาจในดวงตา ส่วนภูรินั้นใบหน้าเกลี้ยงเกลากว่า แต่ก็คมเข้มด้วยวัยสามสิบห้าปี ทั้งคู่มีรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันพอๆ กัน ผิวสีเข้มเพราะต้องทำงานกลางแจ้งเป็นประจำ และภูริเป็นคนยิ้มง่ายอารมณ์ดี...ตราบใดที่ไม่มีใครแหย่ให้เขาโกรธ
“แล้วนี่ฉันจะได้หลานสาวหรือหลานชายล่ะ”
“งานนี้คงต้องลุ้นกันหน้าห้องคลอดแล้วครับ ผมเองก็เคยขอให้นารีอัลตราซาวนด์ จะได้ดูว่าลูกแข็งแรงสมบูรณ์ดีจริงๆ แต่รายนั้นเขาเครียดจัด ไม่ยอมท่าเดียว”
“ทำไม ถ้ารอบนี้มีผู้หญิงแล้วเมียแกอยากได้ลูกชาย ก็ค่อยปั๊มอีกจนกว่าจะได้ก็สิ้นเรื่อง”
“โอ๊ย ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ” ภูริยิ่งหัวเราะร่วน แม้จะคิดว่าความคิดพี่ชายเข้าท่าไม่เลว แต่ครู่หนึ่งรอยยิ้มของชายหนุ่มก็อ่อนลง “นารีเขามีญาติห่างๆ ที่เป็นออทิสติกก็เลยกังวล”
“คิดมากเกินไป อีกอย่างเทือกเถาเหลากอทางเราก็สมบูรณ์กันดี”
“ตามประสาผู้หญิงท้องแหละครับ สำหรับผมลูกเป็นยังไงก็พร้อมจะรักและเลี้ยงดูอย่างดีที่สุด แต่ยังไงเสียได้เห็นลูกแข็งแรงสมบูรณ์พ่อแม่ก็ชื่นใจกว่า”
“ถ้างั้นแกยิ่งต้องบอกให้นารีไปตรวจเสีย มีอะไรป้องกันตอนนี้ก็ยังดีกว่าตอนที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว แกเองก็เป็นผัวเป็นพ่อคนแล้ว อย่าลืมว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นผลเสียมันไม่ได้เกิดกับแกคนเดียวแต่ชีวิตลูกเมียแกนั่นแหละที่เสี่ยงที่สุด”
ภูริฟังคำพูดของพี่ชายแล้วก็เพิ่งฉุกคิดตาม เพราะที่ผ่านมาผู้เป็นภรรยามักเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทเขาเสมอ ไม่เคยเรียกร้องเอาแต่ใจ พอเห็นภรรยากังวลเรื่องลูกคนแรก เขาถึงคิดแค่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ภรรยาสบายใจก็พร้อมใจตามใจทุกอย่าง จนลืมคิดไปว่าชีวิตจากนี้ไม่ได้มีกันแค่สองคนแล้ว
“ได้ครับ ผมจะบอกนารีตามนี้ ว่าแต่พี่เถอะ ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง ตะวันมันช่วยเหลืออะไรพี่บ้างหรือเปล่า อันที่จริงแค่ลงมากรุงเทพฯ คราวนี้ พี่ให้ตะวันมาแทนก็ได้”
“มันก็ยังเหมือนเดิม อีกอย่างถ้าปล่อยมันเข้าเมืองมีหวังคงเอาแต่เที่ยวเตร่ไม่ยอมทำงาน ฉันมาเองง่ายกว่า”
พอเอ่ยถึงน้องชายคนเล็ก สีหน้าของภูมิก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ
“มันคงไม่ได้ขุดเรื่องเก่าๆ มาพูดให้พี่ลำบากใจอีกใช่ไหมครับ”
อาการไหวไหล่ของพี่ชายยิ่งทำให้ภูริแน่ใจว่าเดาไม่ผิด หลังจากที่เขาตัดสินใจแต่งงานกับนารี พี่ชายก็ได้ยกที่ดินในจังหวัดระยองส่วนหนึ่งให้เขา โดยบอกว่าเป็นที่ดินที่พ่อกับแม่ตั้งใจจะมอบให้อยู่แล้ว นอกจากที่ดินก็ยังมอบเงินให้อีกจำนวนหนึ่ง บอกว่าเป็นของขวัญแต่งงานให้เขาไปทำทุน ภูริเองก็ไม่ได้ร่ำเรียนสูงอะไรนัก เพราะทำไร่สวนช่วยพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงตั้งใจทำสวนผลไม้และเลี้ยงสัตว์อย่างที่เคยทำต่อไป ไม่ต้องใหญ่โตมากมาย ขอแค่พอเลี้ยงตัวเองและลูกเมียได้ก็พอ แต่พอตะวันรู้เรื่องเข้าก็โกรธปึงปังต่อว่าภูมิ หาว่าลำเอียงรักน้องไม่เท่ากัน
‘อะไรกัน ทำไมพี่ดินได้แต่ผมไม่เห็นได้อะไรเลย’
‘ทำไมแกจะไม่ได้ สองสามปีมานี่ ฉันให้เงินแกไปลงทุนเท่าไหร่ แล้วเจ๊งไปเท่าไหร่แกเคยนับครั้งไหม’
ภูมิที่ไม่ชอบพูดอะไรยืดยาว แต่ย้ำตรงจุดถึงความล้มเหลวของน้องชาย ทำให้ตะวันทั้งอับอายและเสียหน้า แต่ในฐานะลูกชายคนเล็กที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างตามใจ ไม่มีทางเสียละที่จะยอมรับความผิดคนเดียว
‘ผมก็บอกพี่แล้วไงว่าผมโดนโกง ผมมันคนซื่อ เชื่อคนง่าย อีกอย่างเงินที่พี่ให้ผมก็แค่หยิบมือ ขอแต่ละครั้งก็ยากเย็นจนแทบลงไปก้มกราบ มันเทียบไม่ได้กับที่ดินไร่สวนที่ระยองเลยสักนิด ที่ตรงนั้นขายได้อย่างน้อยๆ ก็เป็นสิบๆ ล้าน นี่ยังไม่ลำเอียงอีกหรือ พี่คงตั้งใจขังผมไว้ในไร่บ้านนอกๆ นี่ไม่ให้ออกไปไหนเลยใช่ไหม อ๋อ ผมลืมไป พี่ดินเป็นน้องรักแต่ผมมันน้องหลงนี่ พี่ก็ไม่ต้องการ พ่อแม่ก็ไม่ต้องการ เป็นแค่ส่วนเกินเท่านั้นเอง’
‘ตะวัน แกไม่ใช่เด็กๆ ที่พอไม่ได้ดั่งใจก็ลุกขึ้นมาแหกปากเอาแต่ใจแบบนี้นะ’ ภูริที่ยืนฟังน้องชายเอะอะราวกับเด็กไม่รู้จักโต ก็ชักจะหมดความอดทนเช่นกัน ‘ตอนนี้ไม่มีพ่อแม่คอยตามใจแกอีกแล้ว เหลือก็แต่พี่ๆ ของแกนี่แหละ หรือแกคิดว่าพี่มันชั่วช้า อิจฉาริษยาจนไม่อยากให้แกได้ดิบได้ดี เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง พี่ภูมิคงยกแกให้ป้าสายใจเอาไปนานแล้ว ไม่กัดฟันทนเลี้ยงแก ส่งเสียให้แกร่ำเรียน แถมไม่เคยสำนึกว่าที่ผ่านมาพี่ภูมิเขาหวังดีกับแกแค่ไหน’
‘พี่ดินพูดได้สิ พี่เป็นคนได้นี่ แต่ผมล่ะ ผมต้องอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหน’
‘ถ้าแกอยากไปจากที่นี่ แกก็หัดทำตัวให้มันดีๆ พี่ภูมิสอนอะไรแกก็หัดจำเสียบ้าง ไม่ใช่พอมีปัญหาก็วิ่งหางจุกมาขอความช่วยเหลือ ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแบมือขอเงิน พี่ภูมิครับ ผมว่าให้ตะวันมันมาอยู่กับผมดีกว่า รับรองปีเดียวนิสัยมันเปลี่ยนแน่’
พอเห็นภูมิทำท่าคล้ายสนใจข้อเสนอนั้น ตะวันก็ถึงกับหน้าถอดสีทันที ในบรรดาพี่ๆ ทั้งสามคน คนที่ตะวันเกรงใจที่สุดไม่ใช่พี่ชายคนโต แต่เป็นพี่ชายคนรองต่างหาก ถึงปกติภูริจะเป็นคนอัธยาศัยดี แทบจะไม่เคยแสดงอาการโมโหหรือพ่นคำหยาบคายใส่ใคร แต่เหตุการณ์ที่ยืนยันได้ว่าพี่ชายคนรองของเขาเป็นพวกที่ถ้าได้เดือดขึ้นมาเมื่อไหร่ต้องมีคนเดือดร้อนกันทั่วหน้าก็คือ ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์ที่คนงานในไร่ของเขาพยายามฉุดคนงานหญิงไปข่มขืน โชคดีที่ภูริไปช่วยไว้ทัน แถมยังซัดไอ้พวกนั้นเสียอ่วมก่อนส่งตำรวจ ส่วนยายคนงานนั่นปัจจุบันก็กลายมาเป็นพี่สะใภ้ของเขา
‘พี่ดินเกลียดผม ขืนผมยอม คงได้หาทางแกล้งผมสารพัด ผมไม่ไปนะพี่ภูมิ ผมโตแล้ว พี่จะมาบังคับผมแบบนี้ไม่ได้ อีกอย่างถ้าพี่ดินจริงใจ ไม่ได้คิดจะฮุบสมบัติพ่อแม่ไว้คนเดียว งั้นก็ทำงานให้พี่ภูมิต่อไปสิ ไม่เห็นต้องแยกออกไปเลย’
ภูริฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจไปทางพี่ชายคนโต
‘ถ้าแกคิดจะให้ฉันปฏิเสธสิ่งที่พี่ภูมิยกให้เพื่อแสดงถึงความจริงใจละก็ ฉันบอกเลยว่าไม่ แต่ฉันจะพูดกับแกด้วยเหตุผลแบบคนโตๆ นี่แหละ ตอนนี้พี่แกคนนี้กำลังจะมีเมียและในอนาคตจะมีลูกๆ หลานๆ ของแกเกิดมา ชีวิตฉันไม่ได้มีแค่พี่น้องอีกแล้ว แต่มีคนอื่นที่ฉันต้องรับผิดชอบชีวิตพวกเขาด้วย แล้วที่ดินนั่นมันก็ไม่ได้จะไปเป็นของใครอื่น แต่ยังเป็นของตระกูลเรา พอฉันตาย มันก็จะถูกส่งต่อไปให้ลูกหลานในอนาคต แกกับฉันไม่ได้อยู่ค้ำฟ้ากันหรอกนะตะวัน แทนที่จะมานั่งชิงดีชิงเด่นทำไมไม่สู้ช่วยเหลือ แบ่งเบาพี่ภูมิ อย่างน้อยก็ทำมาหากิน ยืนอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เอะอะก็ร้องเอาให้ได้ ทำราวกับพี่ภูมิสะบัดไม้เท้าเสกให้ได้ทุกอย่าง แกเคยใช้สมองตรองดูอนาคตตัวเองบ้างไหม’
‘ผมไม่อยากฟัง พวกพี่ลำเอียง ไม่เคยเห็นผมเป็นน้อง ใช่สิ ผมมันไม่เคยทำอะไรได้ดิบได้ดีเลยนี่ สมบัติสักชิ้นถึงไม่เคยได้แตะ ต้องรอให้ผมตายอยู่ในไร่นี่พวกพี่ถึงจะพอใจใช่ไหม’
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทั้งภูริและตะวันก็มองหน้ากันไม่ติดมาจนถึงทุกวันนี้ เจอหน้ากันคราใด ตะวันก็มักจะมีคำพูดจิกกัดเขาและภรรยาเสมอ
“แล้วนี่งานที่ไร่ ตะวันมันช่วยอะไรพี่บ้างหรือเปล่าครับ”
“น้องชายแกมันเคยหยิบจับอะไรได้นาน สั่งมันทำมันก็ทำตอนที่สั่ง เลิกสั่งมันก็เลิกทำ ไม่นานนี่ลุงเจตน์ยังมาปรึกษาอยู่” ภูมิเอ่ยไปถึงหัวหน้าคนงานในไร่แล้วส่ายหน้า “แกจำบัวเงินได้ไหม”
“ลูกสาวลุงเจตน์น่ะหรือครับ” ภูริพยักหน้า จำเด็กหญิงที่เคยวิ่งเล่นในไร่ได้ แต่ผ่านไปไม่กี่วินาทีชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นนิ่วหน้าตกใจ “ฉิบหาย อย่าบอกนะ ไอ้ตะวันมัน...”
“ตะวันมันสาบานว่าไม่เคยแตะต้องบัวเงิน แต่ก็เห็นๆ ว่าคงแอบคบกัน”
“บัวเงินอายุเท่าไหร่กันครับพี่”
“สิบแปดแล้ว ฉันก็เตือนได้เท่าที่เตือน แต่จะได้ผลแค่ไหนนี่ไม่รู้ว่ะ ผู้หญิงเองก็ดูจะรู้เห็นเป็นใจ เปิดทางให้ซะขนาดนั้น”
ภูริฟังแล้วก็ส่ายหน้า “ผมว่าพี่ส่งมันมาให้ผมเถอะ ไอ้นี่มันไม้แก่เริ่มดัดยากแล้ว ต้องให้ผมเป็นคนดัดเอง”
“ดัดมากเดี๋ยวมันก็หัก” ภูมิเตือน แต่คนเป็นน้องกลับยิ้มเย็น
“อย่างตะวันมันเป็นแค่ไม้เลื้อย จับดัดยังไงมันก็ไม่หักหรอกครับ นี่ถ้าพี่ส่งมันมาอยู่กับผมตั้งแต่แรก ทุกวันนี้มันอาจเป็นผู้เป็นคนขึ้นบ้าง มันน่ะรู้แกวหมดแล้วว่าพี่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเห็นแก่พ่อ...”
ทันทีที่กล่าวถึงบิดา จู่ๆ ความเงียบชวนอึดอัดก็แทรกเข้ามาระหว่างสองพี่น้องทันที ภูมิจึงต้องโบกมือให้จบเรื่องเพียงเท่านั้น
“เรื่องตะวันช่างมันเถอะ แล้วแกล่ะ จะกลับระยองเมื่อไหร่”
“คงเย็นนี้แหละครับ จริงๆ ก็อยากอยู่ต่อสักวัน แต่เป็นห่วงนารี รายนั้นอยู่เฉยๆ ไม่เป็น นี่ขนาดผมไม่อยู่ คนงานยังโทรมาฟ้องว่าขับรถไปส่งผลไม้ในเมืองหน้าตาเฉย ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง”
“เลือดชาวไร่ในตัวนารีมันก็แรงพอๆ กับพวกเรานี่แหละ เสียแต่เขากำพร้า ไม่มีสมบัติอะไรที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ พอมีอะไรเป็นของตัวเอง เขาก็ตั้งใจรักษาดูแลอย่างดี ผู้หญิงขยันขันแข็งแบบนี้ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ดีกว่าแม่พวกผู้หญิงที่นายตะวันพามา ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างนอกจากนั่งสวยไปวันๆ”
“โห นี่ถ้าน้องสะใภ้พี่มาได้ยินคงตัวลอย ผมถามจริงๆ นะ พี่ไม่คิดเรื่องแต่งงานจริงๆ หรือ ปีนี้ก็สามสิบแปดเข้าไปแล้ว แกร่วอยู่แบบนี้ไม่เหงาบ้างหรือครับ”
พอวกเข้าเรื่องเดิม ภูมิก็อดที่จะกลอกตาไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากมี แต่งานที่ทำทุกวันนี้ก็แทบไม่มีเวลาไปแลสาวที่ไหน และเขาไม่อยากคว้าผู้หญิงมาเป็นเมียเพียงเพราะ ‘ต้องหาผู้หญิงมาปั๊มลูก’ เท่านั้น หากเขาจะแต่งงาน เขาก็จะแต่งกับคนที่เขารักและพร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาจริงๆ ไม่ใช่หวังแค่จะมาเป็นคุณนายแบบที่แล้วๆ มา
เสียงขยับเก้าอี้ดังมาจากโต๊ะสองสาวนักศึกษาทำให้ภูมิอดที่จะมองตามแม่สาวผิวขาวผมยาวนั้นไม่ได้ เจ้าหล่อนก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่ จังหวะที่ก้มลง รอยแยกระหว่างกระดุมของเสื้อตัวน้อยรัดรูป เผยให้สองพี่น้องเห็นเนินอกอวบอิ่มขาวผ่องกับขอบบราลูกไม้สีชมพู
พอได้ยินเสียงสูดลมหายใจลึกของพี่ชาย ภูริก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“แหม ไม่ยังรู้พี่ชอบแบบนี้ด้วย”
ภูมิไหวไหล่ไม่สนใจคำแซว แถมตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ
“ถ้ามีผู้หญิงแก้ผ้าให้ดูฟรีๆ ฉันก็ดู”
‘สายข่าว’ ของมินตรารายงานว่า
‘อาทิตย์หน้าคุณรุจจะลงไปภูเก็ตค่ะ ป้าแน่ใจว่าต้องนัดเจอกันทางโน้นแน่นอน’
สายข่าวหรือก็คือป้าแจ่มจรัส พนักงานทำความสะอาดในออฟฟิศของอดิรุจรายงาน หลังจากที่เห็นมินตราเข้าๆ ออกๆ บริษัทบ่อยๆ หลายปี ทั้งคู่ก็เริ่มสารสัมพันธ์กันอย่างลับๆ ยิ่งพอมินตราแย้มว่ากลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องพ่อ คุณแม่บ้านก็ตาโตรีบอาสาสืบข่าวให้ทันที
‘แน่ใจนะคะป้า’
‘อู๊ย แน่ใจสิจ๊ะหนูมิ้น ไม่มีอะไรในตึกตั้งแต่ชั้นใต้ดินยันชั้นสิบที่ป้าไม่รู้หรอกค่า จะเป็นเมียน้อยรปภ.หรือเด็กผู้บริหารไม่มี้ไม่มีทางพ้นสายตาป้าแน่นอน’
‘แต่ป้าบอกไม่ได้จริงๆ หรือคะว่าใครที่แอบติดต่อพ่อมิ้นอยู่ตอนนี้ ถ้าทำงานที่เดียวกันยังไงก็น่าจะมีใครที่น่าสงสัยบ้าง’
‘ก็เนี่ยแหละค่าที่ป้าเจ็บใจ ที่ผ่านมาคุณรุจแกวางตัวกับลูกน้องดี๊ดี ไม่มีหรอกค่ะจะทำตัวรุ่มร่ามส่งสายตาเจ้าชู้ให้ใคร จู่ๆ หนูมิ้นมาบอกว่าคุณรุจมีอีหนูป้านี่ต๊กกะใจเลยค่ะ นี่ป้าแอบได้ยินคุณรุจสั่งให้เลขาฯ จองตั๋วไปสองที่นั่ง ทั้งๆ ที่ตอนแรกบอกว่าจะไปคนเดียว แบบนี้ต้องมีอะไรแน่’
ถึงมินตราจะไม่มีแฟน...หมายถึงผู้ชายที่คบในฐานะนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ผู้ชายประเภทที่มาก้อร่อก้อติก หวังทาบเอาไว้อวดหรือกินฟรี แต่คนที่สวย น่ารัก มั่นใจในตัวเองและดีแสนดีอย่างเธอก็เคยควงแขนหนุ่มๆ มานับไม่ถ้วน พอที่จะซึมซับว่าสันดานผู้ชายนั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงขอสรุปอย่างเป็นทางการว่า พฤติกรรมของบิดาตอนนี้ไปไกลสุดกู่แล้ว
มินตราอยากบอกแม่ อยากเตือนให้รับรู้ แต่ก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรดี แถมพอพูดมากเข้าแม่ก็หาว่าเธอคิดมาก จ้องจับผิดเกินไป ผู้ใหญ่เขาก็มีธุระมีปัญหาของเขา และเมื่อเธอถามว่าปัญหาอะไร แม่ก็ถอนใจพูดเพียงว่าเด็กอย่างเธอไม่เข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่
อันที่จริงการจะหาตัวผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่ยึดโทรศัพท์ของพ่อมา ซักถามคนที่บริษัท หลุมดำแห่งความลับก็จะถูกเปิดเผย แต่...ไม่ แบบนั้นมันง่ายไป ไม่สะใจ อีกอย่างเธอไม่อยากฉีกหน้าพ่อต่อหน้าคนอื่นๆ มีอะไรก็คุยกันและเคลียร์ให้จบเงียบๆ ดีกว่า แต่ก็ไม่แน่หรอก ถ้าพ่อยังดื้อดึงติดต่อกับยายนั่นต่อไป มินตราอาจใช้ไม้แข็งแทนก็ได้
หลังจากเฝ้ารออย่างอดทนในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง เมื่อพ่อบอกว่าทางบริษัทส่งไปประชุมที่ภูเก็ตสามวันสองคืน มินตราก็แสร้งไม่สนใจอะไรมากกว่าของฝาก ก่อนตบท้ายด้วยการบอกว่าขากลับเธอจะไปรับที่สนามบินเอง และ...ปิ๊งป่อง! พ่อออกตัวเป็นพัลวันว่าไม่เป็นไร จะนั่งแท็กซี่กลับเอง ทำให้มินตราตีหน้าเศร้าแล้วตัดใจไปในที่สุด...ซะเมื่อไหร่ล่ะ!
อนงค์อรคงระแคะระคายว่าลูกสาววางแผนอะไรอยู่ ถึงได้จงใจเตือนว่า
“ไม่ว่ามิ้นตั้งใจจะทำอะไร คิดให้รอบคอบให้ดีก่อนทำ ไม่งั้นมิ้นนั่นแหละจะเสียใจ”
“มิ้นได้ความรอบคอบมาจากแม่อยู่แล้วค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างมั่นใจ เวลาทำอะไร เธอวางแผนตรวจเช็กทุกอย่างจนกว่าจะแน่ใจว่าปราศจากอุปสรรคก่อนลงมือเสมอ ดังนั้นไม่มีคำว่าเสียใจสำหรับเธอแน่
“ปัญหาบางอย่างมิ้นก็เด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจ”
“แม่คะ มิ้นโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว”
อนงค์อรเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าสงบเยือกเย็น จากนั้นจึงพยักหน้ารับช้าๆ “งั้นก็ตามใจ ถ้ามิ้นมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่ก็จะไม่ห้าม แต่เมื่อเจอปัญหา แม่หวังว่ามิ้นจะแก้ปัญหาแบบที่ผู้ใหญ่ทำ ไม่ประชดประชันแบบเด็กๆ”
แม่นั่นแหละไม่เข้าอะไรเลย! นอกจากไม่เข้าใจ แม่ควรขอบคุณเธอด้วยซ้ำที่ช่วยจับตัวนังมารร้ายให้ ทั้งๆ ที่แม่เป็นแม่ ควรรู้จักพ่อที่สุดว่าแอบไปซุกไปซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า แต่นี่กลับไม่สนใจอะไรเลย
เมื่อยังเชื่อมั่นเช่นนั้นมินตราจึงจัดแจงโทรศัพท์.ไปสอบถามพนักงานที่บริษัทของบิดาถึงกำหนดเที่ยวบินจากภูเก็ตที่จะมาถึง และเมื่อถึงเวลาหญิงสาวก็จัดการนัดแนะกับรชยาเพื่อไปดักรอ
“แกเอาจริงเหรอยายมิ้น” รชยาถามเพื่อนเป็นครั้งที่ร้อยแล้วกระมัง ขณะที่เพื่อนสาวชะเง้อชะแง้รอผู้โดยสารขาออก “ฉันว่าแกเสียเที่ยวแล้ว ขนาดฉันกับม้าตั้งใจจะมารับอาเฮีย นัดกันไว้เสียดิบดียังหากันไม่เจอ”
“อะไร” มินตราทำสุ้มเสียงตำหนิไปยังเพื่อน “เรื่องอะไรฉันจะไปยืนมองหาให้โง่”
พอผู้โดยสารเริ่มทยอยออกมา หญิงสาวก็จัดการกดเบอร์โทรศัพท์ ครู่หนึ่งปลายสายก็กดรับ พอได้ยินเสียงอึกอักของอดิรุจ มินตรารีบปรับน้ำเสียงร่าเริงแจ่มใส
“พ่อขา เซอร์ไพรส์! มาถึงหรือยังคะ มิ้นคิดทึ้งคิดถึง”
“มิ้นหรือลูก” สุ้มเสียงของอดิรุจค่อนข้างแปลกใจ “ถึงแล้วจ้ะ เพิ่งมาถึงสนามบินเมื่อครู่ เอาไว้เจอกันที่บ้านนะลูก พ่อมีขอฝากมาให้เยอะแยะเชียว”
“จริงหรือคะ งั้นให้มิ้นไปรับไหมคะ”
“อย่าเลย เดี๋ยวพ่อเรียกแท็กซี่กลับเอง แค่นี้นะลูก”
“ไม่ลำบากเลยค้า” หญิงสาวเน้นเสียงสุดแสนจะจริงใจ ‘โพดๆ’ จนรชยากลอกตาขึ้นฟ้า “พอดีมิ้นผ่านมาแถวนี้พอดี อีกสิบนาทีเจอกันนะคะพ่อขา”
“มิ้น มิ้น!” อดิรุจรีบเรียกลูกสาว “ไม่ต้องหรอกลูก คือ เอ่อ พ่อมากับน้องที่บริษัท มากันหลายคน ยังไงก็นั่งรถกลับพร้อมกันไม่ได้ พ่อเป็นหัวหน้ายังไงก็ต้องแวะไปส่งลูกน้องก่อน”
“เหรอคะ” มินตราทำเสียงเศร้าทันที งึมงำว่าแย่จัง จากนั้นก็แสร้งทำเสียงออดอ้อนฉอเลาะลื่นไหลต่อว่า “พี่กันต์ขา คุณพ่อบอกไม่ต้องไปรับแล้วละค่ะ งั้นเราไปเที่ยวกันต่อนะคะ แหม อย่าสิคะคนบ้า มือไม้อยู่ไม่สุข น่าตีนักเชียว”
ขณะที่รชยาทำหน้าหลอนขึ้นเรื่อยๆ พลางนึกสงสัยว่าถ้าแม่นี่เรียนสถาปัตย์ท่าจะรุ่งแน่ๆ
“มิ้น นั่นหนูอยู่กับใคร” พอเสียงของพ่อเปลี่ยนไป มินตราก็รีบตีหน้าซื่อแม้ไม่ต้องอยู่ต่อหน้าก็ตาม
“อ๋อ พี่กันต์ไงคะ รุ่นพี่ที่มหา’ลัย แต่พ่อคงไม่รู้จักหรอก งั้นถ้าพ่อไม่ให้ไปรับ ก็ไว้เจอกันที่บ้านนะคะ แต่มิ้นคงกลับดึกหน่อย”
“เดี๋ยว! งั้น...มิ้นมารับพ่อก็ได้” อดิรุจกล่าวอย่างจำใจ ก่อนจะเสริมอีกว่า “แต่มีพี่อีกคนที่ต้องไปส่งด้วยนะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
หลังจากแจ้งจุดนัดพบกันเรียบร้อย มินตราก็หันมาเร่งเพื่อนยิกๆ ถึงตอนนี้รชยาแทบอยากยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว
“สาธุ บาปกรรมแท้ๆ”
“พูดมากน่า รีบๆ ไปเลยนะ ฉันอยากเห็นหน้าแม่นั่นจะแย่แล้ว”
“แกแน่ใจได้ยังไงว่าคนนี้ใช่แน่”
“ใช่ไม่ใช่ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองแหละน่า”
อดิรุจที่ยืนรออยู่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ พอเห็นลูกสาวเดินเข้ามากับรชยาที่ยกมือขึ้นไหว้พร้อมยิ้มฝืดๆ อดิรุจก็รู้ทันทีว่างานนี้โดนลูกสาวเล่นเข้าให้แล้ว
“ไหนล่ะรุ่นพี่ของมิ้น” ถามพลางจ้องลูกสาวอย่างเอาเรื่อง แต่นอกจากไม่เคยสะทกสะท้าน ยังตีหน้าซื่อ แถมตอบคล่องปรื๋อ
“กลับไปแล้วละค่ะ มิ้นก็เลยแยกมากับรชแทน แล้วพ่อล่ะคะ เห็นว่ามีคนมาด้วยหลายคน หายไปไหนหมด”
สีหน้าของพ่อเผือดไปเล็กน้อย แต่เพราะยังโกรธอยู่เลยไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียง
“งั้นก็กลับกันเถอะ แต่เดี๋ยวพ่อต้องแวะไปส่งพี่เขาก่อน”
มินตรามองหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้เป็นพ่อ ดูแล้วอายุน่าจะสักยี่สิบห้ายี่สิบหก หน้าตาก็งั้นๆ แต่เพราะเครื่องสำอางทำให้รูปหน้าพื้นๆ ถูกขับจนโดดเด่น และจากสีหน้าบูดบึ้งเวลานี้ ท่าทางการปรากฏตัวของมินตราคงทำลายวิมานฉิมพลีที่หล่อนวาดไว้เสียแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวโฉมกลับเองก็ได้ พี่กลับไปพร้อมลูกเถอะ” ถึงพูดแบบนั้น แต่หญิงสาวก็หาได้ปิดบังแววตาน้อยอกน้อยใจไม่
“พูดอะไรแบบนั้น เอางี้...เดี๋ยวพี่นั่งรถไปส่งโฉมแล้วค่อยเข้าบ้าน หนูรช” อดิรุจเอ่ยไปยังรชยา “หนูกลับพร้อมยายมิ้นได้ไหมลูก”
“ได้ค่ะ” รชยาหวั่นจะเกิดปัญหาจึงรีบรับ แต่พอหันไปมองเพื่อนสาวเท่านั้นเธอก็ถึงกับใจหายแวบ ตอนนี้ถ้าแววตามินตราเป็นมีดเป็นขวาน แม่โฉมอะไรนี่คงไม่เหลือโฉมแล้ว
มินตราโกรธเสียจนอยากกระทืบเท้าแล้วร้องกรี๊ดๆ หน็อย! ต่อหน้าต่อตาเธอแท้ๆ พ่อยังเป็นห่วงนังนี่จนออกนอกหน้า แล้วแม่นี่กล้าดียังไงมาถลึงตาใส่เธอแบบนั้น พ่อแม่เป็นนกเค้าแมวหรือไง!
“คุณป้าอย่าเกรงใจเลยค่ะ” มินตราเอ่ยเสียงใส “ไปด้วยกันไม่ได้ลำบากเสียหน่อย คนกันเอง พ่อมิ้นใจดี อย่าว่าแต่ค่าแท็กซี่เลยค่ะ อย่างอื่นก็จ่ายได้!”
ลำคอขาวๆ ของคนเป็น ‘ป้า’ เหยียดแข็งทันที คงเพราะแน่ใจว่าเธอคาดเดาฐานะได้และมาเพื่อหาเรื่องโดยเฉพาะ หึ! หาเรื่องหรือ กับพวกที่ชอบทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ มินตราพยายามท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆในใจ ขณะที่ปรายตาไปทางพ่อ บอกกลายๆ ว่าเขาจะเป็นรายต่อไปที่จะถูกเธอชำแหละ
“พี่ชื่อโฉมฉายค่ะ น้องมิ้นเรียกพี่โฉมก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณป้าหรอกค่ะ พี่ยังไม่แก่เท่าคุณแม่หนู”
ต๊าย! มันย้อน!
“ตายจริง รู้จักชื่อมิ้นด้วย” มินตราทำหน้าแปลกใจ ก่อนยกมือขึ้นกราบขออภัยราวกับนางงามสามสิบสามเวที “มิ้นต้องกราบขอโทษพี่โฉมจริงๆ นะคะ” คำพูดหล่อนแสนหวาน แต่สายตามองเหยียดอย่างไม่ปกปิด “มิ้นคงดูผิดไปเอง จริงๆ พี่โฉมทั้งสวยทั้งสาว แต่คงเพราะสองสามวันมานี่หักโหมทำงานทั้งกลางวันกลางคืน หน้าถึงได้หมอกคล้ำเหมือนโดนของเข้า”
“เอ๊ะ นี่หล่อน!”
ในที่สุดก็มีคนปรี๊ดแตกจนได้ ซึ่งมินตรารอคอยอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องแสร้งเล่นละคร ในเมื่อรู้แก่ใจกันดี แต่โฉมฉายไม่โง่ หล่อนจะสู้ซึ่งๆ หน้าไปทำไมในเมื่อมีคนสนับสนุนหล่อนอยู่แล้ว
“พี่รุจดูสิ ลูกสาวของพี่รุจเสียมารยาทกับโฉมแบบนี้ สงสัยแม่คงไม่เคยสั่งเคยสอน”
“แม่ฉันสั่งสอนดีย่ะ” เสียงแจ๋วๆ ตอบกลับทันที “สอนดีมากด้วย ตัวอย่างเช่น อย่าคิดชั่วมั่วกับผัวชาวบ้าน!”
“ว้าย! อีเด็กผีนี่!”
“ทำไม ยายป้าผีเปรต ชอบปีนนักใช่ไหมไอ้ต้นงิ้วเนี่ย!”
มินตราเชิดอกขึ้นสู้ ทำให้อดิรุจที่เห็นท่าไม่ดีเพราะเสียงถกเถียงเริ่มดังจนคนเข้าออกต่างหันมองมา เขารีบเข้าไปขวางหญิงสาวทั้งสองที่ยังจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ ส่วนรชยาได้แต่ยืนเงอะงะไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“พอๆ...พอกันได้แล้ว มิ้นกลับบ้านเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!”
“มิ้นไม่กลับ! จะกลับก็ต่อเมื่อพ่อกลับกับมิ้นเท่านั้น!”
“มิ้น พ่อขอละ กลับไปซะ เอาไว้คุยกันที่บ้าน” อดิรุจชักเริ่มจนปัญญาเพราะรู้ฤทธิ์ลูกสาวดี แต่ยิ่งเขาแสดงท่าทางปกป้องโฉมฉายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนเอาน้ำมันราดลงกองไฟที่ชื่อมินตราดีๆ นี่เอง
“พ่อทำแบบนี้กับมิ้นกับแม่ได้ยังไง ถ้าแม่รู้ แม่จะเสียใจแค่ไหนพ่อคิดบ้างไหม” ยิ่งพูดดวงตาหญิงสาวก็ยิ่งร้อนผ่าว เธอเสียใจ ผิดหวังจริงๆ ไม่ใช่ผิดหวังแค่การที่พ่อนอกใจแม่ แต่รสนิยมเลือกผู้หญิงของพ่อช่างต่ำสิ้นดี
“ตอนนี้มิ้นชักพูดไม่รู้เรื่องแล้ว กลับไปซะ”
“ได้ พ่อไล่มิ้นใช่ไหม มิ้นจะไปฟ้องแม่ มิ้นจะเล่าให้แม่ฟังทั้งหมด” หญิงสาวเริ่มสะอื้นจริงๆ
พอเห็นว่าฝ่ายลูกสาวจัดการพ่อเสียอยู่หมัด หัวใจโฉมฉายก็ยิ่งร้อนรุ่ม ผู้ชายนะผู้ชาย ปากบอกว่ารักๆ สัญญิงสัญญาได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกลูกเมียอยู่ดี เห็นเธอเป็นแค่ของเล่นไว้รองรับอารมณ์ ไม่มีทางเสียหรอก เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับคนอย่างนังโฉมฉายเด็ดขาด!
“ถ้าพี่จะกลับก็กลับไปเถอะค่ะ เชิญกลับไปหาลูกเมียพี่ แล้วหวังว่าจะมีความสุขนะคะ”
“โธ่ โฉม” อดิรุจเรียกตามหญิงสาวที่ลากกระเป๋าเดินทางแล้วกระแทกเท้าหนีไป สุดท้ายเขาก็หันกลับมาพูดกับลูกอย่างโกรธๆ “มิ้นกลับบ้านไปซะ เรื่องนี้เราจะคุยกันทีหลัง”
“พ่อ! นั่นพ่อจะไปไหน พ่อทิ้งมิ้นแบบนี้ได้ยังไง มิ้นไม่ยอม!”
มินตราคิดไม่ถึงจริงๆ เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อรีบเดินตามหญิงสาวอีกคนไป พอไปถึงตัวก็รีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ แม้จะถูกสะบัดทิ้งถึงสองครั้งสองคราก็ยังไม่ยอมแพ้ อดิรุจโอบไหล่ปลอบโยนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกแท็กซี่แล้วหายลับไปพร้อมกัน เป็นภาพบาดตาบาดใจจนมินตราจนน้ำตาปริ่ม
“มิ้น แกไม่เป็นไรนะ” รชยาแตะไหล่เพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง เมื่อบัดนี้น้ำตาไหลนองสองแก้มเพื่อนโดยไม่มีการเสแสร้งอีก แต่เพียงครู่หนึ่งคนอย่างมินตราก็สลัดความโศกเศร้าทิ้ง ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว
เกลียด เกลียด เกลียด! มินตรากรีดร้องอยู่ในใจ
ความคิดเห็น |
---|