“ฝันดีนะคะพี่ภูมิ”
“ไง นึกว่านามบัตรพี่จะเป็นเศษขยะอยู่ที่ไหนแล้ว” ภูมิเอ่ยกับปลายสาย อารมณ์ดีขึ้นมาพอที่จะเอนตัวพิงกับระเบียงไม้ ได้ยินเสียงพูดขึ้นจมูกตอบกลับ
“ฮึ มิ้นน่าจะเป็นฝ่ายพูดแบบนั้นมากกว่านะคะ อะไรกัน ผู้หญิงเขาอุตส่าห์ให้เบอร์โทร. กับมือ แทนที่จะโทร. กลับมาไถ่ถามบ้าง นี่ต้องรอให้โทร. ตามมาจิก”
ภูมิระเบิดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
“ขอโทษๆ” เขาแสร้งเอ่ยขอโทษอย่างเอาใจ “ไม่คิดว่ามีคนรออยู่ แล้วที่บ้านเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม”
“ไม่ดีกว่าเดิม แต่ก็คงไม่มีอะไรเลวกว่านี้แล้วละค่ะ มาคิดๆ มิ้นรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมที่ตัวเองต้องเต้นอยู่บนปัญหาของพ่อกับแม่ ในเมื่อเป็นเรื่องของพวกเขา ก็ให้เขาจัดการกันเองก็แล้วกัน มิ้นไม่ยุ่งแล้ว”
“ถ้าคิดแบบนั้นได้ก็ดี เพราะไม่ว่าพวกเขาจะมีปัญหาอะไร พี่ก็แน่ใจว่าท่านยังรักเราเหมือนเดิม”
“พี่เนี่ยคิดอะไรในแง่บวกเสมอเลยนะคะ น่าอิจฉาจัง มิ้นเองก็พยายาม แต่ทำไม่เคยได้ ไม่รู้สินะคะ เวลาที่มิ้นพยายามคิดอะไรในแง่ดีๆ มิ้นก็มักจะผิดหวังเสมอ เพราะงั้นถึงได้ระแวงแล้วก็คิดร้ายๆ ไว้ก่อน เผื่อว่าผิดหวังมาจะได้ไม่รู้สึกเสียใจนัก”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ภูมินึกถึงปัญหาระหว่างอากับน้องชาย “พี่เองก็คนธรรมดา ไม่ได้ตัดหรือปลงอะไรทุกอย่าง เพียงแต่เรื่องบางเรื่องมันไม่ใช่ปัญหาที่เราจะเข้าไปเปลี่ยนได้ ก็ต้องปล่อยๆ ไป จิตใจจะได้ไม่หดหู่ สมองไม่ต้องคิดอะไรฟุ้งซ่าน แล้วนี่คงไม่ได้โทร. มาหาพี่เพราะกลัวเบอร์โทร. เป็นหมันหรอกใช่ไหม”
“จะว่างั้นก็ได้ค่ะ” เธอยืดอกรับ “เห็นเงียบเข้ากลีบเมฆ มิ้นก็คิดว่ากลับไม่ถึงบ้าน ลงไปอยู่ข้างทางให้รถมูลนิธิเขาลากไปแล้ว”
“ปากหรือนี่หือ” เขาแสร้งเอ็ด
“อ้าว ก็ใครจะรู้ เห็นขับรถกระบะบุโรทั่งแบบนั้น”
“บุโรทั่งตรงไหน เคยได้ยินไหม ขับรถกระบะเท่ากับเราได้เป็นเจ้านายมัน ใช้งานได้สารพัด ทั้งขนทั้งลาก ถนนหนทางแบบไหนก็ไม่หวั่น แต่ไอ้พวกขับรถเก๋ง ขับโก้ๆ ใช้ประโยชน์จริงๆ ได้สักกี่อย่างกันเชียว”
“ขี้เกียจต่อความด้วยค่ะ จริงสิ มิ้นยังไม่ได้ถามเลยว่าบ้านพี่อยู่จังหวัดอะไร”
“พี่เป็นคนเมืองจันท์”
“แล้วทางโน้นเป็นยังไงบ้างคะ เอ่อ ต้องถามอะไรดีนะ ไก่ออกไข่ดีไหม หรือช่วงนี้ผลไม้อะไรขายดี หรือว่าเมื่อไหร่ข้าวโพดจะขายได้”
ภูมิก้มหน้ายิ้ม พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสไบทิพย์เดินเข้ามา คงจะเข้ามาเรียกไปกินข้าว สตรีสูงวัยมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ แต่ภูมิส่งสัญญาณว่าขอเวลาอีกเดี๋ยว ทางนั้นเลยกลับออกไป
“ก็ดี เพิ่งจะเริ่มไถพรวนดินเตรียมปลูกข้าวโพด ไถแปรเสร็จก็จะเตรียมรองพื้น โรยฝุ่น...”
“ฝุ่น?”
“อ๋อ โทษที พี่เรียกติดปากไปหน่อย จริงๆ ต้องเรียกว่าปุ๋ยขี้ไก่ถึงจะถูก นี่ผลิตเองจากฟาร์มไก่ ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ”
“อี๋!”
“มาอง มาอี๋ ตันหนึ่งถ้าขายก็ได้หลายตังค์เชียวนะ เดี๋ยวจะหาว่าเศรษฐีขี้ไก่ไม่เตือน”
“มิ้นละสงสัยจริงๆ ป้าส้นเข็มนั่นเขาติดใจอะไรผู้ชายแบบพี่ นิสัยแบบนี้ถ้าอยู่บนขื่อไปทั้งชาติ หาเมียไม่ได้ มิ้นจะไม่แปลกใจสักนิด”
“เอ๊าๆ ตกลงว่าโทร. มาเยาะเย้ยกันใช่ไหม ไอ้เราก็นึกว่าคิดถึง” เขาเปรยไปอย่างนั้น และไม่คาดคิดว่าเสียงใสๆ จะตอบรับรวดเร็ว
“ก็คงคิดถึงมั้งคะ มิ้นยังติดหนี้พี่อยู่ แล้วนี่มิ้นจะมีโอกาสได้เจอพี่อีกหรือเปล่า มีกำหนดจะเข้ากรุงเทพฯ อีกเมื่อไหร่คะ”
“คงจะอีกนาน พี่ยังยุ่งๆ อยู่ อีกอย่างยังไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องไป แต่ว่า... ถ้าใครบางคนยอมรับสารภาพ บอกว่าอยากเห็นหน้า อาจจะพิจารณาเป็นพิเศษ” ภูมิกลั้นยิ้ม เมื่อมีเสียงบ่นงึมงำดังลอดมาจากปลายสาย
“มาหรือไม่มาก็แล้วแต่พี่เถอะค่ะ มิ้นไปกำหนดอะไรไม่ได้หรอก ก็แค่โทร. มาถามไถ่เท่านั้นแหละ เดี๋ยวมิ้นต้องวางสายแล้ว คงไม่ได้โทร. มารบกวนเวลางานพี่หรอกนะ”
“ไม่เลย อีกเดี๋ยวพี่ต้องกลับลงไปที่ไร่เหมือนกัน เอาไว้ครั้งหน้าพี่จะโทร. หาบ้าง”
“เยี่ยมค่ะ แต่ขออย่างหนึ่งนะ อย่าโทร. รัวๆ วันละเป็นสิบๆ ครั้งเหมือนพวกว่างงาน มิ้นไม่มีเวลารับสายหรอก!”
หลังจากวางสายภูมิแทบไม่รู้ตัวว่าใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มอยู่ แม้แต่ตอนที่เยี่ยมหน้าเข้าไปในครัว บอกให้สไบทิพย์ตั้งสำรับ จากนั้นก็เดินผิวปากตัวปลิวจากไป ปล่อยให้คนข้างหลังมองด้วยความสงสัย
“แกเห็นอย่างที่ฉันเห็นไหมวะนังกฐิน” คนเป็นยายสะกิดหลานสาว ทำราวกับเพิ่งเห็นผีก็ไม่ปาน
“เห็นจ้ะยาย หน้านายภูมินี่ยิ้มจนปากแทบจะถึงหูเลยจ้ะ สงสัยคุณพิมจะโทร. มา”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ปกติคุยกับแม่พิมทีไรแทบจะนับนาทีได้ แล้วคุยไปหน้านายภูมิอย่างกับอมยาขมไว้ในปาก ไม่เหมือนรายนี้ ทั้งจ้อทั้งยิ้มไม่ยอมหุบ ฉันว่าไม่ใช้แม่พิมแน่ๆ”
“หรือว่าจะเป็นคุณดินจ๊ะ”
“ก็ไม่น่าใช่อีกนั่นแหละ สองคนนั้นคุยกันทีเสียงดังลั่นทุ่ง ราชาสัตว์ที่วิ่งกระจายจนน่าตีปากคนละที ไม่มีทางคุยกันกะหนุงกะหนิงแบบนี้หรอก ฉันว่านะ ผู้หญิงชัวร์ๆ แต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ไหน ต๊าย เดี๋ยวต้องส่งข่าวบอกคุณดินกับคุณเปรี้ยวแล้ว ไม่แน่ไร่ไผ่เราอาจมีนายผู้หญิงเร็วๆ นี้ก็ได้!”
ข่าว ‘นายภูมิมีแฟนแล้ว’ ถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคนโทร. มาถามหา ‘ว่าที่นายหญิงไร่ไผ่’ กันเป็นแถว โดยเฉพาะพรพระพรายที่รีบโทร. มาแตะเบรกพี่ชายเป็นคนแรก
“ถ้าพี่จะแต่งกับแม่พิมซู่ซ่าละก็ เปรี้ยวจะตัดพี่ออกจากกองมรดกไปเฝ้ากองหนี้แทน!”
“ให้มันน้อยๆ หน่อยยายเปรี้ยว นี่มันเรื่องอะไรกัน มาถึงก็เอะอะอะไรไม่รู้” คนที่เพิ่งขึ้นมาจากไร่ กินข้าวเที่ยงไปได้ไม่กี่คำ สไบทิพย์ก็เดินเข้ามาพร้อมโทรศัพท์ไร้สาย บอกว่า ‘คุณเปรี้ยวโทร. มา’
“ก็สายสืบของเปรี้ยวกับพี่ดินโทร. มารายงานน่ะสิคะ ว่าพี่โทรศัพท์อี๋อ๋อกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ทุกวัน แล้วผู้หญิงที่เกาะพี่อย่างกับชะนีร้องหาผัวๆๆ อยู่ตอนนี้ เปรี้ยวก็เห็นมีแค่แม่พิมประกายเพลิงนั่นคนเดียว นี่พี่ภูมิ ถ้าพี่ภูมิหาไม่ได้จริงๆ เปรี้ยวหาให้เอาไหม เพื่อนเปรี้ยวสวยๆ น่ารัก นิสัยดีเยอะแยะ เอ๊ะ! อย่าบอกนะว่าพี่โดนยายพิมจกตับไปแล้ว พี่ภูมินะพี่ภูมิ บอกกี่ครั้งแล้วว่าแม่นี่ไว้ใจไม่ได้!”
“ใจเย็นๆ แม่คุณเอ๊ย บ้ากันไปใหญ่แล้ว พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าพี่กับพิมไม่ได้มีอะไรกัน”
“แม่นั่นอาจวางยานอนหลับแล้วกระทำชำเราพี่ก็ได้นี่” เสียงกระซิกกระซี้ยังไม่ยอมเลิกรา
“นี่ พี่ว่าเรากลับไปเขียนข่าวเหมือนเดิมเถอะ อย่ามาเขียนเลยไอ้นิยายน้ำเน่าเนี่ย”
“ไม่รู้ละ แค่คิดว่าต้องมีพี่สะใภ้เป็นยายคุณนายหัวสูง เปรี้ยวก็จะขาดใจตายแล้ว แต่ถ้าพี่บอกว่าไม่ใช่ยายพิมแล้วเป็นใครคะ”
ภูมิถอนใจ เริ่มเข้าใจเลาๆ แล้วว่าเกลือในบ้านคงเป็นหนอนแน่ แล้วหนอนที่ว่าก็ยืนชะเง้อชะแง้คอยฟังอยู่ข้างๆ นี่เอง แต่พอเห็นสายตารู้เท่าทันของเขา หนอนเลยยิ้มเผล่ รีบไต่กระดึ๊บๆ จากไป
“ไม่ใช่พิมหรอกพี่รับรองได้ เป็น...” ชายหนุ่มคิด “เป็นคนที่บังเอิญไปรู้จักที่กรุงเทพฯ เปรี้ยวไม่รู้จักหรอก”
“แล้วจะได้รู้จักไหมคะ” คำถามกระตือรือร้นเกินกว่าเหตุแบบนี้นี่ถ้าพรพระพรายมานั่งอยู่ใกล้ๆ ภูมิคงแจกมะเหงกให้แล้ว
“ก็แค่คนรู้จัก จะเรียกสนิทยังไม่ได้เลย คิดอะไรไปถึงไหน แล้วนี่หายหัวไปตั้งนาน แทนที่จะถามสารทุกข์สุกดิบพี่สักคำ เอาแต่พล่ามอะไรไม่รู้”
“โถ หัวยังไม่ล้าน ขี้น้อยใจซะแล้วพี่เรา เปรี้ยวมาทำงานที่หาดใหญ่ค่ะ คงต้องใช้เวลาอีกนาน แต่เสร็จจากนี้รับรองจะขึ้นไปเยี่ยมพี่แน่ๆ พี่ภูมิจ๋า เปรี้ยวคิดทึ้งคิดถึง”
ชายหนุ่มนึกสีหน้า ‘คิดทึ้งคิดถึง’ ของน้องสาวได้ทันที ว่าคงไม่ต่างกับเด็กที่ถูกบังคับให้ไปอยู่ค่าย และคิดถึงพ่อแม่ที่บ้านใจจะขาด เพียงแต่การตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อไปทำงานสายข่าวของน้องสาว เป็นความเต็มใจของเธอเอง
“คิดถึงแล้วทำไมไม่กลับบ้าน พี่ว่ากลับมาช่วยพี่กับตะวันทำไร่ทำสวนเหมือนเดิมก็ดีแล้ว เป็นผู้หญิงออกไปตะลอนๆ ข้างนอกมันอันตราย”
“เฮ้อ เบื่อพวกผู้ชายลิดรอนสิทธิสตรี ทั้งพี่ภูมิ พี่ดิน แม้แต่นายตะวันก็เหมือนๆ กันหมด คิดแต่ว่าผู้หญิงต้องเก็บไว้ในบ้าน ทำงานบ้าน ทำกับข้าวกับปลารอลูกรอผัว หรืออย่างมากก็แค่ทำงานนั่งโต๊ะน่าเบื่อ พี่ภูมิคะ ทำบุญน่ะยังต้องรอไปใช้ผลบุญชาติหน้า แต่สิ่งที่เราชอบ ทำแล้วมีความสุข มันต้องทำเดี๋ยวนี้ค่ะ ไปรอชาติหน้าไม่ได้หรอก”
“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่พี่จะได้เห็นหน้าน้องเขยบ้าง” คนเป็นพี่ทอดถอนใจ
“คงจะยากค่ะ เพราะเปรี้ยวดีเกินไป เพียบพร้อมเกินไป ผู้ชายหน้าไหนก็เลยไม่คู่ควร!”
ภูมิคิดว่าถ้ามินตราและพรพระพรายได้รู้จักกันละก็ ถ้าไม่เกลียดขี้หน้ากันไปเลย ก็คงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแน่ พรพระพรายพูดคุยด้วยอีกครู่ก็ขอตัวไปทำงานต่อ แต่ยังไม่วายย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องพิมประกาย และหากเขาเจอสาวที่ถูกใจ เธอจะต้องรู้เป็นคนแรก แต่วางสายไปไม่ถึงนาที ภูริก็โทร. เข้ามา ทำให้ภูมิได้แต่กลอกตาเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอารมณ์ดี
“ตกลงว่าจะแต่งเมื่อไหร่ครับพี่ภูมิ”
“ตอนเด็กๆ มีใครเอากบตบปากพวกแกหรือเปล่าหือ ทำไมน้องฉันแต่ละคนมันถึงได้พูดมากกันนัก นี่เมื่อกี้ยายเปรี้ยวก็โทร. มาหาว่าฉันจะแต่งงานกับพิม บ้าไปกันใหญ่ แกก็เองด้วย ถ้าจะมาพูดเรื่องนี้อีกก็ไม่ต้อง”
“โธ่ อย่าเพิ่งไล่ อย่างน้อยผมก็ดีกว่ายายเปรี้ยว รับรองว่าไม่บ่นไม่กัดไม่ขัดใจแน่นอน” ปลายสายประนีประนอม “ทีนี้ก็เลิกลีลาแล้วสารภาพมาเถอะครับ ตกลงไปเล็งหญิงที่ไหนไว้”
“ฉันไม่มีอะไรจะสารภาพ”
“ผู้ร้ายปากแข็ง เอ๊ะ หรือว่ากำลังเขิน”
“เขินพ่อแกสิ นี่สไบเล่าอะไรให้แกฟังบ้างวะ ฉันจะได้จับมาอบรมเสียให้เข็ด”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่บอกว่าพักนี้นายภูมิโทร. คุยกับสาวที่ไหนไม่รู้บ๊อยบ่อย ถ้าทางนั้นไม่โทร. มา ทางนี้ก็โทร. ไป พูดคุยกะหนุงกะหนิงหัวเราะคิกคัก จนป้าสไบเขาคิดว่านายภูมิที่ไปกรุงเทพฯ ครั้งก่อนถูกลักพาตัว แล้วส่งนายภูมิตัวปลอมมาแทน อยู่คนเดียวก็ยิ้ม ส่งไอ้แก่ไปซ่อมก็ยิ้ม เดินตรวจงานไร่ก็ยิ้ม โกยขี้ไก่ยังยิ้ม”
“คนในไร่นี่เป็นสายสืบให้แกหมดแล้วเหรอวะ ฉันเป็นคนจ่ายค่าจ้างแท้ๆ”
“น่าๆ เขาคงอยากรู้เหมือนผมนี่แหละ ว่าใครน้อทำให้นายภูมิอารมณ์ดีได้ทั้งวัน ถ้าไม่ใช่คุณพิม งั้นรายนี้ผมรู้จักไหม”
“แกไม่รู้จักหรอก” ภูมิปฏิเสธแล้วชะงัก อันที่จริงภูริก็เคยพบมินตรามาก่อน เพียงแต่ผ่านๆ คงจำไม่ได้ “ที่สำคัญฉันกับเขาอยู่ในฐานะคนรู้จักเท่านั้น อาจจะคุยกันถูกคอ แต่ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือจากนี้”
“อืม... งั้นขอเดาเลยนะครับว่าคงเด็กกว่าพี่มากแน่ๆ” ที่มั่นใจเช่นนั้นเพราะภูริเชื่อว่าผู้เป็นพี่มีความมั่นคงพอจะรับประกันอนาคตผู้หญิงสักคน แล้วผู้หญิงซึ่งอยู่ในวัยที่พร้อมจะมีครอบครัว ก็ต้องการผู้ชายที่จะมาเป็นผู้นำ มากกว่าผู้ชายหน้าตาดีๆ ป้อนคำหวานไม่ขาด แต่รับประกันอนาคตไม่ได้เลย
“มันไม่เกี่ยวว่าเขาจะเด็กหรือไม่เด็ก มันก็แค่เขาไม่ได้คิดอะไรกับฉัน”
“อาฮะ แล้วพี่คิดหรือเปล่าล่ะครับ” พอไม่ได้รับคำตอบ คำถามต่อมาของภูริก็เคลือบรอยยิ้มอย่างปิดไม่มิด “เลิกโยกโย้ได้แล้วพี่ ยืดอกรับให้มันแมนๆ หน่อย อะไรกัน แค่นี้ป๊อด ไม่แน่นะ วันหน้าผมอาจช่วยเหลืออะไรพี่ได้นา”
ภูมิพ่นลมหายใจ ยอมรับในที่สุดว่า “เออ ก็...หยอดไปนิดหน่อย”
“วุ้ย เสียชื่อตระกูลเราหมด แค่หยอดนิดหน่อยเนี่ยนะ”
“พาไปนอนที่ห้องคืนหนึ่งด้วยเอ๊า”
“เฮ้ย จริงเหรอพี่!”
“แต่ไม่ได้ทำอะไร เขาลำบาก ไม่มีที่ไป ฉันเลยให้ไปค้างด้วย” ภูมิได้ยินน้องชายเงียบไปนาน แล้วร้องครางอย่างไม่เชื่อตัวเอง
“สาธุ พ่อเทพบุตร พอยอดขมองอิ่ม มิน่าล่ะจะสี่สิบอยู่แล้วยังหาเมียไม่ได้ เย็นนี้ผมจะรีบจุดธูปบอกปู่ย่ากับพ่อแม่ เขาคงภูมิใจจนน้ำตาปริ่มแหงๆ ที่มีลูกชายดำรงตนเป็นสุภาพบุรุษขนาดนี้”
“ไอ้ดิน เดี๋ยวพ่อเตะให้ ฉันก็บอกแล้วว่าเขาไม่ได้คิดอะไร หยอดแล้วแต่โดนซัดหงายเก๋งกลับมานี่”
“ถ้าโดนซัดกลับมา แล้วเขาโทร. มาหาพี่ทำไม มันต้องมีอะไรสักอย่างสิน่า หรือเขาเพิ่งเห็นรูปทองของพี่ที่ซ่อนอยู่ในคราบมหาโจรเลยเปลี่ยนใจ”
“เรียกว่าความบังเอิญมากกว่าว่ะ ท่าทางจะเป็นเด็กมีปัญหาทางบ้าน ไม่มีใครให้คำปรึกษาเลยทำตัวเหลวไหล แล้วฉันก็ดันไปอยู่ตรงนั้นพอดี เขาก็เลยเหมือนเห็นฉันเป็นที่พึ่ง จริงสิ ยังไม่ได้เล่าให้แกฟังตอนที่ฉันเจอเขา...” ภูมิเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ช่วยหญิงสาวไว้ ภูริครางรับอืมๆ กระทั่งเขาเล่าจบ ชายหนุ่มก็เอ่ยอย่างพินิจพิเคราะห์ว่า
“ไอ้แรกๆ เนี่ย จะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็พอได้นะพี่ แต่คนสองคนบังเอิญได้กลับมาเจอกันอีกสองสามครั้งเนี่ย ผมว่าน่าจะเรียกโชคชะตาหรือฟ้าลิขิตได้แล้วละ แล้วเท่าๆ ที่ฟังมา ผมว่าตอนนี้เขาก็ดูไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรพี่เหมือนตอนแรกนี่”
“เด็กนั่นแค่ขาดที่ปรึกษา ขาดคนที่จะเข้าใจปัญหาของเขา อีกอย่างคงเห็นฉันเป็นคนอื่น ดังนั้นจะพูดหรือระบายอะไรให้ฟังก็คงไม่เป็นไร ยังไงฉันก็เอาไปฟ้องใครไม่ได้อยู่แล้ว และขอย้ำอีกครั้งนะ ฉันกับเขาไม่เคยคิดเรื่องรักใคร่อะไรกัน อนาคตยิ่งไม่ต้องพูดถึง หรือต่อให้คิด...” ภูมิส่ายหน้า นึกภาพตัวเองกับมินตราอยู่กินกันแบบสามีภรรยาไม่ออก “ดูๆ แล้วครอบครัวทางนั้นคงเลี้ยงลูกมาปานเจ้าหญิง เป็นเด็กเมืองเต็มตัว จะให้เขาทิ้งแสงสีมาอยู่กับกินกับชาวไร่ชาวสวนอย่างเรา เขาไม่มาหรอก ที่สำคัญลักษณะก็ไม่ใช่คนจะมาเป็นแม่บ้านแม่เรือนได้ เจอครั้งแรกก็นั่งนัวเนียอยู่กับผู้ชายในผับ แต่งตัวโชว์เนื้อโชว์หนัง ดื่มเหล้า แล้วนิสัยเท่าที่เห็น พนันเลยว่าใครหยามละก็ แม่ตบไม่เลี้ยงแน่นอน ให้คบน่ะพี่ก็คงคบได้ แต่เอามาทำเมีย... คงต้องคิดนานหน่อยว่ะ”
ฟังจบภูริก็ทอดถอนใจอย่างแสนเสียดาย โอกาสที่จะสอยพี่ชายลงจากขื่อคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
“แต่เขาก็คงมีดีอะไรสักอย่างแหละน่า ขนาดคุณพิมเขาเลิศเลอขนาดนั้นพี่ยังไม่แล”
นั่นน่ะสิ พอได้ฟังภูมิจึงย้อนมาถามตัวเองว่าติดใจมินตราตรงไหน สารภาพว่าแรกๆ มีแค่รูปโฉมที่ต้องใจ แต่พอได้พูดคุย ภูมิรู้สึกว่าหญิงสาวมีความซับซ้อนกว่าที่เห็นนัก เจ้าหล่อนแสร้งเข้มแข็งเพื่อซ่อนความอ่อนแอ หัวดื้อแต่ก็ตรงไปตรงมา เหมือนเด็กที่พยายามจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าการที่คนเราจะเติบโตและเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์นั้นต้องทำอย่างไร ไม่มีใครชี้นำ ไม่มีใครสอนสั่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามที่จะเติบโตด้วยตัวเอง พอเห็นแบบนี้ ตัวเขาที่อยู่ในฐานะพี่ชายคนโตซึ่งต้องเลี้ยงดูและสั่งสอนน้องๆ ถึงได้อยากเป็นครูให้กระมัง ตอนนี้มินตราอาจเป็นแค่แร่ แต่ภูมิมั่นใจว่าหากได้รับการขัดเกลา หญิงสาวจะกลายเป็นเพชรที่งามจรัสไม่แพ้ใคร
“พี่ภูมิครับ ผมแค่อยากเห็นพี่ได้พบใครสักคน คนที่พี่รักและอยากลงหลักปักฐานด้วย ดังนั้นไม่ว่าคนที่พี่เลือกจะเป็นใคร ชาติตระกูลหรืออดีตเคยผ่านอะไรมา ถ้าพี่สองคนรักกันพร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ผมก็พร้อมที่จะยอมรับเสมอ ดังนั้นถ้าพี่กำลังกังวล กลัวว่าผู้หญิงที่พี่เลือกจะไม่ขาวสะอาดถูกใจน้องๆ ละก็ เลิกห่วงได้เลยครับ”
คำพูดของภูริทั้งแน่วแน่และหนักแน่น เพราะตัวเขาเองกว่าจะได้แต่งงานกับนารีก็ผ่านเรื่องหนักหนาไม่น้อย ถ้าหาก ‘ผู้หญิงดี’ ตามตำราคือคนที่ไม่มีอดีตด่างพร้อย นารีก็คงไม่ได้อยู่ในตำราทุเรศๆ เล่มนั้น ทั้งเขาและนารีเป็นแค่คนธรรมดาสองคนที่เคยผิดพลาด ได้มาพบเจอ ยอมรับอดีตของกันและกัน เยียวยารักษา และพร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกันโดยไม่ลังเล
“ขอบใจ” ภูมิรับอย่างซาบซึ้งเช่นกัน
“เออ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว อย่าว่าผมปากเสียเลยนะพี่” ภูริกระแอม “จะคบหาเพราะอัธยาศัยหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะ ขออย่างเดียวอย่าเสียทีเด็กตอนแก่ โดนปอกลอกจนเหลือแต่ตัว อันนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ”
“ไอ้ดิน!” แต่ยังไม่ได้ทันจะได้ด่า ปลายสายก็รีบวางไปเสียก่อน
มินตราแต่งตัวสวย สวมชุดเดรสสีน้ำเงิน คอเสื้อเป็นห่วงคล้องกับลำคอ เผยไหล่และแผ่นหลังขาวผ่อง ผมยาวที่หวีจนเรียบขึ้นเงาปล่อยสยาย หลังจากส่องกระจกมองใบหน้าที่แต่งเครื่องสำอางอย่างเหมาะเจาะไม่มากหรือน้อยเกินไป ยกเว้นลิปสติกที่หญิงสาวจงใจเลือกใช้สีสดขึ้นมาหน่อย แต่ก่อนจะออกจากห้องหญิงสาวจำต้องหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมทับ เพราะแน่ใจว่าเดินออกไปทั้งอย่างนี้ คงโดนสอบสวนเสียก่อน และเธอไม่มีอารมณ์อยากถูกซักถามอะไรด้วย
หลังจากติดต่อกับภูมิผ่านโทรศัพท์มาร่วมเดือน ในที่สุดชายหนุ่มก็มีเวลาและเหตุผลที่จะเข้ามากรุงเทพฯ จนได้ แถมบอกว่าจะอยู่สักสัปดาห์เพื่อติดต่องานและพักผ่อนไปในตัว วันนี้ชายหนุ่มโทร. มาบอกว่าคงจะมาถึงกรุงเทพฯ สักราวสองทุ่ม และอยากชวนเธอไปดินเนอร์กับแขกของเขา มินตราตกปากรับคำทันที... แน่นอนอยู่แล้ว เธอรอเวลานี้มานานเกินไปเสียด้วยซ้ำ
“มิ้นจะไปไหน นี่ดึกแล้วนะ”
ยังไม่ทันก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย เสียงของผู้เป็นแม่ก็ทักท้วงทันที มินตราหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับสตรีซึ่งนั่งอยู่ที่ชุดเก้าอี้โซฟา บนโต๊ะยังมีเอกสารเป็นตั้งซึ่งไม่ใช่ภาพแปลกตาแม้แต่น้อย การเห็นอนงค์อรอยู่เฉยๆ ไม่มีงานหรืออะไรทำอยู่ในมือ นั่นต่างหากถึงจะแปลก
“นัดกับเพื่อนไว้ค่ะแม่ จะออกไปกินข้าวกัน”
“กับหนูรชหรือ แล้วนี่หนูรชจะมารับหรือว่าจะให้แม่ออกไปส่ง” อนงค์อรถอดแว่นตาวางไว้บนเอกสารที่เปิดค้าง เตรียมตัวสอบสวนเต็มที่ มินตราเองก็คงเดาได้ว่าแม่ระแคะระคายเรื่องที่เธอติดต่อกับ ‘ใครบางคน’ อยู่ เพียงแต่ไม่กล้าถามตรงๆ
“ไม่ใช่รชหรอกค่ะ แม่ไม่รู้จักเขาหรอก”
“ผู้ชายหรือ” สีหน้าอนงค์อรมิใคร่พอใจนัก “เรื่องออกไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืนกับเพื่อนผู้ชายนี่มันไม่เหมาะนะลูก”
“อะไรกันคะแม่” หญิงสาวลากเสียงเบื่อหน่าย “มิ้นก็ออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนแบบนี้บ่อยๆ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นพ่อกับแม่ว่าอะไร ทำไมเดี๋ยวนี้ต้องคอยจับผิดมิ้นอยู่เรื่อยเชียว”
“เพราะว่ามิ้นเป็นผู้หญิงน่ะสิ แม่ไม่อยากให้ใครมองลูกแม่ในทางที่ไม่ดี ผู้ชายยังไงก็เป็นผู้ชาย อย่าไปไว้ใจนักเลย...”
หางเสียงอนงค์อรเบาลงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มยิ้มเยาะจากลูกสาว ตั้งแต่เกิดปัญหาในบ้าน อนงค์อรก็รู้สึกว่าลูกสาวเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน มินตราไม่เอะอะโวยวายเมื่อพ่อกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ หรือไม่กลับเลยจนถึงเช้า ไม่สนว่าจะมีโทรศัพท์สายแปลกๆ โทร. เข้าบ้านเพื่อขอสายอดิรุจ และไม่เคยย่างกรายไปที่ออฟฟิศของเธออีก ราวกับหญิงสาวแยกตัวออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่สนใจเรื่องของใคร และไม่พอใจที่ใครมาจู้จี้เรื่องของตัวเองด้วย ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ทำให้อนงค์อรกังวลใจเหลือเกิน พอพยายามตักเตือนห้ามปรามดีๆ ลูกสาวก็ไขสือไม่ยอมฟัง ครั้นจะตำหนิต่อว่าแรงๆ ก็ไม่กล้าอีก เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่มินตราแสดงออกก็เพื่อปกป้องหัวใจที่ชอกช้ำเท่านั้น
“วางใจเถอะค่ะแม่ เห็นมิ้นเป็นอย่างนี้ มิ้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่นะคะ ไม่แบให้ใครที่ไหนเขาง่ายๆ หรอก!”
อนงค์อรตัวชา ไม่รู้ว่าลูกแค่พูดไปอย่างนั้นหรือกำลังประชดประชันกันแน่ แต่ที่แน่แท้ที่สุดในอกเธอมันจุกเสียจนพูดอะไรไม่ออก แม้แต่ตอนนี้มินตราก็ยังปักใจเชื่อว่าเธอกับศรันย์มีความสัมพันธ์กันในทางชู้สาว ส่วนเธอก็เหมือนคนน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออก
ขณะที่มินตราหยิบรองเท้าจากชั้นออกมาสวม เสียงเครื่องยนต์จากด้านนอกก็บอกว่าอดิรุจกลับมาแล้ว หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาแล้วยกมุมปากยิ้มเยาะ
แหม สงสัยวันนี้นางบำเรอจะขอลาหยุด
ครู่หนึ่งอดิรุจก็เปิดประตูเข้ามา สีหน้ามีเค้าเหนื่อยแต่ดวงตายังแจ่มใส คง ‘อิ่ม’ มาจากข้างนอก พอเห็นลูกสาวแต่งตัวสวยกำลังจะออกจากบ้าน เขาก็อดที่จะทักไม่ได้
“จะไปไหนหรือมิ้น”
มินตราแสร้งถอนใจดังๆ “ไปข้างนอกกับเพื่อนค่ะ เขานัดออกไปดินเนอร์ด้วยกัน มิ้นอาจกลับดึกหน่อย ขอพกกุญแจหน้าบ้านไปด้วยคงไม่เป็นไรใช่ไหมคะ จะได้ไม่ต้องลงมาเปิดประตูให้มิ้นดึกๆ ดื่นๆ”
“ไป? ไปกับใคร จะว่าไปพักนี้พ่อสังเกตว่ามิ้นคุยกับใครที่ไหนอยู่ ใช้ไอ้กันต์ธรนั่นหรือเปล่า นี่พ่อเตือนแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกคบกันมัน”
“ไม่ใช่พี่กันต์หรอกค่ะ เขาคงเข็ด ไม่กล้ามายุ่งกับมิ้นอีกแล้วละ” มินตราละรายละเอียดไว้ เพราะหลังจากที่อดิรุจกับกันต์ธรฟาดปากกันไปครั้งโน้น ชายหนุ่มก็พยายามเข้ามาเกาะแกะเธอหนักขึ้น คงเริ่มรู้แล้วกระมังว่าถ้าไม่รีบ กระต่ายที่ขุนไว้จนอ้วนคงได้หลุดมือแน่ ซึ่งมินตราไม่โง่ขนาดจะยอมให้ใครจับไปถลกหนังย่างกินได้ง่ายๆ อยู่แล้ว พอเห็นว่าเธอไม่ยอมเล่นด้วยจริงๆ ก็โกรธปึงปังหายหัวไป มีก็แค่ข่าวแว่วๆ จากรชยาที่เข้ามาเตือน บอกว่ากันต์ธรเที่ยวคุยไปทั่วว่ากินเธอจนอิ่มแล้ว ใครอยากรับเศษต่อก็เชิญ ฟังแล้วมินตราก็ได้แต่หน่ายใจ ผู้ชายบางคนก็เป็นผู้ชายเพียงเพราะเกิดมามีไอ้นั่น แต่ความเป็นลูกผู้ชายจริงๆ ไม่มีเลยสักนิดเดียว
อดิรุจยังไม่วางใจ ถึงอย่างไรลูกสาวคนนี้เขาก็เลี้ยงมากับมือ ทะนุถนอมอย่างดี หากลูกสาวจะคบหากับใคร เขาก็อยากรู้จักเทือกเถาเหล่ากอเสียก่อน ที่สำคัญระยะหลังมานี้มินตราก็แทบอยู่ไม่ติดบ้าน หรือต่อให้อยู่ หน้าพ่อแม่ก็แทบจะไม่มอง ถ้าไม่โทรศัพท์คุยกับเพื่อนก็คุยอยู่กับไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้
“มิ้น ไอ้เรื่องเที่ยวนี่ พ่อขอได้ไหม” พอเห็นหญิงสาวกลอกตาด้วยความรำคาญ อดิรุจก็ชักไม่พอใจเช่นกัน “แล้วก็เลิกชักสีหน้าแบบนั้นใส่พ่อกับแม่ด้วย เราน่ะยังเรียนหนังสืออยู่ หน้าที่มีให้รับผิดชอบแค่นั้นก็พอแล้ว ออกไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ดื่มเหล้า ผู้ชายจะคิดว่าหนูง่าย แล้วเงินที่หนูใช้อยู่ก็เงินพ่อแม่หามา หวังจะส่งเสียให้หนูเรียน ให้ใช้อย่างมีประโยชน์”
“อ๋อ นี่จะเปิดอบรมอีกแล้วใช่ไหมคะ” หญิงสาวกอดอก ใบหน้าบูดบึ้ง “มิ้นรู้ค่ะว่ามิ้นยังไม่มีงานทำ ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่ ยังต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ จะทำอะไรก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวสำนึกบุญคุณตลอดเวลา เอาอย่างนี้ไหมคะพ่อ จากนี้ไปเงินทุกบาททุกสตางค์ของพ่อน่ะ ก็เก็บไว้ปรนเปรอนางบำเรอของพ่อเถอะ มิ้นพอมีปัญญาหาคนเลี้ยงได้”
“นี่มิ้นหมายความว่ายังไง”
“ทำไมต้องทำหน้าแปลกใจด้วยคะ ผู้หญิงสมัยนี้เขาก็ใช้ความสวยจับผู้ชายรวยๆ กันทั้งนั้นแหละ หรือต่อให้สวยน้อยหน่อย แต่มีอย่างอื่นเข้าไปแลก ผู้ชายก็หลงหัวปักหัวปำได้เหมือนกันนั่นแหละ แล้วพอดีมิ้นโชคดี มีทั้งสองอย่างเลยนะคะ พ่อน่าจะชินกับผู้หญิงแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
“มินตรา! พ่อจำไม่ได้ว่าพ่อสอนให้หนูเป็นคนช่างประชดประชันแบบนี้” อดิรุจโกรธจนตัวสั่น ขณะที่อนงค์อรได้แต่ยืนตัวแข็งหน้าซีด “จะโกรธจะเกลียดพ่อ ก็ลงที่พ่อ ไม่ใช่ประชดด้วยการทำตัวแย่ๆ แบบนี้”
“มิ้นจะทำอะไรพ่อได้ล่ะคะ ก็พ่อเป็นพ่อนี่” หญิงสาวยิ้มอ่อนหวาน ก่อนที่รอยยิ้มจะเลือนหายไป แววตาเปลี่ยนเป็นกระด้าง “แต่นี่คือตัวมิ้น ร่างกายมิ้น ดังนั้นมิ้นจะทำอะไรก็ได้!”
พูดจบมินตราก็เดินจากไป ไม่สนใจแม้จะได้ยินเสียงทะเลาะดังลั่นจากในบ้านไล่หลังมา
ภูมิมารับเธอตามเวลาที่นัดไว้ ตอนแรกมินตราได้แต่ชะเง้อชะแง้มองหารถกระบะสีดำคันใหญ่จากหน้าหมู่บ้าน แต่กลายเป็นว่ารถที่แล่นเข้ามาเทียบกลับเป็นรถเก๋งสีขาวใหม่เอี่ยม วินาทีที่ได้เห็นใบหน้าของเขาในรอบหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่แยกจากกัน หัวใจของมินตราวูบไหวแปลกๆ แต่เข้าใจว่าคงเป็นเพราะรูปลักษณ์ของเขาเวลานี้กระมัง ชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลา แต่ก็ยังคมเข้มด้วยเส้นสายของชายวัยฉกรรจ์ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยเสื้อนอกสีดำ ไม่ใช่เสื้อผ้าปอนๆ อย่างทุกที พอเข้าไปนั่งข้างคนขับ มินตราเลยอดที่จะแซวไม่ได้
“แหม นี่ถ้าพี่ภูมิไม่ทักก่อน มิ้นคงนึกว่านักธุรกิจใหญ่ที่ไหน”
ใบหน้าที่ยังมีไรเคราเขียวๆ บนแนวคางยิ้มกว้าง มินตราเพิ่งสังเกตว่าเขามีลักยิ้มบุ๋มลงไปข้างแก้มซ้ายด้วย
“อ้าว นี่ก็นักธุรกิจจริงๆ นี่”
“ค่า” หญิงสาวรับอย่างหมั่นไส้ “ธุรกิจขายขี้ไก่”
เมื่อชายหนุ่มหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขายิ่งน่าฟังมากขึ้น
“เราเองก็ไม่เลวนี่ พี่ชอบชุดนี้นะ” เขาชมจากใจ ชุดสีเข้มยิ่งขับให้ผิวหญิงสาวขาวผ่อง
“เพราะมิ้นแน่ใจว่าพี่ชอบถึงได้ใส่มาไงคะ ว่าแต่เราจะไปที่ไหนหรือคะ แล้วต้องไปพบใคร มิ้นไปด้วยแบบนี้ไม่เกะกะแน่นะ” พูดแล้วก็เริ่มสำรวจจีบกระโปรงด้านข้างว่าเรียบร้อยดีหรือเปล่า
“คนรู้จักชวนไปงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง จำชื่อไม่ได้ ทางนั้นอยากถือโอกาสคุยเรื่องงานไปในตัว เพราะหุ้นส่วนที่คุยๆ โครงการนี้ไว้ก็จะมาที่งานพร้อมหน้า”
“ท่าทางดูเป็นทางการจังเลยนะคะ มิ้นคงไม่ไปทำตัวเด๋อให้พี่ขายหน้าหรอกนะ”
“ไม่หรอก พี่เองก็ไม่ได้ไปงานเลี้ยงอะไรแบบนี้บ่อยนัก ครั้งสุดท้ายที่ไปก็ต้นปีที่แล้วมั้ง ถ้าจะขายหน้าก็คงขายหน้าด้วยกันนั่นแหละ”
‘ดินเนอร์’ ที่มินตราวาดภาพไว้ว่ามีเพื่อนของชายหนุ่มไม่กี่คนกลายเป็นงานเลี้ยงหรูในโรงแรมดัง มีคุณหญิงคุณนายเรียงหน้าใส่เครื่องเพชรมาประชันกันจนละลานตา พวกผู้ชายแต่งตัวภูมิฐาน สถานที่ที่เห็นก็ราวกับหลุดออกมาจากโทรทัศน์ แต่สิ่งที่ทำให้มินตราสนใจคือคนที่คิดว่าจะ ‘เด๋อ’ ด้วยกัน เขากลับวางตัวราวกับคุ้นเคยงานแบบนี้เป็นอย่างดี ภูมิอาจไม่ใช่แขกซึ่งเป็นที่สนใจของคนในงานนักเมื่อเทียบกับคุณหญิงคุณนายหรือนักธุรกิจชื่อดังในกรุงเทพฯ แต่ก็มีคนเข้ามาทักทายพร้อมแนะนำเขาให้แขกคนอื่นๆ ได้รู้จัก และเมื่อได้รับการแนะนำก็แทบจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อเขา มีแต่พูดว่า...‘เคยได้ยินชื่อมานาน เพิ่งเคยได้เจอตัวจริงครั้งแรก’
ภูมิทักทายพูดคุยพอเป็นพิธี กระทั่งพนักงานเชิญเขาไปที่โต๊ะ ซึ่งมินตราได้รับการแนะนำให้รู้จัก ‘เพื่อน’ ของเขาด้วย ระหว่างรับประทานอาหาร มินตราพอจะจับใจความได้แค่ว่าเศรษฐกิจที่แย่ลงทำให้ผลผลิตบางอย่างล้นตลาด ชาวไร่ชาวสวนจากที่แค่เพาะปลูก ก็เริ่มหันมาเป็นผู้แปรรูปผลผลิตเองบ้าง เพื่อนๆ ของเขาจึงมีแผนตั้งโรงงานรับซื้อและแปรรูปผลผลิตเหล่านี้เอง จากนั้นก็คุยกันด้วยหัวข้อที่มินตราไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่
ทั้งคู่ขอตัวกลับหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่ชายหนุ่มจะพาเธอไปดินเนอร์จริงๆ เพราะทั้งเขาและเธอแทบจะไม่ได้แตะอาหารโรงแรมเลย ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างถูกคอไม่ต่างกับเวลาคุยผ่านโทรศัพท์ มินตราซักถามชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ยอมรับว่าประหลาดใจที่เขาก็มีชีวิตด้านซึ่งคนส่วนใหญ่คงมองว่าสวยหรูและน่าอิจฉา
“ก็เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน คนเราไม่ได้สวมหน้ากากเดียวตลอดเวลาหรอก”
“แล้วพี่ภูมิมีหน้ากากกี่อัน” มินตราถาม
“พี่ไม่ใช่มนุษย์สังคมเท่าไหร่ เลยมีหน้ากากแค่ไม่กี่อัน ดีมาพี่ก็ดีด้วย ร้ายมาถ้าไม่รุนแรงจนเกินให้อภัย พี่ก็ยินดีให้อภัย แต่อย่างเดียวที่พี่จะไม่ยกโทษให้เด็ดขาดคือการโกหกหลอกลวง การทรยศหักหลัง... พี่เกลียดคนโกหก”
มินตรายิ้มรับ แต่รู้สึกว่าอาหารคำต่อมากลืนยากเหลือเกิน แต่ก็ยังแสร้งตีหน้าหยอกเย้าเขากลับ
“เอ๋ แบบนี้ถ้ามิ้นทำให้พี่ภูมิโกรธ พี่จะลงโทษมิ้นยังไงหรือคะ”
ทว่าชายหนุ่มแค่ยิ้มรับน้อยๆ ไม่ยอมตอบคำถาม
เกือบห้าทุ่มภูมิก็ขับรถมาส่งถึงหน้าบ้าน ตอนแรกมินตราบอกให้เขาส่งแค่หน้าหมู่บ้านก็พอ แต่เขายืนกรานจะมาส่งให้ได้ เธอก็เลยตามใจ แถมชายหนุ่มยังลงจากรถเดินมาส่งถึงหน้าประตูรั้วอีก
“บ้านหลังใหญ่เหมือนกันนี่นา อยู่กันกี่คนหรือ” ภูมิมองบ้านจัดสรรหลังใหญ่มีรั้วรอบขอบชิด
“แค่สามค่ะ พ่อ แม่ แล้วก็มิ้น พี่จะเข้าไปด้านในไหมคะ มิ้นว่าพ่อกับแม่คงหลับไปแล้วละ”
“ไม่ดีกว่า... เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน แล้วก็ขอบคุณมากที่ไปเป็นเพื่อนพี่วันนี้”
“มิ้นต่างหากที่ต้องขอบคุณ วันนี้เปิดหูเปิดตาดี ไม่แน่อยู่กับพี่ภูมินานๆ มิ้นอาจสนใจการทำไร่ทำสวนขึ้นมาก็ได้ อ้อ ถึงวันนี้พี่จะเลี้ยงข้าวมิ้น แต่มิ้นยังไม่ลืมนะคะว่ายังค้างหนี้พี่อยู่ ถ้าพี่ไม่รีบกลับละก็ไว้ไปกินข้าวครั้งหน้า มิ้นเลี้ยงแน่นอน”
“พี่ไม่ลืมแน่ เข้าบ้านเถอะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว” ทั้งคู่เหมือนจะชะงักไปพร้อมกันเมื่อต้องลาจริงๆ ต่างฝ่ายก็ต่างรอคอย ภูมิรอให้หญิงสาวเข้าบ้านก่อน ส่วนเธอก็รอให้เขาขึ้นรถก่อน ยึกๆ ยักๆ อยู่นาน สุดท้ายหญิงสาวก็เป็นฝ่ายหัวเราะ
“โอเคค่ะ มิ้นเข้าบ้านก่อนก็ได้ แต่ก่อนจะเข้าบ้าน ตามธรรมเนียมแล้วต้องมีจูบลาใช่ไหมคะ”
“หือ?”
เธอไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรก็วางมือเกาะบ่ากว้าง ดึงให้เขาก้มตัวลงมาเล็กน้อยก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบที่แก้มสากเบาๆ รู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่นั้นแข็งทื่อไปทันที แต่มินตราไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่นาน พอจูบเสร็จเธอก็หันไปเปิดประตู แล้วโบกมือลาเขา
ความคิดเห็น |
---|