9

ตอนที่ 9



มินตราตื่นเพราะได้ยินเสียงรายงานข่าวจากโทรทัศน์ พอพลิกตัวขึ้นภาพแรกที่เห็นคือผู้ชายตัวใหญ่ผิวเข้มนั่งเก้าอี้ข้างโต๊ะทำงาน มือถือถ้วยกาแฟที่ส่งกลิ่นหอม นอกจากนี้บนโต๊ะยังมีปาท่องโก๋กับซาลาเปาทอดอีกชุด

“ตื่นแล้วเหรอ” คนหน้าเข้มทักทาย ท่าทางกระปรี้กระเปร่าผิดกับเธอที่พอตื่นมาเจอแสงจ้าก็แทบอยากมุดกลับลงไปใต้ผ้าห่มอีก “รีบลุกขึ้นมาล้างหน้า แล้วก็กินอะไรรองท้องซะ เดี๋ยวโรคกระเพาะถามหา”

“นี่กี่โมงแล้ว”

“เจ็ดโมงสิบห้า เร็วๆ เป็นสาวเป็นนางนอนจนตะวันส่องก้นแบบนั้นเดี๋ยวก็ขายไม่ออกหรอก”

คนขายไม่ออกลุกขึ้นหน้าบูด แต่ก็ยอมทำตามโดยง่าย เข้าไปล้างหน้าล้างตาหวีผม และกลับออกมาชงกาแฟดื่มกับปาท่องโก๋ที่ชายหนุ่มแบ่งไว้ให้ เหลือบไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าของเขาวันนี้ ถึงเห็นว่าถูกเก็บเรียบร้อย

“พี่จะกลับบ้านวันนี้หรือ”

“อือ” เขาจิบกาแฟอีกอึก ส่งซาลาเปาทั้งลูกเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยเช่นเคย “ใกล้หน้าฝนแล้ว ต้องกลับไปเตรียมดินไว้ลงข้าวโพด ไอ้แก่ก็ใกล้ปลดเกษียณเต็มที ไม่รู้จะตายก่อนไถแปรเสร็จหรือเปล่า”

“ไอ้แก่?”

“อ๋อ รถไถที่เอาไว้ไถดินในไร่ คันนี้เรียกไอ้แก่เพราะมันอยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่”

“นี่พี่ต้องทำไร่คนเดียวหมดเลยเหรอคะ”

“ทำคนเดียวก็ตายห่าสิน้องเอ๊ย” เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ทางโน้นเองก็มีคนช่วย คนงานประจำก็ช่วยเหลือกันมาตั้งแต่สมัยพ่อพี่ ส่วนคนงานทั่วไปมีเข้าๆ ออกๆ บ้าง แต่ก็ทำได้หลายอย่าง ทั้งในสวนผลไม้ ในฟาร์ม แล้วก็ในไร่ แบ่งกันทำไปตามหน้าที่ตามช่วงฤดู เดี๋ยวนี้พี่แทบไม่ได้ลงไปทำอะไรเองเหมือนสมัยแรกๆ แต่ก็ต้องตรวจดูทุกอย่างให้เรียบร้อย ยังไงคนเป็นเจ้าของก็ต้องทำทุกอย่างให้เป็น ไม่ใช่คอยแต่ชี้นิ้วสั่งเขาจริงไหม”

“พี่ไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นบ้างเหรอ อยู่แต่ในไร่ ไม่เบื่อบ้างหรือไง”

จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา ดื่มกาแฟอึกสุดท้ายแล้วพูดว่า “พูดเหมือนน้องชายพี่ไม่มีผิด ไอ้นี่เอะอะก็อยากให้ขายๆ อยากเข้าไปอยู่ในเมือง ทำธุรกิจอะไรของมันก็ไม่รู้ บอกว่าช่วงไหนผลผลิตล้นตลาด ราคาไม่ดีก็เสี่ยงเจ็บตัว นึกอยากถามมันกลับอยู่เหมือนกันว่างานอะไรบ้างที่ไม่เสี่ยง” 

“พี่ว่ามีพี่น้องกี่คนนะ”

“สาม คนรองพอแต่งงานก็ย้ายออกไปแล้ว น้องสาวอีกคนก็ไปเป็นนักข่าวขึ้นเหนือลงใต้ นานๆ ทีถึงจะกลับมาเยี่ยม ไอ้ที่อยู่ตอนนี้ก็มีแค่น้องชายคนเล็ก คอยอยู่สร้างเรื่องปวดหัวพอแก้เหงา”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทำให้มินตราอดที่จะถามไม่ได้

“ยิ้มอะไร”

“ก็คิดว่าบางทีถ้าเราได้เจอน้องชายพี่อาจจะชอบ พิมพ์นิยมสาวๆ สมัยนี้เลยกระมั้ง รูปหล่อ ผิวขาว ปากแดง...เสียอย่างเดียวเจ้าชู้”

“งั้นก็คงไม่ใช่สเปกหนูหรอก อีกอย่างไม่ใช่ว่าผู้หญิงจะชอบผู้ชายแบบนี้ทุกคน พวกหน้าตาดีๆ แต่นิสัยเสียก็มีเยอะแยะ ยิ่งพวกหลงหน้าตาตัวเอง คิดว่าใครๆ ก็ต้องรักต้องหลง นั่นยิ่งน่าหมั่นไส้ หนูคนหนึ่งละขอผ่าน” มินตราโบกมือเซย์กูดบาย ผู้ชายหล่อๆ น่ะเธอเอียนเต็มทีแล้ว คบก็พอคบได้หรอก แต่พอจะเริ่มจริงจังด้วยก็ลายออกกันทุกคน ดังนั้นสำหรับมินตราจะให้หน้าตาหล่อแค่ไหน ก็ไม่มีความหมายอะไรกับเธอหรอก

“อ้าวไม่รู้ เห็นเดี๋ยวนี้เปิดทีวีก็มีแต่หนุ่มหน้าตี๋ว่อนไปหมด ไอ้ดำคล้ำๆ อย่างเรานี่หมดสิทธิ์ เผลอๆ ผู้หญิงมองว่าสกปรกอีก”

ไม่รู้เพราะอะไร แต่เสียงบ่น ‘งอดแงด’ นั่นทำให้มินตราอดที่จะยิ้มไม่ได้

“อย่างน้อยพี่ก็มีสาวปากแดงทรงโตตามประกบอยู่คนหนึ่งละน่า จะว่าไปหน้าตาก็สวยไม่เลว ที่สำคัญท่าทางเขามั่นอกมั่นใจว่าจับพี่อยู่หมัดแน่ คงไม่ต้องห่วงว่าจะขายไม่ออก”

“พี่กับพิมก็แค่เพื่อนกัน เป็นได้แค่นั้นและคงไม่มีอะไรเปลี่ยน เลิกพูดเถอะ กินๆ เสียแล้วเดี๋ยวพี่จะไปส่งบ้าน”

พอพูดถึงเรื่องบ้าน ปาท่องโก๋ชิ้นต่อมาก็ราวกับจะติดคอทันที ทว่าเขาไม่ยอมให้เธอปฏิเสธ ยังพูดต่อไปอย่างจริงจังว่า

“หายไปทั้งคืน ป่านนี้ทางบ้านคงเป็นห่วงแย่”

“ไม่มีใครห่วงหนูหรอกค่ะ คงห่วงเรื่องของตัวเองมากกว่า”

“ก็คอยดูก็แล้วกัน หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่มีหรอกที่จะไม่ห่วงลูก ตกลงจะกลับหรือไม่กลับ หรือจะให้ไปส่งบ้านเพื่อนแทน”

สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าหลบเลี่ยงไปก็เท่านั้น อย่างไรเธอก็ต้องกลับไป อีกอย่างคิดๆ แล้วทำไมเธอต้องหนีด้วย เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย

“ตกลงค่ะ” หญิงสาวรับ ก่อนจะเอ่ยต่อท้ายเสียงอ้อมแอ้ม “แล้วก็ขอบคุณที่ให้หนูค้างที่นี่”

“ไม่เป็นไร พี่คงไม่ได้ลงมากรุงเทพฯ อีกนาน เพราะงานทางนี้เรียบร้อยหมดแล้ว หรือมาก็ไม่แน่ว่าจะได้เจอกันหรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามอย่าพาตัวเองไปขออาศัยพวกคนแปลกหน้าอีกก็แล้วกัน โดยเฉพาะไอ้เที่ยวกลางคืนดื่มเหล้าเมายานี่เลิกได้ก็เลิกเถอะ ผู้หญิงหน้าตาสวยๆ ดื่มเหล้านอกจากไม่ดีต่อสุขภาพแล้วยังแก่เร็วด้วย” ภูมิหยิบกระดาษทิชชูออกมาเช็ดมือ สังเกตเห็นว่าหญิงสาวกำลังเท้าคางมองตาแป๋ว ท่าทางเหมือนแมวที่กำลังจ้องจับนกขมิ้นไม่มีผิด จนเขาต้องหันไปข้างหลังเผื่อว่ามีคนอื่นนั่งอยู่ตรงนั้น

“พี่เนี่ยจริงๆ ใจดีเหมือนกันนะคะ มิน่ายายรชเจอครั้งเดียวก็ชมเปาะ”

ภูมิเงียบไปแล้วกระแอมไอแก้เขิน “เขาว่าคบคนอย่างดูแค่หน้า”

“ยังไงหนูก็ติดหนี้พี่อยู่ ไว้ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีก หนูจะ...” หญิงสาวเคาะนิ้วกับคางอย่างขบคิด “เอาเป็นเลี้ยงข้าวตอบแทนสักมื้อก็แล้วกัน”

“นี่พูดจริงๆ หรือแค่พูดตามมารยาท”

“เอ๊า ก็ต้องพูดจริงสิ หรือถ้าพี่ไม่รับก็ตามใจนะ หนูไม่บังคับ”

“ไม่รับก็โง่” เขาพูดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้แล้วสั่ง “เบอร์โทร. มาเมื่อไหร่จะได้ตามลูกหนี้สะดวก”

มินตรารับโทรศัพท์มือถือเครื่องบางของชายหนุ่มมา จัดเก็บเบอร์โทร. ของตัวเองลงไปโดยไม่อิดออดแล้วส่งคืน

“พอใจหรือยังคะ”

“ยัง” ภูมิตอบเสียงขรึมเมื่อรับโทรศัพท์กลับมา เห็นหญิงสาวชักสีหน้า ‘ได้คืบจะเอาศอก’ กลับ เขาก็เอ่ย “ไม่ได้ขออะไรมากมายหรอกน่า ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ก็แค่เจอกันคราวหน้าอย่าเรียกตัวเองว่าหนูได้ไหม เรียกชื่อตัวเองแทนก็ได้ เรียกหนูๆ แบบนี้รู้สึกว่าตัวเองแก่ยังไงก็ไม่รู้ ขอแค่นี้ไม่มากไปใช่ไหม”

“เจ้าค่ะ!” 

มินตราขอให้ชายหนุ่มส่งแค่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน พอเขาเห็นว่ายามหน้าหมู่บ้านเข้ามาทักทายพร้อมรายงานว่า เมื่อวานที่บ้านเธอวุ่นวายแค่ไหนที่เธอหายไปทั้งคืน ภูมิจึงค่อยวางใจบอกลาแล้วจากไป ยามหน้าหมู่บ้านอาสาจะขับมอเตอร์ไซค์ไปส่ง แต่มินตรายืนยันว่าเดินไปเองได้ ไม่เป็นไร ระหว่างที่เดินเข้าไปนั้น เป็นครั้งแรกที่มินตราหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งปิดไว้ตั้งแต่เมื่อวานมาเปิดดู มีข้อความแจ้งว่ามีคนโทร. เข้าหลายครั้ง ซึ่งก็มาจากพ่อ แม่ และรชยา รายสุดท้ายไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่จะน่าขันก็ตรงที่พ่อกับแม่ยังอุตส่าห์มีน้ำใจพอจะทุกข์ร้อนที่เธอหายไปด้วย

พอมาถึงหน้าบ้านหญิงสาวสูดลมหายใจลึก อาจเพราะเธอมีเวลานอนทำใจมาทั้งคืนกระมัง พอถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาจริงๆ ถึงได้ไม่รู้สึกอะไรนัก ถ้าเธอผ่านเมื่อวานมาได้ก็ไม่มีอะไรในวันนี้ที่ต้องกลัวอีกแล้ว ทันทีที่เปิดประตูรั้วเข้าไป ได้ยินเสียงโต้เถียงของพ่อกับแม่ดังลั่นบ้าน มินตราจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่

“ฉันจะออกไปตามหาลูก คุณอยากอยู่ที่นี่ก็อยู่ไปเถอะ”

“จะไปตามหาที่ไหน บ้านเพื่อนทุกคนก็ตามหมดแล้ว ขนาดหนูรชยังไม่รู้ว่ายายมิ้นอยู่ที่ไหน ตอนนี้เรารอให้ตำรวจเขาติดต่อมาเถอะ ลูกเอาตัวรอดเก่ง ยังไงก็คงไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไร!” เสียงของอนงค์อรแหลมปรี๊ดด้วยความเดือดดาล “คุณพูดออกมาได้ยังไงคุณรุจ คุณรู้ไหม ลูกรักคุณนับถือคุณแค่ไหน แล้วที่ยายมิ้นหายไปก็เพราะคุณนั่นแหละ เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้ถ้าไม่เพราะคุณมัวแต่มั่วอยู่กับแม่นั่น”

“เลิกเอาเรื่องโฉมมาอ้างทีเถอะคุณอร โฉมก็อยู่ของเขาดีๆ ผมไม่เห็นว่าจะไปยุ่งกับใคร มีแต่คุณกับยายมิ้นนั่นแหละที่เกะกะระรานเขา แล้วอย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าไอ้ศรันย์มันมองคุณยังไง ส่วนคุณเองก็ระรี้ระริกเปิดทางให้ มันถึงได้หน้าด้านหน้าทนเกาะแกะเมียคนอื่นไม่เลิกรา”

“มันไม่เกี่ยวว่าเขาจะมองฉันยังไง เพราะฉันกับเขาไม่เคยมีอะไรต่อกัน ผิดกับใครบางคนต้องคอยลักกินขโมยกิน อ้อ ฉันคงไม่ต้องถามหรอกกระมังว่าทำไมคนอย่างคุณไม่เคยยืดอกยอมรับให้สมกับเป็นลูกผู้ชาย คงเพราะความเป็นลูกผู้ชายในตัวคุณมันคงตายดับไปนานแล้วกระมัง”

“คุณอร!”

“เอะอะอะไรกันคะ เสียงดังออกไปถึงข้างนอก”

การปรากฏตัวของมินตรายุติการโต้แย้งอย่างรวดเร็ว หลังจากหายตกใจอนงค์อรแทบจะพุ่งเข้าไปคว้าตัวมินตราเข้ามากอด 

“มิ้น ที่ลูกหายไปไหนมาทั้งคืน รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงแค่ไหน โทรศัพท์ก็ปิด แม่เป็นห่วงจนต้องไปแจ้งความรู้หรือเปล่า อย่าทำแบบนี้อีกนะ มีอะไรก็คุยกับแม่ แต่อย่าทำแบบนี้” อนงค์อรยังเนื้อตัวสั่นเทา ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ความคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นกับลูกสาวแทบทำให้เธอขาดใจตาย และถึงแม้จะเห็นว่าลูกสาวกลับมาในสภาพปลอดภัย ใจเธอก็ยังไม่หายวิตก จนไม่ทันสังเกตว่าปฏิกิริยาของมินตราที่มีต่อพ่อแม่นั้นแปลกไปเล็กน้อย

“แล้วนี่หายไปไหนมา พ่อติดต่อไปหาหนูรช หนูรชบอกว่ามิ้นไม่ได้ไปหา” อดิรุจสำรวจเครื่องแต่งกายของลูกสาวที่ยังสวมชุดนักศึกษาอยู่ แล้วคำตอบที่ได้รับคือการไหวไหล่นิดๆ

“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ มิ้นเซ็ง เลยออกไปดื่ม พอดื่มหนักไปหน่อยก็เลยค้างกับเพื่อน”

“เพื่อนที่ไหน” อดิรุจเสียงแข็ง “พ่อกับแม่โทร. หาเพื่อนทุกคนของมิ้น แต่ไม่มีใครรู้ว่ามิ้นอยู่ที่ไหน”

“สงสัยพ่อคงเช็กไม่ครบทุกคนกระมังคะ อีกอย่างพ่อคงยุ่งเสียจนไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มิ้นมีเพื่อนที่ไหนบ้าง” หญิงสาวบอกปัด ไม่แยแสสีหน้าละอายใจวูบหนึ่งของบิดา “มิ้นเหนื่อยแล้วค่ะ ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อน ตอนบ่ายมิ้นมีเรียน”

“เดี๋ยว” อดิรุจกับอนงค์อรแทบจะเอ่ยขึ้นพร้อมกันเมื่อลูกสาวเดินผ่านไปที่บันได แต่พอหญิงสาวหันกลับมาอย่างพร้อมที่จะรับฟัง กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไร

“มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวถามหน้าซื่อ “ถ้าไม่มีมิ้นจะขึ้นบ้างบน”

“แม่รู้เรื่องเมื่อวานแล้ว แม่รู้ว่ามิ้น...คงไม่ค่อยสบายใจ” อนงค์อรส่งสายตาไปทางสามี

“พ่อว่าเราไปนั่งคุยกันทางโน้นเถอะ พ่อยอมรับว่าเมื่อวานพ่อผิดเองที่ใช้อารมณ์ พ่ออยากอธิบาย”

“มิ้นคิดว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ” หญิงสาวยังเอ่ยเสียงเนือยๆ และความเยือกเย็นนั่นเองที่ทำให้อดิรุจและอนงค์อรเริ่มสังเกตบางสิ่งที่เปลี่ยนไปของลูกสาว ปกติแล้วหากไม่โกรธจัดจนอาละวาด มินตราก็คงด่ากราดและโทษทุกอย่างดังที่เคยทำเป็นประจำ ไม่ใช่แค่ใช้สายตาเย็นๆ มองพ่อกับแม่แบบนี้

“มิ้น ฟังแม่ก่อน”

“ไม่เป็นไรค่ะแม่ มิ้นเข้าใจ เข้าใจดีทุกอย่าง” มินตราย้ำ “อันที่จริงมันไม่ใช่กงการที่มิ้นจะเข้าไปวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของพ่อกับแม่ ก็ขนาดพ่อกับแม่ยังไม่เดือดร้อนจริงไหมคะ วางใจเถอะค่ะ จากนี้ไปมิ้นจะไม่ยุ่งอีก”

“แต่พ่อไม่คิดว่ามิ้นจะเข้าใจจริงๆ มิ้น... มินตรา พอรู้ตัวว่าพ่อผิด ไม่ใช่พ่อที่ดี แต่ว่า...”

“พ่อรู้ด้วยหรือคะว่าตัวเองผิด” หญิงสาวย้อนถาม คำถามเนิบๆ ยิ่งทำให้คนฟังทั้งสองรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเห็นลูกสาวกรีดร้องใส่ “เอ๋ ปกติคนที่เขารู้ตัวว่าทำผิด เขาจะรีบแก้ไขและไม่ทำผิดซ้ำไม่ใช่หรือคะ แต่เท่าที่มิ้นเห็น พ่อกลับทำสิ่งที่ตรงกันข้ามหมดทุกอย่าง ดังนั้นอย่าพูดว่ารู้ตัวว่าผิดเลยค่ะพ่อ มิ้นอายแทนค่ะ”

ผู้ถูกพาดพิงหน้าม้านไปไม่น้อย

“พ่อรู้ว่าพ่อมันเลว แต่พ่อรักมิ้นมากนะลูก”

“ค่ะ และมิ้นแน่ใจว่าพ่อรู้ ว่าคนที่เขารักใคร่ห่วงใยกัน เขาปฏิบัติตัวต่อกันยังไง”

มินตราเอ่ยขอตัวเป็นครั้งสุดท้าย พอเข้ามาในห้องล็อกประตูเรียบร้อย หญิงสาวก็ทุ่มตัวลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน ด้านล่างเงียบไม่มีเสียงทะเลาะดังขึ้นมา พักหนึ่งมินตราก็ได้ยินเสียงรถของพ่อแล่นออกไป มินตราหยิบโทรศัพท์มือถือมาชาร์ตแบตเตอรี่ที่ใกล้หมด ก่อนจะลากสังขารเข้าไปอาบน้ำนานกว่าปกติ พอแต่งตัวเสร็จก็มีเสียงเคาะประตู

“มิ้น แม่เข้าไปได้ไหม”

หญิงสาวถอนหายใจ เดินไปเปิดประตูให้ อนงค์อรเดินหน้าเซียวเข้ามาด้วยความกังวล มินตราจึงแสร้งทำตัวสดชื่น หยิบผ้าขนหนูมาซับผมให้แห้งพร้อมทักทาย

“มีอะไรหรือคะ”

“แม่อยากคุยกับมิ้น” แต่พอคนเป็นลูกนั่งลงที่ปลายเตียงอย่างรอคอย อนงค์อรกลับอึกอักพูดไม่ออก “พ่อเล่าให้แม่ฟังหมดแล้วเรื่องเมื่อวาน เรื่องที่...มิ้นตามไปที่อะพาร์ตเมนต์”

“ค่ะ จริงๆ แล้วกรุงเทพฯ มันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลยนะคะแม่ ขนาดว่าพ่อพาแม่นั่นหนีไปอยู่เสียไกลจากที่เดิม มิ้นก็ยังบังเอิญไปเห็นเข้าจนได้ สงสัยชาติก่อนคงทำเวรทำกรรมกันไว้ ส่วนแม่ แม่ก็คงรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วสินะคะ ว่าพ่อไม่คิดจะเลิกรากับแม่นี่”

“แม่... แม่ไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามเขาได้อีกแล้ว”

“แม้แต่ฐานะของคนเป็นเมียน่ะหรือคะ” มินตราย้อนถาม “แม่คะ แม่เคยคิดจะลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองจริงๆ จังๆ บ้างไหมคะ ที่มิ้นถามแบบนี้ ไม่ใช่ว่าอยากให้แม่ไปตบตีกับแม่โฉมฉายอะไรนั่น แต่เพราะมิ้นเข้าใจแล้วค่ะ ว่าพ่อไม่ใช่ผู้ชายที่แม่อยากต่อสู้เพื่อแย่งชิงกลับมา”

“มิ้นพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงลูก”

“ก็หมายความว่า แม่คงพบใครสักคนที่อาจจะดีกว่าพ่อ”

“มิ้น!” อนงค์อรขึ้นเสียงตกอกตกใจ “แม่ไม่รู้ว่าพ่อพูดอะไรกับมิ้นบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องของลุงศรันย์ แม่กับเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เรา... เราแค่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ แม่ไม่ใช่สาวๆ ที่จะหลงระรื่นไปกับความรัก ความเพียบพร้อม หรือแค่ถูกเอาอกเอาใจจากผู้ชายสักคนแล้ว”

“มิ้นไม่สนหรอกค่ะ พ่อกับแม่ต่างก็มีเหตุผล เหตุผลที่อยากให้มิ้นเข้าใจ ต่อให้มิ้นไม่เห็นด้วย มิ้นก็อยู่ในฐานะที่ต้องจำใจยอมรับอยู่ดี มิ้นเหนื่อยที่จะโต้แย้งอีกแล้วค่ะแม่ ดังนั้นอยากทำอะไรก็เชิญตามสบายเถอะ พ่อกับแม่เป็นผู้ใหญ่เกินกว่าที่จะให้เด็กอย่างมิ้นมาติเตือนแล้วนี่คะ”

อนงค์อรมองลูกสาวอย่างถี่ถ้วน แม้จะแสร้งทำเป็นปล่อยวาง แต่เธออ่านความชอกช้ำในแววตาของลูกสาวได้ชัดเจน มินตราได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเสียจนตีเกราะป้องกันตัวเองแน่นหนา ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็คงไม่รับฟังอีก และสิ่งนี้แหละที่ทำให้อนงค์อรกลัวจับใจ กลัวเหลือเกินว่าลูกสาวจะหลงผิดหรือทำร้ายตัวเอง

“แม่ยอมรับว่าตอนนี้ความรู้สึกของพ่อกับแม่คงไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้อีก แต่มีอย่างหนึ่งที่แม่อยากบอกให้มิ้นรู้ไว้ แม่ไม่เคยเสียใจที่แต่งงานกับพ่อของหนู และแม่ดีใจที่มีหนูเป็นลูก แม่ภูมิใจและรักหนูยิ่งกว่าชีวิตของแม่ ดังนั้นแม่ไม่อยากเห็นหนูเป็นทุกข์ หรือทำร้ายตัวเองเพียงเพราะปัจจุบันของพ่อกับแม่ หนูต้องเข้มแข็งนะมินตรา เราสามคนจะผ่านเรื่องร้ายๆ เวลานี้ไปได้แน่” 

บ่ายโมงภูมิเพิ่งได้ขึ้นจากไร่เพื่อพักกินข้าวเที่ยง ส่วนคนงานอื่นๆ กินข้าวเที่ยงเสร็จและทยอยกลับไปทำงานต่อ เขาเดินขึ้นมาบนเรือนสายตาก็สะดุดเข้ากับกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่มุมหนึ่ง  

“ขึ้นช้าอีกแล้วนะคะวันนี้” สไบทิพย์ซึ่งเข้ามารับเอ่ย “แล้วนี่ทำไมมอมมาเชียวคะ ไอ้แก่ตายแล้วเหรอ”

“ยังไม่ตายหรอก แต่นอนประท้วงอยู่กลางไร่โน่นแน่ะ ฉันกับลุงเจตน์ช่วยกันซ่อม แต่สงสัยจะไม่ไหว แล้วนี่ใครมา”

“ก็...” สไบทิพย์พยักพเยิด “รายเดิมแหละค่ะ รอนายภูมิอยู่ข้างใน”

ชายวัยกลางคมร่างผอมผิวคล้ำที่นอนเอนตัวสบายอยู่นอกชานคือสุรเดช น้องชายคนหนึ่งของพ่อนั่นเอง พอได้ยินฝีเท้าทางนั้นก็หันมายิ้มให้

“อ้าว ไงภูมิ”

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มทักทายเรียบๆ ไม่ได้ยกมือไหว้แต่ก็ไม่ถึงกับเย็นชาไม่ต้อนรับ ต่อให้เขาจะไม่ได้แสดงความเคารพผู้เป็นอาอย่างเหมาะสม สุรเดชก็คงไม่ถือสา จะให้ถือสาได้อย่างไร เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ผู้เป็นอาโผล่หน้ามาที่นี่ ก็เพื่อหวังจะพึ่งพิงเขาอยู่แล้ว “ไปยังไงมายังไงครับ”

“ก็เพิ่งมาจากกรุงเทพฯ นี่แหละ อาเหนื่อยๆ กรุงเทพฯ มันวุ่นวายก็เลยอยากมาพักเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ภูมิจะติดขัดอะไรหรือเปล่าถ้าอาจะมาอาศัยสักพัก ว่าแต่ที่นี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ น่าอยู่กว่าสมัยก่อนอีก อายังจำได้ ถนนเส้นที่วิ่งเข้ามาครั้งก่อนยังเป็นดินลูกรังอยู่เลย ตอนนี้เทคอนกรีตเสียเรียบร้อย”

พอภูมินั่งลง สไบทิพย์ก็เข้ามาเสิร์ฟน้ำให้ ทำท่าเหมือนอยากอยู่ต่อ แต่ภูมิส่งสายตาเป็นเชิงบังคับให้กลับออกไป

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ แต่ผมคงต้องถามอาก่อนว่าจะอยู่นานแค่ไหน เพราะอาทิตย์หน้าจะมีคนงานเข้ามาช่วยที่ไร่ อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่”  

“เอ่อ อาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะอยู่นานแค่ไหน คือว่า...”

“มีอะไรก็พูดตรงๆ เถอะครับ ถ้าผมช่วยได้ผมก็จะช่วย” มาแบบนี้ภูมิพนันในใจไว้เลยว่าคงไม่พ้นเรื่องเงินอีกเป็นแน่

“ตอนนี้อาออกจากห้องเช่าเดิมไปพักอยู่กับอาน้อย” สุรเดชเอ่ยถึงพี่สาวที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่เช่นกัน “อาอยากได้ทุนออกรถแท็กซี่สักคันไว้ขับหาเงิน แต่อาน้อยเองก็ลำบากเพราะต้องส่งหลานเข้าโรงเรียนนายร้อย อาเลยหยิบยืมไม่ถนัด ก็เลย... ว่าจะถือโอกาสมาปรึกษาภูมิ อาไม่ยืมเปล่าหรอกนะ ช่วงแรกๆ อาจจะได้ช้าไปบ้าง แต่อาคืนแน่ๆ ภูมิก็รู้ อาทำอะไรก็โชคดี ขับสักเดือนสองเดือนเดี๋ยวก็มีเงินทยอยคืนให้แล้ว”

“อู่ให้เช่าก็มีเยอะแยะไม่ใช่หรือครับ ค่าเช่าต่อวันผมว่าอาก็น่าจะจ่ายไหว ไม่เห็นต้องถ่อมาหาผมถึงที่นี่เลย ถ้าขับแบบไม่เลือกผู้โดยสารผมว่าวันหนึ่งก็น่าจะคุ้มอยู่”

“เอ่อ อาหมายถึงว่าอาอยากออกรถเป็นของตัวเองเลย” ทางนั้นบอกเสียงอุบอิบ ยิ่งพอชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น เจ้าตัวก็รีบเสริม “โธ่ ไอ้เช่าแบบนั้นมันทำงานไม่คล่องตัว แป๊บๆ ก็ต้องส่งรถ อีกอย่างอาไม่ได้หวังจะเอารถมือหนึ่ง เอาแค่มือสองก็ได้ รุ่นดีๆ หน่อย คงใช้งานได้นาน”

“รถนะครับอา ต่อให้เป็นมือสองก็ไม่ใช่บาทสองบาท ตอนนี้ไอ้แก่ก็นอนแหง็กอยู่กลางไร่โน่น จะส่งซ่อมก็คงต้องยกเครื่องใหม่ แล้วอะไหล่รุ่นเก่าขนาดนี้จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมคงยังรับปากอาไม่ได้”

“โธ่ ภูมิเห็นใจอาหน่อยน่า เอ่อ เอางี้ไหม ไหนๆ ซ่อมไอ้แก่ไปก็เสียเงินเสียทองเปล่า อาว่าขายทิ้งไปดีกว่า น่าจะพอมาเป็นทุนต่อให้ค่ารถอาได้บ้าง”

พอเห็นสีหน้าเป็นจริงเป็นจังของสุรเดช ภูมิก็อดขันไม่ได้

“งั้นผมเอามาเป็นทุนซื้อรถไถใหม่ก็น่าจะดีเหมือนกันนะครับ”

“ภูมิ... นี่ภูมิไม่ไว้ใจอา คิดว่าอาจะโกงหรือไง อารู้น่าเงินแค่นี้ไม่ได้มากมายอะไรเลย อาน้อยยังบอก สวนผลไม้เราปีนี้ผลผลิตดีรายได้คงใช่ย่อย แถมยังมีพวกนักท่องเที่ยวเริ่มแวะเข้ามาเที่ยว ไหนจะฟาร์มอีก รายได้เดือนหนึ่งก็หลักแสน”

“อาคงลืมว่าผมยังมีหนี้กับแบงก์ก้อนโต ไม่ว่าจะสวน ไร่ หรือฟาร์ม ไม่ใช่จู่ๆ ก็งอกขึ้น หรือทิ้งๆ ไปมันก็แตกหน่อให้ผลผลิตเอง อาก็เคยทำงานไร่ช่วยปู่มาก่อน น่าจะรู้นี่ครับชาวไร่ชาวสวนอย่างเราๆ ก็มีค่าใช้จ่ายมากเหมือนกัน” ชายหนุ่มแสร้งชักสีหน้าลำบากใจ “ถ้าช่วยค่าเช่ารถสักเดือนผมคงพอช่วยได้ แต่ซื้อทั้งคันเลยผมไม่ไหวจริงๆ ครับอา เอ... เอาอย่างนี้ดีไหมครับ เดี๋ยวผมโทร. ปรึกษาอาๆ คนอื่นๆ ดูว่าพอจะช่วยออกให้ได้มากน้อยแค่ไหน รวมๆ แล้วอาจจะพอก็ได้”

เท่านั้นคงฟังก็หน้าเจื่อนทันที ใช่ว่าภูมิจะไม่อยากช่วย แต่ที่ผ่านมาเขาได้รับบทเรียนมามากแล้วว่าความช่วยเหลือสำหรับคนอย่างสุรเดชมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายไม่พยายามไขว่คว้าอะไรด้วยตัวเอง สมัยก่อนสุรเดชเป็นน้องรัก พี่ๆ ทั้งหมดต่างก็ตามใจ แถมเจ้าตัวก็ช่างประจบเอาใจคนโน้นคนนี้ เพราะรู้ว่าทำไปแล้วนอกจากจะได้ความรักความสนใจ อยากได้อะไรก็ขอได้

สุรเดชชอบเป็นจุดเด่น ได้รับความสำคัญและความเคารพชื่นชม ยิ่งย่าของเขาและบรรดาอาผู้หญิงยิ่งทั้งรักทั้งหลงกว่าอะไร แต่พอเริ่มแตกเนื้อหนุ่มก็ออกลาย มีปัญหาให้ปู่ย่าปวดหัวไม่ขาด เริ่มเที่ยวเตร่ งานการไม่สนใจ ไหนจะปัญหาผู้หญิงอีก บางรายขนาดผู้หญิงอุ้มลูกอ่อน ยกโขยงญาติพี่น้องมาฟ้องร้องก็มี โดยเฉพาะเรื่องเหล้านี่ยิ่งหนัก เหล้าเข้าปากทีไรปากก็พาลหาเรื่องคนเขาไปทั่ว จากที่เป็นน้องรักน้องสวาท พี่ๆ ก็เริ่มเอือมระอาไม่สนใจ 

อย่างเดียวที่ภูมิคิดว่าตัวเองโชคดีคือ อย่างน้อยปู่ก็จัดการเรื่องมรดกทุกอย่างชัดเจน คนที่สืบทอดงานในไร่ต่อจึงจะมีสิทธิ์ดูแลเกี่ยวกับที่ดินรวมทั้งทรัพย์สินส่วนใหญ่ ตอนแรกอาๆ ของเขาก็พยายามแสดงตนเป็น ‘ผู้สืบทอด’ กันหรอก แต่สุดท้ายก็ทนความรับผิดชอบในไร่ไม่ไหว ถอนตัวกันเป็นแถว หนักๆ เข้าก็กดดันให้ปู่ขายที่ดินแล้วไปใช้ชีวิตสบายๆ ในเมือง

สุรเดชเองก็ได้รับมรดกเป็นที่ดินหลายสิบไร่เพื่อเป็นทุนทำมาหากิน แต่นิสัยรักสนุก ใช้เงินมือเติบ มีที่ดินเท่าไหร่สุดท้ายก็ขายหมด จะดีหน่อยก็คงที่คนซื้อคือพ่อของเขา ไม่ใช่แค่สุรเดชเท่านั้น อาคนไหนได้ที่ดินไป พ่อของเขาก็จะหาทางซื้อกลับมา จนที่ดินเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของปู่ตอนนี้เป็นของพ่อเขาอย่างชอบธรรม

แต่จนถึงตอนนี้อาบางคนก็ยังหลอกตัวเอง คิดว่าไร่ที่นี่เป็นของพ่อตัวมาก่อน ตัวเองก็ควรจะมีสิทธิ์ ไม่ยอมรับว่ามรดกในส่วนของตัวเองถูกขายกินไปหมดแล้ว

“จะทำแบบนั้นได้ยังไง นี่ถ้ารู้ว่าอามากวนภูมิ เดี๋ยวก็มาด่าอาอีก”

ก็ด่าเพราะเสียหน้านั่นแหละ ไม่ได้ด่าเพราะเป็นห่วงเขาหรอก ภูมิคิด ก่อนหน้านั้นใครๆ ก็คิดว่าเขาคงไปไม่รอด ไม่มีพ่อแม่ เขามันก็แค่เด็กอมมือ จนไอ้เด็กอมมือคนนี้ยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง คนที่เคยแว้งกัดเขาเมื่อก่อนถึงได้หงายหลังกันไปเป็นแถบ เดี๋ยวนี้ต่อหน้าเขาก็ทำเป็นพูดดีทำดี ชื่นชมไปอย่างนั้น แต่ลับหลังเขาก็ยังเป็นไอ้เด็กอวดดีที่ฮุบสมบัติไปเสวยสุขคนเดียว

“พี่ภูมิ”

พอได้ยินเสียงตะโกนเรียก ภูมิก็ชักปวดหัว เช่นเดียวกับสีหน้าของสุรเดชซึ่งเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีที่เห็นน้องชายของเขาโผล่เข้ามา ตะวันคงพอจะรู้ถึงการมาของผู้เป็นอาอยู่แล้ว และเมื่อไหร่ที่ทั้งคู่เจอหน้ากัน แน่ใจได้เลยว่าต้องได้ยินอะไรไม่รื่นหูตามมาแน่

“อ้าว แหม นึกว่าใคร สวัสดีครับอาเดช” ตะวันทักทาย ยิ้มมุมปาก แต่สายตาที่มองไม่ได้แสดงถึงความยินดีแม้แต่น้อย “ไม่รู้ว่าวันนี้อามาเยี่ยมด้วย”

“อาแวะมาพักผ่อน มีธุระกับภูมิมันด้วย” ทางนั้นเองก็เชิดหน้ารับ ไม่ได้ยินดีที่เห็นหลายชายคนเล็กพอกัน

“ธุระอะไรหรือครับ คงไม่ใช่ว่ามาขอเงินพี่ภูมิไปใช้หนี้ที่ถูกฟ้องนะ” ยิ่งเห็นพี่ชายแสดงปฏิกิริยาสนใจ ขณะที่สุรเดชหน้าซีดไหล่หด ตะวันก็ยิ่งสนุก “พี่ภูมิคงยังไม่รู้ละสิ ก็ไอ้งานก๊อกแก๊กๆ ที่อาทำอยู่อยู่ที่กรุงเทพฯ มันมีปัญหา ไปรับเหมาต่อเติมร้านให้ลูกค้า รับเงินเขามาแล้วแต่เอาไปใช้อะไรหมดไม่รู้ งานไม่เสร็จสักที จนเจ้าของงานที่อาน้อยแนะนำต้องไปจิกกับอาน้อยแทน นี่คงเอาเงินไปเที่ยว ไปกินเหล้าจนหมดอีกตามเคย แต่คราวนี้เจ้าของเขาเอาจริง กำลังฟ้องร้องกันอยู่ด้วย”

“จริงหรือครับอา”

ใบหน้าที่ซูบอยู่แล้วของคนเป็นอายิ่งดูหมองลงไปอีก

“เอ่อ ก็ใช่”

“งั้นเรื่องรถอาก็โกหกผม”

“ไม่ๆ อาไม่ได้โกหก อาตั้งใจจะออกรถจริงๆ กะ...ก็จะได้หาเงินมาใช้หนี้เขา” ผู้ต้องหารีบแก้ตัววุ่นวาย

“แหม คงใช้หมดนะครับ ได้ยินว่าตั้งสองแสนเลยนี่ อาน้อยเขาโทร. มาเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว อุตส่าห์ช่วยหางานให้แต่ดันทำแกเสียหน้า คงรู้กระมัง พอหมดตัวอาก็คงวิ่งโร่ขอยืมเงินคนเขาไปทั่ว แล้วน้ำหน้าอย่างอายืมไปทีไรไม่เคยใช้คืนได้ครบสักครั้ง แถมมีแนวโน้มถูกเบี้ยวเสียมากกว่า สุดท้ายก็ต้องมาพึ่งพี่ภูมินี่แหละ”

“ตะวัน ถ้าแกไม่รู้อะไรก็อย่ามากล่าวหาอาลอยๆ อาต้องเอาเงินไปจ่ายพวกคนงานให้มาช่วย ไหนจะค่าอุปกรณ์ ใครจะรู้ จ่ายเงินไปแล้วพวกมันดันไม่ยอมมา หนีไปรับงานอื่น อาก็เลยซวย”

“โอ๊ย แถเสียจนสีข้างถลอกไม่เจ็บบ้างหรือครับอา” ชายหนุ่มหัวเราะหยัน “พี่ภูมิ ผมขอเตือนด้วยความหวังดีนะ พี่เอาเงินไปซื้อวัวซื้อควายมาเลี้ยง มันยังให้เนื้อให้หนัง หรืออย่างน้อยขี้ก็ยังเอาไปทำปุ๋ยได้ แต่กับคนบางคนเลี้ยงไปก็เสียข้าวสุกเปล่า นอกจากจะไม่สร้างประโยชน์อะไรแล้ว ยังมีแต่ล้างผลาญคนอื่นเขาด้วย”

“เอ๊ะ ตะวัน!” สุรเดชผุดลุกขึ้นด้วยความโกรธ ใบหน้าแดงก่ำ มือกำหมัดแน่น ทำให้ภูมิต้องรีบห้ามก่อนเรื่องจะบานปลาย

“เอาละ ผมว่าอามาเหนื่อยๆ ไปพักเถอะ ผมจะให้เด็กยกกระเป๋าไปที่เรือนพัก”

“เรือนพัก? เรือนพักอะไร อานอนที่นี่ก็ได้ ห้องก็มีเยอะแยะ ห้องริมสระนั่นเมื่อก่อนเคยเป็นห้องอา อาก็นอนเป็นประจำ”

“สงสัยจะไม่ได้ละครับอา เดี๋ยวอาก็ไปชวนไอ้พวกเพื่อนเส็งเคร็งหรือพวกคนงานขึ้นมาตั้งวงเหล้า ส่งเสียงน่ารำคาญอีก ครั้งก่อนข้าวของก็หายไปหลายชิ้น แปลกดี ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ไม่เคยได้ยินเรื่องลักเล็กขโมยน้อย แต่พออาเข้ามาเท่านั้นแหละ ของหายกันเป็นว่าเล่น ไม่รู้ไอ้มือดีที่ไหนมันหยิบไป แล้วห้องที่อาเคยอยู่มันก็ตั้งแต่สมัยที่บ้านหลังนี้ยังเป็นบ้านไม้ผุๆ จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ตอนนั้นอาเคยคิดจะกลับมาดูแลไหม เห็นพอขายไร่เสร็จก็หอบเงินเข้าไปเสวยสุขในเมือง พอปู่ยกทุกอย่างทางนี้ให้พ่อผมรับช่วงต่อ อาก็ประกาศเองว่าจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก แหม นอกจากจะชอบแถแล้ว ยังชอบกลืนน้ำลายตัวเองด้วยแฮะ”

“ตะวัน!” ภูมิเค้นเสียงใส่น้องชายให้หุบปาก ชายหนุ่มแบะปากให้ก่อนเดินทอดน่องจากไป ทิ้งให้สุรเดชยืนตัวสั่นหน้าคล้ำ ถลึงตามองตามราวกับอยากกินเลือดกินเนื้อ “ผมต้องขอโทษแทนตะวันด้วย อาอย่าไปถือสาเลย”

“อาจะพูดอะไรได้เล่า” สุรเดชขึ้นเสียงเคียดแค้น แต่เพราะสำเหนียกว่ายังต้องพึ่งพาพวกมันอยู่ ให้โกรธแค้นจนแทบอยากฉีกมันเป็นชิ้นๆ ก็ต้องทน “อาไปอยู่ที่เรือนนอกก็ได้ ไม่อยากทำให้ภูมิไม่สบายใจ”

สุรเดชยอมล่าถอยลงจากเรือน แอบเห็นว่าไอ้หลานตัวแสบมันยืนเท้าคางยิ้มส่งอย่างน่าหมั่นไส้ที่ระเบียง

หน็อย ไอ้เนรคุณ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ขอให้แม่งไม่ตายดีเหมือนพ่อแม่มัน สุรเดชก่นด่าสาปแช่งอยู่ในใจ ไม่ใช่แค่ไอ้คนน้องหรอก ไอ้คนพี่ก็ด้วย น้องๆ ของมันทุกคนก็พอกัน ไร่ที่พ่อของเขาเป็นคนบุกเบิกมา และถูกพี่ชายคนโตหลอกล่อเอาไป ทำให้พวกเวรนี่มันชูคออยู่กินสบาย ขณะที่เขาต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างที่นี่เป็นของเขาแท้ๆ น่าแค้นใจนัก คอยดูเถอะ สักวันเขาจะทำให้พวกมันต้องเสียใจที่บังอาจมาดูถูกคนอย่างไอ้สุรเดช!

หลังจากหมดเรื่องกับอาและน้องชาย ภูมิก็รู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าทำงานมาทั้งวันเสียอีก ความอยากอาหารก็พลอยหมดไปด้วย คิดว่าจะเข้าไปล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปที่ฟาร์มต่อเลย ปากกำลังจะร้องบอกสไบทิพย์ว่าไม่ต้องตั้งสำหรับเผื่อเขา ก็พอดีกับที่โทรศัพท์มือถือดังขึ้น ภูมิหยิบออกมา คิดว่าคงเป็นคนจากที่ไร่ หรือไม่ก็พ่อค้าที่จะมารับไข่หรือผลไม้ช่วงฤดูนี้ ทว่าชื่อที่ปรากฏเด่นหรากลับทำให้เขาต้องประหลาดใจ

ชายหนุ่มกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ แว่วมา หัวใจที่แห้งผากของเขาก็พลันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น