“เดี๋ยวก่อนคุณ ที่นี่ห้ามคนนอกเข้านะครับ!”
มินตราไม่สนใจเสียงร้องห้าม เพราะหลังจากเค้นคอจนยามหลุดปากบอกหมายเลขห้องออกมา หญิงสาวก็แทบจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นระเบิดเวลา ตรงดิ่งไปยังลิฟต์โดยไม่สนใจว่าใครจะเข้ามาขวาง
“หยุดนะคุณ ถ้ารู้จักคนข้างในก็รอติดต่อเจ้าของห้องก่อน ไม่งั้นเข้าไปไม่ได้นะครับ”
“หนวกหู ถ้ามาขวางฉันอีกเจ็บตัวแน่!”
“เกิดอะไรขึ้น หนูนี่เป็นใครน่ะ”
“ขอโทษทีครับคุณมล ผมห้ามแล้วไม่ฟังเลย เดี๋ยวผมจะพาออกไปเดี๋ยวนี้”
“อย่ามาแตะฉันนะ” หญิงสาวแหวจนยามที่ยื่นมือเข้ามารีบหดกลับแทบไม่ทัน สตรีที่เข้ามาใหม่เป็นสตรีวัยกลางคนแต่งตัวดูดี ฝ่ายนั้นพิจารณาเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนถามเสียงเยือกเย็น
“พี่ว่าหนูใจเย็นๆ ก่อนดีว่านะ มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จา”
“ฉันรู้จักคุณอดิรุจห้องเก้าศูนย์สองสี่ เขาเป็นพ่อฉัน ทีนี้ฉันเข้าไปได้หรือยัง หรือต้องรอให้เอาทะเบียนบ้านมายืนยัน หรือตรวจดีเอ็นเอก่อน”
“งั้นพี่จะโทร. ขึ้นไปแจ้งก่อนว่ามีญาติมาขอพบ”
“ไม่ ไม่ต้องโทร. แจ้ง ฉันจะขึ้นไปดูว่าหญิงร้ายชายเลวนั่นจะทำหน้ายังไงตอนถูกจับได้คาหนังคาเขา ถอยไป ถ้าไม่ถอยฉันจะเอาไปโฆษณาให้หมดเลยว่าไอ้อะพาร์ตเมนต์เฮงซวยนี่ มันเป็นแหล่งซ่องสุมพวกเมียน้อยเมียเก็บ”
“ที่นี่เรามีมาตรฐาน...”
“ฉันไม่สน หลีกไป!”
“เอาละค่ะ เอาละ” สตรีผู้นั้นโบกมือให้ยาม “งั้นก็ขึ้นไปพร้อมกัน”
หัวใจมินตรารุ่มร้อนจนแทบลุกเป็นไฟระหว่างอยู่ในลิฟต์ ใจหนึ่งเธอภาวนาขอให้เป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ดูท่าโชคจะไม่เข้าข้างเธอเอาเสียเลย เมื่อสตรีที่มาด้วยกันเคาะประตูห้องเก้าศูนย์สองสี่ ทั้งคู่ต้องรออยู่หลายนาทีกว่าจะมีเสียงตอบรับ ทันทีที่ประตูเปิดแง้ม คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคืออดิรุจ ยากจะเป็นคนอื่นได้
“มีอะไรหรือครับ...” ปลายเสียงเงียบไปทันทีที่มองผ่านไปเห็นมินตราเต็มตา เท่านั้นใบหน้าของอดิรุจก็ซีดเผือดราวกับซากศพ ละล่ำละลักถาม “มิ้น ทำไมมาอยู่ที่นี่”
“มิ้นต่างหากที่ควรถามว่าพ่อมาทำอะไรอยู่ที่นี่!” เพราะยังมีโซ่คล้องไว้อีกชั้น ทำให้มินตราต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กรีดร้องแล้วกระชากโซ่จนขาด ยิ่งเห็นอดิรุจก็รีบจัดแจงเสื้อผ้าที่คล้ายกับถูกทึ้งออกไปครึ่งทางให้เรียบร้อย นั่นว่าเลวร้ายแล้ว แต่เสียงเรียกที่ดังแว่วๆ มา ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิม
“ใครมาหรือคะคุณรุจ”
แวบหนึ่งมินตราเห็นโฉมฉายที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายแวบออกมาจากห้องนอน เท่านั้นความโกรธก็ทำให้มินตราหูอื้อตาลาย อยากเข้าไปตบสั่งสอนนังนั่น อยากเห็นนักว่าเลือดมันจะสีอะไร
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ มิ้นบอกให้เปิดประตูไง!”
“มิ้นใจเย็นๆ ฟังพ่อก่อนลูก หนูกำลังเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดเหรอ ทุเรศที่สุด จับได้คาหนังคาเขายังจะมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ พ่อเห็นมิ้นโง่เป็นควายหรือไง หลอกทั้งมิ้น หลอกทั้งแม่ พ่อทำแบบนี้ได้ยังไง ไหนบอกว่าเลิกกับมันแล้ว แต่นี่อะไร! เปิดประตูนะ มิ้นจะฆ่ามัน!”
“มิ้น! เอาไว้คุยกันทีหลัง พ่อขอเถอะ” อดิรุจพยายามดันประตูไว้เมื่อลูกสาวที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงพยายามจะผ่านเข้ามาให้ได้
“ออกมานะนังหน้าด้าน! คราวก่อนแค่มือตบคงเบาไปใช่ไหม” มินตราเห็นโฉมฉายยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง แววตาดูสาสมใจที่ทำให้เธอดิ้นเร่าได้ “พ่อเปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ คิดว่าซุกอยู่ในนั้นแล้วจะรอดเหรอ มิ้นบอกพ่อแล้วใช่ไหม มิ้นจะให้โอกาสพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่มีครั้งต่อไปอีก ไม่มี!”
“โธ่เอ๊ย มินตรา ถ้าหนูอยากร้องแรกแหกกระเชออยู่ตรงนี้ก็ตามใจ พ่อไม่สนแล้ว บอกแล้วไงว่ากลับบ้านค่อยคุยกัน”
“ไม่ พ่อนั่นแหละออกมาคุยกับมิ้นให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นมิ้นจะฟ้องแม่คอยดู”
“ตามใจ อยากจะทำอะไรก็ตามใจเถอะ แต่ป่านนี้แม่เราคงระรื่นอยู่กับไอ้ทนายศรันย์โน่นแหละ”
มินตราหอบหายใจ ไม่เข้าใจว่าพ่อพูดอะไร และความโกรธทำให้คิดว่าพ่อคงโยนความผิดให้แม่อีกตามเคย
“พ่อไม่ต้องมาใส่ความแม่นะ แม่ไม่เหมือนพ่อ”
“ใช่สิ วิเศษวิโสนักนี่ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ พ่อไม่คุยด้วยแล้ว นี่คุณ ถ้าลูกผมยังก่อปัญหาอีก ก็ให้ยามลากออกไปได้เลย ผมไม่มีอารมณ์จะคุย!” พูดจบประตูก็ปิดดังปังตัดขาดทุกอย่าง
ไม่กี่นาทีต่อมามินตราก็ถูกยามหิ้วออกมาจริงๆ และเมื่อหญิงสาวยังอาละวาดชนิดแรงไม่ตก ทางเจ้าของก็ขู่ว่าจะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุก ทำให้แม้จะโกรธแค้นจนแทบกระอักเลือดมินตราก็จำต้องล่าถอย หญิงสาวรีบโบกแท็กซี่แม้จะใช้เวลาไม่น้อย แต่ในที่สุดก็มีแท็กซี่รับเธอไปส่งที่หมู่บ้าน ระหว่างอยู่ในรถมินตราโทร. เข้าเบอร์บ้านแต่ไม่มีใครรับสาย จึงโทร. เข้าโทรศัพท์มือถือของมารดา รอครู่หนึ่งน้ำเสียงคุ้นเคยจึงตอบรับ
“มิ้นหรือลูก ทำงานเสร็จแล้วหรือ ทำไมเร็วนัก”
ตอนแรกมินตราเตรียมอ้าปากฟ้องเรื่องอดิรุจเพราะความคับแค้น แต่พอฉุกคิดได้หญิงสาวก็กล้ำกลืนถ้อยคำต่างๆ ลงไป แล้วถามด้วยสุ้มเสียงปกติ
“ยังคะแม่ คงอีกนาน แม่อยู่บ้านคนเดียวได้แน่นะคะ มิ้นเป็นห่วง นี่พ่อกลับหรือยังคะ”
“ยังเลยจ้ะ” ปลายสายน้ำเสียงผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยชวนหัวว่า “อะไรกัน ทำอย่างกับแม่ไม่เคยอยู่บ้านคนเดียว ไม่ต้องห่วงหรอก”
มินตรายกนิ้วขึ้นจดริมฝีปากเมื่อคนขับแท็กซี่ทำท่าจะพูดอะไร พอมาถึงหน้าหมู่บ้านเธอจึงแค่ชี้นิ้วบอกทาง รถแล่นต่อไปอย่างนิ่มนวล
“แล้วแม่ทำอะไรอยู่หรือคะ”
ปลายสายเงียบไปเล็กน้อยก่อนตอบ “ก็อ่านหนังสือ...บอกแล้วไงจ๊ะวันนี้แม่ตั้งใจพักผ่อนอยู่กับบ้านสักวัน”
“อ๋อ” หญิงสาวรับลอยๆ เมื่อส่งสัญญาณให้รถจอดหน้าบ้าน “งั้นแค่นี้นะคะแม่ มิ้นไม่กวนแล้ว”
พอวางสายไป ทั้งร่างกายและหัวใจของมินตราก็ชาจนแทบไม่รับรู้สิ่งใด สายตามองตรงเข้าไปในบ้านที่ปิดไฟเงียบกริบ โรงจอดรถไม่ปรากฏรถของทั้งพ่อและแม่ ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน เช่นเดียวกับความจริงที่ไม่เคยมีเลยในบ้านหลังนี้ตั้งแต่แรก
“หนู ตกลงจะลงตรงนี้หรือเปล่า” คนขับแท็กซี่ถาม
“ไม่ค่ะ ที่นี่ไม่ใช่บ้านหนู” หญิงสาวตอบพร้อมน้ำตาหยดแรกที่ไหลออกมา
ภูมิอยู่กรุงเทพฯ เป็นคืนสุดท้าย และก่อนจะเดินทางกลับไร่พรุ่งนี้ ชายหนุ่มเลยออกมาตระเวนราตรีเป็นการสั่งลากับพวกเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนที่คบหากันมานานและที่ทำธุรกิจร่วมกันจนสนิทสนม อีกอย่างเพื่อเป็นการชดเชยที่ต้องถูกพิมประกายเกาะหนึบ ชนิดที่เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงของเขาเป็นของเจ้าหล่อนเกินสิบสองชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ถึงจะถูกทำเหมือนหมาที่เจ้าของพยายามลูบหน้าลูบหลังเพื่อสวมปลอกคอแสดงความเป็นเจ้าของ ก็ไม่ทำให้ภูมิรำคาญเท่ากับที่พิมประกายยังแสร้งทำเป็นไม่ยอมรับว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จบไปนานแล้ว
‘แค่ความผิดพลาดครั้งเดียว ภูมิถึงกับตัดเยื่อใยพิมได้ลงคอเชียวหรือคะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนคุณเคยบอกว่าพิมมีความหมายกับคุณอย่างที่ใครก็มาแทนไม่ได้ แล้วทำไมตอนนี้คุณไม่เหมือนเดิม แค่ความผิด...ที่พิมเลือกไม่ได้เท่านั้นหรือคะ’
‘พิม พิม’ ภูมิลากเสียง ซึ่งบอกว่าอารมณ์ของเขาในขณะนั้นเบื่อหน่ายเต็มทน ‘คุณกับผมไม่ใช่เด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดอีกแล้วนะ ใช่ เมื่อก่อนผมรักคุณ แต่นั่นมันก่อนที่คุณจะขอเลิกรากับผม ก่อนที่คุณจะแต่งงานกับเจ้าซัว และกลายเป็นพิมประกายอย่างทุกวันนี้ ผมเองก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่คุณเคยรักแล้วเช่นกัน เราโตแล้ว มีชีวิตของตัวเอง แล้วจะไปพูดถึงอดีตพวกนั้นทำไม’
‘ไม่จริง คุณยังรักพิมเหมือนที่พิมก็รักคุณ แต่พิมเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ก็ย่อมคาดหวัง พิมเสียใจที่ขัดท่านไม่ได้ถึงต้องตกปากรับคำแต่งงาน แต่ไม่เคย ไม่เคยสักครั้งที่จะลืมคุณ ให้โอกาสพิมอีกสักครั้งเถอะนะคะภูมิ แล้วพิมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณเสียใจแน่นอน’
เขาลืมเธอไปแล้ว หรือต่อให้ไม่ลืม เขาก็ไม่คิดจะใช้ของร่วมกันใคร
แต่พอถูกรบเร้ามากๆ เข้า ภูมิก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าการตัดสินใจมาเป็นหุ้นส่วนกับพิมประกายเป็นความคิดที่ดีหรือไม่
ระหว่างที่นั่งพูดคุยสรวลเสเฮฮานั้น ภูมิก็หันไปตามเสียงเอะอะหน้าร้าน สะดุดตาเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งเข้าทันที ตอนแรกเขาไม่ทันสังเกตเห็นเพราะคนของผับซึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูขวางเจ้าหล่อนไว้ กระทั่งฝ่ายนั่นส่งเสียงเอะอะโวยวายและดึงสายตาคนอื่นๆ ให้ไปรวมกัน ภูมิจำแม่เด็กตัวปัญหาได้ทันที เท่าที่ได้ยินแว่วๆ ดูเหมือนหญิงสาวจะพยายามเข้ามาในผับแต่ถูกพนักงานหน้าประตูห้ามไว้ เพราะยังสวมเครื่องแบบนักศึกษาซึ่งทางผับไม่อนุญาตให้เข้า
เด็กหนอเด็ก ทำอะไรตัวเองไม่อายก็น่าจะห่วงชื่อเสียงสถาบันบ้าง ตอนแรกเขาคิดจะอยู่เฉยๆ เพราะแน่ใจว่าอีกเดี๋ยวก็คงถูกหิ้วออกไปเอง กระทั่งเห็นว่ามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเข้าไปเจรจา ท่าทางเหมือนอยากจะช่วย ‘หิ้ว’ อีกแรง เท่านั้นเขาก็นั่งไม่ติดที่
“อ้าว จะไปไหนหรือ นี่ยังไม่สองทุ่มเลย อย่าบังอาจชิ่งนะเว้ยภูมิ” เพื่อนของเขาเอ่ย เมื่อเห็นชายหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะ
“ขอโทษที เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วน เอาไว้ครั้งหน้าฉันเป็นเจ้ามือไม่เบี้ยวแน่”
หลังปลีกตัวออกมาจากโต๊ะ เขาก็ตรงดิ่งไปหาหญิงสาวที่กำลังถูกชายอีกคนโอบไหล่เดินออกไป ภูมิตะปบมือลงบนไหล่ผู้ชายคนนั้น พอทั้งคู่หันมาเขาก็นิ่วหน้าเมื่อเห็นตาแดงๆ ของหญิงสาว...เมา ไม่มากก็น้อยละ
“คุณเป็นใคร” ชายคนนั้นถาม
“ขอโทษที เดี๋ยวผมจะพาเธอไปเอง” เขาเอ่ยอย่างสุภาพ
“อะไรคุณ จู่ๆ มาพูดแบบนี้ ผมจะพาน้องเขาไปส่งบ้านเอง คุณน่ะไม่ต้องมายุ่งหรอก”
“เห็นจะไม่ยุ่งไม่ได้ละครับ คนนี้น้องสาวผม”
ฝ่ายนั้นชะงัก มองหน้าเขากับหญิงสาวสลับกันอย่างไม่เชื่อ พอดีกับที่นัยน์ตามินตราปรือเงยขึ้นมองเขาพอดี
“นี่พี่อีกแล้วเหรอ” หญิงสาวถามเสียงอ้อแอ้
ภูมิไม่ตอบ เขายิ้มมุมปากให้ชายที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง เพียงแต่เป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา ทางนั้นทำเสียงจึ๊กจั๊กไม่พอใจ ทว่ายอมถอยแต่โดยดี ภูมิแตะมือที่เอวหญิงสาวแล้วพาเธอออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
“คิดอะไรถึงดินเข้ามาในผับทั้งสภาพนี้ ถึงผับจะไม่ห้าม แต่คิดบ้างหรือเปล่าว่ามีคนรู้จักมาเห็นเข้าเขาจะว่ายังไง”
“ก็ช่าง นี่ปล่อยนะ จะพาหนูไปไหน”
ชายหนุ่มยังกึ่งดึงกึ่งลากกระทั่งพาไปถึงรถ เขาดันตัวหญิงสาวเข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับแล้วตามขึ้นไป มองคนที่ทำตาขวางใส่
“เดี๋ยวพี่จะไปส่งบ้าน เป็นผู้หญิงออกมาเที่ยวกลางค่ำกลางคืนแถมเมาแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน เรื่องคราวที่แล้วไม่เข็ดเลยใช่ไหม หรือต้องโดนอีกรอบถึงจะจำ”
“ไม่ต้องมาทำเป็นสั่งสอนนะ พี่เป็นใคร พ่อหนูเหรอไง” เจ้าหล่อนแหวเสียงดัง ถ้าในรถมีพื้นที่มากกว่า แม่คุณคงได้ลุกขึ้นกระทืบเท้าแถมด้วย
“ถ้าเป็นพ่อจริงๆ แล้วมีลูกสาวแบบนี้ จะจับฟาดให้หลังลาย รู้หรอกว่าคนอย่างเราคงไม่แคร์ ไม่อายใครหน้าไหน แต่ทำอะไรหัดคิดถึงหน้าพ่อแม่บ้าง ทำเหมือนของราคาถูกไปได้” คำพูดของเขาคงกระทบใจหญิงสาวไม่น้อย เพราะเจ้าหล่อนจ้องเขาตาเขียว ริมฝีปากเม้มแน่น “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าเรามีปัญหาอะไรนักหนา แต่ถ้าคิดว่าทำตัวแบบนี้เพื่อประชดละก็ พี่พูดเลยว่าไม่มีใครเขาสนใจหรอก ปัญหามันก็ยังอยู่ของมันเหมือนเดิม มีแต่ตัวเราที่เจ็บ และถ้าพ่อแม่รู้ก็จะเสียใจด้วย”
“เสียใจสิดี!” คำพูดของหญิงสาวระเบิดออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “ที่พ่อแม่ทำให้ลูกเสียใจ พวกเขาไม่ผิดใช่ไหม แค่ทำให้เกิดขึ้นมาก็ถือว่าบุญคุณท่วมหัวแล้วใช่ไหม จะทำอะไรก็ไม่มีสิทธิ์ไปกล่าวหาว่าไม่ดี แล้วเขารู้ไหมว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันทำให้ลูกต้องเสียใจแค่ไหน”
ภูมิชะงักกับปลายเสียงที่สั่นพร่า สุดท้ายหญิงสาวก็ร้องไห้ฮืออย่างสุดกลั้น ร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจ เมื่อเกราะป้องกันตัวพังทลายลง เพียงแค่เขายื่นมือเข้าไปแตะไหล่บาง หญิงสาวก็ยึดแขนเขาไว้แน่น ราวกับตัวเขาเป็นที่มั่นสุดท้ายที่มีอยู่
ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าเสียงร้องไห้จะเงียบลง ตลอดเวลานั้นภูมินั่งเป็นเพื่อนอยู่เงียบๆ กระทั่งคิดว่าหญิงสาวสงบแล้วจึงค่อยเอ่ยถาม
“นี่ดึกแล้ว พี่ว่ายังไงกลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ มีปัญหาอะไรก็กลับไปคุยกับคนที่บ้าน ค่อยๆ คุยกัน ทุกอย่างต้องมีทางแก้แน่ หรือถ้ายังไม่พร้อม...” เขานิ่งคิด “ให้พี่ไปส่งที่บ้านเพื่อนคนนั้นก็ได้ เป็นผู้หญิงออกมาเดินตอนกลางคืนแบบนี้มันอันตราย”
คำตอบคือการส่ายหน้า มินตราไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีก แต่ก็แน่ใจว่าถ้าไปหารชยา เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็คงตามไปจนพบอยู่ดี เธอยังไม่พร้อมจะพบใครทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่ทำให้ความศรัทธาของเธอแหลกเละไม่มีชิ้นดี หญิงสาวปาดน้ำตาออกจากแก้มแล้วพูดว่า
“หนูจะลงตรงนี้”
“ได้ยังไง” ภูมิขัด แค่คิดว่าจะปล่อยหญิงสาวออกไปเดินท่อมๆ บนถนนในสภาพนี้ เขาก็ส่ายหน้าเด็ดขาด “บ้านเราอยู่ไหน”
“ก็บอกว่าไม่อยากกลับ เลิกมายุ่งได้ไหม”
ภูมิอยากยกมือขึ้นนวดขมับ ถึงอารมณ์จะเย็นลงบ้าง แต่ดูท่าหากเขาซักไซ้อะไรอีก แม่คุณคงเบรกแตกอีกรอบแน่ สุดท้ายชายหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจเบาๆ
“เอ๊าก็ได้ ไม่กลับก็ไม่กลับ งั้น...คืนนี้ก็นอนที่นี่แหละ!” ชายหนุ่มไม่สนใจการตวัดตามองของหญิงสาว เขาเอื้อมมือไปหลังรถ หยิบเสื้อนอกด้านหลังส่งให้ สตาร์ตเครื่องยนต์แล้วลดกระจกลงเล็กน้อยเพื่อให้อากาศถ่ายเท จากนั้นก็ปรับเบาะ พิงศีรษะกับพนัก มือทั้งสองกอดอก ทำท่าจะนอนที่นี่จริงๆ
“พี่ไม่จำเป็นต้องมาสนใจหนูก็ได้ ญาติก็ไม่ใช่ คนรู้จักก็ไม่ใช่ พิลึก!”
มุมปากคนที่หลับตานิ่งยกขึ้นนิดๆ
“ไม่ใช่ญาติน่ะถูก แต่จะบอกว่าไม่รู้จักกันเห็นจะไม่ได้ อีกอย่างให้ปล่อยไปแบบนี้คงรู้สึกผิดบาปไปตลอดชีวิต”
“ทำเป็นพูดดี”
“เอาเป็นว่าไม่พูดดีอย่างเดียว แต่ทำด้วย แต่คนที่ทำดีด้วยเขาจะเห็นหรือเปล่า อันนี้ก็สุดแล้วแต่ใจเขา”
มินตรายังไม่วางใจเขาอยู่ดีนั่นแหละ หญิงสาวชะเง้อชะแง้มองรอบตัว ก่อนหน้านั้นมัวแต่คิดอะไรสารพัดเลยไม่ทันสังเกตว่าเขาพาเธอออกมาถึงที่ไหน รถชายหนุ่มยังจอดอยู่ในบริเวณลานจอดรถของผับ แต่ที่นี่คงไม่ให้จอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เดี๋ยวพอผับปิดก็คงมีคนมาไล่แน่ แล้วทีนี้...เขาจะพาเธอไปไหน
“หน้าตาพี่อาจไม่เหมือนพระเอกหนังเท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่าไอ้หน้าโจรคนนี้ไม่ฉุดผู้หญิง ไม่ทำร้ายผู้หญิง รวมทั้งถ้าผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วยก็ไม่ง้อหรอก คนเขามีดี แค่ผู้หญิงหาเมื่อไหร่ก็หาได้”
ขี้โม้...
พอใจรุ่มร้อนเริ่มเย็นลง มินตราก็เห็นอะไรชัดเจนขึ้น การอยู่กับผู้ชายคนนี้ไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ไม่พยายามฉวยโอกาสกับเธอ ถึงจะมีช่วงแรกๆ ที่มินตราแน่ใจว่าเขาคาดหวังบางอย่างจากตัวเอง แต่พอเห็นว่าเธอไม่เล่นด้วย เขาก็ไม่ดื้อดึงหรือเรียกร้องความสนใจ ที่ว่าเขามีดี ไม่จำเป็นต้องง้อผู้หญิงคงจะจริง
ผ่านไปอีกสักพักหนึ่งมินตราก็ต้องยอมแพ้ หญิงสาวเอนตัวลงกับเบาะนั่งอย่างหมดแรง เหน็ดเหนื่อยเหลือเกินสำหรับวันนี้ ยิ่งพอคิดถึงเหตุการณ์ที่เธอจับได้คาหนังคาเขาว่าพ่อยังติดต่อกับโฉมฉาย ยังออกไปร่ำสวาทกับแม่นั่น และโกหกเธอกับแม่หน้าตายว่าไม่มีอะไร หญิงสาวก็น้ำตาคลออีก แล้วที่พ่อพูดถึงแม่กับลุงศรันย์นั่นหมายถึงอะไร หมายความว่าแม่เองก็มีคนอื่นเหมือนกันหรือ สรุปแล้วมีเพียงเธอคนเดียวที่โง่งมใช่ไหม
“เอา”
มินตราหันไปก็เห็นชายหนุ่มยื่นกล่องกระดาษทิชชูให้ คราวนี้เธอรับมาโดยไม่อิดออด เช็ดน้ำตาแล้วสั่งน้ำมูก
“อยากเล่าอะไรให้พี่ฟังไหม” ชายหนุ่มเปรยถาม สุ้มเสียงไม่คาดหวัง แค่พยายามหาทางปลอบโยนมากกว่า “ถึงยังไงเราก็ไม่รู้จักกันเป็นส่วนตัว ต่อให้พูดกับพี่ พี่ก็คงเอาไปปูดอะไรให้คนรู้จักเราฟังไม่ได้”
หญิงสาวนิ่งไปอีกครู่ ก่อนเอ่ยขึ้นลอยๆ “ไม่รู้สิพี่ มันตื้อไปหมด ตอนนี้หนูคิดอะไรไม่ออกจริงๆ มันเหมือนหนูฝัน ฝันว่าอยู่ในครอบครัวที่มีความสุขมาตลอด แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมือมากระชากให้ตื่นขึ้นและพบความจริงว่า ทั้งหมดนั่นเป็นแค่เรื่องโกหกหลอกลวง”
“ขอเดานะ” ภูมิเปรย “เรื่องนอกใจใช่ไหม” พอไม่มีคำตอบนอกจากใบหน้าหมองที่ก้มต่ำ ภูมิก็ระบายลมหายใจเบาๆ “รู้ไหม พ่อพี่เองก็เคยนอกใจแม่ ตอนที่รู้พี่ก็ผิดหวังในตัวพ่อเสียจนไม่ยอมพูดกับท่าน”
เขาหันไปยิ้มให้หญิงสาวนิดๆ เมื่อเห็นว่าเธอทำท่าสนใจฟัง
“แม่พี่เป็นผู้หญิงเก่ง สวย ทำงานคล่อง พี่ไม่เห็นอะไรในตัวแม่ที่บกพร่องจนสมควรถูกผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสามีทรยศสักนิด และสำหรับพี่ พ่อคือแบบอย่าง เป็นคนที่พี่ยกย่องมาตลอด ดังนั้นการกระทำของเขาจึงเหมือนการทำลายความศรัทธาของพี่ไปด้วย”
“แล้วพี่ทำยังไง” มินตราใคร่รู้
“ก็ทำอย่างที่เด็กคนหนึ่งทำเวลาอยากประท้วงพ่อแม่ ทำตัวเกเร ต่อต้าน ทำอะไรก็ได้ที่แน่ใจว่าจะทำให้พ่อแม่เจ็บแบบที่เราเจ็บ เอาแค่ให้ตัวเองสะใจก็พอ โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำลงไปทำให้พ่อกับแม่เสียใจแค่ไหน”
“แล้วพ่อกับแม่ของพี่เขา...เลิกกันไหม”
“เรื่องของผู้ใหญ่บางทีเด็กอย่างเราก็ไม่เข้าใจหรอก แต่พ่อกับแม่เขาก็ปรับความเข้าใจกันได้ ส่วนผู้หญิงคนนั้นพ่อก็ไม่ได้ทอดทิ้งเสียทีเดียว”
“ปรับความเข้าใจได้ แต่พ่อพี่ก็ไม่ทิ้งผู้หญิง แบบนี้คนเป็นเมียหลวงไม่ต้องโง่เป็นควายให้ผัวสวมเขาเหรอพี่” มินตราสวนออกไปด้วยอารมณ์ แต่พอเห็นคิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ จึงแก้ว่า “ไม่ได้ด่าแม่พี่นะ แต่หนูไม่เห็นด้วยและไม่เข้าใจผู้หญิงที่ยอมเรื่องแบบนี้ได้”
“ถึงได้บอกไงว่าเรื่องของผู้ใหญ่ บางทีมันก็ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ และเอาเข้าจริงๆ พี่ก็ไม่ได้เกลียดผู้หญิงคนนั้นหรอก ถ้าไม่คิดว่าเจ้าตัวเข้ามาเป็นมือที่สามในครอบครัวพี่ เขาก็ถือว่าเป็นผู้หญิงนิสัยดีคนหนึ่ง”
“ผู้หญิงนิสัยดีเขาไม่มาแย่งผัวชาวบ้านหรอก”
ภูมิยิ้มขัน ส่ายหัวให้คำค้านแบบหัวชนฝา
“ความรักมันห้ามกันได้ด้วยหรือ หากเขาเลือกได้ก็คงไม่อยากรักคนมีเจ้าของ ให้คนตราหน้าว่าเป็นเมียน้อยเมียเก็บ ฐานะแบบนั้นจะมีผู้หญิงสักกี่คนภูมิใจ และของแบบนี้ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง จะโทษผู้หญิงแต่ไม่ดูคนของตัวเองก็ไม่ได้ แม่พี่เองก็เจ็บแต่ก็ยังให้โอกาสพ่อ สิ่งที่พลาดพลั้งก็ช่วยกันแก้ไข ถึงจะไม่ถูกต้องแต่ก็ให้มันอยู่ในที่ที่เหมาะสม ทั้งคู่ก็ยังอยู่ด้วยกันได้ รักใคร่ห่วงใยกันเหมือนเดิม เสียดายหลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่พี่ก็มาประสบอุบัติเหตุ จากไปพร้อมกันทั้งคู่” เอ่ยถึงตรงนี้ แม้จะผ่านไปเนิ่นนานทว่าหัวใจของภูมิก็ยังคงเจ็บปวดทุกครั้งกับการสูญเสีย “ทุกวันนี้พี่ก็ยังเสียใจ เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกับพ่อ ไม่มีโอกาสได้ขอโทษสิ่งต่างๆ ที่เคยทำให้ท่านทุกข์ใจ ความโกรธ ความเกลียด น้อยเนื้อต่ำใจ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมันไม่มีความหมายเลยเมื่อสิ้นพวกท่าน พี่ไม่อยากเอาเรื่องครอบครัวของพี่มาทำเป็นสั่งสอนเรา เพราะรู้ว่าพื้นฐานครอบครัวแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เท่าที่ฟัง พี่เชื่อว่าเราอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรักและตามใจทีเดียว ถึงได้มั่นใจในตัวเองและมั่นใจว่าพ่อแม่จะต้องเป็นดั่งที่เราคาดหวังได้ พอไม่เป็นไปตามนั้นถึงเสียใจขนาดนี้ แต่อย่าลืมนะ พวกท่านก็เป็นมนุษย์ปุถุชน มีรักโลภโกรธหลงไม่ต่างกับเรา ผิดพลาดได้ ลุ่มหลงได้ บางสิ่งบางอย่างยากเกินกว่าที่เราจะไปกะเกณฑ์หรือบีบบังคับให้เป็นดั่งใจ ปล่อยวางไปเสียบ้างเถอะ ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้เอง”
หลังจากนั้นภายในรถก็เหลือเพียงความเงียบ มินตราหวนกลับไปสู่ห้วงความคิดของตัวเอง บางทีผู้ชายข้างๆ ก็คงเช่นกัน กระทั่งเห็นว่ารถของนักเที่ยวที่จอดอยู่ใกล้ๆ เริ่มทยอยออกไป มินตราจึงสะกิดคนข้างๆ
“อีกเดี๋ยวคนในผับเขาคงมาไล่แล้ว”
ภูมิเอี้ยวศีรษะมองพื้นที่โล่งในลานจอดรถแล้วพยักหน้า “นั่นสิ ใกล้ๆ นี้มีตลาดโต้รุ่ง เดี๋ยวไปจอดแถวนั้นก็น่าจะได้ คงไม่มีใครมาไล่”
“ปกติพี่พักที่ไหนเหรอ”
“พักโรงแรมแบบรายวัน” เขาตอบแล้วเลิกคิ้ว “ก็อยากจะชวนให้ไปค้างด้วยหรอกนะ แต่จะหาว่าพี่ฉวยโอกาสพาเข้าโรงแรม”
มินตราครุ่นคิด มองหน้าชายหนุ่มอย่างชั่งใจ “แล้วถ้าหนูขอไปค้างด้วย จะหาว่าหนูไว้ใจคนง่ายหรือเปล่า”
ภูมิทำตาโต ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง ตอบตามตรงว่า “ก็คงจะอย่างนั้น แต่ครั้งนี้สัญชาตญาณเราดี ไว้ใจคนถูก!”
โรงแรมที่ชายหนุ่มพักไม่ถึงกับหรูหรา แต่ก็ไม่แย่อย่างกับโรงแรมจิ้งหรีด ดูๆ แล้วเหมือนห้องพักตามรีสอร์ตสำหรับนักท่องเที่ยว เตียงหลังใหญ่สำหรับแขกสองคนนอนได้สบายๆ มีชุดโซฟาแยกอีกต่างหาก โทรทัศน์ ตู้เย็น และเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบ ห้องน้ำแยกต่างหาก และมีระเบียงห้องด้วย ตอนที่มินตราเดินเข้ามา พนักงานด้านหน้าทักทายเขาราวกับคุ้นเคยกันดี และภายในยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาพักเดินเข้าออกให้เห็นตลอด เมื่อมองกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าเอกสารบนโต๊ะอีกตัว ที่ว่าเขาลงมาติดต่อเรื่องงานก็คงจะจริง
“เราใช้เตียงก็แล้วกัน” ภูมิเอ่ย ดึงผ้าห่มสำรองจากเตียงโยนไปที่โซฟา
“ไม่ค่ะ พี่นอนเตียงเถอะ หนูนอนที่โซฟาเองก็ได้ ไม่อยากนอนทับที่ใคร”
ชายหนุ่มส่ายหัวยิ้มๆ แต่ก็ไม่ขัดอะไร ปรับโซฟาที่สามารถปรับเป็นโซฟาเบดได้ จัดหมอนจัดผ้าห่มให้เสร็จเรียบร้อย
“เชิญครับ” เขาเอ่ยเป็นเชิงล้อพร้อมกับผายมือ
มินตราเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจต่อล้อต่อเถียง หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งโซฟาเบดขนาดประมาณสามฟุตครึ่ง แต่สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอแค่นี้ก็พอแล้ว
“จะอาบน้ำไหม”
อาบน่ะอยากอาบอยู่หรอก แต่มินตราก็ไม่ได้วางใจเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครจะรู้เล่า ตอนนี้เขาอาจไม่คิด แต่ลองเธอแก้ผ้าอาบน้ำอยู่ใกล้ๆ แค่มีผนังกั้น เขาอาจเปลี่ยนใจก็ได้ อีกอย่างเธอไม่มีเสื้อผ้าเตรียมมาด้วย และไม่อยากขอหยิบยืมของเขาอีกเช่นกัน สุดท้ายเลยปฏิเสธ ขอแค่ล้างหน้าล้างตาก็พอ
หลังจากมินตราล้างหน้าเสร็จและออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มก็ย้ายตัวเองไปที่โต๊ะทำงาน ก้มหน้าก้มตาดูกระดาษเอกสารที่เรียงในมือ
“เสร็จแล้วเหรอ” เขาเอ่ยโดยไม่หันมา
“ค่ะ”
พอเขาเก็บเอกสารทั้งหมดลงกระเป๋าแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจ มินตราก็กระโดดแผล็วขึ้นไปนั่งบนเตียงของตนเรียบร้อย แอบมองร่างสูงที่เดินผ่านหน้าไป เขาหยุดถอดเสื้อที่หน้าห้องน้ำก่อนโยนไปรวมกับเสื้อสกปรกตัวอื่นๆ มินตราอดมองแผ่นหลังตึงแน่นไม่ได้ กล้ามเนื้อวาดเส้นสายบนแผ่นหลังกว้างลงมาถึงสะโพกสอบเพรียว เห็นได้ว่าเขาเป็นคนที่ออกกำลังกลางแจ้งเสมอ ผิวเป็นสีแทน มัดกล้ามนูนปราศจากส่วนเกิน พอชายหนุ่มถอดเข็มขัดแล้วทำท่าจะปลดตะขอกางเกง มินตราก็ร้องเสียงหลง
“นี่ คิดจะแก้ผ้าโชว์กันหรือไง!”
ชายหนุ่มเหมือนเพิ่งนึกได้ ชะงักมือที่จะรูดกางเกงลงในอึดใจ หน้าแดงเรื่อเล็กน้อย
“โทษทีๆ คิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“นี่ไม่ใช่ว่าแสร้งทำหรอกนะ?”
“โธ่ แกล้งอะไร” ชายหนุ่มปฏิเสธหนักแน่น “ปกติมาทีไรก็พักอยู่คนเดียว ไม่เคยพาใครมาด้วยเลยลืมตัวไปหน่อย อีกอย่างใครจะบ้าเดินโชว์ข้าวหลามให้ผู้หญิงแปลกหน้าดู คนเขามีพ่อมีแม่เหมือนกันนะ”
“ข้าวหลามหรือกุนเชียงเอาให้แน่” มินตราใช้สายตา ‘มองแรง’ กลับ
ความคิดเห็น |
---|