19

ตอนที่ 19



 

เช้านี้มินตราไม่ได้ตื่นเพราะเสียงนกเสียงไก่ แต่ถูกปลุกให้ตื่นเพราะเสียงเคาะประตูหนักๆ ด้านนอก แถมไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ต่อให้เธอมุดไปซ่อนใต้ผ้าห่มก็ตาม

“คุณ คุณมินตรา”

เสียงเรียกไม่คุ้นทำให้หญิงสาวจำใจลุกขึ้น ดวงตาปรือที่ยังไม่คุ้นกับแสงกวาดมองไปรอบห้อง ผ้าม่านตรงระเบียงยังปิดสนิท แต่ก็เห็นว่ามีแดดอ่อนๆ ส่องเข้ามา ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของเตียงไม้สักหลังใหญ่ที่เธอนอนอยู่นั้นไม่มีใครนอนอยู่แล้ว

หญิงสาวถอนใจ ลูบผมที่กระเซิงให้เรียบร้อยแล้วรีบลุกไปเปิดประตู เกรงว่าปล่อยไว้นานกว่านี้คนข้างนอกอาจเคาะจนประตูเป็นรูหรือไม่ก็เคาะจนข้อมือหัก พอประตูแง้มเปิดมินตราก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าใครยืนหน้าบูดอยู่ข้างนอก แม่บ้านของภูมิที่ชื่อสไบทิพย์นั่นเอง...คิดๆ แล้วนอกจากกฐิน สงสัยว่าบ้านนี้ตั้งแต่เจ้านายยันลูกน้องคงเป็นโรคหน้าบูดติดต่อกันหมด

“มีอะไรต้องมาปลุกแต่เช้า” มินตราถามเมื่อฝ่ายนั่นเอาแต่ยืนจ้อง

“เช้าที่ไหนกันคุณ นี่สายโด่งแล้ว” สตรีวัยกลางคนหน้าหงิก “คิดจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน นายภูมิเดินเข้าเดินออกในไร่ได้สองสามรอบแล้วคุณยังไม่ตื่น จนฉันต้องมาปลุก อีกเดี๋ยวนายภูมิคงขึ้นมากินข้าวเช้าแล้ว”

“ก็แปดโมงนี่แหละค่ะเช้าของฉัน แล้วนายภูมิของป้าจะกลับมากินข้าวก็ให้เขากินไปสิ ไม่ต้องมาปลุกฉันไปรับหน้าก็ได้”

“ต๊าย พูดแบบนี้ได้ยังไง หน้าที่ของคุณก็ต้องเตรียมหุงหาข้าวปลาให้สามี จะมานอนจนตะวันส่องก้นไม่ได้ ถึงนายภูมิจะไม่ว่า แต่ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรตามใจชอบได้ รีบไปอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย แล้วเดี๋ยวออกไปช่วยฉันในครัว”

“อะไรนะ” มินตราเอียงหู แสร้งทำเป็นได้ยินอะไรเพี้ยนไป “นี่ฉันต้องทำกับข้าวให้เขากินด้วยเหรอ อยู่ต่อนานกว่านี้ฉันจะโดนจิกหัวใช้อะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า”

อาการสูดลมหายใจลึกของสไบทิพย์บ่งบอกว่าเจ้าตัวต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะอธิบาย

“นายภูมิเป็นคนขอร้องให้ฉันช่วยแนะนำคุณ และไม่ใช่ฉันหรือนายภูมิอยากจิกหัวใช้คุณนักหรอกนะ แต่ทุกคนเมื่ออยู่ที่นี่ก็ต้องมีหน้าที่ จะมานั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ ยิ่งอีกหน่อยคุณต้องแต่งเข้าบ้าน ต่อไปหน้าที่น้อยใหญ่ที่นี่คุณก็ต้องดูแล หรือคุณอยากให้คนเขาเอาไปนินทาลับหลัง ว่านายภูมิไปคว้าผู้หญิงที่ทำอะไรไม่เป็น นอกจากงอมืองอเท้าเกาะสามีกินไปวันๆ”

คำพูดสบประมาทนั่นช่างเตะศักดิ์ศรีของมินตรารุนแรงเหลือเกิน คนอย่างเธอจะโดนดูถูกอย่างไรไม่เคยสนใจ ยกเว้นอย่างเดียวเรื่องเกาะผู้ชายกินนี่แหละ บางทีสไบทิพย์อาจจะรู้ เพราะเจ้าหล่อนเลือกที่จะทำหน้าทำตาไม่รู้ไม่ชี้กับคำกล่าวหาลอยๆ นั่น

สตรีสองวัยจ้องเขม็งใส่กันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มินตราจะเป็นฝ่ายประกาศ

“ก็ได้ ขอฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะตามไป!”

มินตราเพิ่งได้เห็นห้องครัวของบ้านเป็นครั้งแรก บ้านทั่วไปปกติครัวจะอยู่ชั้นล่าง แต่ที่นี่มีครัวบนชั้นสอง แถมยังใหญ่โตราวกับนำห้องสองห้องมาต่อกัน ด้านหนึ่งเปิดโปร่งเชื่อมกับชานเรือนกว้าง มองเห็นสวนมะม่วงกับแปลงผักด้านหลัง นอกจากเตาแก๊สแบบที่ใช้ในบ้านเรือนทั่วไป ยังมีฐานตั้งเตาถ่าน เตาซิ่งแบบใช้ฟื้นได้ มีเศษไม้เล็กๆ มัดเป็นกองๆ และถังที่บรรจุบางอย่างซึ่งมินตราเดาว่าน่าจะเป็นยางไม้สำหรับใช้ติดไฟ

นอกจากนี้ข้างผนังไม้ยังมีสารพัดของแห้งแขวนอยู่ กระเทียมกับหัวหอมเป็นมัดๆ แขวนอยู่บนราว กระด้งที่ยังมีเนื้อแห้งตากอยู่ เครื่องเรือนบางส่วนเป็นไม้เก่า แต่ทนทานแข็งแรงเช่นเดียวกับเครื่องเรือนอื่นๆ ของบ้าน บนชั้นวางของมีขวดโหลน้อยใหญ่ตั้งเรียงราย โดยส่วนใหญ่เป็นอาหารหมักดองที่เจ้าของบ้านทำเก็บไว้กินเอง

“คุณทำอะไรเป็นบ้างคะ” สไบทิพย์ถาม

หญิงสาวตอบกลับตาใสทันที “ถ้าหมายถึงกับข้าวละก็ทำไม่เป็นสักอย่าง อ้อ แต่ฉันทำไข่ต้มอร่อยมากเลยนะ” มินตรายิ้มแป้นให้สตรีสูงวัยที่พยายามกำหนดลมหายใจเข้าออก ยุบหนอพองหนอ

“แล้วปกติอยู่บ้านคุณอยู่กินยังไงกันคะ ถึงบอกว่าทำอะไรไม่เป็นเลย”

“ก็...” มินตรากลอกตาขบคิด “ปกติแม่ก็ทำไว้ให้ ซื้อมาจากข้างนอกบ้าง หรือไม่ก็ออกไปกินข้างนอก”

“นี่คุณอายุเท่าไหร่กันแล้วคะเนี่ย ถึงต้องให้แม่หาข้าวน้ำให้กินอยู่อีก” สไบทิพย์ชักสีหน้ารับไม่ได้ “ดูขนาดนังกฐินมันยังรู้จักออกไปเก็บผัก ตำน้ำพริกกินเองเป็น ฉันรู้นะคะว่าผู้หญิงในเมืองยุคนี้เขาไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ยังไงๆ แค่หาข้าวใส่ปากก็ควรทำเป็น”

มินตราฟังแล้วทำปากยื่น “หาใส่ปากเองได้ค่ะ แต่จะให้ทำเป็นเรื่องเป็นราวฉันทำไม่เก่ง อีกอย่างที่บ้านฉันไม่เหมือนที่นี่ ใช่ว่าอยากกินผักกินผลไม้เดินไปหลังบ้านแล้วก็ได้กินเลย มีแต่ต้องซื้อกับซื้อเท่านั้นแหละ อ้อ แต่ฉันทำอาหารสำเร็จรูปได้นะ บะหมี่หรืออาหารกระป๋องก็ได้ ฉันเปิดฝาเป็น”

“งั้นจากนี้ไป อย่างน้อยๆ คุณก็ต้องทำอาหารที่นายภูมิชอบได้สักสามอย่าง”

“อะไรนะ ตั้งสามอย่าง!” หญิงสาวทำตาโต “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากร่วมมือหรอกนะคะ ฉันเองก็ไม่อยากได้ชื่อมาอยู่ฟรีกินฟรีเหมือนกัน แต่ฉันไม่มีพรสวรรค์ทางนี้จริงๆ ถ้าให้ทำ มีหวังได้เทให้หมากินทั้งหม้อ เผลอๆ แม้แต่หมายังไม่แลด้วยซ้ำ”

“งั้นคุณก็โชคดีที่นายภูมิอยู่ง่ายกินง่าย” พูดแล้วสไบทิพย์ก็พยักพเยิดไปทางโต๊ะที่ใช้เตรียมอาหาร “นายภูมิจะตื่นตั้งแต่เช้ามืด กินกาแฟหรือไม่ก็น้ำเต้าหู้ก็ออกไปดูไร่เลย สายหน่อยถึงจะกลับมากินข้าวเช้า กินเสร็จก็กลับไปที่ไร่อีก เที่ยงๆ ถึงจะกลับมา

“ตอนเช้าจะเป็นปลาทอด แกงจืดหรือผัดผักได้หมด มื้อเช้านายภูมิไม่ชอบกินอาหารรสจัด แต่ต้องหนักท้อง ส่วนมื้อเที่ยง จำไว้ไม่ว่ายังไงจะต้องมีแกงหนึ่งอย่าง อันที่จริงก็ทุกมื้อนั่นแหละ อาหารทุกอย่างจะนึ่ง จะผัด จะทอด ยังไงๆ ก็ต้องมีแกงเอาไว้ซดน้ำให้คล่องคอ แต่มื้อเที่ยงกับมื้อค่ำทำรสจัดๆ ได้ นายภูมิชอบ ที่บอกนี่ไม่ได้จะให้คุณทำทุกมื้อหรอก ปกติฉันคอยจัดการอยู่แล้ว แต่จากนี้ไปคุณก็แค่ช่วยฉันหยิบๆ จับๆ ดูว่าฉันทำอะไรยังไง ต่อไปจะได้ทำเป็น เข้าใจไหมคะ”

กว่าจะฟังจบมินตราก็อ้าปากหาว

“นายภูมิของป้าเขาก็ทำอาหารเป็นไม่ใช่หรือคะ เขาคงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองหิวตายหรอก กฐินยังบอกว่าบางทีก็ลงไปกินที่โรงครัวไม่ใช่หรือคะ”

“เรือนนี้ไม่ได้มีแค่นายภูมิ คุณตะวันก็อยู่ด้วย บางทีก็มีแขกมาเยี่ยม สำรับกับข้าวต้องพร้อม ต่อให้ไม่มีคนกินก็อย่าให้สำรับว่าง มันไม่ดี คิดเสียว่าอย่างน้อยๆ ถ้าคุณหิว คุณก็มีอะไรกิน แค่ทอดปลาสักตัว นึ่งผักสักกำ มันไม่ยากเย็นอะไรหรอกค่ะ” 

คนฟังทำหน้าเหม็นเบื่อ สรุปว่านอกจากภูมิแล้ว เธอยังต้องปรนนิบัติน้องชายเขาด้วยหรือนี่

“ฉันสงสัยจริงๆ คุณจะมาเป็นนายผู้หญิงที่นี่ได้ยังไง ในเมื่อแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับว่าที่สามีตัวเองเลย นายภูมิไม่ใช่คนที่จะมาเสียเวลาบ่นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านหรอกนะคะ จริงอยู่คุณพูดถูก นายภูมิไม่ปล่อยให้ตัวเองหิวตายหรอก ไม่มีคนทำให้กินก็ทำกินเอง ไม่มีใครปัดกวาดดูแลบ้านช่องก็ทำเอง ไม่มีใครซักผ้าล้างจานก็ทำเอง นายภูมิเป็นคนแบบนั้น

“แต่...ฉันถามจริงๆ นะ มันสมควรหรือเปล่าที่คุณจะดูดายไม่ทำอะไรเลย วันหนึ่งๆ นายภูมิมีงานมากมายต้องทำ กลับมาบ้านเหนื่อยๆ มีคนหุงข้าวหาปลารอ ยกน้ำเย็นๆ ให้ดื่ม พูดเอาอกเอาใจให้หายเหนื่อยบ้าง แค่นี้คุณทำไม่ได้จริงๆ หรือ”

ถึงตรงนี้คนโดนเทศนาชักละอายใจขึ้นมานิดๆ

“เอาเถอะค่ะ ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งดูแย่ลงเท่านั้น มีอะไรให้ฉันทำก็บอกๆ มาเถอะ แต่เรื่องจะให้ฉันเอาอกเอาใจนายภูมิของป้า อันนี้เห็นทีจะไม่ไหว”

“ได้แค่นั้นก็ถือว่าเป็นบุญของนายภูมิแล้วละค่ะ” สไบทิพย์ยังไม่วายแขวะ

จากหลังผ่านไปแค่สามสิบนาทีมินตราก็นึกอยากเปลี่ยนใจ บางทีการกลับไปทำตัวน่ารักๆ ออดอ้อนภูมิเพื่อให้ตัวเองอยู่สบายๆ อาจดีกว่า เพราะถึงหน้าที่ของเธอจะเป็นเพียงลูกมือที่ช่วยโขลกพริกโขลกกระเทียม เด็ดยอดผัก แต่ความจู้จี้ของแม่ครัวใหญ่ทำให้มินตราแอบแบะปากกลอกตาลับหลัง เพราะไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด

“คู้น! แค่ตำน้ำพริกนะจ๊ะ ไม่ใช่ตอกเสาเข็ม ไม่ต้องยกขึ้นสูงขนาดนั้นก็ได้ มานี่ฉันจะทำให้ดู” สไบทิพย์ไม่พูดเปล่าแต่แย่งสากหินไปจากมือคนที่ชักติดโรคหน้าบูดมาแล้วสาธิตให้ดู

“ยกขึ้นแค่นี้แล้วตำลงไป ยกสูงแบบนั้นเดี๋ยวก็ตำพลาดไปโดนมือตัวเองจะแย่เอา แล้วเวลาตำ มือก็ปิดข้างบนไว้แบบนี้ จะได้ไม่กระเด็นเข้าตา ตำให้มันมีจังหวะจะโคน ไม่ใช่สักแต่ทิ่มโครมๆ ลงไป เฮ้อ งานง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่เป็นแล้วจะไปทำอะไรกิ๊น”

“ก็ฉันเพิ่งรู้นี่คะ ว่าแค่ตำน้ำพริกยังต้องมีการคำนวณองศา กะน้ำหนักแรงกระแทกด้วย นี่ฉันต้องนับด้วยไหมคะพริกเม็ดหนึ่งตำกี่ครั้งถึงจะแหลก เผื่อพริกมันจะไปทิ่มคอหอยนายภูมิ”

“ดู๊ดู คำพูดคำจาบางคำระวังไว้หน่อยเถอะค่ะคุณ” สไบทิพย์เขม่นมองอย่างไม่เกรงใจ หลังจากขลุกอยู่ด้วยกันไม่นาน นางคิดว่าพอจะมองหญิงสาวตรงหน้าออก ถึงคำพูดคำจาไม่ค่อยน่าฟัง เถียงคำไม่ตกฟาก ช่างกระแนะกระแหน แต่ไม่ใช่ประเภทไม่ยอมรับฟังอะไร และยิ่งไม่ใช่ประเภทที่จะผูกใจแค้นเคืองใครได้นาน ขนาดถูกนางว่านางติ นอกจากชักสีหน้ากลับ เถียงข้างๆ คูๆ ไปสองสามคำ แต่สักพักก็เหมือนจะลืมไปว่าเมื่อกี้ไม่พอใจอะไร

“นายภูมิอาจไม่สนใจ แต่คนอื่นฟังเขาจะเอาไปพูดได้ว่าคุณไม่ให้เกียรติสามี เผลอๆ จะด่าว่าไปถึงพ่อแม่คุณด้วยว่าเลี้ยงลูกสาวยังไงปากคอถึงได้ร้ายกาจแบบนี้!”

“ก็เพราะนายภูมิของป้าเป็นพวกปากหนัก ฟ้าเลยส่งคนปากจัดๆ อย่างฉันมาเคียงคู่ไง!”

“คู่อะไรเหรอ”

มินตรายืดตัวขึ้นทันที พอหันไปก็เห็นคนตัวใหญ่เดินเข้ามาในครัว แถมไม่ได้มาตัวเปล่า ในมือยังถือกล้วยมาทั้งเครือด้วย ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจนตาวาว มินตราแสร้งทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าก้มตาโขลกพริกโขลกกระเทียมต่อไป

“สไบนึ่งปลาอยู่ค่ะอีกเดี๋ยวคงสุก นายภูมิหิวหรือยังคะ เดี๋ยวสไบหาอะไรให้รองท้องก่อน”

“ไม่ละ เดี๋ยวรอกินปลานึ่งกับน้ำพริกดีกว่า” ชายหนุ่มโบกมือ แต่หน้ายังมีรอยยิ้ม “ได้ยินเสียงโขลกพริกแล้ว ท่าทางน้ำพริกวันนี้จะอร่อย จริงไหมมินตรา”

“หุบปากไปเลย” มินตราร้องอย่างเหลืออด แต่ก็ถูกสไบทิพย์ขัดเสียงเขียวเร็วพอกัน

“เอ้! เป็นผู้หญิงพูดออกมาได้ยังไง หุบปงหุบปาก”

“อ้าว นี่ขนาดคำว่าหุบปากผู้หญิงก็ห้ามพูดหรือคะ” หญิงสาวถามแล้วพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “งั้นกรุณาช่วยหุบอวัยวะกินข้าวหน่อยได้ไหมเจ้าคะ”

สไบทิพย์ฟังแล้วนึกอยากกุมขมับ ขณะที่ภูมิยังยิ้ม เดินถือเครือกล้วยไปยังมุมหนึ่งของครัว เขาผูกเครือกล้วยกับเชือกที่แขวนอยู่ข้างฝา กล้วยน้ำว้าผิวเรียบสวย ขนาดกล้วยแทบจะเท่ากันทุกลูกแต่ยังเป็นสีเขียว

สไบทิพย์เห็นมินตรามองตามด้วยความสงสัย แล้วก็เป็นดั่งที่นางคาดไว้ เพราะครู่เดียวหญิงสาวที่ขุ่นเคืองอยู่เมื่อครู่ก็หันเหไปสนใจเรื่องอื่นหน้าตาเฉย

“นั่นมันยังดิบอยู่เลยไม่ใช่หรือคุณ”

“นี่ห่ามแล้ว แขวนไว้สักวันสองวันก็สุก”

“คุณเล่นเอามาทั้งเครือแบบนี้กินทันเหรอคะ ไม่สุกจนงอมก่อนหรือไง”

“ค่อยดูก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันกลับมาถามสไบทิพย์ “จริงสิ พรุ่งนี้สไบกับกฐินจะเข้าอำเภอใช่ไหม เดี๋ยวฉันจะให้ตะวันขับรถไปส่ง ไหนๆ พรุ่งนี้มันก็จะเข้าอำเภอพอดี”

“อย่าเลยค่ะ รบกวนเปล่าๆ พรุ่งนี้เดี๋ยวสไบกับนังกฐินไปกับรถสองแถวก็ได้” สไบทิพย์ทั้งโบกมือทั้งส่ายหน้า ทว่าความจริงคือจะให้นางกับหลานสาวนั่งรถไปกับคนขับที่นั่งหน้าบูด แถมพูดจาแสลงหูไปตลอดทางคงขาดใจตายก่อน “แต่กว่าจะกลับมาคงบ่ายแล้ว เดี๋ยวสไบจะให้นังบัวทองขึ้นมาเตรียมข้าวเที่ยงไว้ให้ก็แล้วกัน”

“เรื่องปากท้องฉันไม่ต้องห่วงนักหรอก อีกอย่างที่นี่ก็มีแม่ครัวอยู่ทั้งคน”

พอสายตาสองคู่มองตรงมา มินตราก็ทำหน้าเหลอหลา

“ฉันเพิ่งหัดตำน้ำพริกครกแรกเองนะคุณ”

“นั่นไง อย่างน้อยก็มีน้ำพริกกิน หรือไม่ก็ทำข้าวเหนียวโรยเกลือสักปั้นก็รอดตายแล้ว”

“ไม่เห็นตลกเลย” มินตราสวนคืน “แล้วป้ากับกฐินจะเข้าอำเภอไปทำอะไรคะ”

“กฐินใกล้จะจบป.หกแล้ว ต้องเตรียมตัวไปเข้าเรียนม.หนึ่งในอำเภอ” ภูมิตอบคำถามแทน

“อ้าว ที่นี่ไม่มีโรงเรียนมัธยมหรือคะ ต้องไปไกลถึงอำเภอ นี่ขนาดฉันนั่งรถไปกับคุณเมื่อวานยังต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง แล้วกฐินจะไปกลับยังไง” มินตราถามออกไปแล้วถึงเพิ่งสังเกตเห็นสีหน้าลำบากใจของผู้เป็นยาย ภูมิเองก็คงคิดถึงปัญหานี้อยู่เหมือนกัน

“หมู่บ้านแถวนี้มีแค่โรงเรียนประถมเท่านั้นแหละ พอขึ้นมัธยมก็ต้องไปที่อำเภอ นี่ฉันเองก็ว่าจะถามตั้งหลายครั้ง ถ้าเดินทางลำบากให้กฐินไปพักอยู่กับอาเพชรไหม วันหยุดก็ค่อยกลับบ้าน น่าจะดีกว่าตื่นตีห้าไปรอรถเข้าอำเภอทุกวัน”

“อย่าเลยค่ะ เกรงใจคุณเพชรเธอ ไหนจะลูกจะผัว ไหนจะทำงาน มีนังกฐินไปอยู่ด้วยอีกคนก็เพิ่มภาระเปล่าๆ แค่ต้องตื่นเช้าหน่อย นั่งรถไปกลับไม่ได้ลำบากอะไร” ถึงจะยืนยันเช่นนั้น แต่สุ้มเสียงของสไบทิพย์ก็ยังติดกังวลอยู่ดี

“เอาเถอะ ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกฉันก็แล้วกัน”

พอสไบทิพย์ยืนยันคำเดิม ภูมิก็ไม่ซักไซ้อะไรต่อ พอดีกับมีเสียงตะโกนเรียกจากหน้าเรือน ชายหนุ่มจึงขอตัวออกไปดู มินตรารอจนกระทั่งภูมิไปแล้วจึงถามสไบทิพย์ที่หันไปง่วนอยู่กับการเปิดซึ้ง เพื่อเอาผักที่นึ่งไว้พร้อมปลาจัดลงจานเปลก่อน

“แม่ของกฐินไปไหนหรือคะป้า” มินตราแทบจะเห็นอาการชะงักของสไบทิพย์ทันที พอถูกผู้มากวัยมองกลับ หญิงสาวก็ทำตาใส “ฉันก็แค่สงสัย เมื่อวานคุณตะวันพูดอะไรสักอย่าง เขาว่าแม่กฐินเอากฐินมาทิ้งไว้ที่นี่ แต่ถ้าไม่อยากตอบ งั้นก็ช่างเถอะค่ะ”

หญิงสูงวัยถอนใจเบาๆ “นังกฐินมันอาภัพ ส่วนฉันก็ผิดที่เลี้ยงลูกให้ดีไม่ได้ มีลูกสาวคนเดียวมันก็ใจแตกตั้งแต่เด็ก มั่วผู้ชายเสียจนไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของลูกในท้อง สุดท้ายไม่มีปัญญาเลี้ยงเลยเอานังกฐินมาทิ้งไว้ที่นี่”

ทันทีที่ฟังจบในอกมินตราเจ็บจี๊ดเพราะคำพูดของสไบทิพย์ หญิงสาวหวนคิดถึงมารดา โดยเฉพาะเรื่องระหว่างเธอกับภูมิที่เริ่มต้นอย่างไม่ถูกต้อง เธอคงทำให้ท่านเสียใจไม่น้อย เธอก็ไม่ต่างกับผู้หญิงใจแตก แค่โชคดีตรงที่ยังไม่ท้องลูกไม่มีพ่อเท่านั้นเอง

ลูกหรือ แค่คิดมินตราก็ขนลุกซู่ไปทั่วตัว...

“แล้วเขาไม่ติดต่อมาบ้างหรือคะ” น้ำเสียงมินตราอ่อนลง อาจเพราะส่วนหนึ่งเธอรู้สึกถูกชะตากับกฐิน จึงอดที่จะเห็นใจไม่ได้

“โอ๊ย ไม่มาน่ะดีแล้วค่ะคุณ มันมาก็ทำแต่เรื่องขายขี้หน้าไม่จบไม่สิ้น กะอีแค่หลานคนเดียว ฉันเลี้ยงดูได้”

ถึงสไบทิพย์จะยืนยันเช่นนั้น แต่มินตราก็ยังจับน้ำเสียงปวดร้าวของหญิงสูงวัยได้อยู่ดี เลือดเนื้อแท้ๆ ต่อให้ชั่วช้าอย่างไร จะพูดว่าตัดขาดหมดสิ้นเยื่อใยก็คงทำไม่ได้

หลังจากช่วยสไบทิพย์ในครัวอีกครู่หนึ่งจนไม่มีอะไรให้ทำแล้ว มินตราจึงขอตัว หญิงสาวรีบกลับไปที่ห้องนอน คว้าโทรศัพท์มือถือแล้วออกไปหามุมสงบๆ เพื่อโทรศัพท์หามารดา 

“มิ้นหรือลูก” อนงค์อรรับโทรศัพท์หลังจากกริ่งที่สอง

“แม่” น้ำเสียงที่ดังมาตามสาย ทำให้มินตราน้ำตารื้ออย่างควบคุมไม่ได้ “แม่ใจร้าย ไม่คิดจะโทร. มาถามข่าวคราวมิ้นเลยหรือคะ เกิดนายยักษ์นั่นเขาพามิ้นข้ามไปขายที่ชายแดนจะทำยังไง”

“คุณภูมิเขาจะทำแบบนั้นทำไม” สุ้มเสียงของอนงค์อรฟังคล้ายขบขันเล็กน้อย “อีกอย่าง พอถึงคุณภูมิเขาก็โทร. มาบอกแม่ทันที แค่นี้แม่ก็หายห่วงแล้ว”

“อะไรกัน แค่เขาพูดไม่กี่คำแม่ก็เชื่อเขาแล้วหรือคะ”

“ก็แล้วคุณภูมิเขาทำอะไรไม่ดีกับมิ้นหรือเปล่า” อนงค์อรย้อนถาม

“ทำค่ะ ทำเยอะมากด้วย เขาเจ้ากี้เจ้าการมิ้นสารพัด ทั้งเสื้อผ้ามิ้น เขาก็ยึดไปตั้งหลายตัว แถมยังรวมหัวกับแม่ครัวของเขาบังคับให้มิ้นหัดทำกับข้าวอีก นี่คงกะเก็บมิ้นไว้เป็นทาสในเรือนแน่”

“ในเมื่อมิ้นตัดสินใจจะแต่งกับเขา การทำความรู้จักว่าเขาใช้ชีวิตยังไง อยู่กันไปเราจะต้องปรับตัวแบบไหน ก็เรื่องปกติไม่ใช่หรือ อีกอย่างเท่าที่ฟัง แม่ก็ว่าคุณภูมิเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเกินไป ดีเสียด้วยซ้ำ”

“แม่!” หญิงสาวคราง “แม่เข้าข้างคนอื่นหรือคะ”

“คนอื่นที่ไหน คุณภูมิก็ว่าที่ลูกเขยแม่ หรือว่าไม่ใช่”

มินตราเถียงไม่ออก ได้แต่กระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความขัดใจอยู่คนเดียว พอเห็นว่าพูดเรื่องภูมิต่อไป เธอคงไม่มีทางเรียกร้องความเห็นใจจากมารดาได้แน่ จึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า

“แล้วทางโน้นเป็นยังไงบ้างคะ แม่ได้ข่าวพ่อบ้างหรือเปล่า”

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนให้คำตอบ “คงต้องค่อยๆ สืบกันไป คนทั้งคนจะหายไปแบบไร้ร่องรอยเลยคงเป็นไปไม่ได้”

“นี่พ่อทรยศพวกเราจริงๆ หรือคะแม่” แม้หลักฐานทุกอย่างจะแน่นหนาจนไม่อาจเห็นเป็นอื่นได้ ทว่าส่วนลึกในหัวใจมินตราก็ยังอยากให้มีข้ออ้างสักข้อเพื่อปฏิเสธว่ามันอาจไม่ใช่ความจริง

“แม่ไม่รู้ แต่เมื่อไหร่ที่ได้พบพ่อ เราจะรู้เอง”

“มิ้นไม่อยากให้แม่อยู่คนเดียว...” พูดแล้วมินตราก็ฉุกคิด “คุณลุงศรันย์มาหาแม่บ้างหรือเปล่าคะ”

“คุณศรันย์เขาก็ช่วยอยู่ห่างๆ เพราะคนที่แม่ต้องพึ่งพามากที่สุดคือตำรวจ และคุณภูมิก็ช่วยเหลือแม่เรื่องนี้อยู่แล้ว” อนงค์อรทอดถอนใจ “แม่กับคุณศรันย์เป็นแค่เพื่อนที่หวังดีต่อกัน”

“แต่คุณลุงชอบแม่”

“แม่รู้”

คำตอบรับง่ายๆ ของมารดาทำให้หัวใจมินตราดิ่งวูบ

“แต่แม่ไม่เคยคิดกับเขาในแง่นั้น ยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ แม่คงไม่มีเวลามานั่งดูใจใครนอกจากหาพ่อของหนูให้พบ” อนงค์อรยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

มินตราคิดว่ามารดาคงมีเรื่องเก็บสุมไว้ในใจมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของสามี แต่การเอ่ยถึงอดิรุจต่อหน้าลูกสาวยามนี้คงไม่มีเรื่องดีๆ ให้เอ่ยถึงนัก จึงจงใจที่จะเงียบเสีย

“มิ้นเองก็ดูแลตัวเองให้ดีๆ คุณภูมิเขาดูใจเย็น แต่ใช่ว่าจะทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนอยู่ทางนี้ได้ ไปอยู่กับเขา กับคนของเขา ยังไงก็ต้องให้ความเกรงใจในฐานะเจ้าบ้านบ้าง”

“ทำไมแม่ถึงได้เชื่อใจเขานักคะ”

“ก็แล้วทำไมแม่จะไม่เชื่อล่ะ ในเมื่อทุกการกระทำของเขาเปิดเผยตรงไปตรงมา ชัดเจนทุกอย่าง เขาให้เกียรติเรา และที่สำคัญอย่าลืมสิว่ามิ้นเป็นคนเลือกเขาเอง”

มินตราฟังแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ

“รู้สึกใครๆ ก็เข้าข้างขาไปเสียหมด จนมิ้นชักหมั่นไส้เสียแล้วสิคะ”

มินตราคุยกับมารดาต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะวางสาย ตอนแรกเธอคิดจะโทรศัพท์ไปหารชยาด้วย แต่พอคิดว่าจะต้องถูกเพื่อนสอบสวนหนักเลยเอาไว้ก่อนดีกว่า

ระหว่างที่เดินผ่านชานเรือนกลับไปดูว่าสไบทิพย์ยังมีอะไรให้เธอทำอีกหรือเปล่า มินตราก็สังเกตเห็นคนสองคนที่ลานด้านล่าง ภูมิกำลังยืนคุยอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง แม้จะมองจากไกลๆ แต่มินตราก็ยังเห็นใบหน้าละมุนที่กำลังส่งยิ้มน้อยๆ อย่างเทิดทูนให้ภูมิ ผิวขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา และเสื้อกับกระโปรงสีกากีซึ่งเป็นเครื่องแบบราชการก็เด่นสะดุดตานัก ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนิทสนม ก่อนที่หญิงสาวจะยกมือขึ้นไหว้ลา ภูมิเองก็รีบยกมือรับไหว้ตอบ เขายืนมองส่งกระทั่งหญิงสาวคนนั้นสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์คันเล็กขี่ออกไป 

ภูมิกลับขึ้นมาบนเรือน แค่เพียงก้าวแรกที่เท้าแตะชานบ้าน ก็คล้ายมีรังสีอำมหิตพุ่งใส่จนเสียวสันหลังวาบ พอกวาดมองไปรอบๆ จึงเพิ่งเห็นหญิงสาวยืนกอดอกรอท่า แถมสายตาที่มองมาก็เอาเรื่องไม่น้อย

“เรื่องที่ฉันเคยได้ยินมาท่าทางจะจริงสิท่า” มินตราพึมพำพลางโคลงศีรษะกับตัวเอง

“เรื่องอะไร” ภูมิขมวดคิ้วด้วยความฉงน

“ก็เรื่องที่ว่าผู้ชายบ้านนี้หัวกระไดไม่เคยแห้งน่ะสิ” มินตราไม่พูดเปล่า แต่ยังส่งสายตาว่าเห็นทุกอย่าง แต่แทนที่จะสำนึกชายหนุ่มกลับส่ายหน้า ราวกับเธอทำตัวเหลวไหล

“นั่นครูจากโรงเรียนกฐิน ครูแค่แวะมาคุยธุระ นี่คิดไปถึงไหนกัน”  

“อ้าว ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นทำตาเชื่อมใส่กันขนาดนั้น”

“อ๋อ หึง”

“ไม่ได้หึงย่ะ!” คำปฏิเสธที่เร็วเกินไปทำให้มินตรานึกอยากกัดลิ้นตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา พอเจ้าของร่างสูงหนาเดินเข้ามา เธอถึงกับผวาถอยหลังไปสองก้าว

“ตอนนี้ฉันมีคู่หมั้นแล้ว ดังนั้นสบายใจได้ว่าฉันจะไม่ยุ่งกับใครที่ไหนแน่”

“ก็ดีค่ะ ในเมื่อก่อนหน้านี้คุณกลัวนักกลัวหนาว่าฉันจะยุ่งกับน้องชายคุณ ฉันก็แค่อยากแน่ใจว่าคุณจะทำเหมือนกันเท่านั้น อ้อ แล้วไม่ใช่ว่าฉันจะหึงจะหวงอะไรคุณหรอกนะ ก็แค่...” มินตราหยุดขบคิด “ฉันต้องการความยุติธรรมเท่านั้นเอง”

พูดจบมินตราก็คิดจะเดินหนีไปทันที แต่ท่อนแขนกำยำฉวยเอวเธอไว้แล้วดึงเข้าไปแนบตัวเสียก่อน ทำให้เธอสูญสิ้นอิสรภาพโดยภูมิแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม 

“ฉันเพิ่งนึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งออก” ภูมิก้มลงกระซิบจนเกือบชิดใบหูหญิงสาว ทำให้มินตราได้แต่ห่อตัวในวงแขนเขา “มีบางอย่างที่เรายังไม่ได้ตกลงกัน”

“ตกลงก็ตกลงกันแค่ปากสิ ไม่ต้องมาฉวยโอกาสแต๊ะอั๋ง” มินตราทั้งบิดทั้งตีแขนที่ยึดเอวไว้ แต่ไม่ได้ทำให้คนตัวใหญ่สะทกสะท้าน เธอจึงเป็นฝ่ายร้อนรนเพราะเกรงว่าสไบทิพย์หรือใครก็ตามจะโผล่มาเห็นเข้า “คุณภูมิ!”

“เรียกพี่ก่อน”

มินตรากัดฟันกรอดๆ รู้ว่าถ้ายอมครั้งนี้ เดี๋ยวก็ต้องมีครั้งต่อไปแน่ จึงสะบัดหน้าหนีดื้อๆ แต่พอทำแบบนั้น ภูมิกลับหิ้วเธอขึ้นจนเท้าไม่แตะพื้น และทำท่าจะเดินไปทั้งอย่างนี้จนมินตราต้องรีบละล่ำละลักพูด

“พี่ภูมิ!”

“พี่ภูมิอะไรหือ?”

หญิงสาวไหล่ตกอย่างน่าสงสาร ได้แต่ก้มหน้าพูดอ้อมๆ แอ้มๆ

“พี่ภูมิปล่อยมิ้นก่อน”

“พูดจากไม่มีหางเสียง”

มินตราสูดลมหายใจลึก กระแทกเสียงใส่

“ค่ะ!”

“ก็แค่นั้น”

ภูมิยิ้มกว้างอย่างพอใจ ปล่อยหญิงสาวร่างบางลงในที่สุด แต่ดูท่าเขาจะประเมินพิษสงยายตัวแสบน้อยเกินไป เพราะทันทีที่เท้ามินตราแตะพื้น เจ้าของร่างก็สะบัดหลุดจากการเกาะกุมของเขาในพริบตา แถมยังหมุนตัวกลับมาเตะหน้าแข้งเขา เล่นเอาภูมิเสียหลักร้องจ๊าก พอจะเอื้อมมือไปคว้าตัว มินตราก็วิ่งปรู๊ดหายไปอย่างรวดเร็ว  

โชคดีที่หลังจากกินข้าวเสร็จ ภูมิก็ดูจะไม่มีเวลาว่างอีก ทำให้มินตราพอมีเวลาเตรียมแผนรับมือเขาในตอนเย็น ภูมิบอกว่ามีเรื่องที่ยังไม่ได้ตกลง ใช่! เธอเองก็มีเรื่องที่ยังไม่ได้ตกลงกับเขาเหมือนกัน เช่นว่าเธอจะไม่ยอมนอนร่วมเตียงร่วมห้องกับเขาอีก

ก่อนหน้านั้นเพราะยังแปลกที่แปลกทาง แถมภูมิก็แอบดอดเข้ามานอนด้วยหลังจากมินตราหลับไปแล้วเสมอ เธอจึงคัดค้านไม่ถนัด แต่ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องให้เขามาอยู่ใกล้ๆ อีกแล้ว ห้องหับบนเรือนก็มีเยอะแยะ ถ้าขอแบ่งสักห้องให้เธอ เขาคงไม่ขี้เหนียวนักหรอก ส่วนคนอื่นๆ จะสงสัยหรือคิดอย่างไร มินตราไม่สน

พอตกเย็น มินตราตั้งท่ารอคอย แต่จนตะวันลับฟ้าไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยังไม่กลับเข้าบ้าน จากที่นั่งรอก็เปลี่ยนเป็นนอนรอ รอแล้วรออีก กระทั่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้อง มินตราตกใจรีบผุดลุกขึ้นนั่งจนไม่ทันเตรียมใจว่าจะได้เห็นอะไรเข้า

ร่างสูงใหญ่ของภูมิอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง ชายหนุ่มคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เพราะผมยังเปียก ทั้งเนื้อทั้งตัวนุ่งแค่โสร่งปกปิดท่อนล่าง แต่ไม่รู้ทำไม...ในสายตามินตรามันเหมือนเขาไม่ได้สวมอะไรเลย ผ้าผืนนั่นโอบรัดสะโพกสอบเพรียวไว้ ราวกับผิวหนังบางๆ ชั้นที่สองมากกว่าจะเป็นเครื่องนุ่งห่ม นั่นยังไม่รวมแผ่นหลังกว้างเปล่าเปลือยสีเข้ม ท่อนแขนกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

ตอนแรกมินตราคิดจะเรียกให้เขารู้ว่าเธอตื่นแล้ว แต่...คิดไปคิดมาอีกทีไม่ดีกว่า เธอรอกระทั่งภูมิดึงเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อบางเบากับกางเกงเลสีเทาสำหรับสวมนอนออกมาจากตู้เตรียมจะสวม แต่แล้วก็ชะงักนิ่งไป

“ฉันทำเสียงดังไปหรือ” ภูมิเอ่ยกับคนที่นั่งขัดสมาธิตาแป๋วอยู่บนเตียง ท่าทางตั้งอกตั้งใจเหลือเกินยามมองเขา และขนาดถูกจับได้ก็ยังไม่มีทีท่าเขินอายแม้แต่น้อย ก็นะ...ทำอย่างกับว่าเจ้าหล่อนไม่เคยเห็นเขาทั้งเนื้อทั้งตัวงั้นแหละ

“ทำไมคุณไม่ปลุกฉัน” หญิงสาวมองนาฬิกา ยังไม่ถึงสี่ทุ่ม แต่สำหรับคนที่นี่ก็นับว่าดึกมากแล้ว  

“ดึกแล้ว ง่วงก็นอนไปเถอะ” เขาพูดขณะสวมเสื้อ จากนั้นก็ก้มลงสวมกางเกงเลใต้โสร่ง พันสายรัดรอบเอวอย่างแน่นหนา ก่อนดึงขอบเอวกางเกงด้านบนพับลงมา ดูจนแน่ใจว่ามันปกปิดเนื้อตัวด้านหน้ามิดชิดพอ

“คุณบอกว่ามีเรื่องอยากตกลงกับฉัน ฉันเองก็เพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องต้องตกลงกับคุณเหมือนกัน”

ภูมิเลิกคิ้วขึ้น ตรงข้ามกับมินตราที่เบือนหน้าหนี ไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการ ‘ตกลง’ คืออะไร ซึ่งทำให้ภูมิอารมณ์ดีขึ้นทันที ยกเว้นแต่ตอนที่เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาว จู่ๆ แม่คุณก็รีบถอยไปจนสุดขอบเตียงอีกฝั่ง ยกสองมือขึ้นห้ามแล้วพูดรัวไม่ยอมหายใจ

“ฉันจะพูดถึงข้อตกลงของฉัน ข้อแรก ฉันต้องการแยกห้อง ต่อให้คุณไปป่าวประกาศว่าฉันกับคุณเกี่ยวข้องกันยังไง ฉันก็คงถูกมองว่ายังไม่ทันจะตกแต่งก็มาค้างอ้างแรมบ้านผู้ชายแล้ว แบบนี้ฉันเสียหายนะ แล้วข้อสอง ถ้าคุณหวังว่าฉันจะขึ้นเตียงกับคุณอีกละก็ฝันไปเถอะ”

“งั้นฉันจะบอกอะไรเธอสองข้อเหมือนกัน” ภูมิเท้าเอวพูดลอยหน้าลอยตา “ข้อแรกเธอต้องนอนกับฉันในห้องนี้ ข้อสอง...ฉันทำให้เธอยอมขึ้นเตียงกันฉันอย่างเต็มใจได้แน่นอน”

หญิงสาวฟังจบก็อ้าปากค้าง

“เห็นแก่ตัวที่สุด! บ้านช่องก็ออกจะใหญ่โต แบ่งให้ฉันสักห้องหนึ่งทำเป็นขี้เหนียวไปได้ แล้วอะไรคือทำให้ฉันยอมขึ้นเตียงกับคุณไม่ทราบ”

“เลิกหลอกตัวเองเถอะมินตรา ฉันดูออกว่าเธอก็ต้องการฉัน และเธอไม่แคร์หรอกว่าคนอื่นจะมองอย่างไร เพราะถ้าแคร์คำพูดหรือความคิดคนอื่นจริงๆ เธอคงไม่หาเรื่องพาตัวเองมาอยู่ที่นี่” เขาเปลี่ยนท่าไปกอดอก “ฉันชอบตัวเธอก่อนหน้านี้ เธออาจจะบอกว่าแค่เสแสร้ง แต่ฉันก็ยังแน่ใจว่านั่นคือตัวเธอจริงๆ ถ้าตัดปัญหาหยุมหยิมทุกอย่างออกไป เราเป็นเหมือนแต่ก่อนไม่ได้หรือ”  

มินตราเบือนหน้าหนี ไม่อาจทนสายตาคมกล้าได้ รู้ว่าส่วนหนึ่งเขาพูดถูก แต่การยอมรับเช่นนั้นทำให้เธอรู้สึกอ่อนแอและพ่ายแพ้ เธอทนอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกหากไม่มีความมั่นใจอะไรเหลือไว้ การแข็งข้อหรือสามารถต่อรองกับภูมิได้เป็นหลักประกันเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย

“ฉันกับคุณยังไม่ได้แต่งงานกัน หมั้นก็ยังไม่ได้หมั้น”

“เราหมั้นกันแล้ว แถมมีพยานรู้เห็น มีเงินสินสอด...” ภูมิปิดปากฉับเมื่อมินตราตวัดสายตาวับวาวมอง “เอาเป็นว่าเราหมั้นต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ฉันเป็นคนพาเธอมาที่นี่ เป็นคนพูดเองว่าเธอเป็นใคร ดังนั้นจะไม่มีใครตำหนิเธอได้ หรือถ้ามีใครสงสัย ฉันจะอธิบายให้พวกนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งเอง ส่วนที่เธออยากแยกห้องกับฉัน...ฉันถามจริงๆ นะ เธอแค่กลัวว่าฉันจะข่มเหง หรือกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนถ้าฉันรบเร้า”

“คุณนี่มันทั้งอวดดีทั้งหลงตัวเอง!”

“ฉันรู้ใจตัวเองและยอมรับว่าตัวเองต้องการอะไรต่างหาก แล้วเธอล่ะกล้าจะยอมรับหัวใจตัวเองตรงๆ ไหม”

มินตราสูดหายใจลึกเมื่อร่างใหญ่คืบคลานเข้ามาหาเธอช้าๆ ราวกับเสือจ้องขย้ำเหยื่อ ทำให้ปากคอเธอแห้งผาก ทันทีที่ปลายนิ้วชายหนุ่มยื่นเข้ามาแตะแก้มนวลผะแผ่ว มินตราก็ตัวแข็งทื่อ

“ทำแบบนี้ไม่ยุติธรรม” หญิงสาวบ่นอ้อมแอ้มอย่างอับจน แต่ยิ่งทำให้ใบหน้าคร้ามเข้มมีรอยยิ้มกว้าง

ก่อนที่มินตราจะทันตั้งตัว ภูมิก็จัดการช่วงชิงลมหายใจของเธอด้วยปากเสียหนักแน่น ทำลายความมุ่งมั่นเพียงน้อยนิดของเธอราบคาบ

มินตราเผยอปากขึ้น ยินดีกับการรุกรานของเขา สองแขนเลื่อนขึ้นโอบรัดต้นคอและช่วงไหล่กว้าง พึงพอใจกับเรือนร่างใหญ่โตแข็งแกร่ง ท่อนแขนของภูมิยกร่างของเธอขึ้นพ้นจากเตียงอย่างง่ายดาย ก่อนจะวางลงอีกครั้งในจุดที่เขาสามารถทาบทับร่างลงมาได้อย่างถนัดถนี่

สมองมินตราหมุนควง ลืมความตั้งใจแต่แรกไปจนหมดสิ้น ปล่อยให้มือใหญ่หนาลูบคลำตามใจชอบ แต่ไม่ใช่แค่เขาหรอก เพราะเธอเองก็เพลิดเพลินกับการสำรวจกล้ามเนื้อบนแผ่นหลังของเขาเช่นกัน

“นั่นไงเห็นไหม” ภูมิกระซิบแนบใบหู “ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องฝืนใจเธอเลยสักนิด ในเมื่อเราต่างก็มีความต้องการที่ตรงกัน”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น