18

ตอนที่ 18



 

“คุณจันทร์มาเที่ยวหรือครับ”

มินตราสังเกตว่าคำถามของภูมิทำให้รอยยิ้มของสตรีผู้นั้นจางลงเล็กน้อย

“เปล่าค่ะ คุณดิตถ์ลงมาดูที่ดินที่ซื้อไว้ นี่ก็แวะเข้ามาจัดการเรื่องเอกสารที่สำนักงาน อาก็เลยตามมาด้วย บังเอิญจริงๆ ที่ได้พบคุณภูมิ”

“นั่นสิครับ บังเอิญจริงๆ”

อะไรเนี่ย... มินตรามองคนทั้งคู่สลับไปมา ไอ้บรรยากาศอึดอัดแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน บทสนทนาฝืดๆ ที่คล้ายว่าต่างฝ่ายต่างมีเรื่องอื่นที่อยากคุยมากกว่าการทักทาย เพียงแต่ไม่มีใครกล้าพูดก่อนเท่านั้น แถมภูมิที่ปกติมักพูดจาตรงประเด็นเสมอ พออยู่ต่อหน้าสตรีผู้นี้กลับกลายเป็นคนสุภาพเรียบร้อยขึ้นมากะทันหัน

มินตราฟังสำเนียงพูดกะหนุงกะหนิงของสตรีที่ภูมิเรียกว่า ‘คุณจันทร์’ แล้วก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าหล่อนน่าจะเป็นคนทางเหนือ แล้วไม่รู้ทำไมยิ่งพอพิจารณาหน้าตาผิวพรรณสะอาดผุดผ่องนี้แล้วก็คุ้นๆ ขึ้นมา    

“งั้นเสร็จธุระแล้วคุณจันทร์จะขึ้นเหนือเลยหรือแวะไปที่ไร่ก่อนครับ” 

“เอาไว้คราวหน้าดีกว่าค่ะ” หล่อนยิ้มขืน “ปุบปับโผล่ไปที่ไร่แบบนี้เดี๋ยวจะวุ่นวายคุณภูมิเสียเปล่า”

ภูมิหยักหน้ารับน้อยๆ มีความเห็นใจอยู่ในแววตา “ถ้าคุณจันทร์อยากแวะมาเที่ยวเมื่อไหร่ก็บอกผมได้ ในเมื่อผมพูดเองว่ายินดีต้อนรับ คนอื่นจะพูดอย่างไร คุณจันทร์ก็อย่าใส่ใจเลย”

“ขอบคุณคุณภูมิจริงๆ ค่ะ ว่าแต่ว่าสาวน้อยคนนี้ใครหรือคะ”

ดวงตาสดใสที่มองมาทำให้มินตราคอหดโดยไม่ทราบสาเหตุ

“คู่หมั้นผมเองครับ ชื่อมินตรา”

“เดี๋ยวสิคุณ!” มินตราแย้งคนที่พูดออกมาหน้าตาเฉย แถมเสียงอุทานดีอกดีใจก็ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออกไปด้วย

“ต๊าย จริงหรือคะ นี่อาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม คุณภูมิจะแต่งงานหรือคะ”

“ยังค่ะ ยังไม่ได้แต่ง” มินตราย้ำคำหนักแน่น แต่พอเห็นดวงตาเป็นประกายวิบวับ ดูท่าว่าพูดอะไรไปก็คงเปล่าประโยชน์ ซ้ำมือเนียนนุ่มยังดึงมือเธอเข้าไปกุมแน่น ไม่รู้จะดีอกดีใจอะไรขนาดนั้น ยิ่งเห็นตัวต้นเหตุยืนตีหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆ มินตราก็ได้แต่กัดฟันกรอด

“ในที่สุดคุณภูมิของอาก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที นี่ถ้าคุณท่านยังอยู่คงจะดีใจ” หางเสียงพร่า ทั้งตื้นตันใจทั้งเศร้าหมอง “หนูจ๋า อาฝากคุณภูมิด้วยนะคะ อาเห็นคุณภูมิมาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นหนุ่มก็แล้ว ถึงตอนนี้อายุอานามก็ไม่ใช่จะน้อยๆ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถูกใจใครเสียที จนอาแทบจะเลิกหวัง”

“ค่ะ สงสัยตอนนั้นหนูมัวแต่ยุ่งๆ เพราะเพิ่งเข้าเรียนอนุบาล” มินตราประชด และนึกสะใจนิดๆ ที่เห็นวัวแก่สันหลังหวะ  

“นั่นสิคะ” คุณจันทร์รีบพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย “ที่คุณภูมิคลาดแคล้วจากผู้หญิงเสียทุกราย บางทีคงจะเป็นเพราะพรหมลิขิตกำหนดไว้ ให้คุณภูมิรอหนูโตก่อน”

มินตราอยากร้องกรี๊ดดังๆ ขณะที่ภูมิแทบสำลักหัวเราะ จนต้องแสร้งเบือนหน้าหนีออกไปกระแอมไอด้านข้าง 

“คุณภูมิทำงานหนักแทบตลอดเวลา อาจจะมีเวลาให้ไม่มากนัก อาอยากให้หนูเข้าใจคุณภูมิ หนักนิดเบาหน่อยก็พูดคุยกัน อย่าใช้อารมณ์นะคะ น่าเสียดายที่อาคงไม่มีโอกาสได้ไปแสดงความยินดี” สุ้มเสียงกับสีหน้าแสนเสียดายปรากฏเพียงไม่กี่นาที มินตรามองผู้หญิงตรงหน้าดึงปิ่นปักผมออกจากผมที่เกล้าไว้ ทำให้เส้นผมยาวเป็นเงาราวกับม่านน้ำคลี่สยายเต็มแผ่นหลัง จากนั้นจึงวางปิ่นที่ส่วนปลายเป็นดอกเอื้องทองในมือให้ “นี่ถือเป็นของขวัญแสดงความยินดีล่วงหน้าจากอานะคะหนูมินตรา”

มินตราทำหน้าเหลอหลา

“หนูรับไม่ได้หรอกคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างเกรงใจ ปกติก็ไม่คุ้นชินกับการมีผู้ใหญ่มาเอ็นดูอยู่แล้ว จู่ๆ ผู้หญิงที่แทบไม่รู้จักยกของ...ท่าทางจะมีค่าไม่น้อยให้ ต่อให้เธอหน้าหนาเห็นแก่ได้อย่างไร ก็ใช่ว่าจะยอมรับของจากคนแปลกหน้าง่ายๆ หรอก

“ได้สิคะ ถ้าหนูไม่รับ อาคงเสียใจแย่”

“แต่ว่า...”

“รับไว้เถอะ” ภูมิเห็นว่าหากปล่อยไว้ผู้หญิงสองคนนี้คงจะเกี่ยงกันไปมาไม่เลิกรา จึงเป็นคนตัดสินใจให้เสียเอง “ผู้ใหญ่ตั้งใจให้ ปฏิเสธแบบนั้นเสียมารยาท”

สุดท้ายมินตราก็จำต้องยอมรับ ‘ของขวัญ’ อย่างเลี่ยงมิได้ พอเธอยกมือขึ้นไหว้เพื่อขอบคุณก็พอดีกับที่มีเสียงเรียกจากด้านหลัง

“คุณจันทร์ครับ” ชายวัยกลางคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามากล่าวอย่างนอบน้อม “คุณดิตถ์จะกลับแล้วครับ”

“จ้ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้... งั้นอากลับนะคะคุณภูมิ ดีใจเหลือเกินที่ได้พบคุณภูมิที่นี่” เธอส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอีกครั้ง “แล้วก็...ยังไงอาฝากดูแลเขาด้วยนะคะ หรือหากมีอะไรขาดเหลือ หรือมีปัญหาอะไรที่คุณภูมิไม่สบายใจก็บอกอาได้ทุกเมื่อ”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ คุณจันทร์อย่างห่วงเลย” 

ทั้งคู่ล่ำลากันไม่นาน รถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามารับด้านหน้า ท่าทางเจ้าของรถดูมีฐานะหรือไม่ก็ตำแหน่งสำคัญทีเดียว เพราะขนาดมีคนรอเปิดประตูรถให้ มินตราแอบเห็นแวบหนึ่งว่าภายในรถมีชายวัยกลางนั่งอยู่ด้วย พอรถเคลื่อนผ่านไป มินตราก็รีบฉวยข้อมือคนตัวใหญ่ไว้มั่น

“ฉันหิวแล้ว ไปกินไก่ทอดกันดีกว่า”

“หยุดเลยนะ คราวนี้ฉันไม่ยอมให้คุณบ่ายเบี่ยงเด็ดขาด ใจฉันงี้ลอยไปถึงทางช้างเผือกแล้ว นี่ๆ คุณดูนี่สิ” มินตราชูปิ่นปักผมให้เขาดู “มันคงไม่ใช่ทองจริงๆ ใช่ไหมคะ”

ภูมิเลิกคิ้วพิจารณาปิ่น ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

“งั้นมั้ง คุณจันทร์เธอชอบสะสมเครื่องทอง ถ้าขนาดให้เป็นของขวัญงานแต่งเรา แต่ให้ทองเคคงเสียชื่อคุณจันทร์แย่ ถ้าเธอไม่มั่นใจ เดี๋ยวให้ร้านทองแถวนี้ดูให้ก็ได้”

“ทะลึ่ง งานแต่งเราอะไรไม่ทราบ ที่ฉันสงสัยก็เพราะแค่คุณบอกว่าฉันเป็นคู่หมั้น อาคุณเขาก็ยกของมีค่าขนาดนี้ให้เลยเหรอ ถามจริงๆ นะ คุณเคยใช้มุกนี้หลอกอาคุณมากี่ครั้งแล้ว”

“ฉันไม่เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นหรอก” น้ำเสียงของภูมิหนักแน่น “อีกอย่างเธอก็เป็นคู่หมั้นฉันจริงๆ ไม่ใช่หรือ อย่ามัวยืนขาแข็งตรงนี้เลย เข้าไปนั่งรับแอร์เย็นๆ ข้างในดีกว่า” ไม่พูดเปล่าแต่ภูมิฉวยโอกาสเปลี่ยนเป็นฉุดมือที่กุมตัวเองไว้แล้วเดินจูงเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดกลาง แต่หลังจากสั่งอาหารเสร็จและเลือกโต๊ะได้แล้ว มินตราก็หาได้สนใจอาหารตรงหน้าแต่ประการใด นอกจากตั้งหน้าตั้งตาสอบสวนเขา

“ตกลงผู้หญิงคนนั้นใครเหรอคุณ เดาว่าไม่น่าจะใช่ญาติสายตรงใช่ไหม บ้านคุณผิวเข้มกันหมดเลยนี่”

ภูมิกัดชิ้นไก่คำโต มองหญิงสาวที่นั่งตาแป๋วรอคำตอบ

“ไม่เชิงจะเป็นญาติกันหรอก แค่สมัยก่อนคุณจันทร์เคยเข้ามาทำงานในไร่น่ะ”

“อะไรนะ ผู้หญิงบอบบางดูผู้ดี๊ผู้ดี ประเภทเกิดมาไม่เคยหยิบจับอะไรเลยนั่นเหรอ เคยตัดอ้อยถอนมันในไร่คุณ”

“ไม่ใช่แบบนั้น สมัยก่อนพ่อคุณจันทร์มีสวนผลไม้อยู่ใกล้ๆ ที่ดินครอบครัวฉัน พ่อแม่คุณจันทร์แยกทางกันนานแล้ว ที่ผ่านมาคุณจันทร์อยู่กับแม่ที่เชียงราย แต่พอพ่อล้มป่วย ในฐานะลูกสาวคนเดียวก็เลยลงมาดูแล แต่ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ คุณจันทร์ก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่รู้เรื่องการดูแลไร่สวนหรอก พ่อกับแม่ฉันเห็นใจก็เลยให้เข้ามาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในไร่ ตอนหลังพอพ่อคุณจันทร์เสีย เธอก็ตัดสินใจขายสวนแล้วกลับไปหาแม่” 

“ทำไมคุณไม่เล่าให้มันละเอียดเลยล่ะ ฉันจะได้ไม่ต้องถามหลายๆ รอบ” มินตราสบตากับดวงตาสีดำอย่างรู้เท่าทัน ภูมิมีทีท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาหลุบต่ำมองอาหารในจานขณะพูดต่อไป 

“จำได้ไหม ฉันเคยเล่าว่าพ่อฉันเคยนอกใจแม่” แม้จะเห็นหญิงสาวอ้าปากค้าง ภูมิก็เล่าต่อไปอย่างไม่แยแส “คุณจันทร์เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายคนไหนได้อยู่ใกล้ก็ต้องหลงรักทั้งนั้น ทั้งสวย อ่อนหวาน น่ารัก เป็นผู้ตามและผู้ฟังที่ดี ช่างเอาอกเอาใจ บุคลิกของเธอตรงข้ามกับแม่ของฉันโดยสิ้นเชิง แต่เดิมพ่อกับแม่ฉันก็แต่งงานกันเพราะผู้หลักผู้ใหญ่จัดการให้ ถึงจะไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง ช่วยกันทำมาหากิน ทำหน้าที่พ่อแม่อย่างสมบูรณ์ แต่ชีวิตรักของพวกเขาเป็นไปอย่างชืดชา ดังนั้นถึงไม่น่าแปลกที่พ่อฉันจะตกหลุมรักคุณจันทร์ทันที”

“ดูคุณไม่เดือดร้อนเลยนะ ที่ได้เจอ...อะไรดีล่ะ เมียน้อยพ่อตัวเอง”

ภูมิหยิบไก่ชิ้นหนึ่งวางในจานให้หญิงสาว แล้วหยิบส่วนของตัวเองกินต่อ

“เมื่อก่อนก็เดือดเหมือนกัน เดือดถึงขั้นพาไอ้ดินหนีเตลิดจากบ้านไปเลย” ภูมิหัวเราะเบาๆ ตรงข้ามกับหญิงสาวที่มองเขาตาโต มือที่ปลุกปล้ำกับการใช้มีดเลาะเนื้อไก่จากกระดูกชะงัก “มันช็อกน่ะ กำลังวัยรุ่นด้วยเลยทำอะไรหุนหันไปหลายอย่าง คนที่ฉันเทิดทูนที่สุด เรียกว่าเป็นต้นแบบของชีวิตเลยก็คือปู่และพ่อ การที่จู่ๆ พ่อมีเมียน้อย ซ้ำยังบอกว่าจะให้เมียน้อยเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับเมียหลวง ช่วยกันเลี้ยงลูกๆ เป็นใครก็รับไม่ได้หรอก ฉันสงสารแม่ ไม่ว่าแม่จะรักพ่อหรือไม่ แต่ทำแบบนี้มันเกินไป”

“แม่คุณไม่โต้แย้งอะไรบ้างเหรอ”

“แม่ฉันเป็นคนเข้มแข็ง...” ภูมิเลื่อนจานของหญิงสาวเข้ามาใกล้ๆ ใช้ส้อมกับมีดของตัวเองเลาะเนื้อออกจากกระดูกอย่างชำนาญ แล้วค่อยเลื่อนจานกลับไปให้ “เข้มแข็งเหมือนแม่เธอ ไม่ว่าจะเจ็บปวดเสียใจแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเห็นแม่โวยวาย ร้องไห้ หรือกล่าวโทษใครเลย แต่ว่า...หัวใจคนเราไม่ใช่อิฐใช่หิน ไม่มีหรอกที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรู้สึก ฉันอยากเห็นแม่ร้องไห้หรือระบายความโกรธออกมาเหมือนกัน”  

“แล้วทางคุณจัดการเรื่องนี้ยังไงคะ”

“คุณจันทร์เธอเข้าใจสถานะตัวเองดี เลยตัดสินใจเป็นฝ่ายจากไปเอง”

“โดยขายที่ดินให้พ่อคุณน่ะเหรอ” มินตราคาดเดา

“ที่ดินนั่นต่อให้ไม่ขายก็คงต้องทิ้งไว้ให้รกร้างเสียเปล่า แต่การขายที่ดินก็มองได้หลายแง่นะ อย่างแรกคุณจันทร์ต้องการตัดสัมพันธ์กับพ่อของฉันอย่างเด็ดขาด และไม่คิดจะกลับมาเหยียบที่นี่อีก อย่างที่สองเธออาจอยากให้พ่อมีสิ่งเตือนใจให้คิดถึงเธอ สองคนนั้นเป็นรักแรกของกันและกัน เพียงแต่มันเกิดไม่ถูกที่ถูกเวลา แต่พวกเขาก็เลือกที่จะยอมรับ ไม่ดึงดันให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะความต้องการตัวเอง”

“ส่วนพ่อของคุณก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ลอยตัวเหนือปัญหา” มินตราทำหน้าเบ้ อดคิดถึงบิดาของตัวเองไม่ได้ ผู้ชายเป็นแบบนี้กันทั้งโลกหรือไงนะ ทำต่ำช้าน่าละอาย แต่ก็ยังเชิดหน้าอยู่ได้ มีแต่ผู้หญิงที่ต้องน้ำตาตกใน กลับกันถ้าลองเป็นผู้หญิงทำบ้าง คงได้ถูกประณามหยามเหยียดไม่ได้ผุดได้เกิด

“ก็ไม่เชิงหรอก ตอนหลังมันมีปัญหาอื่นเข้ามาด้วย” ภูมิหยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดปากจึงค่อยพูดต่อ “พ่อฉันมารู้ทีหลังว่าคุณจันทร์ท้อง”

ศีรษะของมินตรากระตุกขึ้นทันที หญิงสาวหรี่นัยน์ตาลงอย่างคาดเดา

“อย่าบอกนะว่า...”

“นายตะวันเป็นลูกของคุณจันทร์กับพ่อฉัน”

คำพูดของภูมิยังง่ายดายเช่นเคย ส่วนมินตรานั้นถึงกับเป่าปาก คิดแล้วก็น่าสะท้อนใจนัก เธอกับภูมิพานพบเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน แต่วิธีการรับมือของทั้งคู่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้แต่ตอนนี้มินตราก็ยังนึกไม่ออกว่าจะสามารถรับเด็กในท้องของโฉมฉายเป็นพี่น้องร่วมบิดาได้หรือไม่ แม้รู้ว่าเด็กคนนั้นบริสุทธิ์ แต่การกระทำของคนเป็นแม่ก็สร้างแผลใจเกินกว่าจะให้อภัย โฉมฉายไม่เหมือนจันทร์ แม่นั่นสนใจแต่ความสุขของตัวเอง และไม่แยแสว่าจะต้องแย่งชิงความสุขนั้นมาจากใคร 

“แล้วทำไมคุณตะวันถึงอยู่ที่นี่แทนที่จะอยู่กับแม่ล่ะ”

“เคราะห์กรรมกระมัง คุณจันทร์ขึ้นเหนือไปไม่นานก็ไปรู้ว่าแม่เล่นพนันจนเป็นหนี้สินก้อนโต เงินที่ได้จากการขายสวนก็หมดไปกับการใช้หนี้ แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี พอแม่คุณจันทร์รู้เรื่องพ่อ ก็หอบนายตะวันมาหาพ่อที่ไร่ เรียกร้องเงินค่าเลี้ยงดู ไม่งั้นเขาจะแจ้งความจับพ่อฉัน ข้อหาล่อลวงลูกสาวเขา”

“อะไรกัน ฟังยังไงฉันก็รู้สึกเหมือนยายแก่หน้าเงินที่เอาหลานมาเร่ขายมากกว่า” มินตราวิจารณ์ตรงๆ ซึ่งภูมิคงคิดไม่ต่างกันเพราะไม่แย้งอะไร 

“ทั้งคุณจันทร์ทั้งนายตะวัน หน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่ แถมแม่คุณจันทร์ก็มีความเป็นแม่และยายน้อยเหลือเกิน คนแบบนี้ถ้าเพื่อตัวเองก็พร้อมจะทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ” ดวงตาดำคมมองตอบ “พ่อฉันเป็นห่วงนายตะวัน ให้อยู่กับยายแบบนี้อนาคตคงไม่ดีแน่ เลยยืนยันว่าจะเลี้ยงดูนายตะวันเอง”

“แม่คุณก็ยอม” นั่นไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว

“อย่างน้อยมันไม่ใช่การตัดสินใจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เป็นความเห็นพ้องของทุกฝ่าย หลักๆ ก็เพื่ออนาคตของนายตะวันเอง คุณจันทร์ก็คงรู้ตัวว่าให้นายตะวันอยู่กับตัวเองก็มีแต่ลำบาก และพ่อก็คงไม่ยอมแน่ๆ สุดท้ายก็ตกลงที่จะให้นายตะวันอยู่ในการดูแลของพ่อแม่ฉันแทน เรายินดีให้คุณจันทร์มาพบนายตะวันได้ทุกเมื่อ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามคุณจันทร์บอกว่าตัวเองเป็นใคร”

“ฟังดูใจดำจัง”

“ก็ดีกว่าปล่อยให้นายตะวันเติบโตขึ้นมาในบ้านใหญ่ แต่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเมียน้อยพ่วงมาด้วย ญาติพี่น้องฉันไม่ใช่ว่าจะสามัคคีกลมเกลียวอะไรกันนักหนา คนงานที่ว่าจ้างก็เข้าออกๆ ตลอดปี ถึงจะไม่มายุ่งกับเราตรงๆ แต่คนเก่าคาบข่าวไปเล่า มันก็เล่าต่อๆ กันไป จนสุดท้ายนายตะวันก็จะกลายเป็นขี้ปากที่เล่าลือกันไปเรื่อยๆ”

“หมายความว่าคุณจันทร์เธอตัดใจเรื่องจะพาลูกกลับไปอยู่ด้วยเลยละสิ”

“ก็ไม่เชิง ก่อนหน้าที่นายตะวันจะรู้ว่าคุณจันทร์เป็นใคร มันติดคุณจันทร์เสียด้วยซ้ำ อีกอย่างตั้งแต่แม่คุณจันทร์เสีย เธอก็ดูจะมีเงินเก็บตั้งตัวได้ เปิดร้านขายขนมเล็กๆ ในจังหวัด และเริ่มคบหากับหลักผู้ใหญ่คนหนึ่ง เดาว่าเธอคงเตรียมตัวที่จะขอพานายตะวันกลับไปดูแล แต่เรื่องมาแตกปุบปับเพราะญาติปากโป้งคนหนึ่งของฉัน ดันไปบอกนายตะวันเสียก่อน ไอ้หมอนั่นมันก็เลยสติแตก กลายเป็นเกลียดคุณจันทร์ ขนาดประกาศว่าจะไม่ให้เธอมาเหยียบที่ไร่อีก”

“เฮ้อ เวรกรรมแท้ๆ” มินตราทอดถอนใจ พูดได้แค่นั้นจริงๆ

“ใช่ เวรกรรมแท้ๆ” ภูมิเสริม

จากนั้นมินตราก็ไม่ถามอะไรเกี่ยวกับครอบครัวของภูมิอีก พอกินอิ่มก็ออกจากร้าน ภูมิแวะเข้าตลาดเพื่อสั่งของ มินตราดูรายการยาวเหยียดที่ชายหนุ่มส่งให้เจ้าของร้านขายส่ง มีพวกอาหารแห้ง อาหารกระป๋อง ของสดประเภทเนื้อสัตว์ และเครื่องปรุงรส ภูมิตรวจสอบราคาทุกรายการด้วยตัวเองอย่างละเอียดจนแน่ใจ ทางเจ้าของร้านที่ดูจะเป็นคนคุ้นเคยกันรับปากจะจัดการให้ จากนั้นจึงลากเธอไปซื้อเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็น มินตราหวิดจะกรี๊ดใส่ชายหนุ่มหลายครั้ง เพราะเสื้อผ้าที่เธอเลือก เขาปฏิเสธหมด สั้นไป เล็กไป เซ็กซี่เกินไป สีสดเกินไป ต้องใส่ได้หลายๆ โอกาส แต่ถึงจะหงุดหงิดเพียงใด มินตราก็ไม่คิดจะประชดด้วยการปล่อยให้เขาเลือกให้ เพราะแน่ใจว่าจะต้องออกมาเลวร้ายสุดๆ แน่ สุดท้ายก็ได้กางเกงยีนสองตัว กางเกงผ้าฝ้ายอีกตัว กับเสื้อที่ ‘ใส่ได้หลายโอกาส’ ตามที่จอมเผด็จการสั่ง 

ที่พอจะทำให้มินตราสนุกอยู่บ้าง ก็ตอนเลือกซื้อของใช้ส่วนตัว หญิงสาวบรรจงเลือกซื้อโลชันบำรุงผิว ครีม แชมพู และเครื่องสำอางนานเป็นพิเศษ จนภูมิที่ยืนรอเริ่มหน้าหงิกบ่นอุบ

“นี่ยังไม่เสร็จอีกหรือ”

“ยังค่ะ ที่นี่ไม่มีโลชันกับครีมแบบที่ฉันใช้นี่ ส่วนแบรนด์อื่นคุณภาพเป็นยังไงก็ไม่รู้”

“อันไหนก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ” ภูมิชักรวน ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยต้องมาเสียเวลายืนรอผู้หญิงซื้อของเสียที่ไหน ขนาดพิมประกายยังไม่เคยให้เขาต้องเสียเวลากับเรื่องพวกนี้

“เอ๊ะ พูดแบบนี้ได้ยังไง ฉันไม่เสียดายเงินที่ต้องจ่ายหรอกนะ แต่ถ้าเกิดแพ้แล้วผิวฉันเสียขึ้นมาจะทำยังไง ผู้หญิงอย่างฉันไม่เหมือนผู้ชายหนังหนาตัวเหม็นแบบคุณหรอกนะ”

“สงสัยคงจริงที่ว่าผู้หญิงคนไหนก็บ้าซื้อเครื่องสำอางกันทั้งนั้น”

“ก็ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดานี่คุณ ไม่ใช่นางในวรรณคดี ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี มันจะออกมาแบบนี้เหรอ โลชันเอย ครีมเอย ไหนจะผมอีก นี่คุณคิดว่ามีผู้หญิงประเภท... ไม่ค่ะ ดิฉันไม่เคยใช้น้ำหอม โลชัน เกิดมาก็ตัวหอมกรุ่น ผิวนุ่มเปล่งปลั่ง ผมเงางามสลวยเอง หน้าก็ใช้แค่น้ำเปล่าล้างค่ะ เพราะคนเราหากจิตใจภายในงดงาม ภายนอกก็จะตามไปด้วย อู้ย! ตอแหลชัดๆ”

“เอาๆ” ภูมิยกมือยอมแพ้ “จะได้อะไรก็รีบๆ เลือกเถอะ ฉันจะไปนั่งรอทางโน้น”

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป เอาแขนคุณมานี่สิ”

ภูมิทำหน้างงแต่ก็ยอมยื่นแขนข้างหนึ่งให้โดยดี มองมินตราถลกแขนเสื้อข้างนั้นขึ้นถึงศอก ก่อนจะใช้เป็นที่ทดสอบสีลิปสติกเสียอย่างนั้น

“เฮ้ย!” ภูมิร้องโวยวายรีบดึงแขนกลับ “ถ้าจะลองก็ใช้แขนเธอสิ”

“ก็แขนฉันไม่มีที่ว่างแล้วเนี่ย” มินตราหงายท้องแขนเรียวให้ดู ซึ่งปรากฏรอยขีดหลากสีอยู่ตรงนั้น สุดท้ายภูมิก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ยืนหน้าบูดรอหญิงสาวเลือกซื้อเครื่องสำอาง และใช้เขาเป็นตัวทดลองผลิตภัณฑ์ไปด้วย

พอกลับมาที่รถอีกครั้ง กระบะด้านหลังก็เต็มไปด้วยข้าวของที่ภูมิสั่งไว้ คลุมด้วยตาข่ายยางรอเรียบร้อย จนมินตราชักเห็นด้วยว่ามีรถกระบะนี่ก็สะดวกดี

“เรื่องที่เจอคุณจันทร์วันนี้ ฉันอยากให้เธอช่วยปิดไว้ได้ไหม” ภูมิเอ่ยหลังจากขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ

“ปิดแบบไม่ต้องบอกน้องชายคุณใช่ไหม ได้สิ เพราะฉันคิดว่าเขาก็คงไม่เดินมาถามฉันเหมือนกัน”

“แล้วก็...” ภูมิเว้นคำพูดเล็กน้อย เพื่อย้ำว่าสิ่งที่เขาจะเอ่ยจากนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เธอต้องปฏิบัติทั้งสิ้น “เรื่องนายตะวันกับคุณจันทร์ก็ด้วย”

“ฉันรู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูดน่า” มินตราโบกมือด้วยความรำคาญ นี่เขาเห็นเธอปากเปราะชอบเที่ยวเอาความลับของคนอื่นไปนินทาสนุกปากหรือไง

“อีกอย่างหนึ่ง...”

“อะไรอีกล่ะคุณ” หญิงสาวชักเสียงหงุดหงิด

“ตะวันมันเสน่ห์แรงมาก เจ้าชู้ ซ้ำยังอายุไล่ๆ กับเธอ ฉันหวังว่าจะไม่มีเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น”

มินตราทำตาปริบๆ ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เพียงแต่ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดแบบนี้มากกว่า อะไรกัน เขาคิดว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องอ่อนระทวยเพราะผู้ชายหน้าตาดีไปเสียทุกคนหรือ แล้วอย่างนายตะวันนั่นแค่อ้าปากเธอก็เห็นไปถึงไส้ติ่งแล้ว

“นี่คุณกลัวว่าฉันจะลอบเป็นชู้กับน้องชายคุณเหรอ”

“ตะวันมันทำผู้หญิงน้ำตาตกมานักต่อนักแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอเป็นหนึ่งในนั้น แม่เธอฝากฝังให้ฉันดูแล แต่การที่ฉันจะรักษาคำพูดได้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากเธอด้วย”

“นี่คุณภูมิ” มินตราพยายามพูดอย่างใจเย็นที่สุด แล้วชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “คุณว่าฉันสวยไหม”

ภูมิชักสีหน้างุนงง แต่พอหญิงสาวเลิกคิ้วกระตุ้นให้เขาตอบคำถามเร็วๆ ก็จำต้องยอมรับออกไป

“สวย”

“ใช่ ฉันสวย ฉันน่ารัก ฉันเลือกได้ และคนสวยๆ อย่างฉันก็เจอผู้ชายประเภทน้องคุณมาจนเอียนแล้ว ไอ้หน้าหล่อๆ คำพูดหวานๆ ของน้องชายคุณมันใช้กับฉันไม่ได้ผลหรอกย่ะ ยิ่งประกอบกับนิสัยเท่าที่เห็นนะ ฉันขอยกน้องชายคุณให้แม่... แม่อะไรบัวๆ นั่นรับไปคนเดียวเถอะ” จู่ๆ คิ้วเข้มเหนือดวงตาดำคมยกขึ้นสูง “ทำไม นี่คุณไม่เชื่อฉันเหรอ”

“เปล่า ได้ยินเธอพูดแบบนั้นฉันก็ดีใจ” มุมปากชายหนุ่มยกขึ้น “ถือว่าเธอเองก็ยอมรับฐานะตัวเองได้เสียที”

“อะไรนะ”

“เธอบอกว่าฉันกล่าวหาว่าเธออาจลอบเป็นชู้กับน้องชายฉัน แสดงว่าเธอยอมรับแล้วว่าตัวเองเป็นเมียฉันไง”

“เดี๋ยวๆ แกพูดจริงๆ เหรอวะนังบัวเงิน” สุรเดชเร่งถามเด็กสาวอ่อนวัย หลังจากงีบหลับไปช่วงกลางวันจนสร่างเมาบ้าง ตื่นมาก็พอดีกับที่เห็นบัวเงินเดินหน้าบูดพร้อมเอาปิ่นโตมาส่ง หลังจากถามไถ่กันไปเล็กน้อย ถึงได้รู้ว่าตัวเองพลาดข่าวเด็ดประจำวันไป

“จริงสิลุง คนเขาพูดกันไปทั้งไร่แล้ว ผู้หญิงที่นายภูมิพามาเมื่อวานเป็นเมียนายภูมิ”

“เมียเมอที่ไหนวะ ร้อยวันพันปีนายภูมิเอ็งก็ซุกหัวอยู่แต่ในไร่นี่ ลำพังแค่มีสาวๆ ในหมู่บ้านโผล่มาให้เห็นหน้าก็บุญถมไปแล้ว จะเอาเวลาไปจีบผู้หญิงในเมืองตอนไหน”

“แต่ป้าสไบกับนังกฐินบอกว่านายภูมิพูดเอง เพราะงั้นถึงได้รี่เอาอกเอาใจนังนั่นกันออกนอกหน้า จะว่าไปก่อนหน้านั้นนายภูมิก็ลงไปกรุงเทพฯ บ่อยผิดปกติ แถมลงไปทีก็อยู่นานหลายวัน อาจเป็นช่วงที่ติดพันกับแม่นี่ก็ได้”

“แล้วคุณตะวันของเอ็งรู้เรื่องหรือเปล่าวะ”

“อยู่บ้านหลังเดียวกัน ไม่รู้ก็แปลกแล้ว” เจ้าของสุ้มเสียงตีรวนกล่าว

“อ๋อ ที่แท้ก็กลัวคุณตะวันของเอ็งจะไปเหล่สาวเมืองกรุงแทนนี่เอง ถ้านายภูมิบอกว่าเป็นเมียเขา คุณตะวันก็คงไม่กล้าหรอกว้า”

“เรื่องแบบนี้ไว้ใจไม่ได้หรอกนะลุง คุณตะวันเป็นยังไงก็รู้ๆ แล้ว แต่อี...นังนั่น ก็ท่าทางระรี้ระริกเสียเหลือเกิน นายภูมิถึงจะเป็นเจ้าของที่นี่ แต่จะมีดีอะไร้ วันๆ เอาแต่ทำงานงกๆ หน้านี่แทบจะไม่เคยยิ้ม พูดจาก็บาดหูชาวบ้าน ไม่เหมือนคุณตะวันทั้งหล่อ ทั้งช่างเอาใจ คงมีแต่ผู้หญิงตาต่ำเท่านั้นแหละที่จะเมินลงคอ”

สุรเดชฟังแล้วก็นึกอยากแบะปากนัก ถ้าจะมีใครตาต่ำก็ตัวนังคนพูดนี่แหละ ที่คิดว่าไอ้ตะวันมันดีเลิศเป็นเทพเป็นเทวดา ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นมันจะทำอะไรเป็น ที่ยังเชิดหน้าชูคออยู่ได้ก็เพราะบารมีพี่ชายคุ้มหัวอยู่ทั้งนั้น สมบัติพัสถานติดตัวอะไรก็ไม่มีสักอย่าง แบมือขอเศษเงินพี่ชายไปวันๆ ใครเอาไปทำผัวก็โง่เต็มที นังผู้หญิงเมืองกรุงนั่นต่างหากที่ฉลาด รู้ว่าอันไหนเพชรอันไหนกรวด

แต่ถ้านังนั่นเป็นเมียภูมิจริงๆ ก็เท่ากับว่าส่วนแบ่งในไร่แห่งนี้จะมีตัวหารเพิ่มอีกน่ะสิ แม้รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ใดๆ ที่นี่อีกต่อไป แต่แค่คิดว่าทรัพย์สมบัติที่เคยเป็นของพ่อแม่ต้องตกไปเป็นของคนอื่น ในอกก็รุ่มร้อนด้วยความขุ่นเคือง แค่ต้องทนเห็นไอ้สี่พี่น้องนั่นได้ครอบครองทุกอย่างก็เจ็บปวดพอแล้ว ตอนนี้ยังมีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้โผล่มาเพิ่มอีก เห็นท่าจะไม่ได้การแล้วจริงๆ 

กว่าจะกลับถึงไร่ก็เย็นแล้ว ทันทีที่มาถึงภูมิเรียกให้สไบทิพย์กับคนงานอีกสองสามคนมาช่วยกันขนข้าวของไปไว้โรงครัว กับอีกส่วนให้เก็บไว้บนเรือน ส่วนตัวเองนั้นตรงดิ่งไปที่โรงเก็บรถ คุยกับนายช่างที่กำลังเช็กสภาพรถไถอยู่ด้านใน มินตราเองก็เพลียเกินกว่าจะสนใจ จึงหยิบเฉพาะข้าวของตัวเองแล้วขึ้นเรือนก่อน แต่เพียงก้าวแรกที่พ้นบันไดก็ได้ยินเสียงกระด้างไม่พอใจลอยเข้ามา

“แล้วทำไมถึงไม่เอาไปวางให้พ้นๆ ทางเดินฮะ”

มินตราเลิกคิ้วขึ้น เห็นแต่ไกลว่าคุณชายของบ้านยืนเท้าเอวกระชากเสียงใส่เด็กหญิงอีกคนที่เอาแต่ก้มหน้า แต่ริมฝีปากยื่นด้วยความไม่พอใจ บนพื้นมีถังน้ำใบหนึ่งวางอยู่ รอยน้ำกระเซ็นออกเป็นวงบนพื้นไม้มันปลาบ และขากางเกงยีนข้างหนึ่งของชายหนุ่มเปียกไปครึ่งหน้าแข้ง

“กฐินก็วางไว้ตรงโคนเสาแล้วนะคะ คนปกติเห็นเสาก็ต้องเดินเลี่ยง กฐินจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณตะวันเดินไม่เหมือนคนปกติ”

ตอนแรกมินตรากลั้นยิ้มแทบไม่ทันกับคำยอกย้อนของเด็กหญิง กระทั่งได้ยินชายหนุ่มโต้กลับอย่างไม่ไว้หน้า

“นี่ยังกล้าย้อนฉันอีกหรือ พี่ภูมิคงจะให้ท้ายเสียจนไม่เห็นหัวฉันอีกคนแล้วสิท่า ทั้งหลานทั้งยายเหมือนๆ กันหมด คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน มาอาศัยเขาอยู่แท้ๆ”

“ค่ะ มาอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ นี่คะ”

“ใครใช้ให้พูด ที่นี่คนที่พูดได้มีแค่ฉัน พวกที่มีหน้าที่รองมือรองเท้าคนอื่นก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป” แววตาของตะวันที่มองเด็กหญิงมีทั้งความเหยียดหยามและรังเกียจชัดเจน “แล้วถ้าคนอย่างแกมันดีนักหนา แม่แกก็คงไม่เอามาทิ้งให้เป็นขี้ข้าคนอื่นหรอก หัดสำเหนียกตัวเองเสียบ้าง!”

ประโยคท้ายนั่นคงกระทบใจเด็กหญิงอยู่ไม่น้อย เพราะมินตราเห็นมือเล็กกำผ้าขี้ริ้วแน่น แต่แทนที่จะทำให้คนมองเห็นใจกลับมีแต่ท่าทีดูแคลนยิ่งขึ้น ขนาดหมายังเลือกกัด แต่ตานี่ท่าทางจะบ้าจนเกินประมาณ เพราะกัดไปทั่วไม่เว้นแม้แต่เด็ก พอร่างสูงเดินผละออกมา มินตราก็จงใจเดินสวนเข้าไปกระแทกไหล่ใส่อีกฝ่ายแรงๆ จนผงะ

“อุ๊ย! ตาย ฉันไม่ทันเห็น” มินตราแสร้งทำเป็นตกอกตกใจ แต่พอสบสายตาที่ตวัดมองอย่างขุ่นเคือง... นึกแล้วเชียว มินตราบอกตัวเอง ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่เห็นลิ้นไก่เขา เพราะเขาเองก็คงเห็นไส้เห็นพุงเธอเช่นกัน

“บ้านนี้มันเป็นห่าอะไรกันหมดวะ!”

“แหม คนอะไรหน้าตาก็ดี แต่พูดจาเหมือนไม่มีใครสั่งสอนซะงั้น”

ริมฝีปากชายหนุ่มเม้มแน่น ชี้นิ้วใส่หญิงสาวที่ยังลอยหน้าลอยตา

“อย่าคิดว่ามีพี่ภูมิแล้วเธอจะมาทำอวดดีกับฉันนะ ผู้หญิงอย่างเธอ ฉันมองปราดเดียวก็อ่านออกแล้ว ตอนนี้พี่ภูมิก็แค่หน้ามืดตามัว แต่สักวันเธอมันก็แค่ของเล่นที่ถูกเขี่ยทิ้ง” หากเป็นผู้หญิงทั่วไป คงได้หลบสายตาหรือไม่ก็โกรธไปแล้ว ทว่าใบหน้าสวยๆ กลับวางเฉย ส่งยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาให้แทน

“ขอบคุณที่เตือนค่ะ งั้นก่อนที่พี่ชายคุณจะหูตาสว่าง เห็นทีฉันคงต้องรีบกอบโกยแล้วสิ” 

สีหน้าของตะวันทั้งหงุดหงิดทั้งงุนงง ถึงพอคาดได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ประเภทหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย แต่เขาคิดว่าเจ้าหล่อนคงรักใคร่พี่ชายบ้าง หรือต่อให้หวังแค่ผลประโยชน์จริงๆ ผู้หญิงหน้าโง่ที่ไหนจะกล้าพูดออกมาโต้งๆ แบบนี้

“ทำอะไรกันอยู่”

ภูมิที่เพิ่งเดินพ้นบันไดขึ้นมาถาม ตะวันไม่เอ่ยอะไร แต่รอดูว่าต่อหน้าภูมิ ยายเด็กหน้าหวานนี่จะใช้มารยาอย่างไรกับพี่ชายเขา

มินตราละสายตาจากตะวันที่เขม่นจ้องจับผิด ก่อนหันไปพูดกับภูมิที่เดินเข้ามา

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณตะวันเขาแค่เตือนว่าสักวันหนึ่งฉันอาจถูกคุณเขี่ยทิ้ง ฉันก็เลยคิดจะวางแผนกอบโกยจากคุณให้คุ้มเสียก่อน”

ตะวันเห็นอาการชะงักของพี่ชายทันที คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดมุ่น พอร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหยุดข้างหญิงสาว ยิ่งทำให้เห็นขนาดรูปร่างและความสูงต่ำที่แตกต่างกันพอสมควร แล้วแทนที่จะดุด่าภูมิกลับยกมือขึ้นเขย่าศีรษะเล็กๆ ของหญิงสาวราวกับผู้ใหญ่ที่แสดงความเอ็นดูต่อเด็ก ถึงแม่นั่นจะปัดมือภูมิออกแล้วตีหน้าบูดบึ้งใส่ ทว่าตะวันกลับเห็นความสนิทสนมในแบบที่พี่ชายไม่เคยมีให้ใครมาก่อน แม้แต่ภูริหรือพรพระพราย   

“งั้นก็พยายามหน่อยล่ะ หวังกอบโกยจากฉันมันไม่ง่ายนักหรอก”

“ฉันรู้อยู่แล้วละว่าคุณมันขี้เหนียว” มินตราทำเสียงขึ้นจมูก เพื่อรับประกันความ ‘เค็ม’ ของอีกฝ่าย

ภูมิไม่ใส่ใจคำพูดของมินตรานัก แต่สายตาหยุดมองน้องชายแทน

“แล้วนั่นแกจะไปไหน”

“เอาเวลาไปสั่งสอนผู้หญิงของพี่เถอะ อย่ามายุ่งกับผมนักเลย” พูดจบเสียงย่ำเท้าไม่พอใจก็ดังผ่านไปราวกับพายุ

มินตรารอกระทั่งตะวันพ้นไปแล้วจึงหันไปบ่นกับผู้เป็นพี่ชาย

“แหม นี่ถ้าสะบัดก้นอีกหน่อยนะ ฉันคงนึกว่าคุณมีน้องสาวอีกคน” ยิ่งเห็นกฐินนั่งคุกเข่าใช้ผ้าเช็ดน้ำที่นองบนพื้นพลางใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ปริ่มไหลก็ยิ่งนึกสงสาร คำพูดของนายตะวันดูท่าจะกระทบปมในใจเด็กหญิงไม่น้อย แต่ถึงจะเห็นใจเพียงใด มินตราไม่ใช่คนประเภทที่จะมีคำพูดสวยๆ ไว้ปลอบใจใครมากนัก จึงแค่ตบไหล่เล็กเพื่อให้กำลังใจ “ลมปากคนแบบนั้นเหม็นพอๆ กับผายลมนั่นแหละ อย่าไปสนใจเลย”

เด็กหญิงผงกศีรษะรับ พอใช้ผ้าเช็ดน้ำเสร็จก็ยกถังน้ำเดินคอตกจากไป

“มาวันแรกเธอกับตะวันก็ไม่กินเส้นกันแล้วหรือมินตรา”

“นี่จะโทษว่าเป็นความผิดฉันหรือ” หญิงสาวแหวกลับทันที “น้องชายคุณคงทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูมากเลยสิท่า ก็ไหนคุณคุยซะว่านายตะวันรูปหล่อของคุณมีเสน่ห์ ผู้หญิงรักผู้หญิงหลง ที่เห็นยืนด่าเด็กผู้หญิงไม่มีทางสู้ฉอดๆ เนี่ย จะให้เรียกว่าอะไรดี”

“มันชอบผู้หญิง มันไม่ได้ชอบเด็กนี่” คนเป็นพี่คล้ายอยากหาข้อแก้ตัวให้ แต่ก็จนปัญญา

“อ๋อ พอไม่สาว ไม่สวย ก็ไม่แลว่างั้น สาธุ!” มินตราพนมมือท่วมหัว “เกลียดยังไงขอให้ได้อย่างนั้นทีเถิด!”

ภูมิมองหญิงสาวแล้วส่ายหน้า ทั้งขำทั้งหมั่นไส้

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น