มินตรารอกระทั่งเห็นภูมิโผล่หน้าเข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงรีบเด้งตัวลุกขึ้นทันที หลังจากเขาคุยกับน้องชายและเห็นตะวันปึงปังกลับห้องไป มินตราก็จำต้องล่าถอยกลับ เพราะท่าทางน้องชายของเขาจะไม่ค่อยยินดีต้อนรับเธอนัก ตอนแรกมินตราคิดว่าสองพี่น้องน่าจะมีปัญหากันเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาพี่น้อง แต่พอเห็นแบบนี้ อย่าเรียกว่าผิดใจกันเลย เรียกว่าเหม็นหน้ากันดีกว่า
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอหน่อย” ภูมิกล่าวพร้อมกับปิดประตูตามหลัง
“คุยกันทำไมต้องปิดประตูด้วย ออกไปคุยกันข้างนอกก็ได้” หญิงสาวรีบรักษาระยะห่าง แต่ภูมิดูจะไม่แยแสสักนิด ชายหนุ่มลากเก้าอี้จากโต๊ะทำงานมานั่งแล้วถอนใจหนัก
“เพราะถ้าคนอื่นได้ยิน เธอจะยิ่งเจอปัญหาน่ะสิ”
“ตอนนี้ฉันก็เจอปัญหาอยู่แล้วละย่ะ ตกลงเมื่อไหร่ฉันจะได้กลับบ้าน ฉันไม่ยอมติดแหง็กอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอกนะ”
“เรื่องการหมั้นของเรา” ภูมิตัดบทอย่างเหนื่อยหน่าย “เธอจะอยู่ที่นี่ในฐานะคู่หมั้นฉัน แต่เราจะไม่พูดเรื่องการหมั้นที่บ้านของเธอ ห้ามบอกใครเรื่องค่าสินสอดนั่น ถ้าใครถามก็บอกแค่ว่าฉันพาผู้ใหญ่ไปสู่ขอเธออย่างถูกต้อง ตอนนี้ฝ่ายพ่อแม่เธอกำลังหาฤกษ์อยู่ ส่วนเธอจะอยู่ที่นี่สักพัก เพราะฉันอยากให้มาเรียนรู้การใช้ชีวิตทางนี้ หรือใครอยากรู้อะไรมากกว่านั้น ก็บอกให้มาถามฉันเอง แล้วจำไว้ห้ามพูดเรื่องสินสอดเด็ดขาด โดยเฉพาะต่อหน้าตะวัน”
มินตรานิ่งเงียบ หลังจากพิจารณาชายหนุ่มครู่หนึ่ง เธอก็ถามด้วยความสงสัย
“ทำไมคะ”
“สี่ปีก่อน นายดิน... น้องชายคนรองของฉันแต่งงาน ฉันยกที่ดินที่ระยองกับเงินให้ไปทำทุน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ตะวันมันยังคอยกระแหนะกระแหนหาเรื่องฉันกับครอบครัวนายดินอยู่เรื่อย ถ้าเกิดรู้ว่าพ่อเธอเรียกร้องเงินเท่าไหร่ก่อนเชิดหนี มันไม่ปล่อยให้ฉันกับเธออยู่อย่างสงบสุขแน่ แค่งานในไร่ฉันยุ่งมากพอแล้ว อย่าให้ฉันต้องกลับมารับมือเรื่องในบ้านเพิ่มอีกเลย”
“ฉันไม่สนน้องชายคุณหรอก ที่ฉันสนก็แค่ทำยังไงคุณถึงจะยอมให้ฉันกลับบ้าน”
“เราคุยเรื่องนี้จบแล้ว”
“ไม่ เรายังคุยกันไม่จบ ฉันอยากรู้ว่าคุณจะให้ฉันทำยังไงถึงจะปล่อยฉันกลับบ้าน” มินตราไม่ยอมแพ้ กระทั่งชายหนุ่มทอดถอนใจ
“ฉันจะไม่ติดใจเรื่องสินสอด ถ้าเธอแต่งงานกับฉัน”
“ฉันไม่แต่ง!”
“งั้นก็รอจนกว่าแม่เธอจะตามเอาเงินมาคืนฉันครบก็แล้วกัน และจนกว่าจะถึงวันนั้น เธอต้องอยู่ที่นี่ต่อไป จะว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้” ภูมิเอ่ยเมื่อหญิงสาวทำท่าจะอ้าปากค้าน “ถ้ากวาดเงินไปหมดเกลี้ยงขนาดนั้น ฉันว่าพ่อเธอเขาคงไม่คิดจะกลับมาหรอก เผลอๆ เงินในบัญชีธนาคารก็คงไม่เหลือเหมือนกัน ฉันคิดว่าตัวเองให้ความเป็นธรรมที่สุดแล้ว และฉันจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งที่ฉันควรจะได้มากไปกว่านี้”
“งั้นให้ฉันทำอะไรก็ได้เพื่อแลกเปลี่ยน แต่ไม่แต่งงาน” มินตราต่อรอง แต่ชายหนุ่มกลับทำท่าจะลุกหนีเอาดื้อๆ “นะคุณภูมิ ฉันทำงานใช้หนี้ก็ได้”
“อย่างเธอเนี่ยนะจะทำงานใช้หนี้ฉัน แถมหนี้ก้อนโตขนาดนั้น ทำสักสิบปียังใช้ไม่หมดเลยมั้ง ฉันว่าเธออยู่เฉยๆ เชื่อฟัง แล้วไม่ก่อปัญหาให้ฉัน แค่นั้นก็ถือว่าเป็นพระคุณมากแล้ว”
“ฉันทำงานได้นะ ทำได้จริงๆ ให้ฉันสั่งงานคนงานให้คุณก็ได้” มินตราเสนอตาใส แต่ก็ยังถูกมองอย่างดูแคลนอยู่ดี
“ฉันมีหัวหน้าคนงาน มีผู้ช่วยที่ทำงานเข้าขากันดี ไม่อยากให้ใครมากวนให้ยุ่งหรอก อีกอย่างมันไม่ใช่ว่าจะจับใครไปสั่งงานคนโน้นคนนี้ก็ได้ตามใจ โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้อะไรในไร่เลย”
“คุณสอนฉันก็ได้นี่ ฉันเก่งนะ เรียนรู้ไว ฉันไม่ทำให้คุณผิดหวังหรอก” แต่เขาก็ยังมองเธอด้วยสีหน้าราวกับเธอช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ให้โดนด่าตรงๆ มินตรายังเจ็บน้อยกว่าถูกมองด้วยสายตาแบบนี้
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดี๋ยวกินข้าว” กล่าวจบภูมิก็ออกจากห้อง ไม่สนใจหญิงสาวที่ยืนหน้าหงิกหน้างออยู่ข้างหลัง
หลังรับประทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว ภูมิก็หนีหายลงไปที่ไร่อย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรประจำวันของชายหนุ่มโดยไม่ต้องสงสัย เพราะตั้งแต่ลืมตาเมื่อเช้า กระทั่งนั่งกินข้าว มินตรายังไม่เห็นชายหนุ่มยอมอยู่เฉยๆ สักที ปล่อยให้มินตราหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในบ้าน เพราะไม่รู้จะทำอะไร เรือนก็หลังใหญ่โต แต่มีคนน้อยเหลือเกิน สไบทิพย์...แม่บ้านของภูมิ นอกจากทำงานบ้านก็เอาแต่มองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ส่วนนายตะวันหลังทะเลาะกับพี่ชายก็เข้าห้องปิดประตูเงียบ สุดท้ายพอไม่มีใครหญิงสาวก็ยึดตัวเด็กหญิงกฐินไว้เป็นเพื่อน และความเป็นเด็กช่างพูดของกฐิน ไม่นานมินตราก็รู้เรื่องภายในไร่ไผ่ตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษยันปัจจุบันทั้งหมด
บ้านของภูมิมีรูปเก่าๆ เรียงอยู่เต็มผนัง นอกจากภาพของคนในครอบครัวแล้ว ยังมีรูปพระอาจารย์มากมาย รูปพระบรมฉายาลักษณ์ทุกพระองค์ ไหนจะข้าวของเก่าอื่นๆ อย่างนาฬิกาหน้าตาโบราณ แต่ก็ยังอุตส่าห์บอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรง เครื่องเรือนต่างๆ มีกระทั่งโทรทัศน์ที่ตัวเครื่องทำจากไม้ตั้งเป็นของประดับในบ้าน ยิ่งในห้องนอนของภูมิ มีทั้งเตียงและตู้ไม้สัก ถ้าบอกว่าได้รับตกทอดจากบรรพบุรุษมินตราก็คงเชื่อ
“นี่ คุณปู่ทวดของนายภูมิค่ะ” กฐินแนะนำเสียงแจ้ว ชี้ภาพถ่ายเก่าเก็บที่ขอบกระดาษกลายเป็นสีน้ำตาลและภาพคนในรูปซีดจาง แต่กระนั้นก็ยังพอเห็นลักษณะโดดเด่นของบุรุษหน้าตาดุดันเคร่งขรึม ไว้หนวดเหนือริมฝีปาก ใกล้ๆ กันยังมีภาพปู่ย่าตายายของเขาอยู่ครบราวกับแผนผังสำมะโนครัวทั้งตระกูล
“แล้วคนไหนพ่อกับแม่ของนายภูมิเหรอ”
เด็กหญิงกฐินชี้ไปยังภาพถ่ายที่เป็นภาพสีซีดๆ ตามเวลา แต่ก็ถือว่าภาพชัดกว่าบรรพบุรุษของเขา บิดาของภูมิต่างจากปู่และปู่ทวดของเขาหลายส่วน เรียกว่าเป็นชายหนุ่มหล่อคมเข้มคนหนึ่งเลยทีเดียว ส่วนผู้เป็นมารดา แม้จะพูดว่าสวยได้ไม่เต็มปาก แต่ก็ดูมีเสน่ห์น่าเกรงขามราวกับนางพญา โดยเฉพาะตาดำคมที่ภูมิคงได้รับจากมารดามาหลายส่วน
“บ้านนี้เขาตาคมผิวเข้มกันหมดเลยเหรอ ดูๆ ไปหน้าตาไม่ค่อยเหมือนคนไทยกันเลย”
“ได้ยินว่าคุณปู่ทวดนายภูมิอพยพมาจากเขมรค่ะ ส่วนแม่นายภูมิเห็นว่ามีเชื้อแขก”
“จริงหรือ” มินตราย้อนกลับมาดูภาพถ่ายอีกครั้ง “แล้วคนไหนน้องนายภูมิที่เหลือ ชื่ออะไรนะ ดินกับเปรี้ยว ใช่ไหม”
“อ๋อ รูปคุณดินกับคุณเปรี้ยวน่าจะอยู่ที่ห้องทำงานนายภูมิ แต่กฐินคงพาเข้าไปดูไม่ได้ นายภูมิไม่ชอบให้ใครไปวุ่นวายที่ห้องนั้น แต่คุณดินก็หน้าตาคล้ายๆ นายภูมินี่แหละค่ะ ยิ่งเวลายืนอยู่ด้วยกัน ถ้ามองจากข้างหลัง บางทีกฐินยังแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ส่วนคุณเปรี้ยวดูรูปแม่นายภูมิแทนก็ได้ค่ะ หน้าตาเหมือนกันเด๊ะ”
แปลกดี... บ้านนี้คนกี่รุ่นๆ ก็หน้าตาคล้ายๆ กันหมด แล้วทำไมนายตะวันถึงออกมาขาวผ่อง หน้าหวานผ่าเหล่าผ่ากออยู่คนเดียว
พอเด็กหญิงกฐินชวนลงจากเรือนมินตราก็ไม่ขัด เพราะไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน อีกทั้งพอสายบริเวณบ้านก็เงียบเชียบเพราะคนไปที่ไร่หมด พ้นจากบริเวณเรือนมินตราก็เจอยุ้งฉางหลังใหญ่สองหลัง ซึ่งตอนนี้ภายในว่างเปล่ามีแค่กระสอบป่านที่ม้วนเรียงเก็บไว้มุมหนึ่ง กฐินบอกว่าปกติจะใช้เก็บข้าวโพด ข้าวฟ่าง หรือพืชผลอื่นๆ ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว
“ฉันนึกว่าเดี๋ยวนี้เขาจะใช้รถที่เกี่ยวแล้วก็สีเสร็จสรรพเหมือนรถเกี่ยวข้าวเสียอีก”
“รถเกี่ยวกับรถสีก็มีค่ะ” กฐินบุ้ยปากไปทางโรงเก็บรถ มีรถที่ใช้ในการเก็บเกี่ยวจอดนิ่งดังว่า “แต่ถึงยังไงแรงงานหลักก็ยังเป็นคนอยู่ดี”
บ้านพักคนงานที่มินตราเห็นเมื่อเช้าแยกเป็นสัดส่วน มีโรงครัวกลางซึ่งกฐินบอกว่าทุกวันสไบทิพย์จะลงมาคุมเด็กสาวทำอาหารเช้าและอาหารเที่ยงไว้เลี้ยงคนงาน ปกติถ้าคนงานทำงานอยู่ในไร่ใกล้ๆ ก็จะเตรียมให้เป็นมื้อๆ แต่ถ้าต้องเดินทางไปไร่ที่อยู่ไกลออกไป ก็จะเตรียมทั้งมื้อเช้าและมื้อเที่ยงรวมกันไปเลย ส่วนมื้อค่ำหรือวันหยุดแม้คนงานบางส่วนจะนิยมทำอาหารกินเอง แต่สไบทิพย์ก็จะคอยหุงข้าวและหาวัตถุดิบทำอาหารเตรียมไว้ให้ ส่วนภูมิปกติมักจะกินข้าวร่วมกับคนงาน เพื่อจะได้พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ในไร่ไปด้วย ยกเว้นถ้ามีเรื่องเร่งด่วนหรือขึ้นจากไร่ช้า ถึงจะมากินข้าวที่เรือน
พ้นจากบริเวณที่อยู่อาศัย มินตราก็เห็นสวนที่ปลูกแบบสวนผสม พื้นที่แทบทุกตารางถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ต้นฝรั่งเตี้ยๆ ปลูกห่างกันเป็นระยะเหมือนคนปลูกต้องการใช้บอกอาณาเขตไปในตัว เอาเฉพาะเท่าที่ตาเห็น ก็มีทั้งสวนกล้วย สวนมะม่วง ต้นมะละกอและต้นน้อยหน่าที่ปลูกสลับในสวนมะม่วงอีกที ต้นชมพู่ และต้นมะขามเทศที่กฐินบอกว่ามีมาตั้งแต่รุ่นพ่ออีกสามต้นใหญ่ แถมได้ยินว่าท้ายสวนมีบ่อเลี้ยงปลากับกระท่อมอีกหลัง แต่ที่มินตราชอบเป็นพิเศษ คงจะเป็นแปลงผักซึ่งน่าจะเป็นแหล่งอาหารของคนที่นี่ เพราะมีผักสวนครัวแทบทุกอย่างที่นึกถึง ทั้งต้นมะนาว มะกรูด และพริก ผักสดๆ ปลูกแยกไว้ในกระบะเรียงบนชั้นเพื่อเพิ่มพื้นที่
ขณะที่มองทึ่งๆ อยู่นั้น มินตราก็สังเกตเห็นเด็กสาวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดสองคนกำลังช่วยกันเก็บมะนาว เด็กสาวผมแดงหน้าตาดีหันมาจ้องมินตราเขม็งจนเด็กสาวอีกคนต้องสะกิดเบาๆ แต่ถึงเช่นนั้นก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยลอยเข้ามา
“ผู้หญิงสมัยนี้ยางอายมันน้อยเหลือเกินนะพี่ ยังไม่ได้เป็นเมียแต่งออกหน้า ก็ตามมาถึงบ้านผู้ชายแล้ว ไม่รู้พ่อแม่เอาอะไรเลี้ยงหน้าถึงได้หนาแบบนี้”
“บัวเงิน ไม่เอาน่ะ” เด็กสาวอีกคนรีบปรามหน้าเสีย
“หรือฉันพูดไม่จริง ทำเป็นเดินเชิดอย่างกับเป็นคุณนาย นี่คงอยากประกาศตัวจนตัวซี้ตัวสั่น”
กฐินแอบมองผู้ถูกพาดพิงด้วยสีหน้าหวาดเสียว ที่ผ่านมาเธอรู้วีรกรรมของฝ่ายนั้นดี เจอใครไม่ชอบหน้าก็ซัดไม่เกรงใจเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าถิ่น แถมเจ้านายคนหนึ่งก็คอยให้ท้าย ส่วนใหญ่คนที่โดนเล่นงานก็เป็นแค่ลูกจ้างสาวๆ ที่มาทำงานชั่วคราว อยู่ทำงานไม่นานหมดสัญญาก็กลับบ้าน จึงไม่มีใครอยากต่อล้อต่อเถียงเพราะกลัวเสียงานเสียการ
“กฐิน เมื่อกี้กฐินได้ยินเสียงอะไรไหม” มินตราเปรยขึ้นลอยๆ
“คะ?”
“ฉันว่าน่าจะเป็น... อ๋อ เสียงหมานี่เอง แต่ท่าทางคงเป็นหมาประเภทดีแต่เห่า เห็นทีฉันคงต้องเตือนนายภูมิบ้างแล้ว หมาบางตัวเลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุกเปล่าๆ”
ไม่พูดเปล่า แต่แววตาสังเวชใจยังตวัดมองไปทางเด็กสาวที่ยืนหน้าแดงก่ำ กฐินถึงเพิ่งเข้าใจและเกือบหัวเราะออกมา ยิ่งมินตราเดินหน้าเชิดบิดเอวอ้อนแอ้นผ่านไป เด็กหญิงก็แน่ใจว่าตัวเองมี ‘ลูกพี่’ คนใหม่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนมินตราทันทีที่พ้นออกมา ก็หันไปถามเด็กหญิงอย่างไม่สบอารมณ์
“นั่นใครน่ะกฐิน ปากแบบนี้ไปอยู่แถวบ้านฉันนะ โดนจิกหัวตบล้างน้ำไปแล้ว” หญิงสาวเข่นเขี้ยว
“พี่บัวเงินค่ะ ลูกสาวลุงเจตน์ แฟนคลับนัมเบอร์วันของคุณตะวัน”
อ้อ... มินตราถึงบางอ้ออย่างวดเร็ว
“แล้วอีกคนนั่นล่ะ”
“อีกคนนั่นพี่บัวทอง เป็นพี่สาวค่ะ พี่บัวทองนิสัยดี คุณมิ้นอย่าไปโกรธเธอเลยนะคะ”
“บัวเงิน บัวทอง... อย่างกับตะเภาแก้วตะเภาทอง เพราะงี้หรือเปล่าบนเรือนถึงได้มีทั้งไกรทองทั้งชาละวันอยู่ด้วยกัน” มินตราประชด “แล้วนี่นอกจากแม่บัวเงินอะไรนั่นแล้ว ฉันยังต้องระวังว่าจะโดนใครกัดอีกหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่หรอกค่ะ รายนั้นเห็นผู้หญิงสวยๆ เข้ามาในไร่ก็เห็นเป็นศัตรูหมด”
“กลางไร่กลางสวนแบบนี้ยังอุตส่าห์มีคนสวยๆ แวะมาด้วยเหรอ” มินตรากังขา
“มีสิคะ พวกสาวๆ ในหมู่บ้านน่ะเยอะแยะ ถึงนายภูมิจะหล่อน้อยกว่าคุณตะวัน แต่พ่อแม่ของพวกสาวๆ เขาก็หมายมั่นอยากได้นายภูมิเป็นลูกเขยกันทั้งนั้นแหละค่ะ บางทีก็แวะมาเยี่ยมนายภูมิ เอาของมาฝากบ้าง แต่เป้าหมายจริงๆ ก็พาลูกสาวมาเปิดตัวนั่นแหละ ลุงในหมู่บ้านบางคนยังมาชวนนายภูมิไปลงสมัครเป็นอบต.เลยนะคะ”
“ถ้าผู้ชายบ้านนี้หัวกระไดไม่แห้งเสียขนาดนั้น ทำไมยังโสดกันอีก” มินตราลดเสียงลงเพื่อถามต่อ “นอกจากฉันแล้ว กฐินเคยเห็นนายภูมิพาผู้หญิงที่ไหนมาที่บ้านบ้างไหม”
เด็กหญิงกลอกตาขบคิดครู่หนึ่ง “ส่วนใหญ่จะเป็นคุณตะวันพามาค่ะ ส่วนนายภูมิยังไม่เคยเห็นพาใครมานะคะ มีแต่ผู้หญิงตามมาเอง อย่างคุณพิมนั่นก็คนหนึ่ง”
“พิมประกายน่ะหรือ”
“ค่ะ คุณมิ้นรู้จักคุณพิมด้วยเหรอคะ”
มินตราแบะปากอย่างไม่ใส่ใจ รายนี้ถ้าภูมินั่งยันนอนยันว่าไม่คิดจะรีเทิร์น มินตราก็ไม่อยากสนใจหรอก ที่เธออยากรู้คือรายอื่นต่างหาก
“แล้วนอกจากคุณพิมล่ะ นายภูมิเขาเป็นผู้ชายนะ เขาจะไม่สนใจผู้หญิงที่ไหนบ้างเลยเหรอ”
“เรื่องนั้นกฐินไม่รู้หรอกค่ะ ถ้ายังไงคุณมิ้นไม่ลองถามนายภูมิดูล่ะคะ”
มินตราทำปากยื่นอย่างขัดใจ พอดีกับที่ได้ยินเสียงผิวปาก พอหันไปก็เห็นชายกลุ่มหนึ่งกำลังตั้งวงเหล้ากันอยู่ แต่ที่ทำให้มินตราสนใจเห็นจะเป็นเรือนไม้สองชั้นค่อนข้างใหม่หลังนั้นมากกว่า ไม่ยักรู้ว่านอกจากเรือนใหญ่ของเจ้าบ้านกับบ้านพักคนงานแล้ว ยังมีบ้านหลังอื่นอยู่ในละแวกนี้อีก เสียงตะโกนโห่แซวอย่างคะนองปากของชายที่ดูจะเป็นหัวโจกวงเหล้าดังไม่ขาดปากจนกฐินต้องรีบจูงมือมินตราเดินหนี
“พวกคนงานเหรอ กลางวันแสกๆ มาตั้งวงเหล้ากัน ไม่ทำงานทำการหรือไง”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” กฐินรีบลดเสียงลงพลางหันรีหันขวาง “คนที่แซวคุณมิ้นน่ะชื่อคุณเดช เป็นอานายภูมิ ส่วนพวกที่เหลือคงจะเป็นเพื่อนจากในหมู่บ้าน ไม่รู้จะมีใครไปฟ้องนายภูมิหรือเปล่า เพราะเคยห้ามแล้วว่าอย่าพาคนนอกมากินเหล้าในไร่”
“อา?” มินตรานึกถึงชายผอมแห้งแก้มตอบ ท่าทางขี้โรคที่เห็นเมื่อครู่ นอกจากผิวเข้มแล้วแทบไม่มีเค้าอะไรที่ดูเหมือนอาหลานกันเลย “เขาอยู่ที่นี่งั้นเหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ ปกติทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ช่วงไหนถังแตกก็จะกลับมาพักที่ไร่” เด็กหญิงทำเสียงขึ้นจมูกอย่างมิใคร่ชอบใจ “ก็หวังขอยืมเงินนายภูมินั่นแหละค่ะ ทำเป็นว่ามาพักผ่อน แต่สักพักพอจะกลับก็ต้องลำบากนายภูมิให้เงินแกติดไม้ติดมือกลับไปด้วย กฐินไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ปกติเวลาไม่เมาก็พอคุยได้หรอกค่ะ แต่พอเมาทีไรก็ชอบหาเรื่องคนอื่นเขาไปทั่ว ชอบด่านายภูมิเสียๆ หายๆ แต่พอสร่างเมาก็ทำเป็นหงอยสำนึกผิด อ้างแต่ว่าเมาไม่ได้ตั้งใจ กฐินเกลียดคนแบบนี้ที่สุด ยังไงคุณมิ้นอยู่ห่างๆ แกไว้ก็ดีนะคะ”
พอแดดเริ่มกล้า มินตราจึงกลับเข้าเรือน กฐินขอตัวไปช่วยยายเตรียมอาหารเที่ยงรอคนงานที่โรงครัว อันที่จริงมินตราควรจะทำหน้าสวยๆ แล้วพูดทำนองว่าอยากไปช่วย แต่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์อยากทำอะไรทั้งนั้น เมื่อเช้าเพราะมัวแต่วุ่นๆ ดูพี่น้องทะเลาะกัน มินตราเลยไม่ทันคิดว่าน่าจะโทรศัพท์กลับบ้านก่อน ดังนั้นจึงตั้งใจว่าพอกลับถึงเรือนจะโทรศัพท์หามารดาทันที แต่ยังไม่ทันถึงหัวกระได เสียงเรียกกระโชกก็ทำให้มินตราหยุดกึก หันไปเจอคนตัวใหญ่กำลังสาวเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“นี่เธอออกไปไหนมา!”
มินตรามองไปรอบตัวราวกับว่าเขากำลังถามคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ
“ก็ออกมาเดินเล่นน่ะสิ”
“ออกมาเดินเล่นทั้งๆ ที่แต่งตัวแบบนี้เนี่ยนะ”
พอชายหนุ่มวาดมืออย่างฉุนเฉียว มินตราจึงก้มมองตัวเองอย่างไม่เข้าใจ เธอยังสวมเสื้อผ้าที่สวมนอนเมื่อคืน เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น
“ฉันก็ใส่ของฉันอย่างนี้เป็นปกติอยู่แล้ว จะให้ฉันใส่อะไรล่ะ”
“ถ้าจะใส่แบบนี้ก็อยู่แค่ในบ้าน ถ้าออกมาข้างนอกเธอต้องแต่งตัวให้มิดชิดกว่านี้ เกิดใครมาเห็นเข้าจะคิดยังไง”
“เอ๊ะคุณนี่ เขาจะคิดยังไงฉันจะไปรู้เหรอ ฉันรู้แค่ว่าฉันใส่เสื้อผ้าของฉันปกติ ไม่ใช่จะออกไปยั่วยวนใคร ถ้ามีคนคิดอกุศลกับฉัน มันเป็นความผิดของฉันหรือไง”
“นี่คราวก่อนเธอยังไม่ได้บทเรียนอีกใช่ไหม” ภูมิเค้นเสียง ทำให้หญิงสาวชักเถียงไม่ค่อยออก รู้ว่าเขาหมายถึงเหตุการณ์ที่เธอเกือบถูกฉุด
“มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ หรือคุณจะบอกว่าคนที่นี่เป็นพวกบ้านป่าเมืองเถื่อน เจอผู้หญิงแต่งตัววับๆ แวมๆ ก็พร้อมจะฉุดทันที คราวหน้าคราวหลังฉันจะได้ไม่ต้องออกจากบ้านคุณอีก”
ภูมิสูดลมหายใจลึกอย่างอดทน รู้ว่าเถียงไปก็เท่านั้น ถ้าจะทำให้ผู้หญิงคนนี้เข้าใจมีแต่ต้องใจเย็นแล้วค่อยอธิบายเหตุผล
“ฟังนะ ที่นี่ไม่เหมือนที่ที่เธอเคยอยู่ ผู้หญิงที่แต่งตัวเปิดเนื้อเปิดตัวคนเขาจะมองไม่ดี พวกคนงานที่นี่อาจเกรงใจฉันเพราะรู้ว่าเธอเป็นใคร แต่ฉันห้ามความคิดพวกนั้นไม่ได้ และไม่อาจรับประกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะมีใครคิดอกุศลอะไรกับเธอเลย ดังนั้นอย่าเอาไฟไปเล่นใกล้น้ำมันดีกว่า เกิดมันลุกไหม้ขึ้นมา เธอจะโวยวายว่าทำไมน้ำมันมันติดไฟไม่ได้หรอกนะ ฉันยังไม่อยากไล่คนงานคนไหนออกหรือส่งเข้าตะรางอีก ดังนั้นทำตัวให้ดีๆ อย่าเพิ่มปัญหาให้ฉัน”
พอเห็นว่าภูมิไม่ได้ล้อเล่นหรือแค่หาเรื่องตำหนิ มินตราก็ยิ่งเถียงไม่ถนัด ก็อย่างว่า เธอถนัดแต่เถียงข้างๆ คูๆ เท่านั้น แต่ถ้าเถียงแบบมีเหตุมีผล อย่างไรเธอก็สู้ไม่ไหว
“ใครจะไปรู้ กินข้าวเสร็จคุณก็หายหัวไปทันที ฉันจะไปตรัสรู้ได้ยังไงว่าที่นี่มีอะไรทำได้ ทำไม่ได้” หญิงสาวแย้งเสียงอุบอิบ “แล้วนี่เทศนาฉันจบหรือยัง จะได้ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นี่น้ำยังไม่ได้อาบเลย”
ภูมิฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า สุดท้ายจึงรุนหลังหญิงสาวให้ขึ้นบันไดไปพร้อมกัน
“เดี๋ยวฉันจะเข้าไปซื้อของในอำเภอหน่อย จะไปด้วยไหม”
“ไปสิ!” มินตราตอบโดยไม่ต้องใช้เวลาคิด ดวงตาเป็นประกายด้วยความหวัง “ตกลง คุณจะส่งฉันกลับบ้านแล้วใช่ไหม”
“ฝันไปเถอะแม่คุณ”
มินตราบ่นงึมงำชิชะอย่างขัดใจ ก่อนจะฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมา ตอนแรกเธอว่าจะปล่อยผ่านไป เพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง แต่ถ้าภูมิยังยืนกรานจะให้เธออยู่ที่นี่ต่อไป ซ้ำพูดเองว่าไม่สามารถไว้ใจคนงานในไร่ได้ทุกคน อย่างนั้นถือเสียว่าเธอทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเองก็แล้วกัน
“เมื่อกี้ฉันเจออาคุณด้วย” พูดแล้วมินตราก็รอให้ชายหนุ่มถาม แต่เขาเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ฉันเห็นกินเหล้าอยู่กับใครก็ไม่รู้ที่เรือนหลังนอก”
“เอาอีกแล้วหรือนี่” น้ำเสียงของชายหนุ่มเข้มขึ้นทันที ตามด้วยเสียงถอนใจเหนื่อยหน่าย
“คุณนี่ก็เป็นหลานที่ดีจังเลยนะ ปลูกเรือนสวยๆ ไว้ให้อาก๊งเหล้า”
“เรือนหลังนั้นเมื่อก่อนเป็นของนายดิน ฉันปลูกให้ตอนที่แต่งงานใหม่ๆ พอย้ายออกไปเลยไม่มีใครอยู่ อาเดชกับนายตะวันไม่ค่อยถูกกัน ฉันก็เลยให้อาไปพักที่เรือนนั้นชั่วคราว ไว้เดี๋ยวฉันจะเตือนก็แล้วกัน”
เมื่อชายหนุ่มยืนยันเช่นนั้น มินตราก็ถือว่าหมดหน้าที่ตัวเอง ที่เหลือก็ให้เขาไปจัดการอาของเขาแล้วกัน หลังจากอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ภูมิก็พาเธอออกจากไร่มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอำเภอ ระหว่างที่นั่งรถไปด้วยกันเพราะไม่รู้จะคุยอะไรกันดี มินตราจึงถามเรื่องที่แอบคาใจอยู่นิดๆ
“คุณบอกว่าไม่อยากไล่คนงานคนไหนออก หรือส่งเข้าตะรางอีก หมายความว่าเมื่อก่อนคุณเคยทำแบบนี้มาแล้วเหรอ”
ภูมิเงียบไปนาน หว่างคิ้วขมวดชิด ก่อนจะตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“หลายปีก่อนฉันรับคนงานผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา เท่าที่ถามประวัติเห็นเป็นเด็กกำพร้า ถูกสามีทิ้งก็เลยระหกระเหินหางานทำไปทั่ว พอดีว่ามีคนแนะนำว่าที่ไร่ของฉันกำลังอยากได้คนงานชั่วคราวเลยเข้ามาขอทำงาน”
“คงไม่ใช่ว่าพอเข้ามาแล้วถอดคราบกลายเป็นแมวขโมยหรอกนะ” มินตราคาดเดาอย่างเริ่มสนุก
“เปล่า ผู้หญิงคนนั้นออกจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อย อยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัวด้วยซ้ำ แต่ก็ขยันขันแข็งดี ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใคร แต่ก็อย่างว่าผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้อง ผู้ชายบางคนมันถึงได้หาทางฉวยโอกาส คนงานของฉันสองคนวางแผนกับผู้ชายในหมู่บ้านตั้งใจจะฉุดผู้หญิงคนนั้นไปข่มขืน เดชะบุญมีคนไปเห็นเลยมาบอกน้องชายฉัน”
“คุณตะวันหรือคุณดิน”
“นายดินเป็นคนไปช่วยผู้หญิง ฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่เห็นว่ามันโกรธจัดจนซัดพวกเวรนั่นหมอบไปสองคน ส่วนพวกที่เหลือก็ส่งเข้าคุกรับโทษ ไอ้คนที่เป็นหัวโจกเป็นลูกหลานพวกมีอิทธิพลในหมู่บ้าน มันผูกใจแค้นฉันกับนายดินน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มันพาลหมายหัวไปถึงผู้หญิงด้วยนี่สิ นายดินเลยเป็นกังวล กลัวว่ามันจะย้อนกลับมาทำร้ายผู้หญิงอีก” เล่าถึงตรงนี้ภูมิก็ระบายลมหายใจแผ่ว “สุดท้ายมันเลยแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นซะเลย”
“อ้าว!” มินตราหน้าเหลอกับบทสรุป “นี่คุณกำลังพูดถึงน้องสะใภ้ตัวเองอยู่เหรอเนี่ย”
“ชีวิตนารีผ่านเรื่องร้ายมาเยอะ ซ้ำชอบคิดว่าตัวเองต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับนายดินอย่างนู้นอย่างนี้ กว่าจะลงเอยกันได้ก็เล่นเอาฉันปวดหัวไปเหมือนกัน สำหรับฉันถ้าแค่สองคนนั่นรักกัน พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ฐานะหรือชาติตระกูลมันไม่สำคัญหรอก”
“คุณพูดได้เพราะคุณมีเงินน่ะสิ”
“แล้วยังไง”
“แล้วยังไง” มินตราย้อน “มีเงินก็มีความมั่นใจ เพราะไม่ต้องทนอยู่กับความไม่มั่นคงของชีวิต เพราะรู้ว่าตัวเองสามารถใช้เงินสร้างทางเลือกได้ แต่กับคนไม่มีเงินทำอะไรก็ต้องระวัง ต้องอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัว จะพูดจะทำอะไรก็อึกอักเพราะตัวเองไม่สามารถสร้างทางเลือกได้แบบคนรวยๆ เขา น้องสะใภ้คุณก็คงรู้สึกแบบนี้”
“ก็ใช่ ฉันมีต้นทุนมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยจากสมบัติพ่อแม่” ภูมิยอมรับ “แต่ฉันไม่เคยลืมว่าตอนที่ได้มาฉันก็แค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ทรัพย์สมบัติพวกนั้นงอกงาม ถ้าตอนนั้นเอาแต่ใช้จ่ายไม่รู้จักหา ชีวิตก็คงไม่เป็นแบบนี้ ในวันที่เราเกิดมา เราอาจเลือกไม่ได้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นไปจนถึงอนาคต ก็มีแค่ตัวเองนี่แหละที่เป็นผู้กำหนด คนที่ขยัน อดทนทำมาหากินอย่างสุจริต ยังไงก็ไม่อดตายหรอก และฉันชื่นชมนารีในข้อนี้ ดังนั้นไม่ว่าเธอจะยากดีมีจน ฐานะ ชาติตระกูลเป็นยังไง มันจึงไม่สำคัญสำหรับฉัน นี่ถ้าไอ้ตะวันมันได้สักครึ่งของนารีก็คงดี”
พอได้ยินภูมิพูดถึงน้องชาย ทั้งยังความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่น มินตราก็ชักสงสัยว่าพี่น้องคู่นี้มีปัญหาอะไร เท่าที่ฟังน้องๆ คนที่เหลือของภูมิก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกัน หรือจะบอกว่าเป็นน้องคนเล็กที่ถูกตามใจมานาน แต่หลังจากพ่อแม่ของภูมิเสีย ตอนนั้นนายตะวันก็น่าจะยังเล็กอยู่ และคงจะได้รับการเลี้ยงดูจากพี่ๆ แทน คนเราอยู่ด้วยกันมานานขนาดนั้นจะไม่มีความรักความผูกพันต่อกันบ้างเลยหรือ
ตัวอำเภอที่ภูมิอาศัยอยู่แม้ความเจริญจะเทียบเท่าตัวเมืองไม่ได้ แต่ก็นับว่ามีความเจริญระดับหนึ่ง สังเกตจากสิ่งก่อสร้างต่างๆ ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้าขนาดเล็ก ตึกอาคารหลายแห่งเปิดให้เป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ไหนจะร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดและร้านกาแฟอีก
ภูมิพาเธอแวะธนาคารก่อนเป็นแห่งแรก มินตราไม่กล้าถามอะไรซอกแซกนัก เพราะกลัวว่าจะเกี่ยวกับเงินสิบล้านของเขาที่ต้องสูญเปล่าไป จากนั้นทั้งคู่ก็แวะดูห้องแถวสองชั้นหกคูหาที่กำลังก่อสร้าง ภูมิใช้เวลาคุยกับนายช่างและตรวจความคืบหน้าอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ชวนเธอเดินข้ามถนนไปบริเวณตลาดเทศบาล มินตราถึงได้รู้ว่าชายหนุ่มเช่าแผงขายของในตลาดไว้ แบ่งผลผลิตส่วนหนึ่งจากไร่มาขายที่นี่โดยมีญาติของเขาดูแลให้ ภูมิตั้งใจว่าหลังห้องแถวสร้างเสร็จจะแบ่งห้องไว้เป็นที่ทางสำหรับค้าขาย ส่วนที่เหลือก็แบ่งเช่า ทำเลบริเวณนั้นเหมาะกับการค้าขาย เห็นว่าก่อสร้างยังไม่ทันเสร็จก็มีคนติดต่อจองไว้ล่วงหน้าแล้ว
“นอกจากไร่ สวน และฟาร์มไก่อะไรนั่นแล้ว คุณทำอะไรบ้างเนี่ย” มินตราอดถามไม่ได้
“ก็หลายอย่าง” ภูมิทำท่าขบคิด “พวกงานสวนไม่ค่อยหนักเท่าไหร่เพราะอาศัยว่าปลูกแล้วก็ดูแลไปเรื่อยๆ แต่งานไร่เหนื่อยกว่าเพราะต้องแข่งกับฤดูกาล ต้องไถต้องหว่าน ลงปุ๋ย เก็บเกี่ยวเสร็จได้พักไม่นานก็ต้องกลับไปไถเตรียมดินใหม่ แต่ช่วงที่หยุดพักยังไงก็ต้องมีรายได้อย่างอื่นเข้ามา ฉันก็เลยเลือกทำเกี่ยวกับปศุสัตว์เพิ่ม เทียบแล้วฟาร์มไก่ที่ทำมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรหรอก”
“แล้วบ่อเลี้ยงปลาล่ะ”
“ก็เห็นที่ดินท้ายไร่มันว่างๆ ก็เลยขุดทำบ่อปลา...”
“คุณพูดอย่างกับขุดบ่อเลี้ยงปลามันง่ายเหมือนเดินไปเก็บไข่ในเล้า” หญิงสาวประชด แต่กลับได้เห็นรอยยิ้มขี้เล่นที่ไม่เห็นมานานระบายบนใบหน้าคมเข้ม
“ไม่มีอะไรราบรื่นหรอก ฉันลองผิดลองถูกมาเยอะเหมือนกัน ตอนเลี้ยงไก่แรกๆ ไก่ที่เลี้ยงไว้เป็นโรคตายไปหลายร้อยตัว สุดท้ายก็เลยฆ่าทิ้งหมด เงินทองก็สูญเปล่า แถมคนใกล้ตัวฉันก็มีแต่พวกขี้ตกใจ เห็นฉันทำอะไรพลาดก็พากันห่วงใยเกินเหตุ”
“ฟังจากน้ำเสียงคุณแล้ว ไอ้คำว่าห่วงใยเกินเหตุคงไม่ใช่ว่าเขาจะรีบมาช่วยเหลือคุณใช่ไหม”
ภูมิยิ้มขื่น และเช่นเคยประเด็นใดที่เขาไม่อยากเอ่ยถึง ชายหนุ่มก็จะแสร้งเฉไฉพูดเรื่องอื่นแทน
“ชักหิวแล้วสิ ฉันว่าเราไปกินไก่ทอดกันดีไหม ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่ทั้งที”
“ไอ้ไก่ทอดฟาสต์ฟูดนั่นน่ะเหรอ” มินตรามองคนที่ทำท่ากระดี๊กระด๊าเป็นเด็กๆ “ฉันนึกว่าไอ้หนุ่มชุมชนอย่างคุณต้องกินพวกอาหารริมทางราคาถูก หรือไม่ก็กลับบ้านไปจับปลา เก็บยอดผักริมรั้ว หรือไม่ก็ตำน้ำพริกกินเสียอีก จะได้สารอาหารครบถ้วนกว่ากินอาหารขยะแบบคนเมือง”
“การใช้ชีวิตพอเพียงมันไม่ได้หมายถึงต้องทำตัวจนๆ เก็บผักเก็บหญ้ากิน แล้วรังเกียจรังงอนความซิวิไลซ์เสียหน่อย อีกอย่างมีเงินอยากกินอะไรก็กิน รู้ไหมฉันทำสปาเกตตีผัดขี้เมาอร่อยมากเลยนะ ไว้วันหลังจะทำให้กิน อ้อ ฉันว่าเราน่าจะแวะซื้อเสื้อผ้าให้เธอใหม่ด้วย”
“เดี๋ยว แล้วทำไมฉันต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วย”
“เพราะไอ้ชุดรัดๆ สั้นๆ ของเธอจะถูกสั่งเก็บทั้งหมด” ภูมิประกาศโดยไม่รู้สึกว่าทำเกินกว่าเหตุสักนิด “หรือถ้าอยากใส่ ก็ไว้ใส่ให้ฉันดูคนเดียว”
มินตรากำลังจะอ้าปากแย้งว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาเจ้ากี้เจ้าการกับการแต่งตัวของเธอ ทว่ายังไม่ทันจะอ้าปาก ก็ถูกเสียงเรียกหนึ่งขัดจังหวะเสียก่อน
“คุณภูมิ!”
ความคิดเห็น |
---|