16

ตอนที่ 16


มินตราอยากร้องไห้ และปล่อยให้ตัวเองร้องไห้โดยไม่สนด้วยว่าใครนั่งอยู่ข้างๆ แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่สนเช่นกันว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ ไม่สนอะไรเลยนอกจากความต้องการของตัวเอง มินตราคิดถึงกระเป๋าเดินทางของเธอที่จัดอย่างลวกๆ โดยแม่บอกว่าข้าวของที่เหลือ หากเธอต้องการอะไรจะส่งตามไปทีหลัง

หลังจากมินตรามีปากเสียงกับมารดาและภูมิอยู่พักใหญ่เมื่อวาน สุดท้ายเธอก็ถูกทั้งสองคนรวมหัวกันจับยัดใส่รถ เหลือแค่ยังไม่ได้มัดมือมัดเท้าด้วยเท่านั้นเอง

‘แม่ว่ายังไงนะคะ’ มินตราถามมารดาซ้ำ ต่อให้ได้ยินเต็มสองหูก็ตาม ‘แม่จะให้หนูไปกับเขาจริงๆ เหรอ’

‘แค่ชั่วคราวเท่านั้น ใช่ไหมคะคุณภูมิ’ อนงค์อรที่ยังนั่งหลังตรง ใบหน้าสงบนิ่งมองไปทางภูมิซึ่งพยักหน้ารับ

‘ครับ’

‘บ้าน่ะสิ เวลาแบบนี้เราต้องรีบตามหาพ่อ แล้วเอาเงินคืน ไม่ใช่ส่งให้หนูไปอยู่กับเขา ถ้าหนูไปจริงๆ แล้วใครจะอยู่ช่วยแม่’

‘เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง คุณภูมิเขาบอกว่าจะช่วย’ อนงค์อรยังยืนยัน หลังพยายามติดต่อหาอดิรุจ แต่ติดต่อไม่ได้ พอไปถึงคอนโดฯ ที่เขาเช่าให้โฉมฉายก็พบว่าทั้งคู่ย้ายออกไปแล้ว ยิ่งเมื่อสอบถามยามประจำหมู่บ้าน ก็ตรงตามที่ทั้งคู่คาด เพราะยามยืนยันว่าเมื่อเวลาประมาณตีสองอดิรุจขับรถเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมหญิงสาวคนหนึ่ง นั่นแทบไม่ต้องพูดถึงกล้องวงจรปิด เพราะต่อให้ดูอนงค์อรก็รู้แล้วว่าจะเห็นอะไร

‘แต่แม่คะ ให้มิ้นอยู่ช่วยไม่ดีกว่าหรือ...’

‘เธออยู่ไปก็เกะกะเปล่า แค่นี้คุณอรก็วุ่นวายพอแล้ว ให้ผู้ใหญ่เขาจัดการดีกว่า’ ภูมิแสดงความคิดเห็น ซึ่งทำให้ความโกรธมินตราพุ่งปรี๊ด

‘อย่ามาพูดจาเหมือนฉันเป็นเด็กอมมือนะ เวลาแบบนี้คุณยังจะให้ฉันทิ้งแม่ไว้คนเดียวอีก นี่คุณคิดไม่เป็นจริงๆ หรือคุณภูมิ’

‘งั้นเธอก็เลือกเอาก็แล้วกัน ระหว่างไปกับฉันดีๆ หรือจะให้ฉันแจ้งความ อย่าลืมนะอาฉันเป็นใคร ถ้าเรื่องไปถึงตำรวจเมื่อไหร่ ผลที่ออกมามีอย่างเดียวคือพ่อเธอต้องติดคุก แต่ที่ฉันไม่แจ้งความก็เพราะยังเห็นแก่คุณอรอยู่ จะตกลงกันเองดีๆ หรือจะให้ตำรวจเข้ามาจัดการแทน เธอคิดให้ดีเถอะมินตรา’

มินตราคอแข็ง ตัวสั่นด้วยความโกรธ

‘อ๋อ ที่แท้คุณจะให้ฉันเป็นตัวประกันแทนใช่ไหม กลัวว่าฉันจะหนีไปอีกคนใช่ไหม’ แทนที่จะปฏิเสธชายหนุ่มกลับไหวไหล่รับ ‘คุณนี่มันเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวที่สุด ใครจะเดือดร้อนยังไงคุณไม่คิดจะสนใจเลยใช่ไหม’

‘รู้สึกว่าคนที่ต้องเสียเงินเป็นสิบล้านไปและยังไม่ได้อะไรเลยคือฉันนะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ฉันยังเสี่ยงให้เธอหนีไปอีกคนล่ะ’

‘ฉันไม่มีวันหนี!’ มินตราร้องจนคอแทบแตก ‘กับอีแค่เงินเท่านั้น ฉันจะเอามาคืนเอง ที่ฉันต้องการก็แค่เวลาเท่านั้น’

‘เสียใจด้วย แต่ฉันไม่เชื่อหรอก’

มินตราได้แต่ก่นด่าสาปแช่งภูมิมาตลอดทาง ไม่ยอมมองหน้า ไม่ยอมพูดกับเขาแม้แต่คำเดียว หรือถ้าเขาพยายามพูดด้วย เธอก็จะขึงตาแดงๆ ใส่แล้วสะบัดหน้าหนี หลายต่อหลายครั้งนึกอยากใจกล้าพอที่จะกระโดดลงจากรถให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอเห็นว่าถนนที่เคยราบเรียบสี่สายกลายเป็นถนนเส้นเดียว และจากถนนสายหลักก็มุ่งสู่เส้นทางคดเคี้ยวผ่านไหล่เขาน่าหวาดเสียว ขืนกระโดดลงไปจริงๆ เธอคงไม่มีโอกาสได้กลับไปหาแม่อีกแน่

กระทั่งรถแล่นเข้าสู่ตัวเมืองของจังหวัด มินตราคิดว่าบ้านของภูมิน่าจะอยู่แถวนี้ แต่เขายังคงขับรถต่อไปอีกนับชั่วโมง ทิวทัศน์บ้านเรือนของหมู่เมืองค่อยๆ ลับหายไป กลายเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กและพื้นที่การเกษตร นานๆ ทีถึงจะเห็นบ้านสักสองสามหลังกระจายกันอยู่ห่างๆ ยิ่งตะวันใกล้ลับขอบฟ้าและรถของภูมิยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงที่หมาย จากความโกรธก็กลายเป็นความกังวลแทน

นี่เขาคงไม่ได้วางแผนพาเธอไปฆ่าทิ้งหรอกใช่ไหม หรือจะพาเธอข้ามไปขายที่พม่า!

มินตรากระสับกระส่ายจนแทบนั่งไม่ติด กระทั่งรถของภูมิชะลอความเร็วลง มินตรามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากต้นข้าวโพดที่เพิ่งขึ้นลำและเงาต้นไม้ใหญ่ตะคุ่มๆ ภูมิเลี้ยวรถสู่ถนนอีกสายที่ลาดด้วยคอนกรีต สุดปลายทางเห็นต้นไผ่สูงเรียงซ้อนกันหนา ก็ไหนภูมิบอกว่าบ้านเขาไม่ได้อยู่ในป่าในเขาไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันอะไร... อ้อ อย่าบอกนะว่าไม่ได้อยู่ในป่าเขา แต่อยู่ในป่าไผ่แทน มินตรานึกภาพต้องนอนในกระท่อมมุงใบจาก ตัวบ้านทำจากไม้ไผ่ ตอนกลางคืนต้องจุดตะเกียงน้ำมันแล้วอยากกระโจนไปบีบคอคนข้างๆ ให้ตายคามือ

“ที่นี่บ้านคุณเหรอ” มินตราจำใจถามเพื่อความแน่ใจ

“ก็ที่นี่แหละ จะที่ไหน”

“ทำไมมันกันดารแบบนี้”  

“กันดงกันดารอะไร” เจ้าของบ้านเถียงเสียงแข็ง “กันดารมันแปลกว่า อัตคัด ฝืดเคือง แต่ดูโน่น เห็นไหมข้าวโพดไร่ข้างๆ ขึ้นลำแล้วทั้งนั้น แสดงว่าก่อนหน้านี้ฝนตกกำลังดี แล้วนั่นเห็นเสาไฟฟ้าไหม ที่นี่ไฟฟ้าเข้าถึงมายี่สิบปีกว่าแล้วนะจ๊ะ แล้วนู่นถัดไปทางโน้นเห็นไฟบนเสาส่งสัญญาณไหม โทรศัพท์ วิทยุ เขาใช้ได้มาหลายปีแล้ว”

“แต่ฉันไม่เห็นมีบ้านคนเลยสักหลัง รถสักคันจะวิ่งไปวิ่งมาก็ไม่มี” มินตราเถียง

“หมู่บ้านน่ะมี แต่ต้องขับรถต่ออีกสักกิโลถึงจะไปถึงหมู่บ้านใกล้ๆ แล้วนี่ก็ค่ำมืดแล้ว คนเขาก็อยู่ในบ้านกันสิ”

มินตราอยากเถียงว่าอย่างไรมันก็ไม่พ้นบ้านป่าบ้านดงอยู่ดีนั่นแหละ ผิดจากย้ายจากป่าดงมาอยู่กลางไร่ข้าวโพดเท่านั้นเอง แต่พอรถเคลื่อนผ่านเงาทึบของป่าไผ่ มินตราจึงเห็นพื้นที่กว้างซึ่งเป็นที่ตั้งของที่อยู่อาศัย และเมื่อมองไปรอบๆ ถึงเห็นว่าแนวไผ่สูงเหล่านั้นเป็นเหมือนกำแพงซึ่งล้อมรอบที่ดินบริเวณนี้ไว้ เรือนไม้หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่ไม่ต่ำกว่าห้าไร่ทำให้หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ตัวเรือนไม่ได้ดูหรูหราฟู่ฟ่าเหมือนเรือนไม้ที่คนในเมืองปลูกสร้างซึ่งเน้นเป็นบ้านทรงไทย เหมือนเจ้าของเรือนจะปรับปรุงจากของเดิมภายหลัง ไม่ได้สร้างใหม่ทั้งหมด เพราะบางส่วนยังคงสภาพเรียบๆ แบบดั้งเดิมอยู่

ภูมิขับรถเข้าไปจอดในโรงรถที่มินตราเห็นรถอื่นๆ อีกหลายคันจอดอยู่

“ถึงแล้ว”

พอชายหนุ่มดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูนำออกไป มินตราจึงจำใจลงจากรถอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอดีกับที่ได้ยินเสียงเรียกของผู้หญิงดังเข้ามา

“จะกลับวันนี้ทำไมไม่โทร. มาบอกก่อนคะ” สตรีวัยกลางคนนุ่งผ้าถุง รูปร่างค่อนข้างอวบถาม “แล้วนี่กินข้าวมาหรือยัง...”

คำถามสะดุดลงเมื่ออีกฝ่ายเพิ่งสังเกตเห็นมินตราเป็นครั้งแรก ความสงสัยปรากฏบนใบหน้าอย่างไม่ปิดบัง ภูมิจึงปัดการตอบคำถามต่างๆ ด้วยการหิ้วกระเป๋าเดินทางลงจากท้ายรถ

“ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย สไบช่วยทำอะไรง่ายๆ สักอย่างสองอย่างก็แล้วกัน ไข่เจียวหรือผัดผักอะไรก็ได้ แล้วนี่ตะวันอยู่หรือเปล่า”

“ยังไม่กลับเลยค่ะ หายไปตั้งแต่เช้าแล้ว”

ภูมิพยักหน้ารับ ก่อนดันไหล่หญิงสาวให้เดินตามโดยมีสายตาของสไบมองตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอมาถึงหัวบันไดบ้าน มินตราก็พบชายวัยกลางคนเข้ามาทักภูมิอีก ทางนั้นดูเหมือนจะรอรายงานเรื่องงานอะไรบางอย่าง แต่ภูมิพูดอย่างรวบรัดก่อนย้ำว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกัน อีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับ ไม่ถามซอกแซก ยกเว้นสายตาที่มองตามทำให้มินตราอึดอัดบอกไม่ถูก

“พวกนั้นใคร ลุงกับป้าคุณเหรอ”

“ลุงเมื่อครู่ชื่อลุงเจตน์ แกเป็นหัวหน้าคนงานที่นี่ ทำงานกับฉันมาตั้งแต่สมัยพ่อแล้ว ส่วนป้าอีกคนชื่อสไบ เป็น...” ชายหนุ่มขบคิด “แม่บ้านของที่นี่ แต่ฉันก็นับถือเขาเหมือนลุงเหมือนป้านั่นแหละ คนเก่าคนแก่ที่อยู่ด้วยกันเราก็ดูแลกันเหมือนญาติพี่น้อง”

“คุณบอกว่าเขาเป็นหัวหน้าคนงาน แล้วคนงานคุณอยู่ไหน ฉันเห็นแถวนี้เงียบอย่างกับป่าช้า”

“บ้านพักคนงานอยู่ถัดออกไปโน่น เวลาปกติไม่มีใครเข้ามาแถวนี้หรอก ว่าแต่หิวหรือเปล่า”

ประโยคท้ายชายหนุ่มถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนลงกว่าทุกที อันที่จริงมินตราก็อยากรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยการปฏิเสธ แต่เธออ่อนเพลียเหลือเกิน เพลียทั้งจากการเดินทางและปัญหาที่ทำให้ตัวเองมาอยู่ที่นี่ แถมระหว่างที่เดินทางแม้ภูมิจะหยุดแวะร้านอาหารริมทาง ทว่าเพราะมินตรามัวแต่โกรธเลยไม่ยอมกินอะไรทั้งสิ้น ถ้าเธอยังต้องฉะกับชายหนุ่มอีก มินตราคิดว่ากินอะไรให้มีเรี่ยวมีแรงก่อนดีกว่า พอเธอยอมพยักหน้ารับทั้งที่ยังวางท่าหยิ่ง ภูมิก็ยิ้มอย่างพอใจ แต่ยังไม่ทันพ้นหัวกระได มินตราก็พบเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งปรู๊ดเข้ามา แต่พอเห็นว่าภูมิไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงผิวเข้มหุ่นเก้งก้างก็แทบเบรกไม่ทัน นัยน์ตาสีดำกลมใสจ้องมินตราด้วยความสนใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เสียแต่ปากน้อยๆ ถามตรงไปตรงมา

“ใครเหรอคะนายภูมิ”

‘นายภูมิ’ ถอนใจเบาๆ ก่อนส่งกระเป๋าให้เด็กหญิง

“กฐินเอากระเป๋าไปไว้ที่ห้องหน่อย พา...” ภูมิมองหญิงสาวข้างๆ “คุณมิ้นไปด้วย ให้อาบน้ำอาบท่าเสีย”

“ได้ค่ะ ว่าแต่เอาไปไว้ห้องใครคะ ห้องแขก ห้องนายภูมิ หรือห้องคุณตะวัน”

“บ๊ะ! ก็ต้องห้องฉันสิ แล้วทำไมต้องพาไปห้องตะวัน” ภูมิถามฉุนๆ แต่เด็กหญิงตาใสทำท่าเหมือนจะบอกว่า ผู้หญิงคนไหนก็ตามที่ขึ้นมาถึงเรือนใหญ่ได้ ถ้าไม่มาร้องทุกข์เรื่องตะวันก็คงไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้ว “ไปทำตามที่ฉันบอกก็พอ ไม่ต้องถามมาก”

อันที่จริงมินตราอยากแย้งว่าทำไมกระเป๋าเธอต้องไปอยู่ที่ห้องเขา แต่เหนื่อยที่จะเถียงเพราะรู้ว่าสุดท้ายเธอก็ต้องยอมทำตามที่เขาต้องการอยู่ดี ตอนนี้ขอเก็บเรี่ยวเก็บแรงไว้ก่อนดีกว่า เด็กหญิงกฐินเห็นตัวผอมๆ แบบนั้นแต่ลากกระเป๋าใหญ่สองใบอย่างคล่องแคล่ว ระหว่างที่ผ่านตัวบ้านไปมินตราสังเกตว่ามีห้องหลายห้องทีเดียว ตัวเรือนใหญ่โตขนาดนี้ภูมิคงไม่ได้อยู่คนเดียวแน่ แต่เท่าที่ฟังเขาบอกว่ามีแค่น้องชายคนเดียวที่อยู่ด้วย... ช่างเถอะ ใครจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ช่างปะไร เพราะเธอไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนักหรอก มินตราสรุปและเริ่มวางแผนเกลี้ยกล่อมภูมิในใจเงียบๆ

ทางด้านภูมิ ชายหนุ่มรอจนแน่ใจว่ามินตราลับหายไปแล้วจึงค่อยเดินออกไปนอกระเบียงเพื่อโทรศัพท์แจ้งข่าว ปลายสายคงรอเขาอยู่แล้วเพราะรับสายทันทีตั้งแต่กริ๊งแรก

“ถึงแล้วนะครับคุณอร” ชายหนุ่มเอ่ยกับปลายสายอย่างสุภาพ และได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจเบาๆ ตอบ

“ขอโทษด้วยนะคะคุณภูมิ นี่ยายมิ้นก่อเรื่องอะไรให้หรือเปล่าคะ”

“หน้าหงิกหน้างอมาตลอดทาง แถมร้องไห้หมดน้ำตาไปเป็นลิตรได้กระมังครับ ตอนนี้เลยหมดฤทธิ์เดชแล้ว”

“ลูกสาวฉันถูกตามใจจนเคยตัว” อนงค์อรยอมรับเสียงอ่อน “แต่ถ้าคุยกับแกดีๆ มีเหตุผลอธิบาย แกก็จะเข้าใจไม่ดื้อหรอก”

“ผมทราบครับ” คำตอบของภูมิแฝงรอยยิ้ม อาจเพราะนั่นเป็นข้อดีหลักๆ ที่ทำให้เขาติดเนื้อต้องใจมินตราอยู่แล้ว “ว่าแต่คุณอรแน่ใจนะครับว่าไม่มีปัญหา อันที่จริงผมก็คิดเหมือนมินตรา เวลาแบบนี้คุณควรมีใครสักคนอยู่ด้วย”

“ค่ะ แต่ไม่ใช่มินตรา คุณก็เห็นแล้วนี่คะ ปัญหาของฉันกับสามีทำให้ยายมิ้นเป็นอย่างไร อย่าให้ฉันต้องตอกย้ำความผิดหวังให้ลูกมากไปกว่านี้เลย”

“คุณไม่รักเขาแล้วหรือครับ” คำตอบของอนงค์อรคือเสียงหัวเราะขมขื่น

“เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง บางทีฉันก็สมควรยอมรับว่าแค่ความรักยังไม่พอ ฉันอยู่กินกับเขามายี่สิบกว่าปี ฉันแน่ใจจุดที่เราเป็นอยู่และยอมรับมันได้แล้วค่ะ”

คราวนี้ภูมิเป็นฝ่ายถอนใจบ้าง

“คุณอรจะให้ผมรั้งมินตราไว้ที่นี่นานแค่ไหนครับ เพราะถ้านานเกินไปผมไม่แน่ใจว่าจะรบชนะทุกครั้งหรือเปล่า อีกอย่างมินตรายังต้องเรียนหนังสือ”

“เรื่องทางมหาวิทยาลัยฉันจะจัดการเอง ส่วนระยะเวลา...ก็จนกว่าฉันจะได้พบคุณรุจและตกลงกับเขาให้เรียบร้อย”

“แล้วถ้าไม่เรียบร้อยล่ะครับ”

“ฉันไม่กลัวเรื่องหย่า หรือถ้าเขายังดื้อรั้นไม่สนใจว่าทำให้ใครต้องเดือดร้อน หากจำเป็นฉันก็ไม่กลัวที่จะเอาสามีตัวเองเข้าคุก ชีวิตของฉันอยู่มาจนปูนนี้อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว สำคัญก็แค่มินตราเท่านั้น แกยังเด็ก ยังมีอนาคต ฉันไม่อยากให้ชีวิตที่เหลืออยู่ต้องเจ็บปวดที่เห็นพ่อแม่ทำร้ายกัน ให้เวลาฉันสักหน่อยเถอะ ฉันสัญญาว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างเรียบร้อยและนุ่มนวลที่สุด”

ภูมิคุยกับอนงค์อรอีกครู่หนึ่งก่อนวางสาย เขาบอกว่าได้ปรึกษากับชัยวัฒน์เพื่อขอแรงตามหาอดิรุจ ส่วนข้อมูลใดๆ ก็ตามที่อนงค์อรคาดว่าจะเป็นประโยชน์ ก็สามารถบอกคนของอาเขาได้ทันที ตอนแรกภูมิคิดว่าจะโทรศัพท์หาภูริเพื่อปรับทุกข์ด้วย แต่พอเห็นสไบมาด้อมๆ มองๆ อยู่ใกล้ๆ เลยตัดใจเอาไว้คุยทีหลัง

“จะให้ตั้งสำรับที่ไหนดีคะ”

“นอกชานนั่นก็ได้ แล้วมีอะไรกินบ้าง”

“ชะอมไข่กับแกงส้มที่เหลือเมื่อหัวค่ำค่ะ พอไหมคะ ถ้าไม่พอเดี๋ยวสไบทอดปลาทูเพิ่มอีกสักสองตัว”

“แกงส้มเผ็ดมากไหม มิ้นกินเผ็ดไม่ค่อยได้ ถ้าเผ็ดแบบที่ฉันกินปกติก็ทอดปลาเพิ่มแล้วกัน”

“อ๋อ ไม่เผ็ดหรอกค่ะ คุณตะวันไม่อยู่ คงจะกินข้าวมาจากข้างนอกตามเคย สไบเลยทำกินกับนังกฐิน ทำให้เด็กมันกินได้เลยไม่เผ็ด”

“งั้นก็เอาแค่นั้นแหละ ขอบใจนะ” ภูมิเอ่ย แต่แทนที่สไบจะรีบเข้าครัวกลับยืนหน้าสลอนมองเขาอีก “เอ๊า ยืนอยู่ทำไม ไปจัดโต๊ะสิ ฉันหิวไส้จะขาดแล้วเนี่ย”

“ผู้หญิงที่พามา...ใครหรือคะนายภูมิ” สไบลดเสียงลงเป็นกระซิบกระซาบ “ไม่ใช่ว่าเมียคนไหนของคุณตะวันอีกใช่ไหมคะ”

เท่านั้นคนเป็นนายก็หน้าบูดทันที ให้เขาถูกทักว่าหิ้วเด็กกลับบ้านยังเจ็บน้อยกว่ามินตราถูกเข้าใจว่าเป็นเมียรายทางน้องชาย

“เขาชื่อมินตรา จะเรียกมิ้นก็ได้” ภูมิแนะนำและย้ำชัดเจนในตอนท้าย “แล้วมินตราน่ะเมียฉัน ไม่ใช่เมียคุณตะวัน ถ้าใครเข้าใจผิด สไบก็ประกาศให้รู้ไว้ซะ อย่าให้ฉันได้ยินอะไรไม่รื่นหูอีก”

ภูมิพูดจบก็เดินผ่านสไบที่ยืนอ้าปากค้างกลับไปที่ห้องตัวเอง คิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่ม เดี๋ยวเจ้ากรมข่าวก็คงโทรศัพท์ไปรายงานน้องชายน้องสาวเขาเอง ภูมิมาถึงห้องก็พอดีกับที่มินตราเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แต่แทนที่หญิงสาวจะกลับมาสดชื่น ดวงตาปรือสะลึมสะลือนั่นทำให้ภูมิต้องลากเธอออกมากินข้าวด้วยตัวเอง หลังจากมองหญิงสาวกินข้าวอย่างไม่รู้รส และขอตัวเข้านอนทันทีหลังข้าวหมดจาน ภูมิยังคงนั่งรออีกพักใหญ่จนแน่ใจว่าตะวันคงไม่กลับมานอนบ้านคืนนี้แน่ๆ จึงค่อยกลับเข้าห้อง

หลังจากเขาอาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนไปสวมกางเกงกับเสื้อผ้าฝ้ายตัวบาง ภูมิยืนเท้าเอวมองร่างเล็กที่นอนขดอยู่บนเตียงของตนเองแล้วทอดถอนใจ มินตราหลับไปแล้ว แต่คราบน้ำตายังเปรอะเปื้อนอยู่บนแก้ม ชายหนุ่มใช้มือปาดน้ำตาออกเบาๆ ก่อนสอดตัวลงใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ดึงร่างอ่อนนุ่มหอมกรุ่นเข้ามาแนบอกก่อนผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน 

มินตราจำต้องตื่นเพราะทนเสียงนกที่ร้องอยู่ด้านนอกไม่ไหว หญิงสาวรู้สึกผิดที่ผิดทางไปหมด หลังจากมองรอบตัวและทบทวนความทรงจำไม่นาน หญิงสาวก็รีบลุกพรวด มุ้งกลมที่แขวนอยู่เหนือเตียงยังกางมิดชิดจากทุกมุมและมีเพียงเธอที่นอนอยู่บนเตียง เวลานี้ยังเช้ามาก เช้ากว่าปกติที่เธอตื่น อาจเพราะเมื่อคืนเหนื่อยแถมนอนตั้งแต่หัวค่ำกระมัง

หญิงสาวคลานลงจากเตียงช้าๆ เห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองวางอยู่ที่มุมห้อง ก่อนจะเดินผ่านไปเลื่อนผ้าม่านที่กั้นระหว่างประตูบานเลื่อนกับระเบียง เสียงผู้คนและเสียงเครื่องยนต์แว่วมาจากลานกว้างหน้าบ้าน พอมองจากตรงนี้มินตราถึงเห็นว่าถัดออกไปไม่ไกลจากบริเวณสวนของตัวบ้านคือห้องแถวแบบชั้นเดียว น่าจะเป็นบ้านพักคนงานที่ภูมิบอกเมื่อวาน แต่เสียงพูดคุยที่แว่วเข้ามานั้นภาษาสำเนียงฟังไม่คุ้นหูเอาเสียเลย ท่ามกลางคนงานที่แต่งตัวคล้ายๆ กันไปหมด คือเสื้อผ้าสีทึบแขนยาว ถุงมือ หมวก และรองเท้าบูต มินตรากลับสะดุดตากับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านล่าง นอกจากรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ท่ายืนกอดอกไหล่ตรงนั่นก็เด่นสะดุดตากว่าใครๆ มินตราได้ยินภูมิพูดกับคนงานเหล่านั้น ก่อนจะเดินตามไปยังรถบรรทุกคันเล็กที่จอดอยู่พร้อมคนงานชายหญิงซึ่งกระโดดขึ้นไปบนกระบะด้านหลัง 

ไม่นะ เขาจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่าจะคุยกับเธอให้รู้เรื่องก่อน

มินตรากึ่งเดินกึ่งวิ่งรีบออกจากห้อง ก่อนจะเลี้ยวเข้าโถงใหญ่ของเรือนหญิงสาวชนโครมเข้ากับใครบางคนที่เดินเลี้ยวเข้ามาพอดี คนทั้งสองผงะถอยหลังไปคนละก้าว ถ้าเป็นเวลาปกติมินตราคงด่าแถมให้ด้วยแล้ว แต่เพราะสถานที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้นับว่าเป็น ‘ถิ่น’ ของคนอื่น เธอถึงได้แค่เงยหน้ามองอีกฝ่ายเท่านั้น

ผู้ชายผิวขาวรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังจ้องมินตรากลับเช่นกัน ตอนแรกสีหน้าของเขาดูไม่พอใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแปลกใจและสงสัย

ตะวัน... มินตราเดาว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นตะวันน้องชายของภูมิแน่นอน เพราะช่างเหมือนกับที่ภูมิบรรยายไว้เป๊ะ รูปหล่อ หน้าติดจะหวานเสียด้วยซ้ำ ผิวขาวจัดต่างกับพี่ชายราวท้องฟ้ากับก้นเหว แต่ความเจ้าชู้ในสายตาคู่นั้นยามกวาดมองมาทำให้มินตราไม่พอใจนัก

“เธอเป็นใคร” ชายหนุ่มถาม

เป็นใครเหรอ...จะให้บอกอย่างไรเล่าว่าเธอเป็นใคร พอมินตราจะเดินหนีไปดื้อๆ อีกฝ่ายก็คว้าต้นแขนเธอไว้ เห็นท่าทางภายนอกนุ่มนิ่ม แต่มือที่ยึดแขนกลับกำแน่นจนมินตราสะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด

“ปล่อยฉันนะ”

“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร แล้วมาทำอะไรบนบ้านฉัน หรือเป็นคนงานที่พี่ภูมิพามาใหม่ โอ้โหเฮ้ย พี่ชายฉันนี่แอบร้ายเหมือนกันแฮะ ทีน้องตัวเองละด่าเอาด่าเอา ทีตัวเองนี่ถึงขั้นพาขึ้นมานอนกกถึงบ้าน” ชายหนุ่มเอ่ยเยาะ “ว่าแต่หน้าตาเธอไม่เหมือนพวกคนงานเลยนะ หรือพี่ภูมิหิ้วมาจากในเมือง”

“ไม่ใช่!” มินตราสะบัดแขนอีก แต่ก็ยังไม่หลุดอยู่ดี มิหนำซ้ำยังทำตัวเองเจ็บเสียเปล่าด้วย “ฉันไม่ใช่คนงาน ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น เรียกพี่ชายคุณมาหาฉันสิ ฉันมีเรื่องจะตกลงกับเขา”

“ทำไม หรือพี่ภูมิยังไม่ได้จ่ายเงินให้” ตะวันพูดแล้วหัวเราะ จงใจดึงหญิงสาวเข้ามาแนบตัวยิ่งขึ้น “เอางี้ไหม เดี๋ยวฉันซื้อเวลาต่อเองก็ได้ ฉันเก่งกว่าพี่ภูมิ... โอ๊ย!”

เสียงร้องของตะวันดังลั่นเมื่อโดนหญิงสาวกัดแขนแทบจมเขี้ยว พอเขาปล่อยมือ ร่างบอบบางก็สะบัดตัวหลุด แถมออกแรงผลักจนเขาเซชนกับผนัง

“นังบ้าเอ๊ย!”

“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย!” มินตราร้องลั่น วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตกระทั่งเห็นเด็กหญิงคนเมื่อคืนพอดี ถึงไม่รู้ว่าช่วยอะไรเธอได้หรือเปล่า แต่มินตรารีบไปหลบด้านหลังแล้วดันเด็กหญิงที่ยังทำหน้าเอ๋อออกไปรับหน้าแทน “อย่าเข้ามานะ ฉันสู้นะจะบอกให้!”

“นี่มันบ้านฉัน เธอนั่นแหละกล้าดียังไงถึงเสนอหน้าขึ้นมาถึงที่นี่ แล้วยังมาทำร้ายเจ้าของบ้านอีก” ตะวันตะคอกอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน

“ฉันไม่ได้เสนอหน้าย่ะ! พี่ชายคุณนั่นแหละพาฉันมาเอง จะมาโทษฉันได้ยังไง ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามเขาดูสิ ใช่ไหม บอกเขาไปสิ” มินตราเขย่าไหล่เล็กๆ อย่างเร่งเร้า

“จริงค่ะ นายภูมิพาคุณมิ้นมาเมื่อคืน” เด็กหญิงพยักหน้าหงึกๆ

“แล้วนี่พี่ภูมิอยู่ไหน ถ้าจะหิ้วผู้หญิงมานอนด้วยก็หัดดูแลหน่อยสิวะ ให้เดินไปทั่วบ้านแบบนี้ เกิดขโมยข้าวของจะทำยังไง”

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่านะ แล้วก็ไม่ได้มีนิสัยขี้ขโมยด้วย!” มินตราเถียงหน้าแดง “ฉันถูกหิ้วมา แต่ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่า ไม่สิ ฉันไม่ได้ถูกหิ้ว ฉันถูกบังคับมาต่างหาก พี่ชายคุณเขาบังคับฉัน!”

“อะไรนะ” ตะวันชักสีหน้างุนงง ถึงพี่ชายเขาจะเป็นพวกบ้าอำนาจชอบบงการชีวิตคนอื่น แต่ถึงขนาดฉุดผู้หญิงนี่ เขาไม่คิดว่าคนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างภูมิจะกล้าทำ ถึงจะยอมรับว่าแม่นี่น่าฉุดก็เถอะ “ตกลงเธอเป็นใครกันแน่”

“เป็นเมียนายภูมิค่ะ” พอเด็กหญิงกฐินรายงานแจ๋วๆ สองเสียงก็แทบจะประสานขึ้นพร้อมกันทันที

“ว่าไงนะ”

“ไม่ใช่สักหน่อย!” มินตราแทบอยากกรีดร้องให้ถึงสวรรค์ชั้นฟ้า “ฉันไม่ได้เป็นเมียเขา เข้าใจผิดกันแล้ว”

“ก็นายภูมิบอกป้าสไบแบบนี้นี่คะ แถมเมื่อเช้าป้าสไบก็ทำหน้าที่เจ้ากรมข่าวประกาศไปทั่วไร่แล้วด้วย ป่านนี้แม่พวกผู้หญิงที่จ้องเขมือบนายภูมิคงต้องไปขุดแห้วมาเขมือบแทน อีกอย่างถ้าไม่ใช่ผัวเมียกันแล้วจะนอนด้วยกันในห้องนายภูมิได้ยังไง”

“โอ๊ย ฉันอยากจะบ้าตาย มันเวรกรรมอะไรของฉันกันนะ ถ้ารู้ว่าวุ่นวายแบบนี้ให้ตายยังไงฉันก็ไม่ยุ่งกับคนบ้านั่นแน่!”

“เสียงดังเอะอะอะไรลงไปถึงข้างล่าง”

พูดถึงคนบ้า คนบ้าก็โผล่หน้าเข้ามาทันที ภูมิเดินพ้นจากหัวบันไดยาวๆ แล้วหยุดมองน้องชายเล็กน้อยด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“แกหายไปไหนมาทั้งคืนตะวัน”

คนถูกตำหนิไหวไหล่ ก่อนปรายตาไปยังหญิงสาวตัวปัญหาซึ่งตอนนี้เขยิบไปยืนอยู่หลังพี่ชายแทน

“ผมว่าเช้านี้คนที่ควรถูกสอบสวนไม่ใช่ผมนะพี่ภูมิ”

มินตราถอยไปตั้งรับโดยยึดห้องของภูมิเป็นฐานที่มั่น หลังจากชายหนุ่มขอคุยกับน้องชายเป็นการส่วนตัว แต่หลังจากเดินวนไปวนมาในห้องอยู่หลายรอบ มินตราก็คิดว่าควรจะย้อนกลับไปเพื่อฟังว่าสองพี่น้องนั่นคุยอะไรกัน อย่างน้อยเธอจะได้รู้ว่าตัวเองอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร และภูมิสามารถปกป้องเธอได้แค่ไหน... แน่นอนว่าไม่ใช่ฐานะเมียหรือเด็กหิ้วด้วย!

“จะไปไหนเหรอคะ”

มินตราสะดุ้งโหยงเมื่อเพิ่งสังเกตว่าแม่เด็กหน้าแป้นดักรออยู่หน้าห้อง

“เอ่อ...ฉัน” มินตราสูดหายใจแล้วเชิดหน้าขึ้น “จะไปฟังว่าพวกเขาคุยอะไรกันน่ะสิ แล้วไม่ต้องมาห้ามฉันเชียวนะ”

“อุ๊ย ไม่ห้ามหรอกค่ะ แต่ให้กฐินไปด้วยนะคะ กฐินก็อยากรู้เหมือนกัน”

พอเด็กหญิงพร้อมเป็นลูกคู่ให้อย่างเต็มใจ มินตราก็เริ่มคิดว่าเห็นทีถ้าจะอยู่รอดที่นี่ให้ได้ เธอจำเป็นต้องผูกมิตรกับเด็กหญิงตาคมคนนี้ไว้ก่อน มินตรารีบย่องตามเด็กหญิงที่กวักมือเรียก หลังจากสำรวจว่าเส้นทางโล่งดีแล้ว เสียงพูดของสองพี่น้องเจ้าของบ้านที่ลอยมาทำให้ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่คนบนเรือนจะได้ยินเลย ใครผ่านไปผ่านมาข้างล่างก็คงได้ยินเสียงระดับแปดหลอดนั่นเหมือนกัน

“บ้านนี้เขาคุยกันเสียงดังแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วเหรอ” มินตรากระซิบถามเด็กหญิงกฐินที่พยักหน้าหนึ่งหนึ่งครั้ง

“นายภูมิน่ะเสียงดังเป็นปกติอยู่แล้วค่ะ ถ้าไม่เสียงดังนั่นแหละแสดงว่าผิดปกติ แต่คุณตะวันขึ้นเสียงเฉพาะเวลาไม่ได้ดั่งใจเท่านั้นแหละค่ะ แต่พอเจอผู้หญิงสาวๆ สวยๆ เข้าหน่อยเจ๊าะแจ๊ะหวานจ๋อย คุณมิ้นก็ระวังตัวหน่อยนะคะ แม่พวกผู้หญิงที่บ้านพักน่ะแฟนคลับอบป้าตะวันกันทั้งนั้น ยิ่งเจ๊บัวเงินนะคะ รายนั้นยิ่งต้องระวัง”

“หา?” มินตราหน้าเหลอ เมื่อได้ยินเด็กหญิงเรียกและเกือบจะหัวเราะตาม “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่สนจะสมัครเป็นแฟนคลับคุณตะวันของกฐินเพิ่มหรอกจ้ะ”

“คุณตะวันเฉยๆ ค่ะ ไม่ใช่คุณตะวันของกฐิน” เด็กหญิงแย้งหน้ามุ่ย “เพราะคุณตะวันเขาสนใจแต่สาวๆ ค่ะ ใครไม่สาว ไม่สวย ยิ่งเด็กอย่างกฐิน เตะได้คงเตะแล้วค่ะ”

“ก็ได้ๆ ว่าแต่พี่น้องกันแท้ๆ ไม่ยักเหมือนกันเลยสักอย่าง” มินตราพึมพำ ก่อนจะปิดปากเงียบเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง ดูเหมือนภูมิจะพูดถึงเธออยู่

“มินตราจะมาอยู่กับเราที่นี่สักพัก แกเองจะทำอะไรก็เห็นแก่หน้าฉันบ้าง อย่าทำอะไรให้มันประเจิดประเจ้อจนคนเขาเอาไปพูดไม่ดีไม่งามได้”

“รู้สึกว่าพี่ภูมิจะห่วงความคิดคนอื่นเสียเหลือเกินนะครับ แต่กับผมนี่ไม่ยักจะเห็นหัว พี่จะไปเอาผู้หญิงที่ไหนมาทำเมียผมไม่สนหรอกนะ แต่อย่างน้อยผมก็ควรจะรู้บ้าง ผมเดานะนี่พี่ดินคงรู้เรื่องแล้วใช่ไหม เผลอๆ พี่เปรี้ยวก็คงรู้เหมือนกัน” พอไม่มีคำปฏิเสธจากภูมิ คำพูดของตะวันก็ยิ่งเผ็ดร้อน “ดี ดีกันเสียจริง บ้านนี้คงมีแต่ผมที่โง่เป็นควายอยู่ตัวเดียว”

“เรื่องมันฉุกละหุก” ภูมิพยายามอธิบายใจเย็น “เมื่อวานฉันตั้งใจจะบอกแก แต่แกไม่ได้กลับบ้าน”

“พี่โทร. หาผมก็ได้” น้ำเสียงประชดประชันยังดังต่อไป “ผมอยู่บ้านเดียวกับพี่ เจอหน้าพี่แทบทุกวัน แต่คนที่พี่คิดถึงก่อนทุกครั้งกลับเป็นพี่ดินกับพี่เปรี้ยว พี่จะให้ผมคิดยังไง แล้วผู้หญิงนั่นพี่ไปคบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

“ถ้าแกไม่เอาแต่เที่ยวเล่น แล้วสนใจว่าฉันทำอะไรบ้าง แกกับฉันก็คงไม่ต้องมาเสียเวลาบอกกล่าวกันทุกครั้งหรอก เอาเป็นว่าฉันสรุปสั้นๆ ตรงนี้ มินตราเป็นเมียฉัน อาจจะเด็กกว่าแก แต่ฉันอยากให้แกวางตัวกับเธอให้ดีๆ”

มุมปากของตะวันขยับเป็นรอยยิ้มเย้ย

“แทนที่พี่จะมาห้ามผม ผมว่าพี่ไปห้ามเมียพี่ดีกว่ามั้ง ใครจะรู้แม่นั่นอาจอยากวางตัวไม่ดีกับผมก่อนก็ได้...”

มินตรากับกฐินยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกันเมื่อภูมิคว้าคอเสื้อน้องชาย แล้วเกือบจะยกเขาจนลอยขึ้นจากพื้นได้ด้วยซ้ำ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น