ภูมิฟังเสียงซี้ดปากและนึกภาพหน้าภูริยามนี้ได้อย่างชัดเจน หลังจากเล่าเรื่องการสู่ขอมินตราที่จบลงด้วยการถูกบิดาของอีกฝ่ายตีแสกหน้ากลับมาด้วยเงินสิบล้าน
“ว่าที่พ่อตาพี่คนนี้ท่าทางไม่ธรรมดาแฮะ” ภูริเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “แล้วเรียกเสียขนาดนี้ แถมบังคับให้หามาถวายภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ท่าทางเขาไม่ค่อยอยากให้พี่แต่งกับลูกสาวเขานะ”
“ก็ใช่น่ะสิวะ เขาคิดว่าฉันจะพาลูกสาวเขาไปใช้แรงงานฟรี หรือไม่ก็ขังไว้ในไร่ ไม่ให้เจอโลกภายนอกกระมัง ในสายตาเขาคงคิดว่าฉันกระจอกจนไม่มีแม้แต่ปัญหาซื้อข้าวให้ลูกสาวเขากิน”
ภูริฟังแล้วก็หัวเราะร่วน
“โหย นี่ขนาดคิดว่าพี่เป็นชาวไร่กระจอกๆ ยังเรียกตั้งสิบล้าน ถ้าเกิดรู้ว่าพี่มีมากกว่านั้น... ขอโทษนะพี่ สงสัยคงไม่ใช่แค่ขายลูกสาวกิน แต่คงหวังเข้ามาขอแบ่งมรดกเลย แล้วนี่จะเอายังไงครับ เงินมันไม่ใช่น้อยๆ นะพี่ อีกอย่าง พี่แน่ใจจริงๆ เหรอว่าเงินขนาดนั้นมันคุ้มค่ากับผู้หญิงคนนี้ แล้วแน่ใจนะว่าเขาจะมาอยู่กับเราได้”
“แม่เขาอยากให้หมั้นไว้ เพราะลูกสาวยังเรียนอยู่”
“ตายห่า!” ภูริร้องเสียงหลง ท่าทางตกใจเกินกว่าเหตุจนคนฟังชักคันไม้คันมือ “เงินก็ต้องเสีย แถมตัวก็ไม่ได้อีก จะบ้าตาย นี่เราต้องมาพะวงว่าพ่อเขาจะเอาลูกสาวไปขายมือสองเรียกราคาแพงๆ ให้ไอ้โง่ที่ไหนอีกหรือเปล่าครับนี่”
“ไอ้เวรนี่!” ภูมิด่าอย่างอดไม่อยู่ แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจแทน
“พี่ภูมิเอ๊ย พี่ภูมิ” ภูริทอดถอนใจ “เสียตอนไหนไม่เสีย ดันมาเสียตอนแก่ แถมเสียเพราะเด็กอีกต่างหาก เสียเงินเป็นสิบล้านเนื้อยังไม่ได้แตะ รอปากแห้งไปเท้อะ เผลอๆ เรียนไม่ทันจบเจอหนุ่มๆ หล่อๆ ในมหา’ลัยเดียวกันตามจีบ จะหนีไปกับเขาเสียเอง นี่ไม่ใช่ว่าผมคิดมากเกินไปนะ แต่มันมีโอกาส”
ภูมิไม่เถียง ต่อให้เขาสนใจมินตราแค่ไหน แต่สิ่งที่ภูริเอ่ยก็มีความเป็นไปได้ เขาเองก็คิดไว้เช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่อบิดาของอีกฝ่ายแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์เพียงนั้น แต่ถ้าถามว่าเขาจะล้มเลิกความตั้งใจหรือไม่ คำตอบคือไม่มีวันเด็ดขาด
“ไม่ว่ายังไงฉันต้องได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นเมีย” ภูมิสรุปหนักแน่น “ฉันยอมเสียใจภายหลัง ต่อให้วันหน้าหย่าร้างกัน แต่ฉันจะต้องแต่งงานกับมินตรา”
สิ้นคำภูมิได้ยินเสียงถอนใจของน้องชายอีก
“สำหรับผม ถ้าเป็นความสุขของพี่ ผมก็ยินดีสนับสนุน แต่ก็หวังว่าพี่จะเลือกคนไม่ผิด... เอาละ ผมว่าเรามาคุยปัญหาตอนนี้ดีว่า เงินสดขนาดนั้นพี่จะหาทันเหรอ”
“ตอนนี้ฉันมีอยู่ครึ่งหนึ่ง ถึงว่าจะถามแกพอจะให้ฉันยืมอีกสักครึ่งได้ไหม แล้วเดี๋ยวอีกสองสามวันฉันจะคืนให้”
“ได้ครับ” ภูริรับอย่างไม่อิดออด “อ้อ พี่...แล้วนี่คุณพิมเธอรู้หรือยัง”
“เรื่องมันฉุกละหุกขนาดนี้ฉันจะมีเวลาไปบอกใครที่ไหนวะ อย่าว่าแต่พิมเลย ก็มีแก มีอาชัย แล้วก็อาหน่อยเท่านั้นแหละที่รู้” ภูมิได้ยินเสียงครางอืมๆ ของน้องชาย
“งั้นพี่ก็ต้องหาเหตุผลดีๆ ไว้อธิบายแล้วละ เพราะไม่ใช่แค่คุณพิมที่จะปรี๊ดแตก ถ้ารู้ว่าพี่หลุดมือเขา ไอ้ตะวันนั่นก็อีกคน เกิดรู้ว่าพี่หอบเงินขนาดนั้นไปขอผู้หญิง มันได้ลงไปดิ้นพล่านขาดใจตาย หรือไม่ก็คงคอยแว้งกัดเมียพี่เหมือนที่มันทำกับเมียผมนี่แหละ แล้วปากมันเป็นยังไงพี่ก็รู้อยู่”
ภูมิแน่ใจว่าเหตุการณ์นั้นไม่ใช่แค่การคาดเดา แต่เกิดขึ้นจริงๆ แน่หากเรื่องไปถึงหูน้องชายอีกคน แต่คงไม่เหมือนกรณีของนารี เพราะน้องสะใภ้เขาแสนเจียมเนื้อเจียมตัว แถมยังเกรงใจญาติฝ่ายสามียิ่งกว่าอะไร แต่กับมินตราน่ะหรือ ภูมิเชื่อแน่ว่าฝ่ายที่จะถูกปากคมๆ กัดจนพรุนคงเป็นน้องชายตัวเองมากกว่า
“ยังไงขอฉันจัดการเรื่องทางนี้ให้แน่ชัดก่อนดีกว่า แกอย่าไปเพิ่งไปบอกตะวันมันล่ะ”
“ยายเปรี้ยวกับนารีก็บอกไม่ได้หรือครับ”
ภูมิขบคิดครู่หนึ่ง
“ก็ได้ แต่ยังไงกำชับด้วยว่าอย่าเพิ่งบอกใครนอกจากนี้ ให้รู้เฉพาะพวกเราก่อน”
“เอ๋ แล้วนี่ผมจะได้มีโอกาสเจอหน้าพี่สะใภ้บ้างไหมครับ” คำถามของภูริแม้จะได้ยินแค่เสียง แต่คนเป็นพี่ก็ยังอดคันไม้คันมือไม่ได้ “ตกลงว่าบ้านใหญ่เราจะได้มีงานเลี้ยงฉลองใหญ่กันเสียที”
“เรื่องนั้นคงตัดสินใจฝ่ายเดียวไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยากจะเปิดตัวหรือเปล่าว่ะ”
ตั้งแต่เกิดมามินตราเชื่อว่าตัวเองเป็นคนกล้าเสมอ เมื่อคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ก็จะยืนเป็นกระต่ายขาเดียวในความถูกต้องของตัวเอง ไม่เคยยี่หระสายตาหรือความคิดของใครที่มีต่อตน จนกระทั่งวันนี้ หญิงสาวกลับพบความอับอายอดสูจนอยากหนีไปอยู่เกาะร้างไร้ผู้คนให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่ออดิรุจประกาศเรียกค่าสินสอดสูงลิ่วราวกับจะขายลูกสาวครั้งเดียวแล้วสุขสบายไปทั้งชาติ แม้รู้ว่าการกระทำของบิดามีเป้าหมายเพียงไม่ต้องการให้ภูมิแต่งงานกับเธอ แต่ก็ยังถือเป็นการกระทำแสนน่าอับอายอยู่ดี และความเลวร้ายที่ตอกย้ำให้มินตรายิ่งกว่าอับอายคือ รุ่งเช้าวันต่อมาภูมิกลับมาพร้อมเงินจำนวนดังกล่าว โดยมีประจักษ์พยานเป็นอาเขยนายตำรวจใหญ่ของเขา ตอนแรกอดิรุจไม่เชื่อ คิดว่าชายหนุ่มคงเล่นตลก แต่ภูมิพิสูจน์ได้ว่าเงินทั้งหมดเป็นของจริงและเป็นของเขาอย่างถูกต้อง แทนที่จะดีใจอดิรุจกลับยิ่งรู้สึกเสียหน้า ปึงปังออกไปโดยทิ้งให้ลูกสาวกับภรรยาอยู่รับปัญหาต่อ
มินตราไม่รู้ว่าควรกังวลเรื่องใดดี เรื่องตัวเอง เรื่องพ่อ หรือที่ภูมิไปหอบเงินมากองตรงหน้า ถึงมินตราจะเชื่อว่าเขาไม่ยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะร่ำรวยมากมายเช่นกัน ตลอดเวลาที่แม่คุยกับชายหนุ่มและญาติของเขา มินตราแทบไม่รับรู้ว่าทุกคนตกลงอะไรกันบ้าง แต่ใช้เวลาไม่นานอาเขยของเขาก็ขอตัวกลับ เมื่อเหลือแค่อนงค์อรและมินตรา ท่าทีเป็นทางการของชายหนุ่มจึงลดลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่มินตรารู้สึกว่ามารดาพอใจภูมิอยู่หน่อยๆ ส่วนชายหนุ่มแม้จะวางท่าสบายๆ เหมือนปกติ แต่เวลาพูดจาก็ให้เกียรติอนงค์อรอยู่ไม่น้อย
“เรื่องงานหมั้น ไม่ทราบว่าทางคุณอรจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมอยากให้จัดเป็นงานเล็กๆ เชิญเฉพาะญาติพี่น้องหรือคนรู้จักที่สนิทกันเท่านั้น ผมไม่ได้อยากเร่งรัด แต่ตัวผมเองก็มีหน้าที่ที่ต้องกลับไปทำ คงเตรียมงานใหญ่ไม่ได้”
อนงค์อรมองลูกสาว ว่าที่ลูกเขย และ ‘สินสอด’ ก้อนโตด้วยความไม่สบายใจ
“จะให้ฉันพูดอย่างไรดีล่ะคุณภูมิ” อนงค์อรทอดถอนใจ “ฉันแทบไม่รู้จักคุณ แต่เพียงไม่กี่วันคุณก็จะกลายมาเป็นลูกเขยของฉัน แล้วดูเหมือนว่าตอนนี้ต่อให้ฉันอยากปฏิเสธก็คงทำไม่ได้”
ภูมิยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มคล้ายอยากปลอบโยน
“ผมไม่อยากให้เราเอาค่าของเงินมาวัด แต่จะบอกว่ามันไม่สำคัญเลยก็ไม่ได้ ผมแค่ต้องการหลักประกันกับสิ่งที่ผมคาดหวัง”
“ฉันเข้าใจค่ะ เรื่องฤกษ์ยามทางคุณจะจัดหาเองก็ได้ ส่วนแขก...” อนงค์อรขมวดคิ้ว “นอกจากเพื่อนร่วมงานแล้ว ฉันไม่มีญาติสนิท ส่วนคุณรุจ ทางนั้นฉันจะถามให้ว่าเขาอยากเชิญใครมาบ้าง แต่เท่าที่เดา ถึงมีคุณรุจก็อาจเชิญไม่กี่คน”
“ผมเข้าใจครับ อันที่จริงเรื่องการหมั้นสำหรับผมก็เพื่อให้แน่ใจว่าผมได้ทำทุกอย่างถูกต้องแล้วจริงๆ ผมไม่อยากให้ทางคุณอรไม่สบายใจ”
ภูมิใช้เวลาพูดคุยอีกครู่หนึ่งก่อนให้เบอร์โทรส่วนตัวแก่อนงค์อรไว้ หากมีอะไรต้องการให้เขาจัดการเพิ่มเติม และแม้จะไม่เต็มใจเพียงใด เมื่อชายหนุ่มขอตัวกลับ มินตราก็จำเป็นต้องเดินมาส่งหน้าบ้าน
“ตกลงคุณเป็นใครกันแน่”
คำถามที่หลุดออกไปเรียกให้คิ้วเข้มเลิกสูง มุมปากของภูมิขยับเป็นรอยยิ้มที่ระบุความคิดภายในไม่ได้เมื่อเขาลดสายตาลงมองหญิงสาว
“ทำไมถามแบบนั้น เรารู้จักกันมาตั้งนานนะ อย่างน้อยก็เป็นเดือน”
“ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน” มินตราเอ่ยตรงไปตรงมา เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าภูมิที่เธอรู้จักแท้ที่จริงคือคนไหนกันแน่ คือภูมิคนที่มีนิสัยขี้เล่น ชอบพูดจาสั่งสอน คนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ หรือผู้ชายท่าทางเย่อหยิ่ง ช่างบงการคน
“มันอยู่ที่ว่าเธอเลือกมองฉันตอนไหน แต่ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ฉันก็ยังเป็นฉันคนเดิม แล้วนี่หวังว่าพ่อของเธอคงไม่ตามมาพังงานทีหลังหรอกนะ ฉันถือว่าลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น อีกอย่างค่าสินสอดของเธอคงเล่นเอาฉันเป๋ไปสักปีสองปี”
“ก็ไหนเห็นนั่งเชิดอย่างกับจะประกาศว่าแค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วง” มินตรากล่าวด้วยความหมั่นไส้
“อยากเห็นพ่อเธอหน้าแหกกระมัง” ภูมิรับตรงๆ แต่แทนที่จะได้ยินคำพูดซ้ำเติมว่าเขาโง่เขลา หญิงสาวกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจ
“ฉันจะคืนเงินให้ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“คืนเงิน?” ความประหลาดใจเปลี่ยนเป็นยิ้มหยัน “นี่ถ้าคิดว่าฉันยอมหมดเนื้อหมดตัวเพราะเธอละก็คิดผิดแล้ว เงินนั่นมากก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้ฉันถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวหรอก และฉันไม่ห่วงด้วย ปัญหาที่ควรห่วงตอนนี้เห็นจะเป็นถ้าฉันหมดเนื้อหมดตัวจริงๆ พ่อเธอคงยุให้หย่า จากนั้นก็หาลูกเขยใหม่”
“ถ้าฉันคืนเงินให้คุณ ฉันก็ถอนหมั้นได้ใช่ไหม” ฝีเท้าชายหนุ่มหยุดกึกทันที มินตรารอเขาหันมาระเบิดอารมณ์ใส่เธอ ทว่านอกจากความเงียบแล้วภูมิกลับไม่ยอมพูดอะไร ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมและเรียบเฉยราวกับศิลา แม้แต่ดวงตาที่มักสว่างไสวด้วยอารมณ์ก็ดำมืดเสียจนน่าอึดอัด แต่ถึงเขาจะโกรธเคืองอย่างไร หลังทบทวนหลายต่อหลายครั้ง มินตราก็ได้ข้อสรุปเหมือนเดิมว่าการแต่งงานจะเป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตของทั้งคู่...
“นี่เธอตั้งใจจะหย่ากับฉันเสียตั้งแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนกันเลยหรือ” เขาถามเสียงเหี้ยม
ใจหนึ่งมินตราก็กลัวอยู่หรอก แต่เพราะเรียนรู้มาพอสมควรว่าต่อให้เขาทำท่าดุร้ายแค่ไหน แต่ไม่เคยทำร้ายใครจริงๆ พอชายหนุ่มไม่ยอมเดินต่อ แถมยังหันหน้ามาเท้าเอวอย่างเอาเรื่อง มินตราก็ยืดอกเท้าเอวตอบเช่นกัน
“ยอมรับความจริงเถอะค่ะ เราไปกันไม่รอดหรอก คุณจะมาเสียเวลา เสียเงินทองให้ผู้หญิงที่ไม่ได้รักใคร่ทำไม ถ้าคุณโกรธฉัน แค้นฉัน มันมีอีกหลายวิธีที่จะเอาคืน แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีนี้”
“อันนี้ฉันขอแย้งนะ เพราะฉันคิดว่าวิธีนี้แหละดีที่สุด”
หน้าตายียวนนั่นทำให้มินตราต้องพยายามที่จะไม่กระทืบเท้าแล้วร้องกรี๊ดๆ ออกมา
“นี่มันหมดยุคบังคับแต่งงานเพื่อแก้แค้นแล้วนะคู้น” หญิงสาวยังอดแผดเสียงไม่ได้อยู่ดี “ถ้าอยากแก้แค้นก็หาวิธีที่มันทันสมัยกว่านี้เถอะ!”
“แต่ฉันชอบแบบนี้ คลาสสิกจะตาย เสียดายว่าฉันไม่มีเกาะส่วนตัวนะ ไม่งั้นจะเอาไปขังแล้วจับปล้ำวันละหลายๆ รอบ ไว้มีลูกสองลูกสามแล้วปล่อยกลับบ้าน” เท่านั้นหญิงสาวก็แทบเต้นเร้า
“ทุเรศ! ในสมองผู้ชายจะคนไหนก็คิดได้แค่นี้ ฉันขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะ คุณจะไม่มีวันได้แตะต้องฉันอีก แล้วอย่าแม้แต่จะคิดใช้กำลังกับฉันเชียว ไม่งั้นฉันจะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย แม่ฉันเป็นทนายความนะ ฉันไม่ใช่เมียทาสที่ต้องทนถูกข่มเหงรังแกเหมือนไม่ใช่คน!”
“อย่ามาพูดเหมือนเธอเสียหายฝ่ายเดียวไปหน่อยเลย” ภูมิแย้งเสียงเย็น “เธอเป็นคนเริ่ม ดังนั้นเธอต้องเป็นคนรับผิดชอบ และฉันขอประกาศไว้ตรงนี้เลยเช่นกัน...” เขาจงใจล้อเลียน “ไม่มีเธอ ฉันก็หาผู้หญิงคนอื่นมาแทนได้”
น่าแปลกที่คำขู่นั้นทำให้มินตราคอแข็งทันที แม้ไม่เคยปรารถนาอยากแต่งงานกับเขา แต่หากเมื่อใดทั้งคู่เกี่ยวข้องเป็นสามีภรรยากันจริงๆ เธอจะไม่ยอมให้คนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีออกไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย หรือแม้แต่เมียเช่า เธอก็จะไม่ยอมเด็ดขาด การกระทำของพ่อสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวและหัวใจของมินตรามากเกินพอแล้ว เธอจะไม่ยอมให้ผู้ชายหน้าไหนมาทำแบบนั้นกับเธออีก
ร่างบางก้าวเข้าไปจนแทบประชิดคนตัวใหญ่ พอเขาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ มินตราก็ขู่ฟ่อทันที
“งั้นคุณก็ต้องเลือกแล้วละคุณภูมิ ว่าระหว่างติดแหง็กอยู่กับผู้หญิงที่แตะต้องไม่ได้ตลอดชีวิต กับการใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงสาวๆ สวยๆ ไม่ซ้ำหน้าแบบไหนคุ้มกว่ากัน เพราะฉันจะไม่ทนให้คุณทำทั้งสองอย่างพร้อมกันแน่”
“หึงหรือไง” ภูมิย้อน
“หึงน่ะไว้ใช้พูดกับคนสองคนที่เขามีเยื่อใย มีความรักต่อกัน แต่ฉันกับคุณไม่มีอะไรเลย และฉันสมเพชมากกว่า คุณรู้ดีว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันกับคุณต้องมาติดอยู่แบบนี้” พอเห็นใบหน้าบึ้งตึงของภูมิ แนวกรามที่ขบกันแน่นจนเป็นสันนูน มินตราก็ยิ่งตอกย้ำ “อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาข่มขู่ฉันอีกนะคุณภูมิ ฉันอาจเป็นผู้หญิงแพศยาที่ยอมมอบตัวเองให้คุณง่ายๆ แต่นั่นเพราะฉันถูกผลักดันจากความเจ้าชู้มักมากของผู้ชายที่เรียกว่าพ่อ ถ้าฉันต้องถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทำแบบเดียวกันอีก อย่าคิด...อย่าคิดว่าฉันจะทำอีกครั้งไม่ได้”
มือของภูมิฉกวูบเข้ามาคว้าต้นแขนหญิงสาวไว้มั่น แรงบีบอาจไม่มากมายหากเขาคิดจะทำให้เธอเจ็บจริงๆ แต่ก็หนักพอจะทำให้หญิงสาวตกใจ แม้จะโกรธเคืองทว่ามินตราก็ยังสบตากับดวงตาสีดำอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่แม้แต่จะหลบหนียามชายหนุ่มขู่
“งั้นเธอก็ระวังตัวเองไว้ เพราะฉันก็จะไม่ทนแบ่งเธอให้ใครเหมือนกัน!”
โฉมฉายนั่งฟังอดิรุจโวยวายถึงเรื่องลูกสาวคนโปรดด้วยความเบื่อหน่าย เบื่อจนแทบอยากจะอ้วก นี่ถ้าเป็นเด็กอายุสิบสองสิบสามเธอจะไม่ว่าสักคำ แต่นี่โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงอยู่แล้ว ไม่รู้จะห่วงอะไรกันนักหนา นี่ถ้าไม่คิดว่าเป็นโอกาสดีที่เธอจะเรียกคะแนนจากอดิรุจ เพราะเวลานี้ทั้งลูกทั้งเมียต่างเมินหน้าเขาหมด โฉมฉายคงไม่อดทนอดกลั้นแสร้งเข้าอกเข้าใจเพื่อให้อดิรุจรู้สึกว่ามีเพียงเธอเท่านั้นที่รับฟังเขา หญิงสาวรินเครื่องดื่มเติมให้เรื่อยๆ กระทั่งใบหน้าขาวๆ ของอดิรุจเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ บทสนทนาก็ยิ่งทวีความร้อนแรง โดยเฉพาะเมื่อเอ่ยถึงว่าที่ลูกเขย
ตอนแรกโฉมฉายก็นึกสาแก่ใจอยู่หรอกที่รู้ว่านังเด็กเมื่อวานซืนดันไปพลาดท่าเสียทีให้ผู้ชายชั้นต่ำ กระทั่งอดิรุจเอ่ยถึงการเรียกเงินสินสอดสูงลิ่ว หวังจะตอก ‘ไอ้เขยบ้านนอก’ ให้หงายหลัง แต่กลับเป็นตัวเองที่หน้าหงายแทน
“จริงหรือคะพี่รุจ ก็ไหนว่ามันเป็นแค่ชาวไร่ชาวสวนจะไปมีปัญญาหาเงินมาจากไหนขนาดนั้น ตายจริง นี่ไม่ใช่ว่ามันคิดว่าพี่ดูถูกมัน จนไปจี้ไปปล้นใครเขามาหรอกนะคะ”
“ไม่หรอก อามันเป็นถึงพลตำรวจเอกขนาดนั้น แล้วถ้ามันปล้นเงินมาได้ถึงสิบล้านมีหรือจะไม่เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ”
“แล้วไม่ดีหรือคะ อย่างน้อยลูกสาวพี่ก็ยังหาลูกเขยรวยๆ มาให้ได้”
“จะให้ร่ำรวยมาจากไหน สุดท้ายมันก็เป็นพวกคนงานชั้นต่ำ เป็นขี้ข้าแรงงานที่ไม่มีวันจะได้เป็นเจ้าคนนายคน แล้วท่าทางอย่างกับกุ๊ยแบบนั้น เกิดมันตบตีทำร้ายยายมิ้นขึ้นมาจะทำยังไง ยิ่งต้องไปอยู่ไกลหูไกลตาพ่อแม่ ถ้ามีปัญหาใครจะช่วยทัน”
โฉมฉายฟังแล้วอยากแบะปากด้วยความหมั่นไส้ ในสายตาอดิรุจแล้วไม่ว่าจะทำอะไร นังเด็กผีเจาะปากนั่นยังสูงส่งราวกับนางฟ้านางสวรรค์อยู่วันยังค่ำ
อดิรุจดื่มเหล้าที่เหลืออยู่จนหมด พอโฉมฉายจะเติมให้ เขาก็คว้าขวดไปจากมือแล้วเติมเอง ทำให้แม้จะพยายามแค่ไหน หญิงสาวก็อดเหนื่อยหน่ายไม่ได้ ชักเริ่มลังเลแล้วว่าการฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้จะคุ้มแน่หรือ คิดดูเถอะแม้เธอจะอุ้มท้องลูกของเขา แต่อดิรุจก็ยังอาลัยอาวรณ์ลูกเมีย ตามหึงนังเมียทนายทุกครั้งที่เธอเป่าหู แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา ซึ่งทำให้โฉมฉายเริ่มกังวลกับอนาคตในวันหน้าที่หาความมั่นคงใดไม่ได้เลย
“ถ้าพี่รุจไม่อยากได้มันมาเป็นลูกเขย ปฏิเสธไปก็ได้นี่คะ”
“จะให้ปฏิเสธได้ยังไง เงินมันกองอยู่บ้านพี่ อามันก็อยู่เป็นพยาน ถ้าพี่กลับคำพูด นอกจากกลืนน้ำลายตัวเองแล้วยังไม่เป็นลูกผู้ชายอีก”
คำพูดของอดิรุจสะดุดหูโฉมฉายทันที
“นี่พี่รุจกำลังจะบอกว่า ว่าที่ลูกเขยพี่หอบเงินสอดเป็นสิบล้านมากองให้เลยหรือคะ”
ท่าทางฮึดฮัดขัดใจของอดิรุจยืนยันความจริงข้อนั้น และตอนนั้นเองที่ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัวโฉมฉาย ในที่สุดเธอก็เห็นความมั่นคงสำหรับอนาคตของตัวเองชัดเจน!
เวลาเกือบตีสี่มินตราถูกแม่ปลุกให้ตื่น หญิงสาวงัวเงียลุกจากเตียงด้วยความง่วงงุน อนงค์อรเรียกลูกสาวให้ตามไปที่ห้องด้วยท่าทางตึงเครียด และยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อตามมาถึงห้องนอนของมารดา มินตราก็พบร่างสูงใหญ่ของภูมิยืนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดทับด้วยแจ็กเกต เหมือนว่าเขาเพิ่งจะถูกเรียกให้มาที่นี่กลางดึกเช่นกัน ชายหนุ่มยืนกอดอก ริมฝีปากเม้มเครียด
“คุณมาอยู่ในห้องแม่ฉันได้ยังไง” มินตราถามด้วยความงุนงง
“แม่โทร. เรียกคุณภูมิมาเอง” อนงค์อรกล่าว น้ำเสียงยังติดสั่นพร่าเล็กน้อย ทำให้มินตราเริ่มแน่ใจว่าต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแน่
“นี่มันอะไรกันคะแม่ แล้วทำไมต้องเรียกให้เขามาที่บ้านเราดึกๆ ดื่นๆ ด้วย”
อนงค์อรให้คำตอบด้วยการเดินไปยังตู้เซฟที่ซ่อนอยู่ในผนัง เวลาปกติจะมีกรอบรูปแขวนบังไว้อย่างแนบเนียน แต่ตอนนี้มินตราเห็นกรอบรูปนั้นวางพิงอยู่กับพื้นด้านล่าง และตู้เซฟเปิดค้างไว้ หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะเห็นว่าภายในนั้นนอกจากเอกสารสำคัญแล้ว เงินสดที่เก็บไว้ชั้นล่างในตู้เซฟเหลือเพียงความว่างเปล่า ส่วนกล่องกำมะหยี่ที่มารดาใช้เก็บเครื่องประดับต่างๆ ถูกรื้อค้นเหลือแค่กล่องเปล่าเช่นกัน เท่านั้นหัวใจมินตราก็ร่วงลงไปที่ตาตุ่ม
“ขโมย นะ...นี่ขโมยขึ้นบ้านเราหรือคะ” มินตราปากคอสั่นด้วยความตระหนก “แม่โทร. แจ้งตำรวจหรือยัง”
“แม่ยังไม่ได้โทร.”
“บ้าจริง แม่ไม่โทร. เรียกตำรวจ แต่โทร. เรียกตาบ้านี่เหรอ” หญิงสาวโวยวาย คิดจะพุ่งออกจากห้องเพื่อหยิบโทรศัพท์ แต่ถูกมือแข็งแรงคว้าต้นแขนไว้เสียก่อน
“ฉันว่าเธอคิดให้ดีๆ ก่อนจะแจ้งความดีกว่า”
“ยังต้องคิดอะไรอีกล่ะ” หญิงสาวแหว “ขโมยขึ้นบ้านฉันนะ ป่านนี้เปิดหนีไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ บ้าจริง พวกยามทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงปล่อยให้มีคนนอกเข้ามาในหมู่บ้านได้ง่ายๆ”
“บางทีอาจไม่ใช่คนนอก แต่เป็นคนในนี่แหละ” พอเห็นหญิงสาวตวัดสายตามอง ภูมิกลับไม่สนใจ แต่เอ่ยถามอนงค์อรที่ควบคุมสติตัวเองได้อย่างน่านับถือ “เอาไปหมดเลยหรือครับ”
“เงินสด เครื่องเพชรกับทองที่ฉันสะสมไว้ ถูกกวาดไปหมดเลย...” สตรีวัยกลางคนโอบแขนรอบตัวเองเพื่อระงับอาการสั่นเทา “งะ...เงินทั้งหมดของคุณก็ด้วย ไม่เหลือเลย”
“อะไรนะคะ”
“คุณเห็นตอนเขาเข้ามาไหมครับ” ภูมิเอ่ยแทรกเสียงร้องแหลมของมินตรา อนงค์อรส่ายหน้าไปมาก่อนตอบคำถาม
“เมื่อตอนเย็นฉันเพลียมาก พอทำงานเสร็จก็เลยเผลอหลับที่ห้องทำงานข้างล่าง ฉันไม่ได้ยินเสียงรถ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน บางทีอาจจะจอดรถไว้ข้างนอก เพราะยามจะไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าออกแบบนี้ถ้าไม่มีคนรู้จักอยู่ข้างใน”
ภูมิพยักหน้ารับ แล้วย้อนกลับมามองหญิงสาวข้างกายอีกครั้ง มินตราได้แต่ยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง หญิงสาวคงพอจะเริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ไม่อยากยอมรับว่าเป็นความจริง แน่ละ ใครจะเชื่อได้ว่าพ่อตัวเองเป็นคนทำ แม้แต่ภูมิเองก็ยังไม่อยากเชื่อ แต่นอกจากอดิรุจแล้วจะมีใครที่สามารถผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน เดินเข้ามาในบ้านหลังนี้ทางประตูหน้าที่ล็อกอยู่ และจะมีใครสามารถเปิดเซฟที่มีเพียงสองสามีภรรยาคู่นี้เท่านั้นที่มีกุญแจและรู้รหัสเปิด
“ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหมคะแม่ พ่อไม่ได้ทำแบบนั้นหรอกใช่ไหมคะ” มินตรายื่นมือเข้าไปเขย่าแขนมารดาอย่างสิ้นหวัง หากเขาทำจริง เธอคงไม่อาจเกลียดพ่อมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว น้ำตาหญิงสาวเอ่อไหลโดยไม่รู้ตัว ไม่มีการทรยศครั้งใดของอดิรุจจะทำให้มินตราเจ็บปวดถึงเพียงนี้ “ทำไมคะ ทำไมพ่อทำกับเราแบบนี้ ทำไมคะแม่”
อนงค์อรไม่อาจพูดหรือทำสิ่งใดได้นอกจากโอบแขนรอบตัวลูกสาว เพราะแม้แต่เธอก็ไม่อยากเชื่อเช่นนั้น ทว่าไม่มีหลักฐานใดที่แก้ต่างให้อดิรุจได้เลย
“เราน่าจะขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดของหมู่บ้านได้” ภูมิยังเอ่ยเสียงเรียบ “นั่นน่าจะเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดถ้าเราจะแจ้งความ”
สองแม่ลูกเงยหน้าขึ้นมองภูมิด้วยแววตาตื่นตระหนกพร้อมกัน
“คุณจะแจ้งความจับพ่อฉันหรือ” มินตราถาม ซึ่งสีหน้าของชายหนุ่มอ่านได้ว่า ตอนนี้เธอกลับเป็นฝ่ายถามคำถามที่โง่เขลาออกไปเสียเอง แต่พอคิดว่าไม่ใช่แค่เงินของครอบครัวเธอที่ถูกขโมยจนหมดเกลี้ยง ทว่าเงินนับสิบล้านของภูมิก็ถูกขโมยไปด้วย ต่อให้จะได้ชื่อว่าเป็นสินสอดก็ตาม แล้วทำไมภูมิยังไม่สมควรไปแจ้งความอีกเล่า
มินตราสับสนกับสถานการณ์จนไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี เธอโกรธพ่อ โกรธแค้นเขาเหลือเกิน เขาทำร้ายเธอและแม่สารพัด แต่ครั้งนี้มันเกินไป เกินไปจริงๆ ทว่ามินตราไม่เชื่อว่าพ่อจะทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง หากไม่มีใครยุยงส่งเสริม ซึ่งคนคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่นังอสรพิษที่ชื่อโฉมฉาย
“เรื่องแจ้งความหรือเปล่า ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาของฉันฝ่ายเดียวนะ” ภูมิไล่สายตาจากใบหน้าขาวซีดของอนงค์อรมายังมินตรา “ผมจะถือว่าอยู่ที่การตัดสินใจของพวกคุณก็แล้วกัน ถ้าคุณแจ้งความ ผมก็จะแจ้งความด้วย แต่ถ้าไม่แจ้ง ผมก็จะไม่แจ้ง อย่างไรเสียเงินก้อนนั้นผมถือว่ายกให้เป็นสินสอดไปแล้ว ต่อให้เป็นแค่สัญญาทางวาจา แต่ก็มีคนรู้เห็น ทางครอบครัวคุณจะเอาไปทำอย่างไรคงไม่เกี่ยวกับผมอีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงสัญญากันสักหน่อย เพราะทางคุณทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเอาเปรียบ ตอนแรกผมไว้ใจพวกคุณ แต่ตอนนี้... ดูเหมือนผมต้องไว้ใจตัวเองเท่านั้น”
“ลำพังฉันคงไม่มีปัญญาหาเงินขนาดนั้นมาใช้คืนให้คุณ”
พอได้ยินมารดาพูดเช่นนั้น มินตราก็รีบเอ่ยแทรกทันที
“ฉันจะพยายามตามหาพ่อให้เจอ ฉันจะเอาเงินมาคืนให้คุณแน่ ตะ...แต่ขอเวลาฉันหน่อย ได้โปรดเถอะคุณภูมิ” สายตาตาเย็นเยียบของชายหนุ่มทำให้มินตรายิ่งอับอาย อับอายทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดของตัวเอง
“ฉันบอกแล้วว่าเงินนั่นยกเป็นสินสอด ตราบใดที่เธอกับคุณอรเห็นว่ามันเป็นสินสอด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คืน แค่ต้องทำตามสัญญาที่เหลือให้ชัดเจนก็พอ แต่ถ้าขนาดสัญญาก็ยังทำไม่ได้ ฉันคงต้องปกป้องสิทธิ์และเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองเหมือนกัน”
“ถ้าหมายถึงเรื่องแต่งงาน ฉันแต่งกับคุณแน่ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก ฉันไม่ใช่คนขี้ขลาด ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวเหมือนพ่อ” มินตรายืนยัน “และฉันจะเอาเงินมาคืนคุณให้ได้ด้วย”
ความคิดเห็น |
---|