บทที่ ๑

คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย

 เฮือก!

หญิงสาวบนเตียงกว้างสะดุ้งสุดตัว ยกสองมือตั้งการ์ดป้องกันเศษวัสดุที่พุ่งเข้าหาในความฝันจนเกร็งแน่น เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก บ้างก็ไหลมารวมกันอยู่ตรงปลายคางและหยดลงบนผ้าห่มที่กองอยู่บนตัก

เธอฝันถึงชายคนนั้นอีกแล้ว

มันเริ่มมาตั้งแต่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุจนบิดาต้องเสียขาไปข้างหนึ่ง เธอเองช็อกจนต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเกือบเดือน 

ครั้งแรกที่ฝันเห็นเขาก็คือวันที่เธอหมดสติไปหลังอุบัติเหตุ ชายคนนั้นอยู่ในเครื่องแบบทหารสีน้ำตาลเข้ม เขาเป็นนายทหารยศร้อยเอกของกองทัพอะไรสักอย่าง เป็นแนวหน้าที่ปกป้องอิสรภาพเล็กๆ ของประชาชนซึ่งมารวมตัวกันเพราะถูกผู้มีอำนาจข่มเหงรังแก 

ตั้งแต่วันนั้นกระทั่งตอนนี้ก็แปดปีกว่าแล้ว เพียงแต่หลายปีก่อน นานๆ เธอจะฝันถึงเขาสักครั้ง ผิดกับพักหลังมานี้ที่มักจะฝันถึงชายหนุ่มในเครื่องแบบสีน้ำตาลคนนั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ในความฝันนั้นเรื่องราวดำเนินติดต่อกันราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ณ ที่ใดที่หนึ่ง เพียงแต่เธอไม่แน่ใจว่ามันคือที่ไหน ขณะเดียวกันเธอรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนั้นอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่จนป่านนี้ในความฝัน เธอก็ยังไม่เคยเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ สักครั้ง แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินเลยสักหน

ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครในความฝันเรียกเขา หรือไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเอ่ยถึงตัวเอง แต่เป็นเพราะเธอไม่เคยได้ยินมันเลยต่างหาก ไม่ว่าใครจะพูดถึงอย่างไร ชื่อของเขาก็ถูกกลืนหายไปในอากาศ มีเพียงปากที่ขยับแต่ไร้เสียง เหมือนเป็นคำต้องห้ามที่สวรรค์ไม่ยินยอมให้เธอรับรู้ หรือไม่...ก็เพราะเขาเป็นเพียงจินตนาการที่เธอสร้างขึ้น พอไม่มีตัวตนจึงไม่อาจมีชื่อ

แต่หากเป็นเพียงจินตนาการ...

เธอก็คิดไม่ตกว่าเหตุใดถึงเหมือนจริงได้ขนาดนี้!

ยิ่งกับความฝันที่เพิ่งประสบเมื่อสักครู่ มันเหมือนจริงจนกระทั่งตอนนี้ตัวก็ยังสั่นไม่หาย

ญามีอาถูมือชื้นเหงื่อและสั่นเทาไปมา ในแววตาเกิดความสับสน กังวลลึกๆ ว่าชายในเครื่องแบบคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะตายหรือไม่ และสถานการณ์อันเลวร้ายนั้นจะลงเอยอย่างไร หญิงสาวชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะทำอย่างไรดีกับความฝันที่เหมือนจริงเกินไป เธอไม่เคยหาสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดกับตนเองได้เลย แม้แต่จิตแพทย์ก็ยังวินิจฉัยว่าเป็นเพราะเหตุการณ์สะเทือนใจในตอนนั้น ทำให้สารเคมีในสมองเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เธอสร้างเรื่องราวขึ้นมาเอง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ... ภายในสมองของเธอเกิดภาพหลอน

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูฉุดสติคนสับสนให้เข้าที่เข้าทาง หญิงสาวปาดเหงื่อบนหน้าผาก เมื่อรับรู้ถึงความชื้นที่มากผิดปกติแล้วก็ขานรับด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ปกติที่สุด

“มาแล้วๆ” ญามีอาดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วก้าวลงจากเตียง เธอไม่ได้ลืมว่าวันนี้วันอะไร จึงเข้าใจได้ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตูว่าบุคคลที่รออยู่ด้านนอกเป็นใคร “มาแล้ว เคาะเป็นตาแก่ไปได้ แมทธิว!”

“อีกไม่ถึงสองชั่วโมงเครื่องก็จะเทกออฟแล้วนะ ฉันคิดว่า...”

“รู้แล้วๆ” นอกจากความใจร้อนชนิดที่ขัดใจหรือช้าเป็นไม่ได้ นิสัยขี้บ่นของอีกฝ่ายก็เหนือชั้นเสียจนเธอต้องปิดปากเขาก่อนจะพูดจบทุกที ไม่เช่นนั้นทั้งวันก็คงไม่ต้องทำอะไรนอกจากฟังเขาบ่น “ฉันเตรียมตัวเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเห็นไหม แค่ขอเวลาอาบน้ำสัก...” 

ญามีอามองนาฬิกาบนผนัง ในใจร้อง ‘มายก๊อด...’ เบาๆ 

“สิบนาที แค่สิบนาทีเท่านั้น” เป็นเวลาที่น้อยมากๆ สำหรับการอาบน้ำแต่งตัว โดยเฉพาะแต่งหน้า แต่...เพราะเธอมีเพื่อนตัวดีอย่างแมทธิว เรื่องแต่งหน้าจึงต้องไว้ทีหลัง ขอแค่สลัดภาพคุณยายตอนแหกขี้ตาตื่นออกไปได้ ค่อยไปแต่งหน้าบนรถก็ได้สบายๆ “นายดื่มน้ำเย็นๆ และนั่งรออยู่ตรงนี้ พุท โธ พุท โธ โอเค!?”

ญามีอาลากแมทธิวมานั่งบนโซฟา ความจริงแล้วห้องนี้ก็เป็นห้องของเจ้าตัวนั่นละ เธอเป็นเพียงผู้อาศัยที่เช่าเรือนหอในอนาคตของเพื่อนอยู่เพื่อการศึกษา นับระยะเวลาก็ประมาณสองปีกว่าๆ เห็นจะได้ และตอนนี้ก็ได้เวลาคืนห้องแบบพยายามไม่ให้รกมากที่สุด แต่รับประกันเลยว่าเขาจะใช้เวลาจัดการห้องให้อยู่ในสภาพเดิมเป๊ะๆ เพียงไม่กี่สิบนาที

ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา เธอก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเคลียร์ห้องคืนเขานั่นละ

“เลิฟยู มว้าก” ก่อนที่คำว่า ‘NO!’ แบบชัดถ้อยชัดคำจะออกจากปากแมทธิว ญามีอาก็ใช้ไม้ตายตีกลบคำพูดที่จ่อคอหอยเพื่อนรักกลับไป แล้ววิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำ

“Hell!” แมทธิวคำรามลั่นตามหลัง แต่ประตูก็ปิดไปแล้ว ได้ยินแต่เสียงคิกคักชวนให้ขัดใจ “คนบ้าอะไรโดนด่าแล้วยังอารมณ์ดี ถ้าสิบนาทีแกไม่ออกมา ฉันจะเข้าไปลากแกออกจากห้องน้ำแน่”

“กล้าก็เอา”

ญามีอาโต้กลับด้วยเสียงเบิกบานเหมือนอารมณ์ดี ทั้งที่ความจริงแล้วไม่เลย เธอแค่แสร้งทำเพื่อให้คนข้างนอกลดทอนความหงุดหงิดลงเท่านั้น เวลากระชั้นชิดขนาดนี้แล้ว ใครยังจะมาอารมณ์ดีอยู่ไหว 

หญิงสาวอาบน้ำด้วยความเร็วแบบฟาสต์แทร็ก สบู่ยังถูไม่ครบทุกซอกทุกมุม จุดที่โดนสัมผัสมากที่สุดก็มีเพียงใบหน้าและลำคอ นอกนั้นปล่อยให้สายน้ำทำหน้าที่ชำระล้างตามยถากรรม เวลาเพียงเจ็ดนาทีไม่ขาดไม่เกิน หญิงสาวร่างเล็กแต่ทรวดทรงองค์เอวครบเครื่องก็ก้าวออกมาทั้งชุดคลุมอาบน้ำแบบไม่แคร์สายตาชายหนุ่มในห้อง

ก็หมอนั่นเป็นชายหนุ่มสำหรับเธอที่ไหน

และเธอเองก็หญิงสาวสำหรับหมอนั่นซะเมื่อไร

ญามีอายิ้มตาหยีให้เขาทีหนึ่งก่อนเดินเลยไปคว้าเสื้อผ้ามาสวม ดีที่เตรียมทุกอย่างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้จึงไม่ถูกความเร่งรีบทับตาย ตอนที่หันไปบอกว่า ‘พร้อม’ แมทธิวที่นั่งจิ้มสมาร์ตโฟนอย่างซังกะตายก็เงยหน้าขึ้น หมอนั่นไม่พูดอะไรนอกจากลุกขึ้นมาช่วยเธอหิ้วกระเป๋าเดินทาง

“น่ารักที่สุด” ญามีอาตบหลังมือเพื่อนรักเบาๆ

จะว่าไป...ความเป็นเพื่อนของเธอกับแมทธิวก็เริ่มขึ้นอย่างไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งที่รู้จักอีกฝ่ายผ่านๆ จากการเป็นเพื่อนร่วมคลาสเรียนมาแล้วถึงสองปี แต่ต่างคนต่างไม่เคยให้ความสนใจกัน กระทั่งขึ้นปีที่สาม เหมือนพระเจ้าเพิ่งนึกออกว่าได้กำหนดให้ทั้งสองคนผูกสมัครรักใคร่กันฉันเพื่อน จึงเพิ่งจะหาเวลามาขีดเขียนเรื่องราวของพวกเขาลงบนหน้ากระดาษ 

เรื่องราวที่ค่อนข้างยุ่งยากทีเดียว

คลาสเรียนหนึ่งของนักศึกษาแพทย์ที่อาจารย์มักจะยกตัวอย่างเคสคนไข้ขึ้นมาให้นักศึกษาแตกประเด็นและวิเคราะห์โรค โดยบอกเพียงอาการคร่าวๆ ให้พวกเขาหาความใกล้เคียงและน่าจะเป็นที่สุด ในวันนั้นเธอได้นั่งใกล้กับแมทธิวโดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นความบังเอิญที่ซ้อนความบังเอิญอย่างเหนือชั้น อาจารย์ดันเลือกให้ทั้งสองคนเป็นตัวแทนของนักศึกษาทั้งคลาส ลุกขึ้นมาวิเคราะห์อาการของผู้ป่วย โดยอาจารย์ให้นำประเด็นที่ได้มาวิเคราะห์และหาสาเหตุร่วมกัน

แต่วันนั้น ญามีอาและแมทธิวโต้เถียงกันจนเกือบหมดคาบเพราะไม่มีใครยอมใคร พวงเขาคิดเห็นไม่เหมือนกัน และต่างหาเหตุผลมาหักล้างกันไม่สิ้นสุด สุดท้ายอาจารย์จึงให้ยุติแล้วสรุปให้ว่า แมทธิวมั่นใจเกินไป ไม่ยอมฟังความเห็นต่าง ส่วนญามีอาก็ลังเลเกินไป คิดมากเกินความจำเป็น หากเป็นคนไข้จริงๆ ก็อาจจะตายเพราะหมอแบบพวกเธอไปแล้ว 

การวิเคราะห์ภายในคลาสเรียนจึงนำมาสู่การทำงานกลุ่มในคาบต่อไป โดยญามีอาและแมทธิวถูกอาจารย์กำกับให้อยู่กลุ่มเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าเธอกับหมอนั่นถกกันต่อยันการส่งงานกลุ่มในการเรียนครั้งหน้า และคงเพราะเถียงกันทุกเรื่องอยู่หลายวัน จึงค้นพบว่าการต่อปากต่อคำและงัดข้อกันทุกเรื่องนั้นก็ไม่ได้น่าเบื่อ กลับได้มุมมองที่ไม่เคยเห็นหรือคิดไม่ถึงอยู่ไม่น้อย สุดท้ายถึงอาจารย์จะไม่ได้จิ้มตัว พวกเธอก็มักจะอยู่ด้วยกันนับแต่นั้นมา

และกลายมาเป็นเพื่อนซี้ปึกจนตอนนี้

คิดแล้วก็ใจหาย

“ฉันว่ากระเป๋าแกน้ำหนักไม่ผ่านนะ” ที่นั่งชั้นประหยัดได้น้ำหนักกระเป๋าประมาณใบละยี่สิบสามกิโลกรัม แต่กระเป๋าสองใบของเพื่อนสาวน่าจะเกินห้าสิบกิโลกรัมไปแล้ว 

“นายก็อัปที่นั่งให้ฉันสิ ถือว่าเป็นของขวัญส่งเพื่อนกลับบ้านเป็นไง” 

ญามีอายิ้มจนนัยน์ตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว โหนกแก้มที่ยกขึ้นเผยความเจ้าเล่ห์ซึ่งปิดไม่มิด ที่นั่งชั้นธุรกิจได้สิทธิ์สัมภาระมากกว่าห้าสิบกิโลกรัม เธอจำได้ 

เพื่อนตัวดีของเธอแยกเขี้ยว...

“ฝันไปเถอะ” นิ้วชี้ยาวๆ จิ้มหน้าผากมนจนเพื่อนรักแทบหงาย “แกตั้งใจจะเสียค่าธรรมเนียมอยู่แล้ว ทำไมฉันต้องเสียเงินให้แกเพิ่มด้วยไม่ทราบ”

“ก็บอกว่าเป็นของขวัญ” ญามีอาลูบหน้าผากป้อยๆ ไม่ได้โกรธสักนิด กลับไปแล้วอย่างไรต้องคิดถึงอีกฝ่ายแน่ๆ

“NO!” แมทธิวบอกชัดถ้อยชัดคำ

“เชอะ” ญามีอากระตุกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตายังคงยิ้ม

ปากบอกไม่ แต่เชื่อเถอะว่าหมอนี่ทำแน่ เพราะเขาคงคิดถึงเธอมากกว่าที่เธอจะคิดถึงเขาอีก 

“ไปได้แล้ว ถ้าช้ากว่านี้แกก็กลับบ้านในความฝันเอาละกัน” 

“เฮ้...รอฉันด้วยสิ” ขายาวๆ นั่นได้เปรียบชะมัด แค่ไม่กี่ก้าวก็นำไปไกลลิบแล้ว

สาวร่างเล็กล่ำลาห้องพักที่อาศัยมาหลายปีเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ลืมดึงประตูปิดล็อกให้เรียบร้อย ก่อนจะวิ่งตามเพื่อนไป

แมทธิวมารับเธอไปส่งสนามบินด้วย BMW สีน้ำเงิน รถคันโปรดที่เจ้าตัวใช้มาแล้วหนึ่งปีเต็ม ตอนนั้นเขาบอกเธอว่าเป็นรถมือสองคุณภาพดี มีคนมาปล่อยให้ในราคาพิเศษ จึงยอมทุ่มหมดหน้าตักซื้อรถคันนี้มาแล้วหิ้วท้องมาขอแบ่งข้าวเธอกินอยู่ค่อนปี ยังไม่ทันได้โดยสารให้คุ้มค่าอาหาร เธอก็ต้องกลับบ้านเสียแล้ว 

“นายอย่าเพิ่งขายรถนี่ทิ้งล่ะ ฉันยังนั่งไม่คุ้มค่าอาหารที่นายมาแย่งฉันเลย” ญามีอาบอกพลางตบหลังคารถอย่างอาลัย

“หึ” เจ้าของรถหัวเราะ สั้นๆ เสียงขึ้นจมูก 

แมทธิวยัดทั้งคนและกระเป๋าใส่รถ ก่อนจะไปประจำที่ฝั่งคนขับและเหยียบคันเร่งพารถแล่นออกไป

สนามบินอยู่ไม่ไกลจากเรือนหอในอนาคตของแมทธิวมากนัก ตอนรถจอดจึงยังเหลือเวลาให้พอจะเช็กอิน เขายังคงทำหน้าที่คนยกกระเป๋าไปส่งญามีอาถึงที่ รอจนหญิงสาวเข้าไปด้านในที่พักผู้โดยสารแล้วจึงกลับ

ญามีอากลับบ้านในรอบแปดปี ปกติบิดาจะเป็นคนเดินทางมาหาเธอที่นี่เวลาคิดถึง หญิงสาวตื่นเต้นกับการเดินทาง แต่ก็อดเหลียวหลังอย่างอาลัยไม่ได้ อย่างไรที่นี่ก็เป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่สำคัญของเธอ รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนเธอจะเก็บมันกลับและมุ่งตรงไปสู่อนาคตที่รออยู่

บ้านเกิดและบิดา...

ญามีอาเคยเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่มีครอบครัวสมบูรณ์ แต่เพราะอุบัติเหตุถึงสองครั้งสองคราที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันกับครอบครัว ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป อุบัติเหตุครั้งแรกในวัยเด็กคร่าชีวิตมารดาของเธอ และอุบัติเหตุครั้งที่สอง...หรือจริงๆ แล้วต้องเรียกว่าตั้งใจฆ่าเมื่อแปดปีก่อนก็เกือบพรากชีวิตบิดาเธออีกครั้ง 

ตอนนี้เธอจึงเหลือเพียงบิดาเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ ดีที่ท่านยังคงแข็งแรง แม้อุบัติเหตุคราวนั้นจะสร้างความบอบช้ำแก่ร่างกายจนต้องเสียขาไปข้างหนึ่ง แต่ก็เพราะเหตุนั้น ญามีอาในตอนนั้นจึงเลือกเรียนแพทย์เพื่อจะได้ดูแลบิดาในยามแก่เฒ่า วันนี้เธอกลายเป็นแพทย์สาวเต็มตัวพร้อมที่จะกลับไปหาท่านแล้ว

ญามีอาปิดตาลงเพื่อเก็บแรงสำหรับการเดินทางที่ยาวนาน หญิงสาวสอดมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบเล็ก ลูบคลำสร้อยซึ่งมารดาให้ก่อนจากไปช้าๆ อย่างที่ทำก่อนนอนทุกคืน เหมือนกับว่าสร้อยเป็นฝ่ามือบอบบางของท่าน เหมือนเธอได้สัมผัสมารดาอีกครั้ง แล้วจึงเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลารวดเร็ว ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างรอให้เธอหลับตาอยู่ตลอดเวลา 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น