4

ตอนที่ 4


จวี๋จวินฉีแบกข้าขึ้นบ่า ก้าวยาวไปที่เตียงก่อนผลักข้าลงผ้าปูอย่างรุนแรง ทว่ามีหรือที่คนเช่นข้าวังผิงเฟยจะยอมตกเป็นหญิงบำเรอให้เขาโดยง่าย?

ข้าอาศัยตอนที่เจ้าบ้านั่นโน้มตัวลงมาหาถีบเข้าที่หน้าท้อง ทำเอาคนหงายหลังล้มกระแทกพื้น เมื่อเห็นว่าเจ้าบ้านั่นกำลังมึนงงจึงรีบอาศัยจังหวะดีวิ่งหนีออกจากห้องไปสุดฝีเท้า ได้ยินเพียงเสียงจวี๋จวินฉีตะโกนไหวๆ บอกสาวใช้ให้จับตัวข้าดังไล่หลัง ข้าจึงเร่งออกวิ่งไม่คิดชีวิต กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ได้มายืนอยู่หน้าจวนสกุลจวี๋แล้ว

“แฮก แฮก...” ข้าพักหายใจหอบหนึ่งยังไม่ทันออกวิ่งต่อ หันหลังไปก็ได้เห็นบ่าวรับใช้ชายตัวโตกำลังตามมาจับ ข้าพยายามฝืนวิ่งแต่เรี่ยวแรงที่มีกลับหมดลงเสียดื้อๆ

วินาทีที่คนพวกนั้นกำลังจะถึงตัว ข้าได้แต่หลับตาปี๋ พลันมีฝ่ามืออันอบอุ่นมารวบเอวไว้และคว้าตัวข้าไปนั่งบนหลังม้า ย้า!!” เสียงบุรุษแปลกหน้าตะโกนดัง มือสะบัดบังเหียนม้าสุดแรงทำให้เจ้าม้าออกวิ่งทะยานรวดเร็ว

ข้าเกาะชายเสื้อเขาแน่น หันไปเยาะเย้ยจวี๋จวินฉีที่เดินกุมท้องออกมามองสถานการณ์ ดูท่าทางหมอนั่นคงโกรธสุดขีด แต่ช่างปะไร! คนดีเช่นข้าฟ้าดินคุ้มครอง คนชั่วเช่นเขาฟ้าดินลงโทษ อย่างไรความดีย่อมชนะความชั่วอยู่วันยังค่ำ!

“ฮ่าๆๆ” ข้าหัวเราะอย่างมีชัยก่อนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ 

เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ นี่ข้ากำลังนั่งม้าร่วมกับใครกัน? แล้วบุรุษผู้นี้มาช่วยข้าแน่หรือ

ข้ามองแผ่นหลังชายแปลกหน้าสลับกับม้าสีน้ำตาลและเริ่มโวยวายขึ้นเสียง หยุดม้าเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้หยุด!” 

ตะโกนไม่ว่าข้ายังใช้มือตบตีแผ่นหลังเขา ทำเอาชาวบ้านหันมามองพวกเราทั้งตลาด ข้าเพิ่งผ่านเรื่องน่ากลัวมา ถึงเขาจะช่วยไว้แต่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรข้านี่?

“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด!

ฝีเท้าม้าผ่อนลดความเร็วลง แม่ค้าตามตลาดเริ่มให้ความสนใจพวกเรา ทำให้หนึ่งม้าสองคนกลายเป็นจุดเด่นในพริบตา ชายแปลกหน้าหันซ้ายมองขวา ดูท่าร้อนใจเป็นอย่างยิ่งคล้ายไม่ชอบเป็นจุดสนใจเท่าใดนัก แต่ข้ากลับสบายอกสบายใจ เพราะหากเขาเป็นโจรชั่วลักมนุษย์ อย่างน้อยจุดเด่นเช่นนี้ยังพอเป็นทางรอดให้ข้าบ้าง บ้านข้าอยู่แถบนี้ ไยคนทั่วไปในตลาดจะไม่รู้จักข้ากันเลยเล่า?

แม่นาง...ข้าไม่คิดทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้น หวังเพียงวิ่งม้ามาไกลมิให้พวกชั่วช้าสกุลจวี๋ตามทัน” เขากล่าวคำทั้งน้ำเสียงเคร่งเครียด มองฝุ่นตลบด้านหลังซึ่งจางลงให้เห็นถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ มิใช่ม้าหรือคนของสกุลจวี๋ที่ตามมาจับข้า “อย่างไรก็ยังไม่ปลอดภัย ให้ข้าไปส่งแม่นางที่จวนเถอะ

น้ำเสียงทุ้มต่ำดังผ่านผ้าคลุมสีดำเงินที่คลุมไปถึงจมูก ผมที่ถูกรวบขึ้นสูงปลิวตามสายลมเบาบาง กระทั่งดวงตาเป็นประกายคมกริบแฝงแววอ่อนโยนอบอุ่นหันมาประสานด้วย ข้ากลับเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา...

จิตใจคนเรามักสื่อได้ทางแววตา และแววตามั่นคงหนักแน่นคู่นั้นได้กล่าวคำจริงออกมาจนหมดสิ้น ทำให้ข้าเชื่อถือและรู้สึกปลอดภัย จึงลองเสี่ยงทายเชื่อบุรุษลึกลับผู้นี้ดูสักครั้ง

ได้...ข้าพยักหน้า พลางหันไปยิ้มแก้สถานการณ์ต่อผู้คนรอบด้าน “ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ข้าแค่ทะเลาะกับพี่ชายท่านนี้เท่านั้น พวกท่านกลับไปค้าขายกันต่อเถิด!

พ่อค้าแม่ขายต่างส่ายหน้าเดินจากไป บางคนบ่นอุบอิบเสียดายเงินตำลึง ไม่นึกว่าเวลาเพียงเท่านี้ข้าได้กลายเป็นเรื่องลงพนันสนุกสนาน พวกเขากล่าวกันว่าชายผู้นี้เป็นคนรักของข้าหรือไม่ พอได้ยินว่าพี่ชาย ข้างฝ่ายที่พนันว่าข้ามีคนรักเลยเสียเงินตำลึงให้อีกฝ่าย เพราะหากใครเพียงพัวพันกับข้าไม่กี่เค่อ[1] คนที่เห็นก็พากันกล่าวลงพนันกันสนุกปาก ทว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องแปลกอันใดนักสำหรับข้า

เพราะตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา...บุตรีสกุลวังมิเคยมีบุรุษบ้านใดมาสู่ขอเลยสักคน

 

ม้าค่อยๆ เดินย่องไปตามตรอกแคบ หางมันสะบัดเบา ก่อนหยุดลงหน้าประตูจวนสกุลวัง ภายใต้แสงอาทิตย์ยามใกล้อัสดงที่สาดลงมาบนตัวเขา ทำให้เจ้าของร่างนั้นดูเปี่ยมบารมีดูน่าเกรงขามไม่น้อย บุรุษแปลกหน้ามองมาที่ข้าอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นถึงจึงกระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว แล้วยื่นมือมาให้ข้าจับยึดไว้

ข้ายื่นมือไปจับพลางดันตัวลงจากหลังม้าอย่างทุลักทุเล รู้สึกไม่คุ้นกับการขี่ม้าเอาเสียเลย...

ขอบคุณท่านมาก หากไม่ได้ท่าน ข้าน้อยคง...ข้าหลุบสายตาลงอย่างละอาย ความจริงไม่ควรมือไวไปตบตีหลังเขาโดยไม่ยอมฟังเหตุผล ตัดสินคนดีเป็นคนเลวทั้งที่เขาช่วยเหลือตนเองไว้แท้ๆ

แม่นางอย่าได้คิดมาก หากข้าเป็นแม่นางย่อมไม่อาจไว้ใจคนแปลกหน้าเช่นกันน้ำเสียงไม่อ่อนไม่แข็งพูดปลอบราวล่วงรู้ความในใจ

ข้าเงยหน้าขึ้นยิ้มขอบคุณ

เช่นนั้น...ท่านพอเอ่ยนามให้ข้าน้อยรู้ได้หรือไม่ หากพบกันคราวหน้า ข้าวังผิงเฟยขอตอบแทนท่านบ้าง

เขาก้มหน้ากุมมือ ข้าไม่สามารถบอกแม่นางได้ ขออภัยด้วย” 

เห็นแววตาลำบากใจ ข้าย่อมพอคาดเดาได้ จากการแต่งกายที่ดำทะมึนไปทั้งชุดกับผ้าคลุมที่จงใจปิดใบหน้า หากไม่เป็นยอดฝีมือในยุทธภพย่อมเป็นยอดฝีมือทำงานเบื้องหลังให้ผู้ใด คนเช่นนี้อย่างไรย่อมไม่มีวันบอกชื่อเสียงให้ใครได้ยินง่ายดายกันทั้งนั้น

ข้ายิ้มพลางคำนับกลับอย่างมีมารยาท “ข้าน้อยล่วงเกินท่านแล้ว”

เขายกมือขึ้นไม่ถือสา มองส่งข้าเดินเข้าประตูจวน

แม่นางวัง...”

ข้าหันไปตามเสียงเรียก แต่พอคนเรียกเสร็จกลับมีแววลังเลอยู่ครู่

“ท่านมีเรื่องใดหรือ” ข้าขมวดคิ้วงุนงง จู่ๆ ท่าทีเขากลับเปลี่ยนไปเสียกะทันหัน

“ข้าขอเตือนแม่นาง อย่าได้ข้องแวะกับคนสกุลจวี๋อีกสายตาเขาเปลี่ยนเป็นดุดันมาดร้าย คล้ายแค้นใจคนสกุลจวี๋เป็นอย่างมาก

ทำไมหรือข้าถามขึ้นอย่างสงสัย แต่คนกลับพูดย้ำคำเดิม

ข้าขอเตือนแม่นางอีกครั้ง อย่าเข้าใกล้คนสกุลจวี๋อีก ลาก่อนเขากล่าวน้ำเสียงจริงจังเสร็จจึงยกมือขึ้นกุมคำนับอย่างมีมารยาทและควบม้าออกไปอย่างรีบเร่ง ผ้าสีดำเงินโบกพัดเบาบางตามท่วงท่า ราวสียามเย็นของท้องฟ้ายามราตรี...เหตุใดถึงได้คุ้นเคยนัก?

“เดี๋ยว!” ข้าตะโกนเมื่อนึกสิ่งใดออกกะทันหัน

แม้อายุสิบห้าแต่ใช่ว่าข้าไม่มีนิสัยช่างสังเกต

เมื่อยังเล็กข้าเคยพลัดตกเหวลึกระหว่างขึ้นเขาไปไหว้พระ ครั้งนั้นได้มีบุรุษแปลกหน้าเข้าช่วยเหลือรับร่างข้าไว้ไม่ให้บาดเจ็บอันตราย เป็นเพราะภูเขาลูกนั้นกว้างขวางทั้งเหวยังลึกหลายจั้ง[2] พวกเราจึงใช้เวลาอยู่สามวันถึงออกมาจากเขาลูกนั้นได้ ระหว่างนั้นเขาปฏิบัติกับข้าราวพี่ชายแสนดีผู้หนึ่ง คอยดูแลไม่ให้ข้าหิวท้อง ทั้งยังไม่ปล่อยให้คลาดสายตาไปเจอสัตว์ร้าย ไม่แปลกนักหากข้ารู้สึกคุ้นเคยสายตาและท่วงท่าของเขาเป็นพิเศษ ทั้งยังติดเขาหนึบตลอดสามวันนั้น

กระทั่งพวกเราเดินทางมาถึงหมู่บ้าน เขาถึงปล่อยข้าทิ้งไว้บนถนนแล้วจากไปอย่างรีบเร่ง ส่วนข้าด้วยความเป็นเด็กกลับร้องไห้จ้า คิดว่าแม้กระทั่งที่ยึดหลักสุดท้ายยังทิ้งข้าไว้อีกคน แต่เสียงนี้ทำให้ไม่นานชาวบ้านที่สัญจรผ่านมาเห็นเข้าก็จำได้และพาข้ามาส่งหน้าจวนสกุลวัง

ท่านพ่อท่านแม่ร้องไห้ทันทีที่เห็นเนื้อตัวมอมแมม พากันกล่าวโทษตัวเองยกใหญ่ จับข้ามาสำรวจเนื้อตัวหาบาดแผล แต่กลับพบเพียงรอยถลอกจากกิ่งไม้บนข้อแขนที่มีเศษผ้าสีดำเงินของชายแปลกหน้าพันอยู่ คนอื่นๆ ต่างทึกทักว่าข้าดวงแข็งทั้งยังเฉลียวฉลาดรู้จักเอาตัวรอด เป็นท่านพ่อที่มองเศษผ้าแล้วเงียบกริบไปทันตา สายตาคู่นั้นสะท้านไหวเป็นอย่างมาก คล้ายเศษผ้าผืนเล็กได้บอกความหมายในตัวคนผูกไว้จนหมดสิ้น แต่ข้าที่ยังเด็กกลับไม่เคยรู้ความหมายใด ได้แต่คว้าหมั่นโถวมาเคี้ยวกินด้วยความหิวเท่านั้น

“เป็นท่านหรือไม่...”

ข้าส่ายหน้าถอนหายใจ แม้เวลานี้ไม่อาจจำใบหน้าผู้มีพระคุณในอดีตได้ แต่เบื้องลึกข้ากลับรู้สึกมั่นใจมากนักว่าชายแปลกหน้าผู้นี้อาจเป็นคนเดียวกันกับพี่ชายในอดีต

เสียงฝีเท้าม้าดังไกลจนไม่อาจได้ยินชัด ข้าได้แต่หันหลังกลับอย่างจำนน จะเป็นใครก็ช่างเสียเพราะคนได้หายไปไกลเสียแล้ว

 

นั่นเจ้ามากับใคร

ข้าสะดุ้งตัวหันไปตามเสียง เห็นท่านพ่อยืนมองอยู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจรู้ สายตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

แน่ละ...ข้าไม่เคยคบหาบุรุษไหนเปิดเผย เรื่องความรักนับเป็นเรื่องห่างไกลเช่นที่ข้าได้กล่าวไว้ ตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมาบุตรีสกุลวังมิมีบุรุษบ้านใดมาสู่ขอ เรื่องในอดีตที่ท่านพ่อถูกใส่ความยังคงมีผู้คนไม่น้อยจดจำได้ แล้วใครจะอยากขอบุตรีของสกุลน่าอัปยศเป็นสะใภ้? จึงเป็นเรื่องแปลกมากหากข้านั่งหลังม้าร่วมกับใครเช่นนี้

ข้าไม่รู้...แต่เขาได้ช่วยข้าไว้ ข้ามองฝุ่นควันของที่คนเพิ่งจากไปพลางขมวดคิ้วขบคิด เรื่องของเขารบกวนใจข้าเป็นอย่างมาก เขาใช่พี่ชายผู้มีพระคุณหรือไม่ เป็นไปได้หรือ? ที่มีคนบังเอิญผ่านมาช่วยข้าได้ทันเวลาเช่นนั้น หรือทั้งหมดข้าเพียงคิดมากไปเองเท่านั้น

ช่วยเจ้า? ท่านพ่อทวนคำ ดวงตาคมกริบหันมองรอยฝุ่นเจือจางบนตรอกถนน คล้ายกำลังหาใครบางคน

ใช่ ช่วยข้า...จาก...เอ่อ...อ๋องน้อยสกุลจวี๋ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบา เป็นเพราะข้ารู้ตัวว่าได้ก่อเรื่องราวใหญ่มา

ท่านพ่อครั้นได้ยินชื่อคนสกุลจวี๋เข้าถึงกับโกรธจนหน้าแดงไม่เก็บอาการ มือทั้งสองข้างกุมแน่นเสียจนคนมองเช่นข้ารู้สึกกลัวเสียดื้อๆ

ผิงเฟย!” ข้าสะดุ้งตัวโหยง ฟังท่านพ่อว่ากล่าวมาอีกหลายประโยค “เคยบอกเจ้าหลายครั้งแล้วใช่หรือไม่ว่าห้ามทำงานที่เรือนเย็บปักนั่น!” ท่านพ่อจับไหล่ทั้งสองข้างของข้าเขย่าจนตัวเอน สีหน้าพรึงพรันยามสำรวจเนื้อตัวข้าราวกับร่างกายนี้สามารถแตกสลายได้

ท่านพ่ออย่าโกรธข้าเลย ข้าขอโทษข้าก้มหน้าสำนึกผิด ก่อนจะยิ้มทำเสียงออดอ้อนแต่วันนี้ข้าได้มาห้าตำลึงทองเชียวละ! ต่อให้หาทั้งชาติเกรงว่าพวกเราจะไม่มีวันหาได้สักครั้ง!”

ท่านพ่อไม่ยอมหายโกรธ เบนหน้าตาหนี

ข้าเลื่อนตัวไปขวางหน้าอย่างทุกครั้งเวลาทำสิ่งใดผิด ยกเหตุผลทั้งหมดไปกล่าว “ท่านก็รู้ว่าค่ายาท่านแม่ใช้เงินมากเท่าไร อย่าห่วงเลย ข้าไม่ได้ถูกทำร้าย วันนี้ก่อนข้าจะถูกอ๋องน้อยจับตัวได้มีบุรุษลึกลับช่วยเหลือข้าไว้ ท่านยังจำเรื่องหน้าผาครั้งนั้นได้หรือไม่ ข้าคิดว่าชายผู้นั้นคือคนเดียวกับที่ช่วยข้าไว้บนหน้าผา...

“ผิงเฟย...” ท่านพ่อขัดข้าทั้งที่ยังกล่าวไม่จบประโยค สีหน้าอิดโรยอ่อนแรงเข้ามาแทนที่ “เจ้ากลับมาปลอดภัยนั่นเป็นเรื่องที่ดีแล้ว”

ข้าพยักหน้าอย่างละอาย ล่วงรู้ความกังวลเหล่านี้ ใช่ว่าท่านพ่ออยากให้ข้าวิ่งไปทั่วชิงฉวนเพื่อทำงานโน้นงานนี้ทุกวี่วัน แต่สกุลวังถูกตราหน้าว่าเป็นขุนนางชั่วกระทำผิด ท่านพ่อเคยคิดจะค้าขายแต่กลับโดนชาวบ้านพากันรังเกียจ ท่านแม่จึงทำงานอย่างหนักกระทั่งวันหนึ่งล้มป่วยลง สุดท้ายคนที่พอออกหน้ารับความสงสารจากคนอื่นได้เช่นข้าจึงมีบรรดาแม่ค้าพ่อค้ารับเข้าทำงานบ้าง อย่างน้อยใครต่างเห็นใจที่ข้าไม่อาจเลือกเกิดถึงมีชะตาตกต่ำเช่นนี้ แต่ใจข้าไม่เคยเชื่อคำนินทาเหล่านั้นเลยสักครั้ง ท่านพ่อไม่มีทางเป็นขุนนางชั่วช้าทรยศบ้านเมืองได้

ผิงเฟย...น้ำเสียงแหบพร่าของท่านแม่เรียกสติข้ากลับมา

นางจับบานประตูไม้หน้าห้องนอนไว้ ค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นเพราะไม่อาจทรงตัวอยู่

“อวี้ซี!” ท่านพ่อร้องเสียงดัง รีบประคองท่านแม่กลับไปที่เตียง

“ท่านแม่รู้สึกอย่างไรบ้าง” ข้าประคองมือนางจับไว้ แต่นางกลับไม่พูดตอบ สติดูเลื่อนลอยราวครึ่งหลับครึ่งตื่น

“อวี้ซี...”

พวกเราต่างร้อนใจเมื่อเห็นอาการท่านแม่ทรุดหนัก ข้าไม่อาจข่มความกลัวไว้ในใจ พยายามเรียกนางให้ได้สติ ท่านแม่! ท่านแม่ท่านได้ยินหรือไม่” 

“ไม่เป็นไร...” ท่านแม่พยายามลืมตา นางยิ้มให้อย่างอ่อนล้า กุมมือท่านพ่อไว้แน่น

ท่านพ่อลูบผมนางอย่างรักใคร่ กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ผิงเฟยกลับมาแล้ว นอนพักสักหน่อยเถิด”

ท่านแม่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ดีกว่าการส่งสายตาอ่อนล้าตอบกลับมา แต่ลึกๆ ในดวงตากลับฉายคำว่าขอบคุณและขอโทษอย่างเต็มหัวใจ

ข้านึกโทษตัวเองเป็นพันครั้ง หลายวันมานี้พวกเรามีเงินไม่พอจะซื้อยาต้มให้นางดื่มทุกมื้อ อากาศเดือนนี้เองก็หนาวๆ ร้อนๆ ไม่เหมาะกับสภาพคนป่วยอย่างยิ่ง อีกทั้งวันนี้ข้ายังก่อเรื่องให้ท่านแม่กังวลจนอาการพลันทรุดหนักรวดเร็ว ท่านแม่ผู้งดงามบัดนี้ใบหน้าเนียนกลับขาวซีดจนน่าตกใจ ข้าซุกหน้าลงฝ่ามือนาง รู้สึกเกลียดโชคชะตาที่ทำให้สกุลวังต้องรับความผิดที่มิได้ก่อ เกลียดที่ไม่มีเงินพอจะรักษานางให้หายขาดได้ ท่านพ่อเองคงรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไรนัก สีหน้าที่ไม่เคยแสดงความกังวลใดต่อหน้าท่านแม่ ลึกๆ แล้วคงคิดโทษตนเองอยู่ภายในใจแน่

“แค็ก! แค็ก!” เสียงไอมาพร้อมเลือดสีแดงสดไหลออกจากปาก ข้ารู้ว่าเวลาของท่านแม่ลดเหลือน้อยลงไปทุกที ได้แต่กุมมือนางไว้แน่นทั้งสายตากระวนกระวาย

“อวี้ซี อวี้ซี!” ท่านพ่อกายสะท้าน รีบเข้ามาประคองกอดนางแน่นในอ้อมแขน

แต่ท่านแม่ได้หมดสติไปเสียแล้ว

ข้าไม่มีเวลาแม้กระทั่งร้องไห้อ่อนแอ รีบหยิบตะเกียงและเสื้อคลุมตัวเก่าออกมาสวมอย่างรีบเร่ง ท่านแม่จะตายไม่ได้! ท่านจะตายไม่ได้อย่างเด็ดขาด!

ข้าจะไปตามหมอ!”

“ระวังตัวด้วย” ท่านพ่อพยักหน้า หวังฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ข้า

ข้ามองหน้าท่านแม่อยู่ครู่หนึ่งพลางกล่าวปลอบตนเอง ไม่เป็นไร...เงินห้าตำลึงอย่างไรคงพอค่ารักษา แล้วกำเงินของจวี๋จวินฉีไว้แน่น หลังจากพยักหน้ารับคำท่านพ่อแล้วจึงสาวเท้าวิ่งออกนอกเรือนไปรวดเร็ว



[1] เค่อ (ke) การนับเวลาแบบจีนโบราณ 1 เค่อ นานประมาณ 15 นาที

[2] จั้ง (Zhang) หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ 1 จั้งวัดได้ประมาณ 2 เมตร
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น