หมอหลวงเข้ามาตรวจอาการข้าตามคำสั่งรัชทายาท แต่กลับไม่พบอาการไข้ จึงสั่งยาบำรุงสองสามบรรทัดในกระดาษเพื่อปรับเลือดลม แล้วเดินกลับออกไปเงียบๆ
ข้านั่งคิดจนปวดหัวว่าคืนนี้ควรรับมือกับรัชทายาทอย่างไร แม้ด้านหนึ่งทรงดูสุขุมน่าเคารพ แต่อีกด้านกลับมือไวโฉบฉวยเช่นบุรุษเคล้านารีได้เสียนี่! เพียงไม่กี่เค่อที่พวกเราเจอกัน กลับโดนเขาจับเนื้อโอบตัวรุกต้อนจนข้ากลายเป็นเจ้าหนูป่าตัวจ้อยในอุ้งมือเสือ ข้ามิใช่สตรีเลือดร้อนคุ้นชินกับการจู่โจมของบุรุษ ยังคงอ่อนไหวต่อเรื่องรักเช่นหนุ่มสาวนัก
ขณะกำลังคิดอย่างหนักองครักษ์ปล่อยผมผู้นั้นได้ฝ่าฝืนข้อห้ามเดินเข้ามาในห้อง แม้ไม่รู้ว่าเขามาทำไมแต่ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์รับแขก จึงทำแค่ปรายตามองเขาแล้วยืดตัวถอนหายใจถาม
“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามา”
ร่างนั้นเดินมาหยุดตรงหน้า ถวายบังคมให้ก่อนจะวางสำรับที่มีหมั่นโถวลูกเล็กๆ สามสี่ลูกกับชาร้อนซึ่งมีกลีบดอกไม้โรยอยู่ “ยังทรงโกรธอยู่อีกหรือ?” เขาถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ “เสวยสักหน่อยเถิด...”
เขากล่าวพลางยืนมองว่าข้าจะแตะต้องสำรับหรือไม่ ข้าเงยมอง เหตุใดระหว่างคนผู้นี้กับองค์หญิงถึงดูสนิทสนมกันมากนัก อีกทั้งยังมีเรื่องผิดใจกันอยู่ อย่างไรย่อมรู้จักกันมาก่อนแน่
“ข้าไม่อยากอาหาร”
เขาถอนหายใจเมื่อเห็นว่าข้ามิได้แตะต้องอาหาร “อย่าได้ทรงคิดหนีอีกเลย ต่อให้หนีอีกพันครั้งฮองเฮาก็ทรงสั่งคนไปจับพระองค์อยู่ดี”
อ๋อ...ที่แท้เขาคิดว่าข้ากำลังวางแผนหนีออกนอกวัง มิได้ล่วงรู้เรื่องกลัดกลุ้มในใจ
ข้าถอนหายใจเล็กน้อย “ข้าไม่ได้คิดหนี เหตุใดยังต้องวางแผนการให้ปวดหัวอีกเล่า? พวกเจ้าเองอยู่เฝ้าข้าทั้งกลางวันกลางคืน แค่สามก้าวออกจากห้องข้ายังทำไม่ได้” ข้าพูดอย่างไร้อารมณ์ ส่วนเขากลับฉีกยิ้มกว้างมิได้ปกปิดความยินดีใจ แววตาบ่งบอกว่ามีความสุขขนาดไหนหากคนเช่นข้ายอมวางมือ แสดงว่าคนผู้นี้ต้องรู้ที่มาที่ไปทั้งหมดว่าเหตุใดองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิงถึงได้ทรงคิดหนีกัน
“ทรงคิดได้ย่อมดีแล้ว ต่อไปกระหม่อมคงวางใจได้เสียที” เขามองข้าพลางยิ้มเศร้า ทำหน้าทำตาราวกับใจหนึ่งอยากให้องค์หญิงหนีออกไปได้สำเร็จ แต่อีกใจกลับคัดค้านไม่อยากให้นางทำได้
ข้ารู้สึกฉงนใจ องค์หญิงไม่ทรงยินยอมแต่งรัชทายาทแคว้นจิน ถึงขนาดหนีออกจากวังเสียหลายต่อหลายครั้ง เหตุผลเหล่านั้นคือเรื่องใดกันแน่? ข้าเองมิใช่คนนั่งนิ่งเป็นตัวแทนใครต่อใครโดยไม่รู้ที่มาที่ไปโดยละเอียด หากฮองเฮาไม่ยอมตรัสให้ข้ารู้ ข้าย่อมหาทางสืบหาความจริงได้อยู่ดี
“ความจริง...องค์หญิงเช่นข้ามีแต่สร้างเรื่องวุ่นวาย จะอยู่หรือหนีออกไปเหตุใดเจ้าต้องคอยลำบากลำบนบ่นแทนเสด็จแม่ด้วยเล่า ข้าไม่อยู่ เจ้าควรยินดีใจเสียด้วยซ้ำ” ข้าแสร้งทำเสียงโมโหปนน้อยใจ ทำเอาสายตาอ่อนโยนมากไมตรีของคนตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งเย็นชา
“ตรัสสิ่งใดออกมา! อี้หลี่จวินผู้นี้เป็นสหายของพระองค์ตั้งแต่ยังเล็ก เหตุใดถึงทรงคิดว่าคนเช่นกระหม่อมถึงไม่เต็มใจรับหน้าที่นี้!” เขาลงอารมณ์อยู่ครู่ก็พลันเงียบลงจนเสียงแผ่ว
ที่แท้องครักษ์ผู้นี้เป็นสหายตั้งแต่ยังเล็กขององค์หญิง มิน่า...พวกเขาถึงได้ดูรู้จักนิสัยใจคอกันดีนัก คิดแล้วค่อยสะดวกหน่อย...หากตามสืบเรื่องราวจากเขาย่อมไม่ยากจนเกินไปแล้ว
“อย่าได้โกรธข้าเชียว! ที่ข้าหนีไปได้มิใช่ความผิดของพวกเจ้าหรือ?” ข้ายกมือชี้หน้าเขา ทำกิริยาเช่นที่สหายสนิทนิยมทำ
เขาเหลือบมองข้าอย่างรู้สึกผิด “พระองค์ตรัสไม่ผิดสักครึ่งคำ...เพียงแต่วันนั้นทรง...” หลี่จวินมองข้าไม่ยอมพูดต่อ เสียงหยุดลงเป็นจังหวะ ใบหน้าเริ่มสุกแดงเป็นลูกผิงกั๋ว[1] กระทั่งแดงร้อนไหม้ราวดวงอาทิตย์ ท้ายที่สุดพอข้าสบตาก็หลบไปเสียดื้อๆ
ข้าหรี่ตากล่าวถามออกไปว่า “ข้าทำไมหรือ?”
หลี่จวินละล่ำละลักรีบกล่าวแก้ตัว “วันนั้นข้าได้รับคำสั่งจากท่านฟู่ให้ตามหาตัวเจ้าไปกินมื้อเย็นเท่านั้น แต่ตามหาอยู่หลายชั่วยามกลับหาไม่พบ ทุกคนเลยได้วิ่งวุ่นกันทั้งวังเพราะคิดว่าเจ้าต้องหนีออกไปแน่ เพ่ยเพ่ยบอกว่าเห็นเจ้าครั้งสุดท้ายที่ตำหนักร้าง ข้าจึงไปตามหาเจ้าที่นั่น...เหม่ยหลิง ความจริงวันนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจจะดูเจ้าเปลี่ยนชุด แต่เปิดประตูไปก็เห็นเข้าพอดี เพราะเจ้ามัวแต่โกรธ กล่าวหาว่าข้าเป็นคนโรคจิต ไม่ยอมฟังเหตุผล สวมชุดขันทีได้ก็ไล่สับคอข้าจนล้มไม่ได้สติ! หากจะโทษว่าข้าบกพร่องหน้าที่ก็อย่าได้โทษกันเชียว ในเมื่อเจ้าเล่นออกแรงตีข้าจนสลบไปเช่นนั้น!”
ข้ายืนอึ้งไปครู่ หลี่จวินเองก็เอาแต่ปิดหน้าปิดตาไม่ยอมมองข้า หากคนที่เขาสารภาพคือองค์หญิง ข้าไม่รู้เลยว่าศพเขาจะออกมาสภาพไหน แต่องค์หญิงเองอาจอภัยให้สหายผู้นี้ก็เป็นได้ เพราะถึงขนาดที่เขาไม่เรียกข้าว่าองค์หญิงแต่ใช้คำเรียกขานสนิทสนมเช่นนี้ อาจนับว่าคนทั้งสองสนิทกันไม่สนใจแม้กระทั่งฐานะ ดีข้าชอบ! อยู่กับหลี่จวินผู้นี้ข้าย่อมได้ละเลยกฎเกณฑ์น่าเบื่อหน่ายเหล่านั้นลงบ้าง
ข้าคลี่ยิ้มแทนที่จะโกรธ ทำเอาสายตาที่มองลอดช่องนิ้วตนเองถึงกับชะงักงัน
“เจ้าไม่โกรธเลยหรือ?”
ข้าโคลงศีรษะ “ต่อให้ตีเจ้าจนตาบอดใช่ว่าสมองเจ้าจะลืมภาพเหล่านั้นได้” ข้ามองหน้าเขาพลางกล่าวยิ้มๆ “อีกอย่าง ถึงแม้ข้ามิได้ตีเจ้าจนสลบ อย่างไรคนเช่นเจ้าย่อมปล่อยข้าหนีไปเพื่อให้ทำตามใจปรารถนาถึงแม้จะห่วงข้ามากก็ตาม เจ้าเป็นสหายที่ดี ข้าจะโกรธเจ้าลงได้อย่างไร?” ข้ายักคิ้วพลางทุ้งศอกลงอกเขาอย่างสนิทสนม คิดเออออว่าองค์หญิงต้องทำกิริยาเช่นนี้กับหลี่จวินแน่
แต่แทนที่หลี่จวินจะพอใจ แววตานั่นกลับดูจริงจังขึ้นมาแทน เขาก้มหน้าอยู่ครู่ก่อนเงยขึ้นมากล่าวว่า “ข้าห่วงเจ้ายิ่งกว่าชีวิตข้าเองเหม่ยหลิง หากเจ้าอยากหนีข้าก็ไม่อาจห้าม แต่ในใจก็หวังภาวนาให้เจ้ากลับมา”
“ข้ารู้น่า…” ข้าไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด เพราะยิ่งมองสายตาคู่นั้นยิ่งทำให้รู้ว่าคำพูดที่ออกจากริมฝีปากเขาไม่ใช่เรื่องโกหก เขาสามารถตายแทนข้าได้จริงๆ
หรือหลี่จวินผู้นี้ชอบพอองค์หญิงกัน? เช่นนั้นองค์หญิงอาจไม่ทรงรู้หรืออาจแกล้งไม่รับรู้ ข้าจึงแสร้งไม่รับรู้ความรู้สึกของเขาด้วยอีกคน หันหน้าตาหนีมองสิ่งใดเรื่อยเปื่อย
“เหม่ยหลิง...” หลี่จวินไม่ยอมแพ้เรียกข้าให้หันกลับไปมองเขา ก่อนก้มลงคล้ายกำลังซ่อนบางสิ่งให้พ้นสายตาข้า ความเงียบปกคลุมพวกเราอยู่พักใหญ่เขาถึงหันกลับมาหา คลี่ริมฝีปากคล้ายจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ข้ารีบจะกล่าวเปลี่ยนบทสนทนา สถานการณ์เช่นนี้ข้าไม่ควรตัดสินแทนนาง ข้ามิใช่องค์หญิง ไม่อาจรับรักหรือปฏิเสธหลี่จวินแทนนางได้ แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใดกลับถูกใครตะโกนเรียกขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“หลี่จวิน”
ทั้งข้าและหลี่จวินหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน เห็นสายตาคมคายคู่หนึ่งมองมาอย่างไม่ชอบใจ
หลี่จวินคลี่ยิ้มเมื่อเห็นเขา กล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “หย่งอวี้ มีใครมาหรือ?”
หย่งอวี้มองตรงมาทางเขาแต่กลับไม่ปรายตามองข้า ในฐานะที่ข้าเป็นองค์หญิง อย่างน้อยเขาควรมีมารยาทกับข้ามากกว่านี้ แม้ใจไม่รู้สึกถูกชะตากับองครักษ์ผู้นี้ตั้งแต่แรกพบ แต่ข้ากลับไม่คิดเล็กคิดน้อย บางทีเขาคงแค่ร้อนใจกลัวใครมาเจอพวกเราเข้าจนข้ามหน้าข้ามตาองค์หญิงเช่นข้าไปได้กระมัง
“แค่ครึ่งชั่วยามตามที่ตกลงไว้เจ้าเองก็น่าจะพอใจแล้ว ข้าไม่อยากฟังนางบ่นอีกรอบ หากเจ้าทนฟังได้ก็อย่าเอาข้าไปเกี่ยวข้อง”
นางที่เขาหมายถึงถ้าให้เดาคือฟู่ซิ่นจงแน่ ที่แท้นางน่ากลัวตรงนี้เองหรอกหรือ ว่าแล้วหย่งอวี้ผู้นี้เป็นคนเคร่งครัดกฎระเบียบ หรือความจริงเขาเพียงไม่ชอบองค์หญิงเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เจอกันก็มักมองข้าด้วยสายตาหยิ่งจองหองเกินคำว่าองครักษ์ ทั้งยังดูเย็นชาราวเกลียดขี้หน้ากันอย่างมาก
หลี่จวินมีสีหน้าลำบากใจ พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วหันมากล่าวลาข้า “เช่นนั้นข้าคงต้องไปก่อนแล้ว”
ข้ามองหลี่จวินคำนับลงพื้นขณะที่หย่งอวี้เดินหันหลังจากข้าไปเสียเฉยๆ จึงฉุกคิดขึ้นมาได้ ความสัมพันธ์ขององค์หญิงกับหย่งอวี้นับว่าเลวร้ายเข้าขั้น เขาเกลียดนางอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ข้าไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้แต่อย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิง จะดีจะร้ายอย่างไรบ่าวเองควรเคารพเจ้านาย มิใช่ข้ามหัวข้ามหางไม่เคารพกัน ข้าถึงกับฉุนขาดแทนนาง ชักเท้าไปขวางหน้าคนอย่างหาเรื่อง
“พวกข้ากำลังไถ่ถามความเป็นอยู่ เจ้าเองก็ไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่ง” ข้าจ้องตาหย่งอวี้ไม่ยอมลดละพลางกล่าวอีกว่า “อีกอย่าง ถึงเจ้าเป็นคนของเสด็จพ่อก็ใช่ว่าจะข้ามหน้าข้ามตาเช่นนี้ได้ มาไม่เคารพข้าไม่ว่า แต่หากกลับไม่ยอมเคารพเห็นทีข้าคงอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว”
หย่งอวี้ส่งเสียงหึออกมาในลำคอ มองราวกับข้ากำลังกล่าวสิ่งใดผิด สายตาคมจ้องข้าจนแทบบาดทะลุ ไม่มีความเกรงใจอยู่ในเศษเสี้ยวดวงตาดำขลับคู่นั้น “พวกท่านสองคนสนิทสนมกันเป็นเรื่องของพวกท่าน แต่หน้าที่ขององครักษ์เป็นเรื่องของพวกข้าเช่นกันองค์หญิง” เขาเน้นคำว่าองค์หญิงอย่างหนักเหมือนพยายามเค้นมันออกจากปากตัวเอง ท่าทางโอหังมิได้รู้สึกผิด
“เจ้าสองคนพอเถิด เวลานี้ใช่ว่าควรมาต่อปากต่อคำกันที่ไหน เป็นเจ้าเองมิใช่หรือที่เร่งให้ข้าออกไปก่อนที่ท่านฟู่จะมาเจอเข้า” หลี่จวินทำหน้าตาลำบากใจ พูดให้ข้ายอมลดอารมณ์ “เจ้าเองรีบหลีกทางไปเถิด ไว้ข้าจะพูดกับหย่งอวี้เอง”
ข้าส่งเสียงฮึขึ้นจมูก สรุปได้เลยว่าเจ้าราชาหิมะที่อยู่ตรงหน้ามิได้มีความเคารพยำเกรงในตัวองค์หญิง อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบตัวกับนางนับว่าไม่ดีเท่าไรนัก องค์หญิงทรงก่อเรื่องชวนหัวไว้มากมาย ทิ้งเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คนอื่นสะสาง ข้าจึงไม่แปลกใจนักที่หย่งอวี้จะมีกิริยาเช่นนี้กับนาง เพราะเขาคือองครักษ์ของฮ่องเต้ แต่ใช่ว่าเขาจะทำอย่างไรกับนางก็ได้ นายคือนาย บ่าวย่อมคือบ่าว หากข้าไม่สั่งสอนเขาเสียบ้าง เกรงว่าวันหน้าเขาคงกำเริบเสิบสานกว่านี้
“เจ้าออกไปก่อน” ข้าสั่งหลี่จวิน ขณะจ้องตาหย่งอวี้เขม็ง
หลี่จวินรั้งๆ รอๆ อยู่ครู่ กระทั่งข้าสั่งซ้ำเขาถึงก้าวเท้าออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก หย่งอวี้มองข้าด้วยสายตาเรียบเฉย ประกายเย็นชารอบตัวบ่งบอกว่าไม่ชอบใจข้ามากขนาดไหน
ข้าแค่นยิ้มให้เขาอย่างดูแคลน กล่าวคำอย่างหนักแน่นไปว่า “ข้าเป็นสตรีใจบุรุษ ใจคอย่อมกว้างขวางพอจะไม่ถือสาเรื่องนี้” ใบหน้าเขาแต้มรอยทะมึน ขณะฟังข้ากล่าวคำต่อ “เพียงแค่เจ้า...คุกเข่าโขกหัวให้ข้า”
หย่งอวี้ก้าวเข้ามาใกล้ เขามิได้เกรงกลัว ทั้งยังบีบรั้งมือข้าไว้แน่น
ข้าสะบัดมือให้เขาปล่อย วูบหนึ่งที่รู้สึกว่าเขามิใช่องครักษ์ธรรมดา รู้สึกหวาดกลัวแววตาคมบาดนั่นขึ้นจับใจ แต่ข้ากลับข่มมันไว้ไม่ยอมให้อีกฝ่ายล่วงรู้ เขามองข้าเงียบๆ อยู่ครู่ถึงได้ยอมปล่อยมือลง ก้าวถอยหลังสองก้าวแล้วก้มโขกศีรษะให้ข้าสามครั้ง
“กระหม่อมทูลลา” หย่งอวี้ยกมือคำนับกล่าวทั้งเสียงเย็น
ข้ามองเขาก้มโค้งให้ คิดว่ารอยยิ้มเย็นสุดท้ายที่เห็นนั่นมิใช่เรื่องดีที่อาจเกิดขึ้นแน่ คำกล่าวลาครั้งนี้ทำให้ข้ารู้ว่าพวกเราคงได้ประมือกันอีก
นี่ข้ากำลังทำใจกล้าล่วงเกินใครเข้ากันแน่...
ความคิดเห็น |
---|