9

ตอนที่ 9

 

เมื่อพวกเขายืนในที่ที่ควรยืน ข้าก็ไม่มีใครให้ทะเลาะ ไม่มีสิ่งใดให้นั่งทำนอกจากคิดหาแผนการรับมือองค์รัชทายาทคืนนี้ เฮ้อ…เพียงห้าวันชีวิตข้ากลับมีแต่เรื่องวุ่นวายให้คิดเต็มไปหมด ส่วนฟู่ซิ่นจงก็ไม่กลับมาอีกเลย ดูเหมือนนางจะหายไปตั้งแต่ตอนนั้น ข้าที่กำลังเบื่อหน่ายสุดขีดเลยคิดจะเรียกหาเพ่ยเพ่ยมาเดินหมากคลายเหงา แต่ก็รู้จากนางกำนัลอื่นว่านางได้ออกไปพร้อมองค์รัชทายาทนานแล้ว

อารมณ์ข้าลดต่ำถึงขีดสุด นั่งเรียงถ้วยชาที่เหล่านางกำนัลยกมาให้ทีละใบอย่างเหงาหงอย ไม่คิดว่าการลงโทษกักบริเวณจะทำให้คนเสียสติได้ขนาดนี้ ข้าเท้าคางลงโต๊ะ มองเงาหลี่จวินยืนอยู่นอกประตู แม้อยู่ใกล้เพียงปลายจมูกแต่ข้ากลับไม่คิดเรียกหาเขา เพราะไม่อยากทะเลาะกับเจ้าบ้าหย่งอวี้ให้เสียอารมณ์เพิ่มอีก

ข้าวางถ้วยชาไปสัปหงกไป กระทั่งหน้าผากกระทบโดนโต๊ะ “โอ๊ย!”

“องค์หญิงเพคะ!” นางกำนัลรีบเข้ามาประคอง ข้าจึงได้สตินวดหน้าผากพลางมองท้องฟ้ามืดสนิทนอกห้อง ค่ำแล้วหรือ? เวลานี้หากข้าอยู่ในจวนคงอุ่นข้าวให้ท่านพ่อท่านแม่กิน คิดถึงพวกท่านแล้วน้ำตาข้าพานจะไหล จึงฝืนมันไว้ก้มลงมิให้ใครเห็น ข้าเงยหน้ามองรอบห้องแก้อาการโศกเศร้า สายตาก็พลันเหลือบเห็นพิณที่ตั้งอยู่

“มีพิณตั้งอยู่แถวนี้ด้วยหรือ?”

ข้าเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ช้าๆ เห็นพิณแล้วรู้สึกคิดถึงท่านแม่ขึ้นมา เพราะนางเป็นคนสอนข้าดีดพิณตั้งแต่เล็ก แม้ฐานะสกุลวังยากจนไม่มีเงินส่งข้าเรียน แต่ท่านแม่กลับสอนทุกสิ่งเท่าที่คุณหนูมีตระกูลผู้หนึ่งควรได้รับ ตอนฟังเสียงพิณครั้งแรก ข้าคิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครดีดพิณได้ไพเราะเช่นนางอีกแล้ว จึงไม่อิดออดเวลานางสอน เพื่อวันหนึ่งจะได้ขับเพลงพิณได้เพราะเท่านาง

ข้าไล้มือไปตามสายพิณ คิดถึงวันเวลาที่เคยอยู่พร้อมหน้าครอบครัว มือเริ่มบรรเลงเพลงดอกเหมยฤดูหนาว ยกนิ้วไล่เรียงสายพิณคล่องแคล่ว ลงเสียงหนักเบาตามจังหวะอันคุ้นเคย วันนี้เพิ่งรู้ความหมายของบทเพลงอย่างแท้จริง…ท่วงทำนองสื่อถึงความรักอันห่างไกลของหญิงสาวนางหนึ่ง นางไร้ที่พักพิง เฝ้ารอเพียงบุรุษที่นางรักจนตายจากโลกนี้ไป ส่วนวิญญาณของนางกลายเป็นดอกเหมยผลิบานกลางหิมะในฤดูหนาว เหมือนหัวใจนางที่อ้างว้างดั่งเกล็ดน้ำแข็งพวกนั้น ข้าสะบัดปลายแขนเสื้อพลิ้วไปตามจังหวะดีด และเมื่อเพลงจบข้าก็นั่งกลั้นน้ำตาอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ

“เหตุใดเสียงพิณของเจ้าถึงได้โศกเศร้าถึงเพียงนี้” 

ข้าไม่ทันตอบได้แต่หันไปตามเสียง...รัชทายาทนั่นเอง ทรงมายืนอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไรกัน?

“ทรงมาถึงตั้งเมื่อไรเพคะ เหตุใดมิให้คนตะโกนบอกก่อน” ข้าแสร้งถาม ยกมือปาดน้ำตารวดเร็ว รีบเบนหน้าหลบตาเขา ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเห็นความอ่อนแอของตนเด็ดขาด

สีหน้าพระองค์เรียบเฉยเฉกเช่นทุกครั้ง เดินเข้ามาใกล้แล้วเข้าโอบกอดข้าไว้แน่นในอ้อมแขน ร่างหนาวเหน็บเมื่อครู่พลันอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ราวมีแสงแดดสาดส่องคลายความหนาวเย็นในหัวใจ มือหนึ่งลูบแผ่นหลังข้าอย่างปลอบประโลม

“เจ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถิด”

ข้าไม่ตอบ ยกมือกำเสื้อเขาแน่น กลั้นน้ำตาไม่ยอมแพ้ ทว่ามืออันอบอุ่นที่ลูบปลอบนั้นกลับทำให้น้ำตาข้าไหลลงง่ายดาย ข้าซุกหน้าหลบตาก้มลงร้องไห้เงียบๆ

เมื่อเขาเห็นข้าระบายความอัดอั้นจนดีขึ้นถึงคลายมือออก นั่งลงเคียงข้างไม่พูดไม่ถามถึงเหตุผล ทำให้ข้าไม่รู้สึกแย่ที่มีคนแปลกหน้ามาเห็นตนเองในสภาพน่าอายเช่นนี้

“สำรับมาแล้วเพคะ!” เพ่ยเพ่ยเดินเล่อล่าเข้ามาไม่ดูจังหวะ นางวางสำรับไว้ตรงหน้าเราสองคน พอเงยขึ้นเห็นข้าตาปูดบวมก็ตีความว่าข้าคงโดนรัชทายาทต่อว่าหนัก จึงได้แต่หลุกหลิกร้อนใจคล้ายจะช่วยแต่ก็ไม่กล้าช่วย ก่อนตัดสินใจยอบตัวคำนับแล้วจากไปเงียบๆ ทั้งห้องจึงเหลือแค่ข้ากับรัชทายาทเท่านั้น

“เจ้ากินเสีย คงหิวมากแล้ว” เขาเริ่มกล่าวขึ้นก่อน พลางคีบเนื้อไก่มาไว้ในชาม แต่ข้ายังคงนั่งก้มหน้าไม่รู้สึกอยากอาหารใดๆ ทั้งนั้น เขามองข้า ถอนหายใจพลางกล่าวต่อ “เจ้าคงอึดอัดที่โดนเสด็จแม่กักตัวอยู่แต่ในตำหนัก พรุ่งนี้พี่จะพาเจ้าออกนอกวัง ทีนี้กินข้าวได้หรือยัง” 

ข้าฟังข้อเสนอแล้วถึงกับหันไปมองเขาอย่างสงสัย เขาพยักหน้าเชิงสัญญา ข้าถึงพยักหน้าหงึกหงักแล้วจับตะเกียบกินข้าวอย่างว่าง่าย คีบโน่นคีบนี่ไปพลางแอบมองเขา ที่แท้...รัชทายาทผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่? บางครั้งเปี่ยมด้วยสุขุม แต่หลายครั้งกลับปากว่ามือถึงราวเป็นคนละคน แต่ที่เขาใจดีกับข้าในฐานะองค์หญิงล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ทรงค้างที่ตำหนักเพื่อรับโทษพร้อมข้า ทรงปลอบข้าเพราะรู้ว่าข้ากำลังร้องไห้ ทั้งยังฝืนรับสั่งฮองเฮาให้ข้าออกนอกวัง

ทว่าความคิดข้าช่างสับสนตีรวน แม้ทรงดีกับข้าขนาดไหน แต่ข้าไม่อาจคาดเดาพระทัยได้ทั้งหมด คำถามนั้นแท้จริงเพียงถามองค์หญิงหรือทรงสงสัยในตัวข้า แต่ไม่ว่าคำตอบเป็นอย่างไร นั่นย่อมทำให้ข้าไม่อาจวางใจเขาได้

ต้องระวัง ระวังมิให้ความลับทั้งหมดเปิดเผยออกมา

ข้าตีสีหน้าเรียบจะกล่าวขอบคุณตามมารยาท แต่น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว” เขายิ้มพลางยกนิ้วนวดคลายหัวคิ้วให้ข้า แม้การกระทำเขาเป็นไปอย่างธรรมชาติ แต่หัวใจข้ากลับเต้นผิดปกติ “พรุ่งนี้อยากไปที่ใดพี่จะพาเจ้าไปทั้งหมด...ดีหรือไม่”

ข้ารีบเบนหลบสายตาไปทางอื่น รู้สึกทั้งละอายทั้งซาบซึ้ง ในสมองข้าคิดเพียงระวังเท่านั้นว่าใครจะล่วงรู้เรื่องที่ข้ามิใช่องค์หญิง คำถามน่าสงสัยเพียงเล็กน้อยของรัชทายาททำให้ข้าระมัดระวังตัว แต่เขากลับดีต่อข้าด้วยใจจริง สิ่งนี้ทำให้ข้าละอายใจจนไม่อาจสู้หน้า

“เสด็จพี่...ขอบคุณท่านมาก” ข้ายิ้มเรียบ

“ไม่เป็นไร” เขากล่าวขึ้นสามคำอย่างไม่ถือสา จากนั้นก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก

 

พวกเรานั่งกินข้าวจนเสร็จดี กระทั่งนางกำนัลยกสำรับไป รัชทายาทถึงนำบรรดางานราชการต่างๆ ที่สี่กงกงขนมาเรียงในห้องกองไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง จากนั้นถึงนั่งลงสะสางงานของตนเองเงียบๆ ไม่ส่งเสียง

ข้านั่งว่างไม่มีสิ่งใดให้ทำ ได้แต่มองคนจดจ่อมุ่งมั่นกับกองฎีการาชการ ผ่านไปสามชั่วยาม ตัวข้าหาวหวอดไปเสียหลายครั้งด้วยความง่วง แต่คนตรงหน้ากลับยังลงหมึกครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ยอมหยุดมือ น้ำชาไม่ยอมแตะ ขนมไม่ยอมกินสักครึ่งชิ้น ข้าไม่กล้าถือวิสาสะห้ามปรามเพราะเขาคือผู้ครองแคว้นฉีของเราในอนาคต ฮ่องเต้อย่างไรย่อมทรงงานหนักกว่าผู้อื่น แต่ตัวเขาเวลานี้กลับทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อย ข้าคงทำได้เพียงให้กำลังใจเขาเท่านั้น และหากเขาไม่หลับข้าก็จะไม่หลับเป็นเพื่อน

กระทั่งมีเสียงเคาะบอกเวลาสามครั้ง ข้าถึงสะดุ้งตัวตื่นขึ้น เห็นเขายกมือนวดขมับโดยไม่รู้ตัว ทำเอาคนมองเช่นข้าอดรู้สึกห่วงมิได้ จึงตัดสินใจนั่งลงดีดพิณบรรเลงเพลงจันทร์ครึ่งเสี้ยว ซึ่งมีทำนองเนิบนาบระรื่นหูช่วยให้คนฟังรู้สึกสบายใจ หวังให้เสียงพิณเหล่านี้ผ่อนคลายเรื่องหนักอึ้งในใจเขาได้บ้าง

พอเสียงพิณเริ่มบรรเลง หยางเฟิ่งกลับชะงักปลายพู่กันอยู่ครู่ เขาฟังข้าเล่นไปห้าหกเพลงก็ถึงกับปิดหนังสือในมือดังปับ หรือเขาไม่ชอบใจกัน?

ข้าชะงักมือหยุดสายพิณ

เขาไม่ได้มองมา มือเปิดม้วนหนังสืออีกเล่มพลางกล่าวกับข้า “ช่วยดีดให้ฟังอีกรอบได้หรือไม่” 

รอยยิ้มหยักโค้งพลันปรากฏขึ้น ข้าได้แต่โล่งใจที่เขาไม่รำคาญ รีบกล่าวรับว่า “เพคะ!” แล้วดีดเพลงจันทร์ครึ่งเสี้ยวอีกครั้ง

แต่เขากลับกล่าวขัดขึ้น “ไม่ใช่เพลงนี้”

ข้าถึงหยุดมือพลางครุ่นคิด หรือเขาจะหมายถึงเพลงดอกเหมยฤดูหนาวกัน? ข้าลองดีดอีกครั้ง พลางมองถามเขาว่าตนดีดได้ถูกเพลงหรือไม่

เขาเงยหน้าขึ้นมองตอบ ดวงตาสีดำขลับจ้องผ่านแสงตะเกียงในห้องประสานมา

“เป็นเพลงนี้” เขายกยิ้มอบอุ่น สายตามิได้จดจ้องหนังสืออีกต่อไปแล้ว แต่กลับประสานมือกุมไว้แล้วเท้าคางมองตรงมาแทน ข้าจ้องตอบไปอย่างหวาดหวั่นก่อนหลบสายตาคู่นั้นอย่างทนไม่ไหว

“ไม่นึกว่าผ่านไปไม่กี่วัน ฝีมือดีดพิณของเจ้าจะก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้ อย่างน้อยโทษกักบริเวณยังคงมีผลดีอยู่บ้าง” 

เขายิ้มให้อย่างชื่นชม มองข้ายิ้มจืดเจื่อนตอบ นี่องค์หญิงทรงดีดพิณไม่เป็นหรอกหรือ! ข้าคิดว่านางเล่นเป็นเสียอีกในเมื่อในตำหนักมีพิณคันงามตั้งอยู่เช่นนี้!

“ขอบพระทัยเสด็จพี่ ความจริงที่ผ่านมาข้าได้ร่ำเรียนพิณอยู่หลายครั้ง เพียงแค่ไม่ได้โดนกักบริเวณจึงมีเรื่องอื่นให้สนใจมากกว่า ข้าเองมิใช่คนโง่เขลาเสียหน่อย ฝึกเพียงไม่กี่วันย่อมมีความรู้ติดตัวมาบ้าง ไม่ทำให้อาจารย์ทั้งหลายเสียหน้าหรอกนะเพคะ” ข้าข่มความกลัว หวังให้เขาเชื่อคำพูดเหล่านี้ ก้มหน้าพยักน้อยๆ อย่างมีมารยาท

เขาหัวเราะพลางพยักหน้า เลื่อนตัวลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาใกล้

“นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าควรเข้านอนได้แล้ว”

ข้าไม่อาจขัดใจเขา ด้วยไม่รู้ว่าองค์หญิงทรงทำตามคำสั่งเหล่านี้ทุกครั้งหรือไม่ จึงพยักหน้าให้เขาก่อนเดินหันหลังจะไปตามเพ่ยเพ่ยมาปรนนิบัติขึ้นเตียง คิดว่าคืนนี้คงจบลงเรียบง่ายมิได้มีเรื่องราวตามที่คิด ข้าเพียงเข้านอน ส่วนเขาก็อ่านฎีกาต่อตรงมุมห้อง ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแม้เราอยู่ในห้องเดียวกัน แต่ก่อนจะทันก้าวพ้นสามก้าว ข้อแขนข้ากลับโดนฉวย ส่วนร่างกายก็พลันโดนคนอุ้มประคองไว้ในอ้อมแขน

“ทำอะไรน่ะเพคะ!” ข้าเผลอหวีดร้องออกมาด้วยไม่ทันตั้งตัว สอดมือคล้องคอเขาไว้แน่นเป็นเพราะกลัวหล่นลงมา

“ส่งเจ้าเข้านอน”

คนกล่าวทั้งสีหน้าราวไม่รู้สึก ทั้งที่แก้มข้าพลันร้อนผ่าวขึ้นราวปูโดนต้มสุก องค์หญิงทรงถูกพี่ชายแท้ๆ อุ้มส่งเข้านอนทุกวันอย่างนั้นหรือ

เขาเดินไปที่เตียงและวางข้าลงบนฟูก ข้ารู้สึกไม่ชอบมาพากล สะกิดใจรีบท้วงถามขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เสด็จพี่จะบรรทมที่ใดหรือเพคะ” หน้าที่ว่าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงระเรื่อขึ้นอีกเมื่อถามคำถามนี้ ข้าคิดเองว่าอย่างไรเขาก็ต้องตอบว่า พี่นอนอีกห้องหนึ่ง เจ้าคิดว่ามีพี่น้องที่โตแล้วคนใดนอนด้วยกันอีกหรือ? แต่พอเห็นรอยยิ้มเรียบหยักโค้งขึ้น มุมปากข้าถึงกับกระตุกอย่างหยุดไม่ได้

“เจ้าคงลืมไปว่าพี่นอนข้างกายเจ้าทุกคืน”

คำตอบของรัชทายาทหนุ่มทุบศีรษะข้าจนแทบสลบ พอมองอารมณ์เย็นของคนตรงหน้า ข้าก็ได้แต่รีบตอบคำตัดบท “ต่อไปนี้คงทำไม่ได้ ข้าคิดว่าพวกเราต่างโตกันเป็นผู้ใหญ่แล้วดังนั้น…”

“เจ้ากำลังไล่พี่ใช่หรือไม่” เขาพูดตัดบท หลุบขนตาที่เป็นแพหนาลง ทำให้ใบหน้ายามปกติดูโศกเศร้าขึ้นมา

ข้าถึงกับพูดไม่ออก แม้รู้สึกโกรธแต่ในอกกลับมีความสงสารรวมอยู่ด้วย ในฐานะองค์หญิงจำเป็นข้าคงหลีกเลี่ยงหน้าที่ตนไม่ได้ ไม่รู้ว่าห้วงสติของข้าขาดสะบั้นหรือเกิดใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นมา ถึงได้ชี้นิ้วลงเตียง ตบมันเสียงดังพลางกล่าวกับเขาไปว่า

“ท่านนอนที่นี่ได้ แต่ต้องมีเจ้านี่กั้นระหว่างเรา!” ข้าทั้งอายทั้งโกรธ เอาหมอนข้างมากั้นไว้ อีกฝ่ายเพียงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ค่อยๆ สอดตัวเองเข้ามาในผ้าห่มและดับเทียนลงจนห้องพลันมืดสนิท

ความมืดว่าน่ากลัวแล้ว แต่บุรุษผู้หนึ่งที่เป็นถึงองค์รัชทายาทมานอนเคียงข้างในความมืดนับว่าน่าหวาดระแวงมากกว่า ครั้งแรกข้าเบือนหน้าเข้ากำแพงหลับตาปี๋หวังให้คืนนี้ผ่านไปรวดเร็ว แต่เขากลับขยับตัวส่งเสียงจนเตียงสะเทือนทำเอาข้าอดหันหลังไปมองมิได้ รอยยิ้มราวกลั่นแกล้งปรากฏใต้แสงจันทร์ เขามองข้าอยู่นานแล้วทั้งยังส่งเสียงออดอ้อนถามราวคู่รักชวนสนทนา

“หรือเจ้าคิดทวงสิ่งใดจากพี่?”

ข้าถลึงตาใส่เขา

นี่มันเรื่องใด! ข้าไม่อยากทวงสิ่งใดจากท่านทั้งนั้นแหละ!

คำถามของรัชทายาทหนุ่มทำเอาข้ารีบลุกพรวดขึ้นมานั่ง เขาชันตัวมองข้าตอบ ทำเอาเสื้อตัวบนที่ไม่ได้ผูกดีร่วงตกลงจากไหล่ข้างหนึ่งของเขา ภายใต้คืนเดือนมืด แสงจันทร์อ่อนสาดกระทบแผ่นอกขาวอมแดง ชวนให้คนมองลุ่มหลงได้โดยง่าย ตัวข้าแข็งเป็นหินเมื่อเห็นผิวเนื้อใต้ผ้าของบุรุษครั้งแรก หน้าเริ่มแดงร้อนสูบฉีดเมื่อถูกดวงตาคู่นั้นทันเห็นปฏิกิริยาน่าอายเข้า เขาถึงกับหัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทางไร้เดียงสาของข้า ก่อนเขยิบตัวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

อย่าบอกนะว่าเรื่องที่ข้าคิดเกิดขึ้นในวังจริงๆ!

ตัวข้านับว่าเก่งกาจมากไหวพริบ แต่ยามนี้สติกลับกระเจิดกระเจิง ได้แต่ยกผ้าห่มคลุมตัวมิดเขยิบหนีไปสุดมุมเตียง ราวกับลูกสุนัขถูกพยัคฆ์ตัวใหญ่ไล่ต้อน รัชทายาทยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะเขยิบตัวเข้ามาใกล้ข้าทีละน้อย มือหนึ่งคว้าเส้นผมไปเกี่ยวพันเล่น สายตาบาดคมจ้องตรึงตัวข้าไม่ให้ขยับ จนเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นข้างไรผม

“เหตุใดเจ้าต้องหนีพี่เล่า”

“ข้าร้อน!”

สุดท้ายก็เผลอโกหกได้ห่วยแตกสิ้นคิด นี่มันอากาศในเดือนสาม แม้มีสายลมพัดเป่าเพียงเล็กน้อยแต่กลับหนาวเข้ากระดูก หากข้าบ่นร้อนจะฟังขึ้นได้อย่างไร! เขาทำหน้าตาราวฟังข้าเล่าเรื่องตลกก่อนนอน มองข้านั่งตัวเกร็งยกหมอนขึ้นกอดแนบอก

“เจ้ากำลังหนี” เขาเผลอหัวเราะร่วนขึ้นมา

ข้าชะงักสายตามองเขา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขาช่างมีแรงดึงดูด ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมความสุขและเสียงหัวเราะกังวานใสเช่นนี้ ดูดีเสียยิ่งกว่าคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่มุมห้องเมื่อครู่เสียอีก

สงบใจเจ้าไว้ผิงเฟย อย่าให้รอยยิ้มนั้นครอบครองสติเจ้าได้เชียวนะ!

ข้าจ้องตาเขากลับ “ข้าไม่ได้หนี แค่กังวลว่าท่านไม่มีบริเวณยืดแขนขา เพียงถอยตัวออกมาให้ท่านสบายขึ้นเท่านั้น” เขาหรี่ตาไม่หือไม่อือ มองข้ายิ้มกล่าวต่อ “หรือเสด็จพี่ทรงนอนไม่หลับ? เช่นนั้นข้าจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนท่านทั้งคืนเอง!” 

ข้าพูดเน้นคำหนักแน่น นี่คือแผนการที่พอจะคิดได้ในยามนี้ หากเขาไม่นอนข้าก็จะไม่นอน!

“อย่างนั้นหรือ คิดว่าเจ้าโกรธพี่เสียอีก” เขาถอนมือออกจากเส้นผม กึ่งนั่งกึ่งนอนยกมือค้ำใบหน้าไว้ อีกมือวางบนขาที่ชันขึ้นมา จนเสื้อนอนสีขาวตัวบางตกลงจากไหล่เผยให้เห็นแผ่นอกกว้างราวกับกำลังยั่วยวน

ถึงข้าไม่อยากมองแต่กลับเห็นเข้าเต็มสองตา สติเลยพลันกระเจิงเผลอจ้องค้างอยู่บนเนินอกกำยำนั้น กระทั่งถูกมือหนึ่งช้อนคางให้ขยับตัวเข้าไปใกล้ ข้าถึงได้สติว่าสถานการณ์ยามนี้คับขันมากเท่าไร หัวใจพลันเต้นระส่ำ หมอนกั้นที่กอดอยู่ตกลงง่ายดาย

ข้าเขยิบหนี...เขาขยับต้อน

ข้าหนีอีกครั้ง...เขาขยับตัวให้ประชิดมากขึ้นอีกครั้ง!

ใกล้ไปแล้ว! นี่มันใกล้ไปแล้ว!

ข้าหันตัวหนี เก็บซ่อนเสียงหัวใจเต้นดังโครมครามของตนไว้ลึกที่สุด แต่รัชทายาทหนุ่มกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น

“มองข้าสิ...” เขากล่าวพลางเชยคางข้าให้หันกลับมา

ข้าเห็นรูปหน้ารัชทายาทครบส่วนอย่างใกล้ชิด ยามนี้หากไม่กล่าวว่าหล่อเหลาหมดจดราวเซียนเทพก็ไม่อาจรู้ว่าควรเปรียบคนผู้นี้กับสิ่งใด คำกล่าวนั้นแฝงแววทรงอำนาจจนข้าไม่อาจต้าน ได้แต่เกร็งตัวเบิกตามองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ

รัชทายาทหนุ่มรุกตัวเข้าหา ขณะที่ข้าถอยหลังจนไม่มีที่จะหนี แผ่นหลังบางจึงพลันชนเข้ากับบานหน้าต่างส่งเสียงดังปึง! ข้าจนแต้มมองพยัคฆ์เจ้าเล่ห์ตะปบมือพิงขอบหน้าต่าง ก่อนเขยิบริมฝีปากเย้ายวนเข้ามาใกล้ทีละนิดๆ กระทั่งจมูกเราแตะชิดกัน ข้าเริ่มทำหน้าไม่ถูก เบือนหนีไปทั้งหัวใจเต้นเร็วรัวทว่าเขาไม่ยอมให้ข้าหลบ ช้อนคางข้าให้ใบหน้าตั้งตรง สายตาเราประสานเข้าหากัน ถึงตอนนี้แม้อยากขยับตัวหนีก็ไม่สามารถทำได้ เขามองข้าอยู่พักใหญ่แม้สีหน้าไม่ปรากฏรอยใดตรงข้ามกับข้าที่หน้าแดงเป็นลูกตำลึง

“เด็กโง่...” ริมฝีปากนุ่มจดลงหน้าผากแผ่วเบา...วินาทีนั้นข้าหลับตาปี๋ด้วยความกลัว ภาวนาต่อเทพบนสวรรค์ให้เขาง่วงนอนขึ้นมากะทันหัน แต่สวรรค์กลับไม่รับรู้ คนยังพูดถามกับข้าได้ “หายโกรธพี่รึยัง?” 

โกรธ? เขาหมายถึงอะไรหรือ? เพราะตอนนี้ข้าทั้งโกรธทั้งสับสน!

รัชทายาทถอนริมฝีปากจากไปแล้ว แต่รอยอุ่นบนผิวยังคงติดค้างจนรู้สึกได้ชัดเจน ข้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง เขาถอนมือออกไปทั้งยังยกยิ้มขึ้นที่มุมปากน้อยๆ อุณหภูมิร่างกายข้ายังคงไม่ลดลง ใจเต้นสับสนอย่างหนัก ราวกับในอกมีเสียงกลองตีดังลั่น ข้าไม่ยอมตอบคำถาม รีบคว้าหมอนข้างมากั้นชิดเข้าด้านในเตียงหลังใหญ่ นอนหันหลังให้เขาอย่างโกรธขึ้ง ในใจคิดว่าใต้หล้านี้ยังมีพี่ชายน้องสาวที่นอนด้วยกันจนโตและส่งเข้านอนด้วยการประทับจูบบนหน้าผากด้วยหรือ

เสียงหัวใจยังคงเต้นโครมคราม ข้ารีบปรับอารมณ์ตัวเองก่อนจะข่มตาให้หลับลง

“เหตุใดตั้งแต่กลับมา...เจ้าถึงดูเย็นชากับพี่นัก” 

ข้ากลัวความจะแตก แม้ยังโมโหไม่หายก็ได้แต่พลิกตัวไปตอบคำถาม เห็นเขาจ้องหน้าอยู่นานแล้วเอามือหนุนหัวมองข้าตอบ “ข้าไม่ได้โกรธท่าน เพียงแค่ง่วงเหลือเกิน รีบนอนกันเถิด!” ข้ากล่าว เอาผ้าห่มคลุมหัวตัวเองและแสร้งหลับไป “ครอกฟี้ ครอกฟี้!” ทั้งยังจงใจกรนเสียงดังอีกด้วย...

หึ! หมิงหยางเฟิ่ง ข้าจะทำให้ท่านไม่นึกอยากมานอนที่ตำหนักนี้อีกเลย! 

ข้าแสร้งกรนไม่หยุดจนเริ่มง่วงและเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันน่าประหลาด

ในม่านหมอกแห่งความฝัน ข้าปรับสายตามองรอบตัว เห็นทิวทัศน์สวยงามแต่พื้นกลับไม่ใช่พื้นดิน ด้านล่างปรากฏปุยเมฆนุ่มลอยละล่องเต็มพื้น ข้านอนอยู่บนเตียงนอนเมฆสีชมพูอ่อนมีหมอนนุ่มให้หนุนสบาย แล้วกลิ้งตัวหัวเราะคิกคัก คว้าหมอนข้างมากอดไว้แนบตัวอย่างชอบใจ ข้างกายยามนี้ยังมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติดูแล เบื้องหน้ามีกลุ่มนางรำเต้นระบำให้ชมเพลินตา ทั้งยังมีสาวใช้ผู้หนึ่งหยิบลูกองุ่นมาป้อนให้ไม่ขาด คล้ายฮ่องเต้เจ้าสำราญอย่างไรอย่างนั้น

“ฮ่าๆๆ!” 

จู่ๆ สาวใช้ผู้หนึ่งกลับเอาขนนกมาจั๊กจี้รอบคอข้า ทั้งยังโอบรัดรอบตัวไม่ให้หนีไปไหน ข้าหัวเราะตัวงอชักสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจ นางถึงได้ยอมปล่อยตัวข้าจนกลิ้งตกจากเตียงปุยเมฆและลืมตาตื่นขึ้น!

นั่นไม่ใช่ขนนกที่กำลังไล้คอ แต่เป็นผมของบุรุษข้างตัว

ข้าลืมตาสร่างดี เห็นรัชทายาทโอบกอดข้าแน่น ทั้งศีรษะข้ายังนอนหนุนบนแขนเขาพาให้ไอร้อนจากลมหายใจรดลงข้างหู มือหนึ่งของเขายึดบนหน้าอกข้าแน่น บรรยากาศวาบหวามเช่นนี้แม้ไม่ต้องบรรยายก็ทำเอาชีวิตข้าตายไปครึ่งร่าง ข้าร้อนใจขึ้นมา ออกแรงผลักเขาสุดกำลังเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาเห็นแล้วพากันเข้าใจผิด ทว่าดูเหมือนจะไร้ผลใดๆ ยิ่งผลักเขายิ่งตอบสนองโดยการกอดรัดตัวข้าแน่นขึ้นไปอีก ทั้งย่นคิ้วไม่พอใจเวลาข้าขยับตัวออกห่าง หากใครมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่…ยิ่งเป็นฟู่ซิ่นจงกับฮองเฮาที่รู้ว่าข้าไม่ใช่องค์หญิงตัวจริงคงแล้วใหญ่ ข้าดิ้นตัวหนีอยู่ครึ่งชั่วยามจนเรี่ยวแรงหดหาย แต่กลับไม่สามารถดิ้นหนีไปไกลเขาได้เกินคืบ 

ฟ้าเริ่มสาง นกเริ่มร้อง แต่ข้ากลับยังสลัดตัวพ้นจากเขาไม่ได้ รัชทายาทหนุ่มซุกตัวลงต่ำหันหน้าหนุนลงอกข้าอย่างสบายอารมณ์เป็นที่สุด! นี่มันแย่กว่าเดิมเสียอีก!

“ทรงตื่นเดี๋ยวนี้นะเพคะ!” ข้าตะโกนสั่งเสียงร้อน แต่เขากลับไม่ขยับ เอาแต่ส่งเสียงงึมงำไม่ได้สติ

อภัยให้ข้าด้วย...ท่านไม่ตื่นเองนะ! ข้าจนปัญญาจึงเงื้อมือตบลงแก้มเขาดังเพี้ยะจนขึ้นรอยแดง หวังจะปลุกเขา แต่เจ้าของร่างกลับไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่ายๆ

ไม่นานเสียงตะโกนใสของเพ่ยเพ่ยได้ดังผ่านม่านประตูเข้ามา “ฮองเฮาเสด็จแล้ว!”

ตาย…ชะตาข้ากำลังจะขาด เจ้าแม่กวนอิม เง็กเซียนฮ่องเต้ ชาติที่แล้วข้าวังผิงเฟยทำเรื่องใดให้พวกท่านเดือดร้อนกันนักหรือถึงได้ลงทัณฑ์ข้าเช่นนี้!

ข้าพ่นลมหายใจยาว ในใจร้อนรนจนถึงขีดสุด ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้เท่าไรยิ่งอยากจะตายขึ้นมาจริงๆ เสียตรงนั้น สุดท้ายสิ่งที่ข้าพอทำได้ดีที่สุดนั่นคือแสร้งนอนหลับไม่รับรู้

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น