10

ตอนที่ 10


 

นกน้อยเคยหลงคิดว่าต้นไม้ใหญ่คือรังของมัน

...กระทั่งวันหนึ่งเจ้านกน้อยได้พบความจริง...

ตัวมันแท้จริงช่างว่างเปล่าและเดียวดาย

 

 

เสียงฝีเท้าดังใกล้ตัวขึ้นทุกขณะก่อนหยุดตรงหัวเตียง แม้เสียงฝีเท้าหยุดไปแล้วแต่เสียงหัวใจข้ากลับดังระรัว ส่วนคนข้างกายกลับเอาแต่ละเมอพูดไม่เป็นภาษา รั้งตัวข้ากอดแน่นพลางเอาหน้าซุกลงอกไม่หยุด หากเป็นช่วงเวลาปกติข้าคงตื่นขึ้นตบหน้าเขาสักฉาดใหญ่ แต่สถานการณ์แบบนี้ข้าไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจออกมา ได้แต่แกล้งกรนเป็นหมูในเล้า นอนนิ่งไม่ขยับราวกับตายไปแล้ว โชคยังดีที่ข้านอนหันหลังให้ฮองเฮา ไม่เช่นนั้นพระนางคงเห็นเม็ดเหงื่อที่ผุดบนใบหน้าข้าแน่ๆ

“ปลุกพวกเขา” 

ทั้งที่เพิ่งพ้นฤดูหนาว แต่เหตุใดน้ำเสียงของพระนางกลับทำให้ข้าขนลุกชันขึ้นมาเสียได้

“พะ…เพคะฮองเฮา” เพ่ยเพ่ยเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด แน่ละ...กับคนที่ไม่ควรกลัวนางยังกลัว ยิ่งเวลานี้ฮองเฮากลับมายืนอยู่ข้างๆ ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบเช่นนี้ ต่อให้ไม่ใช่เพ่ยเพ่ยเป็นใครใครก็ย่อมกลัว

“องค์รัชทายาททรงตื่นบรรทมเถิด…องค์หญิงทรงตื่นบรรทมเถิด” เพ่ยเพ่ยจับไหล่ข้าเขย่า น้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้เต็มทน ส่วนข้ายังคงนอนกรนเป็นหมูต่อ เรื่องใดจะยอมตื่นมารับชะตากรรมก่อนเล่า? 

ไม่นานนักเสียงของเพ่ยเพ่ยที่ดูเหมือนจะร้องไห้ไปเรียบร้อยแล้วก็หยุดลง รัชทายาทได้ตื่นขึ้นมาแล้วนั่นเอง

ดีมาก ตื่นมาเสีย! เรื่องนี้ท่านเป็นคนก่อ ท่านย่อมต้องตื่นขึ้นมาแก้

เฮ้อ...โล่งอก ข้าแอบถอนหายใจโล่ง แสร้งนอนหลับทิ้งให้เขารับหน้าแทน

“อืม…พอเถิดเพ่ยเพ่ย เราตื่นแล้ว” เขาขยับตัวลุก น้ำเสียงมิได้งัวเงียแม้แต่น้อย กลับปนไปด้วยความรำคาญเสียมากกว่า

“เหตุใดรัชทายาทถึงมาบรรทมที่ตำหนักองค์หญิง” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นถาม

คนข้างตัวข้าขยับลุก หาวหวอดๆ อยู่หลายครั้งก่อนจะกล่าว มิได้เกรงกลัวนัยน้ำเสียงโกรธขึ้งของพระมารดาเลยสักนิด “ถวายบังคมเสด็จแม่ ทรงแปลกพระทัยเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อลูกเคยมาค้างในตำหนักเหมยฮวาอยู่บ่อยครั้ง...” 

ยังไม่ทันจะกล่าวจบต้นแบบเสียงเรียบเย็นก็สวนขึ้นมาทันที

“องค์หญิงอายุสิบห้าแล้ว แม่เห็นเป็นเรื่องไม่สมควรเท่าไหร่นัก!” ต้นเสียงดูเผด็จการยิ่งกว่าเดิมคล้ายกำลังกริ้วเป็นอย่างมาก เพราะฮองเฮาทรงรู้ดีว่าข้าเป็นใคร

“เหม่ยหลิงเองได้กล่าวเช่นนั้น แต่ลูกกลับรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้” เขากล่าวอย่างสุขุมรอบคอบ พลางหยุดเป็นจังหวะ “หรือเสด็จแม่ทรงมีเหตุผลอื่น ตรัสมาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

ช่างเป็นคู่ปะทะวาจาที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง คำกล่าวทั้งหมดของเขาได้ปกป้องข้าไว้แล้ว เพราะหากเขาไม่พูด ภาพที่ฮองเฮาเห็นอาจกลายเป็นข้าไปยั่วยวนรัชทายาทได้ นั่นทำให้พระนางนิ่งเงียบไม่กล่าวคำไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างจนใจ

“ตามใจเจ้าเถิด”

“อีกเรื่อง เสด็จแม่ทรงเลิกกักบริเวณเหม่ยหลิงเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลายวันที่ผ่านมาสำหรับคนอยู่ไม่เป็นที่แบบนางคงมากพอแล้ว”

“เรื่องนั้นแม่คงให้เจ้าไม่ได้ รัชทายาททรงตามใจองค์หญิงมากไปแล้ว” น้ำเสียงยิ่งกล่าวยิ่งเข้มงวด ข้าได้ยินฟู่ซิ่นจงถอนหายใจอย่างอึดอัด จากนั้นถึงมีฝ่ามืออันอบอุ่นมาลูบผมข้าที่กำลังแสร้งนอนหลับ นำความรู้สึกปลอดภัยมาให้

รัชทายาทยังคงลูบผมข้า กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ที่ผ่านมาเสด็จแม่ทรงตามใจนางมาตลอด เหตุใดคราวนี้ถึงได้ทรงเข้มงวดนัก” 

ฮองเฮาถอนหายใจยาว “ตามใจพวกเจ้าเถอะ แม่เริ่มเหนื่อยจะเล่นต่อคำกับรัชทายาทแล้ว”

พระนางเอ่ยแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย คล้ายไม่อยากต่อปากต่อคำกับลูกชายตัวดี เป็นข้าเองที่แอบยิ้มแก้มปริ การที่ได้รับอิสระออกจากห้องเล็กๆ ได้ล้วนเป็นเพราะเขาทั้งนั้น

เสียงระย้ามุกขยับส่าย คาดว่าฟู่ซิ่นจงคงเปิดม่านเพื่อให้พระนางเดินผ่าน ไม่นานเสียงส่งเสด็จถึงดังขึ้นตามหลัง

“น้อมส่งเสด็จแม่”

ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกนางก้าวห่างออกไป เสียงประตูปิด จากนั้นรัชทายาทถึงได้สั่งให้นางกำนัลออกไปจากห้อง ห้ามมิให้ใครเข้ามารบกวนพวกเรา ดังนั้นพอเพ่ยเพ่ยหับประตูปิดแน่นหนา เสียงทุ้มต่ำถึงได้ดังข้างหู

“ลืมตาได้รึยัง พี่รู้ว่าเจ้าตื่นนานแล้ว” 

ข้าขยับตัวเล็กน้อย ขยี้ตาตื่นมาจ้องใบหน้าเรียว นี่เขารู้นานแล้วแต่ไม่ปลุกข้าหรอกหรือ?

“ท่านรู้?” 

เขาพยักหน้าทั้งสีหน้าราบเรียบ มองข้าขมวดคิ้วระแวง “มีเรื่องใดบ้างที่พี่ไม่รู้?” 

คำกล่าวเหล่านั้นทำให้ใจข้าเต้นไม่เป็นสุข สบดวงตาคู่คมที่มองจ้องมาอย่างค้นหาคำตอบ ราวกับไม่มีความลับใดกลบเกลื่อนสายตาเขาไปได้ ใช่ว่าเขาจะเป็นเบื้อเป็นใบ้ เพียงหนึ่งประโยคเรียบๆ กลับทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกไล่ต้อนจับพิรุธ จากที่ว่าแน่ใจข้าก็เริ่มไม่แน่ใจ หรือตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารู้แล้วว่าสตรีข้างกายมิใช่องค์หญิงตัวจริง?

เพียงครู่ที่แววตานั้นราวล่วงรู้ทุกอย่าง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม เขายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ พูดเสียงใสขึ้นมาหยอกล้อข้าเช่นปกติ “เจ้ารีบเตรียมตัวเถิด พี่ให้เพ่ยเพ่ยเตรียมชุดไว้ให้แล้ว วันนี้พวกเราออกนอกวังเจ้าควรปลอมตัวเสียหน่อย แต่เรื่องนี้คงเป็นงานถนัดเจ้าจริงหรือไม่”

ข้าคลายกลั้นหายใจ ทักษะหนึ่งที่องค์หญิงทรงถนัดเห็นจะเป็นแปลงกายปลอมตัวเช่นที่นางทำบ่อยครั้งตอนหนีออกนอกวัง ดังนั้นข้าจึงไม่อาจปฏิเสธ รีบโคลงศีรษะตอบทันที “ได้! ข้าจะรีบ” 

ครั้นแล้วจึงกระโดดออกจากเตียงลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว รัชทายาทสั่งนางกำนัลนอกห้องจัดเตรียมเสื้อผ้า เพ่ยเพ่ยและนางกำนัลอีกเป็นโขยงถึงยกถังน้ำร้อนมาให้ข้ากับเขาอาบโดยมีฉากไม้คั่นกลางไว้ เพ่ยเพ่ยคอยกำชับนางกำนัลผู้น้อยให้ปรนนิบัติเขาเป็นอย่างดีขณะจับตัวข้าขัดถูอย่างเบามือ

ข้ามองเงาหลังฉากกั้นเป็นพัก เห็นเงาคนลุกจากถังเสร็จนำไปก่อนแล้ว เป็นบุรุษก็เช่นนี้ อาบน้ำได้รวดเร็วทำสิ่งใดได้รวดเร็วกว่าเสมอ เพ่ยเพ่ยเห็นดังนั้นจึงเร่งมือ ไม่นานข้าถึงสวมชุดคลุมตัวหนาตามหลังเขามาติดๆ นางกำนัลส่วนหนึ่งยกฉากกั้นออกเพื่อระบายความชื้นของไอน้ำ นั่นทำให้ข้าเห็นเหตุการณ์อีกฟากของฉากกั้น...

ภาพตรงหน้าคือเหล่านางกำนัลกำลังช่วยเขาสวมชุดท่อนบน แม้เป็นเพียงเสี้ยวชั่วกาน้ำชา แต่สายตาข้ากลับเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาจนหมดสิ้น ข้ารีบเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงยกฉากไม้กั้นฉากใหม่ดังอยู่ด้านหลัง 

ยกมาให้เร็วกว่านี้ได้หรือไม่? นี่พวกเจ้าให้ข้าเห็นภาพใดแต่เช้ากันนี่!

ข้าโคลงศีรษะปัดภาพติดตาเมื่อครู่ออก ไม่ยอมเห็นสิ่งใดเพิ่มเติมไปกว่านี้แน่ จึงเดินเร็วข้ามไปอีกห้องหนึ่ง ยกมือไล่นางกำนัลและเพ่ยเพ่ยออกไปจนหมด อย่างไรเสียก็ไม่ชินกับการถูกคนห้อมล้อมดูแล ทั้งเวลานี้ยังมีบุรุษแปลกหน้ามาอยู่ในห้องขณะผลัดผ้า ข้าคงทนต่อไปไม่ได้อีก แม้คนอื่นจะเห็นเราสองคนเป็นพี่น้อง แต่ใช่ว่าข้าจะเห็นเขาเป็นพี่ชายจริงๆ เสียที่ไหน?

“ยังไม่เสร็จอีกหรือ เหตุใดเจ้าไม่ให้นางกำนัลมาช่วยเล่า”

“ว้าย!!!” ข้าหวีดเสียงร้องลั่น ไม่ทันได้เอาผ้ามาคาดเอว รัชทายาทกลับเดินพรวดพราดเข้ามาในห้อง ข้ารีบยกสองมือกุมสาบเสื้อไว้แน่น หันมาหาเขาด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง ถึงเขาเป็นถึงองค์รัชทายาทข้าก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไปแล้ว! “ท่านรีบออกไปเดี๋ยวนี้!”

“อะไรกัน เจ้ายังคาดเสื้อไม่เป็นอีก” เขายิ้มให้พลางเดินเข้ามาหา มือคว้าแขนเสื้อข้าที่หล่นลงมาสวมทับไว้เช่นเดิม ข้าผลักเขาออกตามสัญชาตญาณ แต่ลืมไปเสียสนิทว่าปล่อยมือไม่ได้ ผ้าคาดเอวจึงหลุดออกจากกันเผยให้เห็นเสื้อคลุมตัวขาวสะอาดด้านใน ข้าทรุดนั่งลงพื้นอย่างอับอาย สองมือจับสาบเสื้อเข้าหากันทันควัน อารมณ์พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เวลานี้ข้าโกรธมากแล้วจริงๆ

“ออกไปนะ! ออกไปเดี๋ยวนี้!” ไล่ไม่ว่า ยังเขวี้ยงของใกล้ตัวใส่เขา

เสียงตะโกนและเสียงขว้างปาข้าวของจนแตกกระจาย ทำเอาสี่กงกงกับนางกำนัลอื่นวิ่งวุ่นกันอลเวง ยืนเป็นเงารางๆ ถามข้าอย่างห่วงใยอยู่นอกประตู ด้วยคิดว่าเกิดเรื่องอันตรายใดต่อข้ากับเขา

“ทรงปลอดภัยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!” เป็นเสียงสี่กงกงร้องเรียกอย่างร้อนใจ

และเสียงตะโกนดังของเพ่ยเพ่ย “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะองค์หญิง!”

ข้าเริ่มสงบสติอารมณ์เมื่อได้ยินเสียงบ่าวตบบานประตูถามซ้ำๆ รัชทายาทละสายตาจากข้า ถอนหายใจพลางตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไร ให้เราจัดการเอง” พวกบ่าวนอกประตูถึงได้สงบลง

ให้เขาจัดการ?

ข้าทำตาโต ชี้มือถาม “ท่านจะทำอะไร!”

รัชทายาทฉุดข้อมือคว้าตัวข้าให้ยืนขึ้น ในขณะที่ทั่วทั้งตัวของเขารองรับแรงเตะจากข้าครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่ท่านชักจะมากเกินไปแล้ว! ข้ายังไม่ทันแต่งงาน เรื่องใดจะให้ท่านมาเห็นเสื้อตัวในได้เล่า!

“เงียบก่อน” เขาสั่งเพียงเรียบๆ แล้วใช้มือหนึ่งสวมเสื้อผ้าของข้าให้เข้าที่ อีกมือคว้าผ้าคาดเอวสีชมพูเหลือบแดงมาบรรจงผูกให้ ก่อนรวบชุดผูกแต่ละชั้นอย่างชำนาญ แม้ซับซ้อนหลากขั้นตอนแต่ทั้งหมดนี้เขาสามารถทำได้เสร็จภายในชั่วพริบตา จนสายตาเขาอาจไม่ทันเห็นเรือนร่างข้าชัดเจนก็เป็นได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์โกรธของข้าลดลง

เขามองข้าฮึดฮัดอยู่ครู่ ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“นี่เจ้าหัดขี้โวยวายตั้งแต่เมื่อใดกัน”

ดวงตาคนตรงหน้าสงบนิ่งดุจสายน้ำในขณะที่ข้าวูบร้อนดุจกองไฟ ข้าไม่สนว่าเขาเป็นใคร เริ่มตะโกนต่อว่าด้วยโทสะ

“ผิดหรือที่ข้าโวยวาย แล้วท่านเล่าเป็นใคร กล้าดียังไงมามองเรือนร่างข้า!” 

สตรีไม่ออกเรือนโดนบุรุษเห็นเรือนร่าง หากรู้ถึงไหนได้อายถึงนั่น แล้วใครเล่าจะกล้าเข้าหอกับข้าได้อีก!

“ร่างกายเจ้า พี่ก็เห็นมาตั้งแต่เล็ก ทุกเช้ามิใช่พี่หรือที่คอยแต่งตัวให้ แล้วเหตุใดเจ้าต้องโกรธถึงขนาดนี้ด้วย” 

ข้านิ่งตะลึงไป ลืมเสียสนิทว่าตนเองเป็นใครอยู่ จึงลดมือลงเปลี่ยนมากอดอกแทน

“ข้าโตแล้ว” ข้าแสร้งกล่าวเฉไฉ พูดจาแข็งกระด้างเอาแต่ใจ

รัชทายาทหรี่สายตามองมา ริมฝีปากยกโค้งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทำเอาข้าไม่อาจคาดเดาอารมณ์ เขาโกรธหรือไม่โกรธ สงสัยหรือแสร้งทำเป็นไม่รู้? ข้ากลัวว่าเขาจะจับได้ขึ้นมาจึงอ้ำอึ้งไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก

“ไปกันเถอะ” 

พอเห็นเขาไม่กล่าวอะไรและเดินนำออกไปจากห้อง ข้าถึงกับพ่นลมหายใจยาวอย่างโล่งอก ก่นบ่นกับตัวเองเบาๆ “ท่านผิดเองนะ...ข้าไม่ตีท่านจนตัวลายก็นับว่าปรานีแค่ไหนแล้ว!”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น