11

ตอนที่ 11

 

 [2] หญิงโบราณสมัยก่อนจะไม่เปลี่ยนสกุลตามสามี คำว่าหยวนคือสกุลเดิมของฝ่ายหญิง และผิงเฟยคือชื่อจริง มีอักษรของสกุลสลักไว้ที่ป้ายชื่อซึ่งเป็นสกุลของฝ่ายชาย

ครั้นออกนอกวัง บรรดาราชนิกุลทั้งหลายนิยมปลอมตัวเพื่อความปลอดภัย รัชทายาทสวมชุดสีเขียวมรกตปักเลื่อมเขียวประกายเงินลายปลาหลี่อวี๋[1] รวบผมดำสนิทเกล้าขึ้นหลวมๆ มัดด้วยผ้าป่านสีไผ่เข้าชุด ท่วงท่าบุคลิกของเขายามนี้ดูคล้ายลูกขุนนางมีตระกูลผู้หนึ่ง ทว่าประกายโดดเด่นเช่นราชันกลับมิได้จืดจางไปเลยแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ก็เช่นนี้ รัชทายาทก็เช่นนี้ ต่อให้สวมชุดมอซออย่างไรเห็นทีบารมีในตัวย่อมคงอยู่

ข้าส่ายหน้ามองเขายิ้มๆ พลางก้าวผ่านขอบประตูตำหนัก นึกขำขันที่แม้จะปลอมตัวอย่างไร ชาวบ้านภายนอกเพียงมองปราดเดียวย่อมรู้ได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ย่อมมิใช่คนธรรมดา

“ฮ้า...”

ไม่ได้เห็นทิวทัศน์นอกห้องมาหลายวัน ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกเอาอากาศสดชื่นเข้าปอด วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆบดบัง แม้อากาศเริ่มเย็นไปตามฤดูกาล ทว่าดวงอาทิตย์ยังคงส่องแสงอบอุ่นลงมาแตะผิวกาย ข้าก้าวไม่เร็วไม่ช้าชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก หลังจากต้องหมกตัวอยู่ในตำหนัก วันๆ เอาแต่ท่องตำรา พอสูดอากาศสดชื่นเข้าไปบ้างข้าก็ถึงกับเป็นคนใหม่ไปในพริบตา ข้ามิได้สนเพ่ยเพ่ยและสององครักษ์ที่เดินตามหลัง วันนี้นางกำนัลอื่นในตำหนักเองก็ดูรื่นเริงกันเป็นพิเศษ ต่างก้มหน้ายิ้มไม่ยอมเก็บอาการกันสักคน เป็นเพราะข้าไม่อยู่ตำหนักพวกนางถึงได้มีเวลาว่างพักผ่อนกันโดยทั่ว 

หลี่จวินหันมายิ้มให้ข้า แต่ข้างกายเขากลับมีใบหน้าไร้ความรู้สึกของหย่งอวี้เป็นเงาประดับฉาก สีหน้าฉายแววไม่เป็นมิตรเฉกเช่นทุกครั้ง จากจะยิ้มให้ข้าเลยไม่ยิ้ม หลี่จวินเองไม่เข้าใจ นึกว่าข้ายังโกรธไม่หายจึงไม่กล้าวุ่นวายกับข้าอีก ได้แต่เดินตามเพียงห่างๆ เท่านั้น ข้าเองขี้คร้านจะแก้คำจึงมองข้ามพวกเขาแล้วคว้าดอกไม้ที่บานรับริมสองข้างทางมาดมแทน พลางเหลียวดูเจ้าปลาน้อยใหญ่ขณะเดินขึ้นสะพานน้ำ

“ดูเจ้าอารมณ์ดีขึ้นมาก” รัชทายาทตรัสพลางเดินเข้ามาใกล้

ข้าหักกิ่งหลิวทันทีที่ได้ยิน อารมณ์ดีหรือ?

หากท่านมิได้มาล่วงเกินข้าแต่หัววัน ข้าคงอารมณ์ดีได้มากกว่านี้เสียอีก!

“แน่นอน!” ข้ากล่าวประชดอย่างไม่รู้ควรระบายอารมณ์กับผู้ใด แต่พอหันไปสบตาพลันเห็นคนมองมาอยู่นานแล้ว แม้สีหน้าเขาไม่แสดงความรู้สึกใดชัดเจน ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มเจือเอ็นดูอยู่ในนั้น

ข้าทำหน้าตึงใส่ ยิ่งเขายิ้มไม่รู้สำนึกยิ่งรู้สึกถูกกวนหัวมากเท่านั้น แต่อย่างไรเขาก็ไม่ผิดเพราะคิดว่าข้าเป็นองค์หญิง จึงไม่อาจกล่าวว่าเขาได้เต็มปาก

“โกรธเรื่องใดหรือ” เขายิ้มถาม

“ไม่ได้โกรธเรื่องใด ท่านอย่าใส่ใจข้านักเลย” ข้าหมุนกิ่งหลิวในมือเล่น เบนสายตามองทางอื่นเพื่อสงบสติอารมณ์

“จริงสิ!” ฝ่ามือใหญ่พลันฉวยมือข้าไปกุมไว้ “หรือเป็นเพราะพี่ลืมกุมมือเจ้าเดิน ถึงได้ทำหน้าตาบึ้งตึงเช่นนี้”

คิดเองกล่าวเอง!

“ไม่ใช่นะ!” ข้าถลึงตาใส่ สะบัดตัวหมุนหมายให้คนปล่อย แต่กลับถูกเขาโอบตัวเข้าไปกอดแน่น

มือว่าปล่อยไม่พ้น ตัวยังถูกเขาล่วงเกินซ้ำแล้วซ้ำเล่า!

ข้าขยับต้านแรง มองรอยยิ้มละมุนขยับเข้าใกล้ หัวใจพลันเต้นแปลกประหลาดขึ้นมาอีกแล้ว!

หากเวลานี้ข้ามิใช่องค์หญิงคงคิดว่าเขาคือรัชทายาทหนุ่มเจ้าสำราญคนหนึ่ง ทั้งยังหาจังหวะล่วงเกินข้าได้อย่างเหมาะสม ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นที่หนึ่งในชิงฉวน!

“ทรงปล่อยนะเพคะ!” ข้าสุดทน หันไปปัดมือเขาทำให้ตัวโน้มลงจนเซล้ม

“อ๊ะ!”

รัชทายาทประคองข้าไว้ทันเวลา กล่าวอย่างขำขันว่า “อย่าดื้ออีกเลย กุมมือไว้จะดีกว่า” เขายกยิ้มอย่างผู้ชนะพลางจูงมือข้าเดินไปที่รถม้า ทำหน้าราวกำลังกล่าวว่า เห็นไหมเล่า เจ้ามันจอมซุ่มซ่ามขนาดไหน? ยอมให้ข้ากุมมือไว้เช่นนี้จะดีเสียกว่า

ข้าทั้งโกรธทั้งอายได้แต่เดินตามเขาไปเงียบๆ ถือคติยามนี้ว่า ไม่หนี ไม่ต่อต้าน ไม่ถูกเขาล่วงเกินมากขึ้นไปอีก

 

เบื้องหน้า...รถม้าซึ่งทาด้วยสีโทนอุ่นฉลุลวดลายทรงเหลี่ยม มีม่านบดบังสายตามิให้เห็นคนด้านใน คล้ายรถม้าพ่อค้าชนชั้นกลางดูมีฐานะถูกเตรียมไว้ข้างประตูวังพร้อมม้าสีน้ำตาลตัวหนึ่ง ข้าเคยได้ยินมาอยู่บ้าง...หากราชนิกุลเสด็จออกนอกวัง บรรดาบ่าวย่อมตระเตรียมสิ่งของให้ไม่เป็นที่สะดุดตา ฟู่ซิ่นจงเล่าว่าส่วนใหญ่คนขับรถม้ามักเป็นแม่ทัพหรือไม่ก็องครักษ์ฝีมือดี ดังนั้นบรรดาบ่าวติดตามพวกเราจึงล้วนเป็นคนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น หากไม่นับเพ่ยเพ่ยที่ทำหน้าเหลอหลาอยู่ข้างข้าเวลานี้

เพ่ยเพ่ยสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อดีสีไข่ห่าน นางเกล้าผมรวบธรรมดาดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าจิ้มลิ้มมิได้ตกแต่งเครื่องแป้งเช่นปกติ คล้องถุงใบเล็กห้อยติดตัวตามประสาสาวใช้ธรรมดาคนหนึ่ง ส่วนชุดกระโปรงของข้าเป็นผ้าเนื้อดีสีโทนชมพูอ่อนเหลือบส้มสดใส รัดสายคาดเอวแดงชาดพร้อมคลุมเสื้อทับไว้อีกชั้น ลายผ้าประดับฝีเย็บลายโบตั๋น มีถุงเงินที่รัชทายาทเตรียมไว้ให้พกอยู่ในสาบเสื้อ ข้าหยิบมันมาลองโยนดูน้ำหนัก เดาว่าคงมีหลายสิบตำลึงอยู่ในนั้น นับว่ามากเกินจะใช้จ่ายจนหมดในวันเดียว

ข้ายิ้มพลางนึกหาทางกลับจวน ออกนอกวังครั้งนี้นอกจากหาทางสืบข่าวคราวของท่านแม่ ข้ายังคิดเหมาของดีในตลาดกลับไปฝากอีกด้วย หลายวันนับตั้งแต่ข้าหายตัวไปทุกคนในสกุลวังต้องเป็นห่วงมากแน่ ข้าจึงต้องกลับบ้านเพียงเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านพ่อท่านแม่หายกังวลเท่านั้น

“รีบขึ้นรถเถิด”

ข้าได้สติจึงหันไปพยักหน้า “เพคะ” พลางเหยียบเท้าลงหลังขันทีตัวจ้อยขึ้นรถม้า เมื่อหยางเฟิ่งประคองข้าและขึ้นตามมาเพ่ยเพ่ยถึงปิดประตูไล่หลัง นางนั่งอยู่หน้ารถม้ากับองครักษ์ในคราบคนกุมบังเหียน คอยจัดแจงบอกชื่อโรงเตี๊ยมสองสามแห่งให้พวกเราฝากท้อง ข้าเลิกม่านมองดูทิวทัศน์ เห็นหย่งอวี้กับหลี่จวินเดินขนาบอยู่คนละด้านของบานหน้าต่าง สอดสายตาส่องระแวดระวังอยู่ทุกเวลา

การออกนอกวังครั้งนี้เห็นทีคงไม่ใช่เรื่องปกติแน่...

“ปิดม่านเสีย” แล้วก็เป็นจริงเช่นที่คาด รัชทายาทออกคำสั่งทั้งดวงหน้าราบเรียบผิดวิสัย เหลือบมองข้าลดมือปิดม่านลงแล้วสั่ง “เขยิบมานั่งใกล้พี่”

ข้ามองคนตบมือลงเบาะเรียก เหตุใดท่าทางนั้นดูราวกับหญิงคณิกากำลังเชื้อเชิญแขกเล่า? ข้าส่งสายตาระแวง ทำให้ต่างคนต่างนั่งจ้องหน้ากันอยู่ครู่ รัชทายาทหรี่สายตาลงเมื่อเห็นว่าข้ายังนั่งห่างเขาอยู่หลายคืบ ก่อนฉุดตัวข้าเข้ามานั่งใกล้

“นั่งอยู่ข้างพี่ เจ้าจะปลอดภัยมากกว่า”

“คิดว่าท่านเป็นผู้อันตรายที่สุดเสียอีก” ข้ากล่าวประชด

เขายิ้ม เลื่อนตัวเข้ามาใกล้ “วันนี้พวกเราไม่ได้มาเที่ยวเล่น เสด็จพ่อมีรับสั่งให้พี่ออกมาสืบข่าว พวกเราจึงจำต้องปลอมตัวเพื่อตบตาศัตรู” ยิ่งพูดดวงตาเขายิ่งประกายอันตรายเจือระแวดระวัง ทว่าริมฝีปากเขากลับเข้าใกล้ใบหูราวหยอกล้อ

นี่ท่านกำลังจริงจังหรือล้อเล่นกับข้ากันแน่!

“ไม่ถึงกับต้องกระซิบก็ได้เพคะ” ข้าผลักเขาออกอย่างทนไม่ไหว แต่กลับถูกเขากระชับกอดแน่นเข้าไปอีก

“จุ๊ๆ...นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย ใครมาได้ยินเข้าจะดีหรือ” เขาพูดทั้งสีหน้าไม่เปลี่ยน แววตาดูจริงจังตั้งใจ แต่รอยยิ้มละมุนนั้นคล้ายดูจงใจกลั่นแกล้งกันชัดๆ

“ในรถม้ามีผู้ใดแอบฟังได้หรือ รีบบอกมาเถิดเพคะว่าจะให้ข้าทำสิ่งใดบ้าง” แก้มข้าร้อนผ่าวขณะเรียกความคิดกระเจิดกระเจิงให้กลับมา

“เช่นนั้นเจ้าเป็นฮูหยินของข้าสักวันดีหรือไม่” เขากล่าวยิ้มๆ

ข้าชะงักตัวร้อง หา! ในใจ เป็นฮูหยินของเขา? นี่ข้าต้องแสดงละครฉากซ้อนกี่ฉากกัน?

“เหตุใดไม่เป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมล่ะเพคะ”

“เพราะสถานที่วันนี้ไม่เหมาะกับหญิงพรหมจรรย์เช่นเจ้า ข้าต้องแวะทำธุระแถวหอคณิกา เจ้าเข้าใจหรือไม่” 

ข้าชักสีหน้าหรี่ตามอง ที่แท้เขาเพียงออกจากวังมาหาความสำราญเช่นบุรุษ หลงคิดมาตลอดว่าเขาเป็นรัชทายาทผู้ฝักใฝ่เพียงเรื่องงานบ้านงานเมืองเสียอีก

“หาใช่เรื่องที่เจ้าคิด” เขายิ้มน้อยๆ ราวอ่านความคิดข้าออก เอื้อมมือมาหยิกแก้มข้าทีหนึ่ง

ข้ารีบสะบัดหน้าหนีอย่างฉุนเฉียว ไม่ใช่เพราะหึงหวงแบบพี่น้องหรือแบบใด เพียงคิดว่าเงินภาษีเหล่านั้นกลับต้องมาบำเรอบุรุษในวังทั้งที่ชาวบ้านทำงานอาบเหงื่อแทนน้ำ ก็อดโกรธแทนชาวบ้านตาดำๆ มิได้

“น้องหญิง เจ้าไม่เชื่อใจพี่หรือ เหตุใดทำท่าเง้างอนเช่นนี้เล่า” เขาทำเสียงอ้อนเสมือนชายหนุ่มง้อภรรยา รัชทายาทผู้ปกติไม่แสดงอารมณ์ใดๆ กลับตีบทแตกจนน่าตกตะลึง

“จะให้ข้าคิดเป็นอื่นได้อย่างไร ท่านควรเป็นคนที่ฝักใฝ่แค่งานแผ่นดินเท่านั้น” ข้าพูดน้ำเสียงจริงจังพลันทำให้สายตาขี้เล่นของเขาหายไป

เขาถอนหายใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พี่เพียงมาตามหาคนเท่านั้น ฐานะฮูหยินย่อมทำให้คนอื่นไม่สงสัยในตัวพวกเรา ทั้งยังมีสิทธิ์ปกป้องเจ้าได้ตามสะดวก”

สายตาคู่นั้นมองตรงแน่วแน่ ข้าจึงรู้ว่าเขาไม่ได้โกหกและรู้ว่าเขาเป็นห่วงข้ามากขนาดไหน แม้ความห่วงใยนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อมอบให้ข้า แต่ข้ากลับเก็บคำพูดเหล่านั้นมาคิดวุ่นวายใจอีกจนได้

ข้ารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านรีบทำธุระให้ลุล่วงโดยเร็วเถอะ ข้าจะอยู่เฉยๆ เป็นเด็กดีไม่ทำให้ท่านลำบากใจ” ข้ายิ้มให้เขา มองถุงเงินในมือ ช่างเถิด...ท่านทำธุระของท่าน ข้าทำธุระของข้า ดีเสียอีกหากอยากหนีกลับจวนซื้อของดีๆ ไปฝากท่านพ่อท่านแม่ เพราะเขาคงไม่มีเวลาวุ่นวายกับข้าแน่

“อีกอย่าง...เจ้าพกป้ายนี้ติดตัวไว้เถิด”

รัชทายาทยื่นป้ายหยกสลักอักษรสีแดงเป็นชื่อปลอมของข้าไว้ ถัดจากคำว่าจวี๋มีคำว่าหยวนผิงเฟย[2] เป็นอักษรเล็กๆ ต่อท้าย ข้าเบิกตามองอยู่ครู่แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ นี่มิใช่ชื่อจริงของข้ากับสกุลจวี๋หรอกหรือ! คิดแล้วขนพลันลุกตั้งชันขึ้นมา ใจนึกถึงจวี๋จวินฉี หากฟู่ซิ่นจงไม่เจอข้าในคืนนั้น ป้ายหยกนี้อาจเป็นของข้าจริงๆ ก็ได้ แต่ทำไมเรื่องราวถึงได้ดูบังเอิญขนาดนี้เล่า? ถึงจะไม่ใช่สกุลวังแต่ใช้สกุลหยวน ทว่าอย่างไรผิงเฟยนั่นก็เป็นชื่อของข้าไม่ผิดแน่

ไม่มีทาง...นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ! ข้าหันไปมองเห็นสายตาคู่นั้นจดจ้องมาอยู่นานแล้ว หรือเขากำลังทดสอบข้าเพราะรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว?

“เจ้าชอบหรือไม่” เขาถาม

ข้าปั้นหน้านิ่ง ปรายตามองป้ายหยกอย่างละเอียดเสมือนเพิ่งเคยเห็นชื่อนี้เป็นครั้งแรก

“ป้ายจากราชสำนักหากตีขึ้นรูปแล้วล้วนงดงามทุกชิ้น ชื่อนี้เองนับว่าไพเราะมีความหมาย ข้าชอบมัน” ข้ายิ้มเรียบ เห็นเขาเบนสายตาไปทางอื่นจึงรู้ว่าตนพอมีไหวพริบแก้สถานการณ์ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “แต่เหตุใดต้องใช้สกุลจวี๋เป็นข้ออ้างเล่า” 

รัชทายาททำสีหน้าเคร่งเครียดลำบากใจ คล้ายไม่อยากข้องแวะแต่กลับไม่อาจเลี่ยง

“แม้สกุลจวี๋ชื่อเสียงไม่ดีเท่าไร แต่ขุนนางระดับสูงล้วนเป็นคนสกุลจวี๋ทั้งนั้น อีกทั้งจวี๋เซินสี่ยังเป็นที่โปรดปรานของเสด็จแม่ จึงทรงไว้ใจมอบหมายให้ทำธุระสำคัญต่างๆ อย่างไรสกุลจวี๋นับเป็นหนึ่งในสามสกุลใหญ่ซึ่งค้าขายอยู่ในชิงฉวน จวี๋ เก้า ฝู ป้ายทั้งสามสกุลนี้พี่มีติดตัวไว้ตลอด แต่ป้ายของสกุลจวี๋สามารถเปิดทางในหอคณิกาได้ราบรื่นที่สุด เจ้าเองย่อมเคยพบอ๋องน้อยจวี๋จวินฉีตอนเข้าวังมาเป็นบัณฑิต และอาจเคยได้ยินชื่อเสียงของอ๋องน้อยรักสนุกผู้นี้ด้วย” 

จวี๋จวินฉี! จวี๋จวินฉี!

มุมปากข้ากระตุกอย่างอดมิได้ หากพูดถึงอ๋องน้อยที่มีชื่อเสียเรื่องผู้หญิงดังกระฉ่อนทั่วแคว้น คงไม่พ้นเจ้าบ้ากามจวินฉีที่เคยคิดทำไม่ดีไม่ร้ายข้าแน่! เหตุใดโชคชะตาถึงได้หมุนให้ข้ามาพบบุรุษเช่นนี้อยู่เสมอ ช่างไม่สบอารมณ์เสียจริง!

ข้าตีหน้านิ่งเก็บอารมณ์ไว้พลางหันไปถาม “แล้วพวกเราจะได้พบอ๋องน้อยผู้นั้นหรือไม่” 

หยางเฟิ่งมองมาที่ข้า ไม่พูดอะไรอยู่นานก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบา “อาจได้พบ”



[1] ปลาหลี่อวี๋หรือปลาหลี่ฮื้อนั้น ชาวจีนเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในชีวิต มักนิยมปักเป็นลายของชุดเสื้อผ้า

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น