15

บทที่ 15


 นี่ข้าได้เผลอทำเรื่องร้ายแรงใดเข้ากันแน่

บทที่ 15

 

รถม้าจอดเทียบตำหนักเหมยฮวา รัชทายาทยื่นมือมาประคองข้าแล้วเดินเคียงกลับตำหนัก เพ่ยเพ่ยเดินเข้ามาคำนับพร้อมนางกำนัลอีกเป็นขบวน พวกนางคงรอข้ากลับมาถึงได้ออกมายืนตากน้ำค้างกันนานเช่นนี้ ในมือนางถือโคมไฟดวงหนึ่งไว้หมายนำทางพวกเราเข้าตำหนัก แต่ยังไม่ทันที่นางจะถึงตัวรัชทายาทกลับเดินนำเข้าไปหา พูดออกคำสั่งสามสี่คำเพ่ยเพ่ยถึงพยักหน้ารับ ยอบตัวคำนับก่อนเดินมาประคองข้า

รัชทายาทมองข้าอยู่ครู่พลางกระชับเสื้อคลุมให้ “เจ้ารีบกลับไปนอนก่อนเถิด” เขายิ้มเรียบๆ พลางมองมา

ข้าขมวดคิ้ว มิใช่ว่าเขาอยู่ค้างเช่นทุกวันหรอกหรือ?

“ทรง...” ข้าเม้มปากทั้งใบหน้าร้อนแดง ลืมคิดไปเสียสนิทว่าคำถามฟังดูสองแง่สองง่ามขนาดไหน จึงอดไม่ได้ที่จะคิดมากเพราะตนมิใช่น้องสาวแท้ๆ ของเขา น้ำเสียงที่ถามจึงฟังดูตะกุกตะกักไปบ้าง “มิได้ทรงค้างที่ตำหนักหม่อมฉันหรือเพคะ...” ถามเสร็จหน้าก็ยิ่งเห่อร้อนเข้าไปใหญ่ คล้ายสนมที่รั้งเขาไว้ไม่ให้ไปหาหญิงอื่น

รัชทายาทยิ้มเรียบ พยักหน้าน้อยๆ “ค้าง...แต่คงกลับมาดึกหน่อย”

ข้าทำหน้าตาเคร่งเครียด รั้งแขนเสื้อเขาเอาไว้ “หรือทรงคิดทูลเรื่องในคืนนี้กันเพคะ”

เขาส่ายหน้า “พี่มีเรื่องจำเป็นต้องกราบทูลเสด็จพ่อเท่านั้น เจ้าอย่าได้กังวลนักเลย”

ข้าเห็นเขารับคำมั่นเหมาะจึงยอมปล่อยชายเสื้อลง “เช่นนั้นดูแลพระองค์ด้วยนะเพคะ”

“อืม” เขารับคำสั้นๆ แล้วหันหลังเดินห่างออกไป

 

ข้ายืนค้างอยู่ตรงนั้น มองแผ่นหลังของรัชทายาทผู้แบกปัญหาหนักอึ้งเดินลิ่วไปทางตำหนักใหญ่ เรื่องคืนนี้ต้องมีสิ่งใดมากกว่าการตามหาคนแน่ และคงมิใช่การหาตัวองค์ชายสามผู้นั้น เพราะองค์ชายสามไม่ได้ทำร้ายใคร อีกทั้งยังมาช่วยพวกเรา แล้วศัตรูของพวกเราคือใครกันเล่า?

ข้าส่ายหน้าไล่ความคิด เพ่ยเพ่ยที่กำลังประคองแขนอยู่จึงอดถามขึ้นอย่างกังวลมิได้ “องค์หญิงทรงไม่สบายตัวหรือเพคะ”

ข้ายิ้มพลางมองนาง “แค่ง่วงนอน เจ้าอย่าได้กังวลเลย” ข้าพูดปัด ก่อนสะดุดเท้าเพราะเสียงหนึ่งดังขึ้นแทรก

“เป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดใบหน้าเจ้าถึงได้แดงก่ำเสียขนาดนั้น หรือยังนึกถึงเรื่องเมื่อครู่อยู่?”

น้ำเสียงยียวนเช่นนี้คงมีแค่เขา ข้าหมุนตัวกลับไปมองอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นองค์ชายสามเดินอ้อมตัวเข้ามาขวางทางไว้ ข้ามองเขาไม่ละสายตา คิดรอขบวนเสด็จของเขาเดินนำไปก่อนแล้วค่อยเดินตามจะได้ไม่เกิดปัญหา แต่พอมองรอบตัวเขาดีๆ กระทั่งขันทีหรือนางกำนัลติดตามยังไม่มีสักคน

น่าแปลก...ทั้งที่เขาเป็นถึงองค์ชายแต่กลับไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามเวลาไปไหนมาไหน องค์ชายสติเสียผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่?

“พวกเจ้าถอยออกไปก่อน” ข้ายกมือขึ้นไล่เพ่ยเพ่ยและนางกำนัล พวกนางจึงร่นตัวไปยืนอยู่ข้างหลัง

องค์ชายสามมองหยั่งเชิง เมื่อเห็นข้ากล้ารุดหน้ามาต่อกรได้รวดเร็วทั้งที่เพิ่งเจอเรื่องอันตรายมา

ข้าแค่นยิ้มเย็น เรื่องเพียงเท่านี้ไยต้องหลบหน้า? จึงหัวเราะเสียงเหอะพลางโต้คารมกลับ “แล้วท่านเล่า...ใบหน้าแดงก่ำนั่นเป็นเพราะเดินตกพุ่มไม้หรือโดนผู้ใดตบมา?”

ริมฝีปากบางเหยียดขึ้นก่อนปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งเข้าแทนที่ เขาขยับตัวเข้ามาประชิด แต่ข้ากลับยืนนิ่งเชิดหน้าใส่ “หลีกทาง...ข้าจะเดิน” ข้าออกคำสั่งทั้งเสียงเย็น หันหน้าจะไปเรียกคนของตนเดินกลับตำหนัก

อย่างไรเสด็จแม่ขององค์หญิงเป็นถึงฮองเฮา พระเชษฐาพระนางมีฐานะเป็นถึงรัชทายาท แม้เทียนหลงคือองค์ชายลำดับที่สาม แต่ใช่ว่าฐานะข้ามิอาจเทียบเคียงเขาได้ ข้าจงใจออกคำสั่งวางอำนาจบังคับคน แต่เขากลับไม่กลัวทั้งยังก้มตัวมามองหน้าข้าจนปลายจมูกเราห่างเพียงคืบ

“ข้ารู้ว่ารัชทายาทคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ แต่เจ้าไม่ใช่เหม่ยหลิง ดังนั้นฮองเฮาอย่างไรต้องทรงปล่อยเรื่องนี้ผ่านตา ถึงทำโทษข้าอย่างไรเห็นทีคงทำแค่กักบริเวณเท่านั้น” สายตาข้าวาบตกใจ มองเขาเดินห่างออกไปพลางกล่าวต่อ “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครถึงได้กล้าออกคำสั่งข้าหรือ?”

“เป็นท่านที่สติเลอะเลือนพูดจามิได้รู้เรื่อง” ข้ากล่าวทั้งที่ความกลัวฝังแน่นอยู่เต็มอก องค์ชายสามรู้เรื่องข้าได้อย่างไร! ทว่าแม้ในใจหวาดหวั่นแต่กลับไม่อาจแสดงความกลัวให้เขาเห็น ไม่ว่าอย่างไรจะแพ้ไม่ได้โดยเด็ดขาด

เขาทำท่าจะเดินจากไปข้าจึงจับมือเขาวิ่งเข้าอุทยาน บ่าวทั้งหลายต่างไม่กล้าตามเพราะคำสั่งของข้ายังเป็นผลต่อพวกเขา องค์ชายสามยิ้มเรียบเดินชมดาว เป็นข้าที่หยุดหอบหายใจอยู่ครู่ มองคนทำตัวสุนทรีย์ผิดบรรยากาศ แม้ทิวทัศน์ตรงหน้างดงามประหนึ่งสวรรค์ แต่ใจข้ากลับร้อนเหมือนไฟสุม ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมสิ่งใด

“บรรยากาศคืนนี้ดีเป็นพิเศษ เจ้าว่าหรือไม่” เขาถาม

ข้ายืนครุ่นคิดหาทางแก้ในสถานการณ์คับขัน แม้เขาพูดเรื่องจริงแต่หากข้าไม่ยอมรับมันก็เท่ากับคำลวงโลกขององค์ชายเสียสติผู้หนึ่ง

“ท่านคิดทำสิ่งใดกันแน่ รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังกล่าวหาผู้ใด เสด็จแม่ทรงหาตัวข้ากลับวังมาได้ แต่ท่านกลับกล่าวหาว่าข้าเป็นผู้อื่น หรือท่านจงใจใส่ความเสด็จแม่เพื่อให้เสด็จพ่อสั่งปลดรัชทายาท เช่นนี้มิใช่ว่าทรงคิดเป็นกบฏหรอกหรือเพคะ?” ข้าหาทางโต้กลับ เรื่องร้ายแรงเช่นนี้อย่างไรเขาต้องสงบปากสงบคำแน่ แต่คนกลับหัวเราะออกมาราวกับเห็นเรื่องคอขาดบาดตายตรงหน้าเป็นเรื่องตลกขบขันในวงสุรา

“บัลลังก์หรือเป็นสิ่งที่ข้าปรารถนา?” ดวงหน้างดงามแหงนมองดวงจันทร์ ดวงตาสาดประกายวาววาบแฝงแววเย้ยหยันในคำพูด “ใครต่างรู้ว่าเหม่ยหลิงหนีออกจากวังเพราะไม่ต้องการอภิเษกสมรสกับรัชทายาทแคว้นจิน ไม่น่าแปลกเลยหรือที่ฮองเฮาสามารถควานหาตัวนางในชิงฉวนได้ภายในไม่กี่คืน” เขาหันกลับมามองข้าพลางกล่าวต่อ “ข้าจำได้ว่านางคณิกาเช่นเจ้าเป็นใคร องค์หญิงมีปานที่หัวไหล่ซ้ายตั้งแต่ยังเล็กแต่เจ้ากลับไม่มี ต่อให้ข้าพูดออกมาก็ใช่ว่าเรื่องนี้ไม่มีมูล ตำแหน่งรัชทายาทเจ้าคิดหรือว่ามั่นคง ตราบใดที่รัชทายาทมิใช่ฮ่องเต้สิ่งใดล้วนเปลี่ยนแปลงกันได้ทั้งนั้น” 

แท้จริงองค์ชายผู้นี้มิได้ทำสิ่งใดไร้เหตุผล ทรงรู้ว่าองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิงถูกจับตัวกลับมา ดังนั้นเมื่อพบข้าที่หอคณิกาจึงไม่ลังเลค้นหาคำตอบ ที่เขากระชากเสื้อผ้าข้าอย่างไร้เหตุผล แท้จริงเพียงเพื่อพิสูจน์เท่านั้น แล้วเหตุใดเขาถึงล่วงรู้ความจริงทั้งหมดได้? หรือแท้จริงองค์ชายสามผู้นี้คอยตามสืบความเคลื่อนไหวของฮองเฮากับรัชทายาท เช่นนั้นมิใช่ว่าสิ่งที่ข้ากล่าวเป็นเรื่องจริงหรอกหรือ?

นี่องค์ชายสามคิดชิงตำแหน่งรัชทายาทหรือ!

“หากท่านยังพูดจาเหลวไหล ข้าคงไม่เกรงใจอีกแล้ว” ข้ามองเขาอย่างระวัง ทำท่าจะหมุนตัวถอยกลับออกไป

องค์ชายสามเพียงยิ้มแทนคำตอบทั้งหมด หากทรงแสดงละครตบตาว่ารู้ความจริงเขาคงหลอกข้าจนเชื่อสนิทใจแล้ว “ใครต่างคิดว่าข้าต้องการชิงตำแหน่งรัชทายาท ตัวข้าหรืออยากได้อำนาจจากเสด็จพี่ ข้าเพียงแค่...”

แววตามากเล่ห์เหลี่ยมยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง ข้ามองเงาหลังของเขาทอดตามแสงจันทร์บนพื้นหญ้า ดูโศกเศร้าโดดเดี่ยวราวกับแผ่นดินนี้มีเขายืนชมจันทร์เพียงผู้เดียว

เหตุใดคนทำเรื่องร้ายกาจไม่กลัวตายถึงได้มีแววหม่นวูบทอดออกมา ข้าไม่อาจรู้ความปรารถนาในใจใคร ไม่อาจล่วงรู้ความคิดของพวกเขา คำพูดเอาตัวรอดของข้ากลับกลายเป็นเหล็กร้อนจี้จุดดำในใจของใครอีกคน แม้ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องบาดหมางใด แต่การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินในแต่ละครั้งย่อมใช้เลือดสาดล้าง พี่ฆ่าน้อง คนสนิทตายเพื่อเจ้านาย สิ่งเหล่านี้นับเป็นเรื่องที่เห็นจนชินตา แต่ไม่นึกว่ายามนี้ตัวข้ากลับไปพัวพันกับพวกเขาด้วย

“ข้า...”

ยามนี้ไม่รู้ว่าคำพูดใดสามารถทำให้อีกฝ่ายหายหม่นใจได้ ข้าทวนคิดหลากเหตุผล แคว้นจินนับเป็นแว่นแคว้นใหญ่ หลายปีนี้ทำศึกสงครามได้ชัยชนะเหนือแคว้นใด ทว่าฮ่องเต้หมิงหยางจงทรงเลี่ยงทำสงครามกับแคว้นจินเพื่อมิให้ชาวบ้านตกอยู่ในสภาวะอดอยากยากแค้น ท้ายสุดเพื่อให้แคว้นจินเชื่อใจ พระองค์จึงตอบรับพันธสัญญาส่งตัวองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิงเกี่ยวดองรวมแผ่นดิน

ดังนั้นหากองค์หญิงทรงปฏิเสธไมตรีสงครามใหญ่ย่อมเกิดขึ้น ฮ่องเต้หมิงหยางจงย่อมไม่พอพระทัยแน่หากรู้ว่าองค์หญิงตัวจริงไม่ได้อยู่ในวังหลวง และยิ่งหากทรงรู้ว่าฮองเฮาใช้ข้าเป็นหมากตบตา ย่อมไม่ทรงปล่อยให้ฮองเฮารั้งตำแหน่งประมุขฝ่ายใน เช่นนั้นแล้วตำแหน่งองค์รัชทายาทของรัชทายาทจะมั่นคงได้อย่างไร?

“หากเจ้าเป็นหมากของฮองเฮา ข้าเองนับว่าไม่ต่างนัก” องค์ชายสามกล่าวทั้งน้ำเสียงราบเรียบ

ไม่ต่าง? ข้ารู้เพียงสถานะของข้าเป็นเช่นที่เขาพูด แต่ตัวเขานับเป็นหมากได้อย่างไร?

ซ่า...

ฝนเริ่มลงสายโดยไม่มีคำเตือนล่วงหน้า เสียงหยดน้ำกระทบรัวลงสระบัวเรียกสติข้ากลับมา องค์ชายสามล้วงแขนเสื้อหยิบร่มกระดาษสีเทาเขียวกางออกบังน้ำฝนเหล่านั้นให้ เขาไม่พูดอะไรท่ามกลางฝนที่เริ่มตกแรงขึ้น ข้ามองนัยน์ตาว่างเปล่าของอีกฝ่าย คนที่ดูเหมือนร้าย เหตุใดถึงได้ใจดีกะทันหัน เหตุใดยามมองข้าสายตาเขาถึงได้ดูสับสนนัก

“รีบไปกันเถิด”

เขาโอบร่างข้าเพื่อไม่ให้โดนลมฝน ข้าชะงักเท้าทั้งตัวแข็ง หันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ เขามองข้าแล้วฝืนแรงให้วิ่งไปพร้อมกัน

 

พายุพัดโหมไม่มีทีท่าจะหยุด เขาจึงพาข้าเข้ามาหลบฝนในตำหนักหนึ่ง เนื้อตัวข้าสั่นเทาไปด้วยความหนาว แต่ตัวเขากลับไม่มีสะท้านแม้แต่น้อย ราวกับความหนาวเย็นคือสิ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“ที่นี่เป็นตำหนักของข้า เจ้าหลบอยู่จนกว่าฝนจะหยุดตกเถิด”

เขาจุดตะเกียงขึ้น หยิบมันวางลงโต๊ะเพื่อให้ความอบอุ่น แล้วถอดเสื้อคลุมตัวเปียกชื้นของรัชทายาทออกก่อนห่มเสื้อคลุมตัวใหม่ให้แทน

ข้าหันสำรวจรอบตำหนัก ที่นี่ไม่มีนางกำนัลรับใช้ ไม่มีเครื่องประดับหรูหรา ถึงแม้สะอาดสะอ้านแต่มันกลับดูห่างไกลจากคำว่าตำหนักขององค์ชาย ห้องของอ๋องน้อยจวี๋จวินฉียังนับได้ว่าหรูหรามากกว่าของเขาหลายเท่า เหตุใดคนใช้ชีวิตเรียบง่ายกลับมีใจคิดแย่งชิงบัลลังก์ได้หนอ?

ข้าคิดพลางอังมือกับตะเกียงถูไปมาจนดีขึ้น จึงตัดสินใจลุกเดินดูรอบๆ แทน ห้องนี้จัดข้าวของเป็นระเบียบ มีแต่หนังสือเก่าแก่วางตั้งเรียงอยู่มุมหนึ่ง ที่ผนังไม้ด้านหนึ่งมีรูปวาดหญิงงามดูโดดเด่นสะดุดตาแขวนอยู่ตรงกลาง รูปหน้านางสวยสะกดสายตาผู้จ้องมอง สตรีนางหนึ่งในชุดสีเหลืองไข่กำลังเริงระบำใต้กลีบดอกไม้ ฉากหลังแต่งแต้มด้วยสีเขียวของทิวต้นหลิว ชวนให้นึกถึงเทพธิดานางหนึ่งในห้วงความคิด ข้าเอื้อมมือจะไปแตะอย่างไม่รู้ตัว นี่นางเป็นใครกันหนอ? แล้วมีตัวตนจริงหรือไม่?

นิ้วมือข้ากำลังจะถูกภาพวาด แต่แล้วองค์ชายสามกลับจับข้อมือห้ามไว้

“แค่ภาพนี้ที่เจ้าห้ามแตะต้อง” แววตาขี้เล่นแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดเสียใจ ท่าทางเขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคนกับเมื่อครู่ ข้าลดมือลงไม่ถามอะไร มองเขาเหม่อจ้องภาพวาดสาวงาม แต่เพียงครู่ก็กลับมายิ้มยียวนให้ข้าแล้วเปลี่ยนบทสนทนา “ข้าจะสืบเรื่องเจ้าให้กระจ่าง อย่างไรต้องหาหลักฐานทั้งหมดมาให้ได้ ต่อหน้าคนอื่นเจ้าคือองค์หญิง แต่ต่อหน้าข้า เจ้าคือเจ้า”

“ตามใจเจ้า!” ข้าแค่นเสียงเหอะใส่ ได้แต่หลับตาจิบชาต่อไป

ผ่านไปหลายชั่วยามเสียงฝนกลับยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด องค์ชายสามเหลือบมองไปทางประตู กล่าวว่า “อีกประเดี๋ยวคงมีคนมารับเจ้าแล้ว”

พูดจบประตูได้ถูกเปิดออก ปรากฏดวงหน้าเรียบเย็นของรัชทายาทขึ้น มุมปากคนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทำเอาข้ารู้สึกได้ถึงรังสีเย็นเยียบจากแผ่นหลัง เขาเดินไม่รีบร้อน มองเสื้อคลุมองค์ชายสามบนตัวข้าพลางฉุดมือให้ลุกยืน

องค์ชายสามไม่แสดงท่าทุกข์ร้อน เพียงแค่พลิกตำราในมืออ่านเงียบๆ เหมือนไม่มีพวกเราอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก

“กลับตำหนัก” เสียงเย็นออกคำสั่งเพียงไม่กี่คำเขาก็รีบชักเท้าพาข้าออกจากตำหนักทันที

“เสด็จพี่...” องค์ชายสามเรียกทัก ทำเอาฝีเท้ารัชทายาทชะงักงัน เขาไม่หันไปหาเพียงแค่ยืนหันหลังฟังคนพูดจากด้านหลัง “อย่าทรงลืมเสื้อคลุมของท่านด้วย” องค์ชายสามยกยิ้มมุมปาก สายตาคนทั้งสองต่างเป็นอริอย่างเห็นได้ชัด คำพูดของเขาต่างแฝงนัยความหมาย

ใจคอข้าไม่ดี มองแผ่นหลังของรัชทายาทสลับกับใบหน้าขององค์ชายสาม

“เพ่ยเพ่ยไปหยิบมา” รัชทายาทออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงนิ่งกว่าเดิม เพ่ยเพ่ยเลยรีบร้อนลนลานไปหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินตามพวกเราออกมาทันที

เมื่อขาก้าวพ้นประตูตำหนัก ข้าก็คิดว่ามีการมาจับโจรกันที่นี่ เพราะขบวนเสด็จของข้าและเขาได้รออยู่ด้านนอก ยังไม่รวมทหารอีกหลายกองพร้อมแสงไฟคบเพลิงรวมกันจนสายฝนไม่สามารถดับมันลง ขันทีคนสนิทรีบร้อนมากางร่มคันใหญ่ให้พวกเราอย่างไว เป็นเพราะรับรู้อารมณ์ไม่สู้ดีของผู้เป็นนายอย่างดี

เพ่ยเพ่ยวิ่งตามมาติดๆ มือหนึ่งถือเสื้อคลุมของรัชทายาทไว้เป็นมั่น ทั้งนางทั้งหลี่จวินต่างทำหน้าราวกับข้าได้เผลอก่อเรื่องใหญ่ไปเสียแล้ว มีเพียงหย่งอวี้ผู้เดียวที่ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาชัดเจน แม้ยังเดินเหินไม่สะดวกแต่สีหน้าเขากลับดูดีขึ้นมาก ทั้งยังไม่ยอมละทิ้งหน้าที่คอยดูแลข้าและตากฝนร่วมกับบ่าวคนอื่นๆ แต่ละคนล้วนเนื้อตัวเปียกปอนประหนึ่งลูกสุนัขตกน้ำ ไม่นึกว่าแค่ข้าหายไปคนเดียวจะทำทุกคนวิ่งวุ่นไปหมดเช่นนี้

รัชทายาททำหน้านิ่งไม่พูดไม่จา กำมือบีบแน่นจนแขนเจ็บ ข้าก็พลันร้องครางออกมาแต่ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ เอาแต่แสร้งมองพื้นไม่กล้าสบตา รู้ได้ทันทีว่าเขาโกรธมากขนาดไหน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น