14

บทที่ 14


 ข้าพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ เสมองออกนอกหน้าต่างรับลมเย็นที่ปะทะผิว คืนนี้มีเรื่องใดเกิดขึ้นกันหนอ? เหตุใดศัตรูของฝ่าบาทถึงได้เกี่ยวข้องกับองค์ชายสามผู้เป็นโอรสกัน...

“จะ…เจ้า เกิดอะไรขึ้น!”

หย่งอวี้กัดฟันอย่างเจ็บปวดพูดเสียงเบาราวกระซิบ “คนเช่นเจ้าถามไปก็ช่วยเหลือข้าไม่ได้” 

ข้าไม่สนใจท่าทางอวดดีนั่น รีบเดินหาถังไม้กับน้ำร้อนจุ่มผ้าลงอ่างน้ำ ค้นตู้ยาห้ามเลือด เคยได้ยินจากท่านลุงข้างบ้านว่าหอคณิกามักมียาจำพวกนี้อยู่เต็มไปหมด ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเขาอาจพูดเล่น ไม่คิดว่านอกจากยาห้ามเลือดแล้วยังมียาแปลกๆ อีกหลากชนิดที่ข้าไม่รู้จัก ข้าส่ายหน้างุนงง รีบร้อนคว้าขวดยา เดินเร็วไปหาหย่งอวี้เพื่อจัดการถอดเสื้อเขาออกอย่างลืมตัวว่าใครเป็นบุรุษใครเป็นสตรี แต่นี่เป็นสถานการณ์คับขัน ใครจะเป็นหญิงหรือชาย ใครจะดึงผ้าใครออกก็ช่างมันเสีย!

“ทำอะไรของเจ้า!” เขาตวาดเสียงใส่ ใช้สายตาเย็นมองมา แล้วรีบดึงเสื้อกลับราวกับสตรีบริสุทธิ์หวงเนื้อหวงตัว

“หุบปากแล้วนอนนิ่งๆ ให้ข้าช่วยไปเสีย!” ข้าดุ ถลึงตามองกลับ

“เจ้ากล้าขึ้นเสียงกับข้าหรือ!” เขาคำรามเสียงใส่ แต่ข้ากลับไม่สนใจ

“แล้วอย่างไร!” ข้าตะโกนใส่หน้า ถอนหายใจเบื่อหน่าย จับเสื้อคนตรงหน้าจะถอดลงไม่ไยดี หย่งอวี้พยายามต่อต้าน แต่เขาไม่มีแรงพอทำให้ภาพยามนี้ดูน่าอายเป็นอย่างยิ่ง

นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ฮ่องเต้หรือมหาเทพ? เหตุใดถึงได้มีท่าทีอวดดีหยิ่งผยองนัก! พวกเราฉุดๆ ยื้อๆ กันอยู่ครู่ ทำเอาข้าหน้าแดงเพราะเหมือนไปฉุดเขามาทำมิดีมิร้าย แล้วต่างชะงักตัวตอนข้าเผลอทำสายคาดเอวเขาคลายออก

“เจ้าเป็นสตรีประเภทไหนกันแน่!”

“ข้าแค่พลาดนะ แค่พลาด!” ใบหน้าข้าร้อนผ่าว มองเขาทำหน้าตึงใส่ เขาผูกผ้าคาดเอวกลับ รอบตัวคล้ายปรากฏควันดำทะมึนลอยออกมา ข้าหันหน้าหนี ดึงสติมาจดจ่อกับรอยเลือด แล้วเปิดดูแผลเขาอย่างเบามือพลางใส่ยาให้ “บาดแผลไม่ลึกมากแต่กลับยาวพอสมควร” ดูแล้วอาจมาจากคมกระบี่

คำหลังข้าไม่ได้พูดออกไป ข้าหรี่ตามองเขาอย่างกังวล องครักษ์เช่นเขากลับเสียท่า ทั้งยังกลับมาตัวคนเดียว แล้วหลี่จวินอยู่ที่ไหน แล้วรัชทายาทจะเป็นอย่างไรบ้าง คิดถึงความปลอดภัยของเขามือข้าก็สั่นไปหมด ไม่คิดว่าเรื่องราวจะใหญ่โตได้ขนาดนี้ ทำให้หย่งอวี้ที่นอนมองอยู่พูดออกมาอย่างถือดีว่า

“หากไม่กล้าก็ส่งขวดยามาให้ข้า”

ข้าเบนสายตามองร่างเขาด้วยโทสะ เรื่องตอนนี้นับว่าทำให้ข้าปวดหัวมากพออยู่แล้วแต่กลับถูกเขากวนอารมณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เลิก ใจข้าจึงแบ่งเป็นสองฝ่าย เทพฝ่ายดีบอกข้าว่าแม้ไม่ชอบใจแต่อย่างไรเขาก็คือคนเจ็บ หากข้าใส่อารมณ์กับเขาก็ไม่สมควร แต่มารฝ่ายร้ายบอกว่าหากเขาปากร้ายไม่เลิกและอยากลองดี ข้าก็ควรสนองเขา!

ระหว่างคิดว่าข้างใดจะชนะ สายตาดูถูกของเขากลับทำให้ข้าได้คำตอบ

“ใครกล่าวว่าข้าไม่กล้า?” ข้าแค่นหัวเราะเย็นและลงยาห้ามเลือดอย่างไม่ยั้งมือ

หย่งอวี้หลับตาคิ้วขมวดแน่นตอนข้าเทยาลงแผล มีเสียงกัดฟันกรอดๆ จากน้ำหนักมือที่ไร้ความปรานีของข้า สายตาอาฆาตของเขาสบผ่าน มือใหญ่คู่นั้นกำแน่นด้วยความเจ็บปวด

หึ…ไม่นึกว่าเจ้าคนหน้าเย็นจะมีความรู้สึก ปกติมักทำหน้านิ่งประหนึ่งน้ำแข็ง ข้ายังคิดมาตลอดว่าคนเช่นเขาคงมีแค่หน้าเดียว ไม่นึกว่ายามนี้กลับรู้จักร้อนรู้จักหนาวเหมือนคนอื่นด้วย!

“ค้นให้ทั่ว” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากนอกประตู

ข้าชะงักมือมองหน้าห้องแล้วมองหย่งอวี้ทั้งใจร้อน “สร้างเรื่องเดือดร้อนให้ข้าไม่พอ นี่เจ้ายังไปพาใครมาอีก!” ข้าก่นด่าแล้วหันไปทางประตู

ดูก็รู้ได้ว่าผู้มาเยือนมิใช่คนที่เคาะประตูมาส่งกับข้าวแน่ ข้าเองแม้มีสติและใจกล้าจะต่อปากกับบุรุษ แต่ยังเว้นไว้สำหรับคนที่ถือกระบี่ร่อนไปร่อนมาฆ่าคนโน้นคนนี้

ดวงตาหย่งอวี้เป็นประกายคมกริบ พยายามยกกระบี่ดันตัวจะลุกขึ้น แต่แผลของเขากลับทำให้ขยับไปมากกว่านี้ไม่ได้ “เจ้าเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นเป็นศัตรูสอดแนม เมื่อครู่ข้ากลับมาก็ไม่เห็นมันแล้ว คาดว่าคงรีบไปบอกพรรคพวก พวกมันถึงได้แห่ตามมาค้นข้าวของที่นี่”

ข้ารับรู้ได้ถึงสถานการณ์ตึงเครียดจึงรีบประคองเขาไว้พลางสั่ง “จะเป็นหรือตายอย่าได้ส่งเสียงหรือออกมา เจ้ากับข้าถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว” ข้ารีบพูดดักคอ กึ่งลากกึ่งพยุงตัวเขาไปซ่อนข้างเตียงนอน

เขายันตัวพิงกับซอกเล็กๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง ถูกข้าคลุมผ้าผืนหนาทับตัวไว้เพื่อปกปิดสายตาคนอื่น เขาไม่กล่าวว่าสิ่งใด เพียงแค่ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ คล้ายกำลังคาดเดาแผนการในใจของข้า

ภายนอกเกิดเสียงดังอึกทึก เสียงดาบเฉือนลงเนื้อแว่วให้ได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าข่มความกลัวมองเลือดสาดกระเซ็นเปรอะหน้าประตู เห็นเงาหลายสิบไหวๆ อยู่ด้านนอกนั่น หย่งอวี้พยายามลุกขึ้นมาปกป้อง แต่ข้ากลับผลักเขาจนล้มกลับไปซอกเตียงเช่นเดิม

“สภาพเจ้ายังเอาตัวไม่รอด อยู่ตรงนี้ไปเสีย”

ข้าจัดชุดตนเองให้เข้าที่ รีบร้อนนั่งลงกลางพื้นห้องแล้วเอาเสื้อคลุมตัวนอกที่ทั้งยาวและหนักมาปกปิดรอยเลือดของหย่งอวี้บนพื้นไว้ ปั้นหน้าเรียบทั้งมือสั่น ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังจะพังประตูเข้ามา ข้าก็จะตั้งรับเขาให้ได้!

 

ปึง!

ประตูห้องถูกเปิดออก ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่ามันถูกพังออกมากกว่า

บุรุษหนุ่มสวมชุดประกายเงินดูมีอำนาจกำลังเดินเข้ามา ดูจากความอ่อนเยาว์บนใบหน้าคงอายุไม่ต่างจากข้าเท่าไรนัก ในมือถือกระบี่เปื้อนเลือด ผมสีน้ำตาลยาวไล้ลงใกล้คมกระบี่ ดวงตาเรียวยาวของเขาจับจ้องไปทั่วห้อง คล้ายค้นหาลูกแมวน้อยที่กำลังซ่อนอยู่ คิ้วเส้นเรียวเล็กเลิกขึ้นเมื่อหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ นั่นทำให้ผู้มาเยือนหันมาจ้องมองข้าแทนคล้ายกับเพิ่งสังเกตเห็น ก่อนขยับริมฝีปากถาม

“ข้าไม่รู้ว่ามีราชินีแห่งบุปผาคนใหม่อยู่ในห้องนี้” 

เขาเผยรอยยิ้ม ก้าวเท้าเข้ามาหาข้าช้าๆ จับปลายคางข้าเชิดขึ้น สายตาหยาบคายจ้องมองข้าไม่เกรงใจไปทั่วร่าง อย่าบอกนะว่าเขากำลังคิดว่าข้าเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอนางโลมนี้

ข้าสะบัดหน้าหนีอย่างทะนงตัว เดิมก็ไม่ชอบให้ใครมาแตะตัวง่ายๆ อยู่แล้ว ยิ่งกับบุรุษแปลกหน้าดาบเปื้อนเลือดเช่นเขายิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่

“ข้าชมชอบสตรีเช่นเจ้า ราชินีแห่งบุปผา หากแมวป่าอย่างเจ้ารู้จักเลือกนายของมัน เจ้าคงเป็นอิสระจากห้องคับแคบเช่นนี้ได้” 

เขาเสนอเงื่อนไขไถ่ตัวข้านางคณิกาจอมปลอม ถ้าไม่ติดว่าต้องนั่งกลบเกลื่อนรอยเลือดนี่ ข้าอยากลุกขึ้นไปเตะชายผู้นี้สักที แต่กลับทำได้แค่นั่งปั้นหน้านิ่งใส่เท่านั้น เดิมเครื่องสำอางที่แต่งแต้มไว้หนาก็กลบเกลื่อนอารมณ์ได้อย่างดี ทำให้สีหน้าข้ายิ่งดูโอหังเป็นพิเศษ ข้าไม่ตอบคำถาม เพราะไม่รู้ว่าคนผู้นี้อยู่ฝ่ายใด เขามีวรยุทธ์ อีกทั้งการแต่งตัวยังดูสูงศักดิ์ อย่างไรคงไม่ใช่ท่านชายที่บังเอิญควงกระบี่เปื้อนเลือดเดินเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นอยู่หน้าห้องคนอื่นแน่ ดังนั้นหากยิ่งเงียบยิ่งเป็นผลดีต่อตัวข้าเอง

เขาเห็นข้าไม่ตอบก็เค้นเสียงหัวเราะขี้เล่นออกมา “ช่างหยิ่งในศักดิ์ศรีของเจ้านัก แต่นั่นคือเสน่ห์ของเหล่าดอกไม้” ชายแปลกหน้าเดินวนรอบตัวข้าก่อนวางกระบี่ลงปลายเตียง แล้วจับตัวข้ากดลงบนพื้นที่เย็นเฉียบ ถึงข้าเป็นสาวบริสุทธิ์แต่ก็รู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ชายชั่วผู้นี้ไม่ต่างจากอ๋องน้อยจวี๋จวินฉวี คิดปลุกปล้ำทำมิดีมิร้ายข้า ดังนั้นพอเขาขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ข้าก็เงื้อมือตบลงใบหน้าเขาทันที

เกิดเสียงเพี้ยะดังลั่นบรรยากาศแสนเงียบเชียบ

หน้าเขาหันค้าง มันนานเสียจนข้าแทบไม่กล้าหายใจ อากาศเย็นรอบตัวถูกความโกรธของเขาเข้าแทนที่ เจ้าบ้านั่นหันกลับมามองข้าด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ใช้มือเพียงข้างเดียวจับข้อมือข้าแน่น อีกข้างล้วงเข้ามาที่เสื้อตัวในก่อนจับฉีกเสื้อที่รัชทายาทให้ออกอย่างไม่ไยดี เป็นเพราะข้าคือนางคณิกาในสายตาเขา สตรีที่ไม่อาจปฏิเสธความต้องการของชายผู้มีอำนาจได้ แม้ขึ้นชื่อว่าบุปผาอันดับหนึ่งในหอจันทราท่องราตรี แต่หากเขาเป็นบุรุษผู้มีฐานะไม่ธรรมดา แม้พวกนางอยากขัดขืนก็ยากจะขัดขืน ยามนี้ข้าจึงเข้าใจหัวอกผู้หญิงในหอแห่งนี้ ว่าแท้จริงแล้วพวกนางต้องพบเจอสิ่งใดบ้าง

“เจ้าสารเลว!”

ข้าตะโกนก่นด่าทุกคำที่พอจะนึกออกก่อนถูกมือใหญ่ปิดปากไว้ เขาปลดสายคาดเอวร่วงลง ทำให้เสื้อคลุมยับยู่ยี่เหมือนปีกผีเสื้อที่หลุดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ชายผู้นั้นยกยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก ทำให้ใบหน้าของจวี๋จวินฉวีปรากฏขึ้นแทนที่ นั่นทำให้ใจข้าเจ็บแค้นจนต้องกัดปากตัวเองแน่น ผู้ชายพวกนี้เหมือนกันหมด ใช้กำลังกับหญิงสาวอ่อนแอ พรากสิ่งสำคัญไปจากพวกนาง พวกเดรัจฉาน! ข้าจ้องเขาราวจะกินเลือดกินเนื้อ พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนด้านหลัง

หย่งอวี้โงนเงนลุกมาหาเรา ส่งเสียงแหบพร่าดังลั่นห้อง อาจพูดได้ว่าเขาพยายามตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ “องค์ชายสาม นางคือองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิง!” 

เจ้าคนที่คร่อมข้าอยู่หรือชายผู้กลายเป็นพี่ของข้าไปแล้ว เขาหันมายิ้มหวานให้เหมือนไม่ได้ทำสิ่งใดผิด กล่าวด้วยน้ำเสียงเพิกเฉยต่อความจริงทุกสิ่งว่า “เป็นนางแล้วอย่างไรหรือ?”

หา! แล้วอย่างไรบิดาเจ้าน่ะสิ!

วังหลวงนี่มันแปลกเกินไปแล้ว อย่างไรนะ? องค์ชายผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ?

ข้าแทบจะกลั้นความโกรธตัวเองไม่อยู่ อัดอั้นเสียจนยกเท้าเตะคนไม่ยั้ง หย่งอวี้เข้ามาผลักองค์ชายสามออก ห่มผ้าเมื่อครู่ที่ข้าห่อตัวเขาปิดบังเรือนร่างข้าจากสายตาคนอื่น เขากอดข้าเข้าไว้ในอ้อมแขน กล่าวเสียงเย็นเพื่อปลอบประโลมว่า “อย่ากลัว”

“ข้าไม่ได้กลัวเสียหน่อย...” ข้ากระซิบเสียงเบาแล้วกอดเขาแน่น ลืมไปชั่วขณะว่าเคยโกรธใคร เนื้อตัวสั่นเทิ้มไปหมดเป็นเพราะข่มความกลัวไว้ กลั้นน้ำตาไม่ยอมร้องไห้

“อึก!” หย่งอวี้ขมวดคิ้วแน่น เป็นเพราะข้าเผลอโดนแผลเขาเข้า ข้าจึงผละมือออกแต่เขากลับกอดข้าไว้เช่นเดิม ดวงตาคู่คมของเขาจ้องมองมาทำให้ข้าไม่อาจขยับ “ไม่กลัวหรือ?”

ข้ามองเขาตอบ ก่อนจะผลักคนออก

กลัวสิ่งใดกัน...

ข้ากุมมือแนบอก หัวใจเต้นเร็วคงเพราะความโกรธเป็นแน่

เพียงครู่เสียงเอะอะถึงได้ดังขึ้นหน้าห้อง รัชทายาทมองสถานการณ์คร่าวๆ ก็พอคาดเดาได้ หย่งอวี้บาดเจ็บหนักพยุงตัวนั่งอยู่ใกล้ข้าที่เนื้อตัวถูกห่อหุ้มด้วยผ้าปูเตียง องค์ชายสามที่มือหนึ่งยังกำผ้าคาดของข้าไว้แน่น

“นี่เจ้ากล้าดียังไง!”

รัชทายาทพุ่งตรงมาที่องค์ชายสาม ยกปลายดาบจ่อเข้าที่คอเรียวของพระอนุชา พอเห็นแววตาเย็นยะเยียบไร้สรรพชีวิตของเขายามนี้ ทำเอาร่างของข้าอดสั่นสะท้านราวผิวต้องลมฤดูหนาวมิได้

องค์ชายสามคลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ นิ้วเรียวดันปลายดาบออกจากคอตนไม่สะทกสะท้าน “ทรงโกรธอะไรกันหรือ ข้าเพียงหยอกนางเล่นเท่านั้น”

เขาพูดจบข้าก็แทบจะจับคนมาตบสั่งสอนสักฉาดสองฉาด แต่รัชทายาทกลับกำหมัดแน่นกระแทกลงใบหน้าเรียวแทนข้าเสียก่อน ลงโทสะทั้งหมดกับใบหน้าสวยได้รูปนั่นจนเลือดสดไหลออกจากริมฝีปากบางของเขา เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นด้านอารมณ์เลือดร้อนในตัวรัชทายาทผู้วางสีหน้าเรียบมาโดยตลอด เขาประคองอุ้มข้าไว้แนบตัว กระชับผ้าคลุมไม่ยอมให้เนื้อผิวสัมผัสลมหนาวใด

“ครั้งหน้ามันคงไม่จบเพียงเท่านี้” 

นี่ไม่ใช่คำขู่แต่เป็นการบอกโทษทัณฑ์ล่วงหน้า ประกายสาดเย็นในดวงตาเขาปรากฏโทสะลุกโหมเป็นกองเพลิงใหญ่ เขาเดินอุ้มข้าออกไปเร็วราวพายุ เป็นจังหวะเดียวกับที่หลี่จวินเดินเข้ามาหาพวกเรา องครักษ์หนุ่มมองสถานการณ์ในห้องอย่างงุนงง ก่อนจะได้สติเมื่อเห็นหย่งอวี้ทรุดตัวนอนลงกับพื้น เขารีบร้อนเข้าไปประคองสหาย ข้าเห็นดังนั้นจึงสบายใจได้มากขึ้น อย่างน้อยหย่งอวี้ก็มีหลี่จวินคอยดูแล

องค์ชายสามนั่งสบายๆ บนตั่ง ไม่แสดงท่าสำนึกผิดออกมาให้เห็น ยิ้มเรียบๆ มองส่งเราสองคนเดินออกมา

 

ชั้นล่างแออัดไปด้วยผู้คน มีนางคณิกาเฝ้าหน้าประตูคำนับส่งพวกเราซ้ำๆ คล้ายตุ๊กตาล้มลุก รัชทายาทอุ้มข้าขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว ก่อนถอดเสื้อคลุมสวมทับเสื้อที่ขาดวิ่นให้ ริมฝีปากเขาขบเม้ม แม้กิริยาภายนอกดูสงบเยือกเย็นแต่มือกลับกำแน่น ข้าไม่รู้ว่าคืนนี้เกิดเรื่องวุ่นวายใดขึ้นบ้าง แต่หากไม่อธิบาย เรื่องนี้ย่อมถูกขยายความใหญ่โตจนล่วงรู้ถึงพระเนตรพระกรรณฝ่าบาท

ดังนั้นถึงแม้ใจเกลียดองค์ชายสาม แต่ข้าไม่คิดเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้เรื่องที่ได้สลับตัวกับองค์หญิงเสี่ยงเปิดเผย

ข้าขยับเสื้อมาทับไว้ ก่อนค่อยๆ กล่าวอธิบาย “เสด็จพี่ทรงคิดสิ่งใดอยู่เพคะ เจ้าคนสติเสียนั่นยังไม่ล่วงล้ำน้องเสียหน่อย หากทรงอยากลงมือตบตีเขาก็ทรงทำไปเถิดเพคะ แต่หากจะทูลให้เสด็จพ่อทรงทราบ ทำเรื่องใหญ่ไปมากกว่านี้ มิใช่ว่าเป็นตัวข้าหรือที่อาจเสียชื่อเสียง อย่างไรคนที่รู้ก็มีแต่คนไว้ใจได้ทั้งนั้น สู้รักษาหน้าข้าไว้ไม่ดีกว่าหรือเพคะ?”

ข้าจ้องตาให้เขามั่นใจ เขาจ้องตาข้ากลับเหมือนต้องการค้นหาคำตอบที่แท้จริง “เจ้าอย่าได้โกหกข้า” ใจข้าหนาวสะท้าน อนาคตหากคิดจะกล่าวโป้ปดต่อเขาแล้วต้องทนรับสายตาทิ่มแทงเช่นนี้ สู้บอกความจริงยังดีเสียกว่า!

ข้าพยักหน้าจริงจัง กล่าวว่า “เสด็จพี่อย่าได้ทรงกังวลเลยเพคะ อย่าทรงลืมสิเพคะว่าข้าคือผู้ใด!”

เขาถอนหายใจราวปลดระวางความตึงเครียดเมื่อครู่ลง ก่อนเบนสายตามองออกนอกบานหน้าต่าง เท้าคางเพื่อครุ่นคิด “หมิงเทียนหลงมิใช่คนที่เจ้าประมือได้ง่าย...ครั้งหน้าอยู่ให้ห่างจากเขาเสียหน่อย”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น