บุรุษรูปโฉมงดงามราวสตรีแม้นับว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า
ทว่านิสัยกลับพิลึกพิลั่น...เกรงว่าน่าอันตราย
บรรยากาศข้างนอกเรียกว่าเย็นจนกึ่งพลบค่ำ รัชทายาทให้คนขับรถม้าไปส่งองค์ชายสี่ที่ยืนตีหน้าเศร้า เจ้าเด็กนี่รู้ตัวว่าหากกลับไปต้องเจอฮองเฮาอบรมอย่างหนักอย่างแน่นอน เพ่ยเพ่ยเองถูกส่งตัวกลับเช่นกัน ส่วนข้าแม้ตอนแรกต้องกลับเข้าวังไปพร้อมพวกนาง แต่กลับยื่นข้อต่อรองกับรัชทายาท ไม่ยอมกลับไปนั่งนิ่งอุดอู้ รู้ดีว่าหากเข้าไปแล้วการออกมานอกวังอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงพูดขอร้องรัชทายาทอยู่พักใหญ่จนเขายอมพ่ายให้แก่ความดื้อรั้น ให้ข้าได้เดินเที่ยวตลาดช่วงค่ำได้ มีข้อแม้คือต้องมีสององครักษ์คอยตามติดไม่ว่าไปที่ใด
“ว้าว ดูนั่นสิ!” ข้าชี้มือชวนรัชทายาทมองประทัดไฟที่ถูกจุดขึ้นเบื้องหน้า
จะว่าไปแล้วตั้งแต่ข้ารู้ความก็ยังไม่เคยใช้ชีวิตเฉกเช่นหญิงสาวธรรมดา หากไม่ทำงานหาเงินก็ใช้เวลาอยู่ในจวนทำกับข้าวดูแลท่านแม่ การได้ออกไปเที่ยวเล่นถือเป็นเรื่องไกลตัวมากนัก เวลานี้พอได้มาเที่ยวเล่นทั้งวันเห็นสิ่งใดจึงตื่นตาไปเสียหมด
“ชอบหรือ?” คนข้างตัวยิ้มละมุน มองประทัดหลากสีถูกจุดขึ้นบนฟ้า
ข้ารีบพยักหน้าตอบ “ชอบสิ!” ก่อนเบิกตาอย่างลืมตัวเมื่ออีกฝ่ายจ้องตาข้าอย่างลึกซึ้งอยู่นาน “คือ...” ข้าขมวดคิ้วงุนงงว่าตนได้พูดสิ่งใดแปลกไปหรือไม่
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เขายิ้มขำกับท่าทางของข้า จับมือไปกุมไว้อย่างเป็นธรรมชาติ เขามักเดินอยู่ใกล้ไม่ยอมห่าง คอยเป็นห่วงข้าที่ไม่ค่อยระมัดระวัง เอาแต่เที่ยวดูแสงสีรอบด้านจนโดนคนโน้นคนนี้ชนเข้า กระทั่งมีคุณชายผู้ดีผู้หนึ่งเข้ามาใกล้เพื่อขอทำความรู้จัก เขาก็รั้งตัวข้ามาโอบไว้แสดงความเป็นเจ้าของ กล่าวกับชายคนนั้นอย่างสุภาพว่า “นางเป็นภรรยาของข้า รบกวนท่านหลีกทางให้ด้วย” แล้วโอบตัวข้าไว้ไม่ยอมปล่อยมืออีก ทำเอาหัวใจข้าเต้นระส่ำอยู่เช่นนั้น พูดย้ำตนเองว่าเขาเพียงเป็นห่วงองค์หญิงไม่ใช่ตน ชายคนนั้นมองพวกเราอย่างสำรวจรอบหนึ่ง พอเห็นป้ายหยกของสกุลจวี๋เข้า จากทำท่าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ กลับถอยเท้าวิ่งจากแทบไม่ทัน
“ท่านดูเขาสิ!” ข้ายิ้มขำ ชี้นิ้วมองคุณชายน้อยสกุลผู้ดีวิ่งหนีพวกเราไปสุดทาง
“เจ้าหัวเราะชอบใจนักหรือ?” เขามองข้าโกรธๆ แต่แล้วกลับถอนหายใจยาวออกมา กล่าวด้วยสายตาจริงจัง “ข้าไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับเจ้า”
ข้าพยักหน้าหงึกหงัก ลอบมองเขาเงียบๆ จากในอ้อมแขนอันอบอุ่น ไม่อาจรู้ได้ว่าจู่ๆ เหตุใดคำพูดห่วงใยเล็กน้อยของเขากลับทำให้ข้าคิดเข้าข้างตัวเองเสียได้ ข้ากุมมือทาบอกซ้าย หวังเพียงเสียงหัวใจยามนี้ของตนถูกเสียงรอบข้างกลบมิดไม่ให้คนได้ยิน…
“อีกประเดี๋ยวพวกเราจะถึงหอคณิกาแล้ว อย่าอยู่ห่างข้าเข้าใจหรือไม่”
“อะ...อ๋อ!” ข้ากระแอมไอเมื่อได้สติพลางพยักหน้าให้เขา
รัชทายาทเริ่มแสดงบทบาท จับมือข้ามาเกี่ยวแขนเขาและกระชับไว้แน่นคล้ายคู่รักแต่งงานใหม่ ทั้งยังก้มมองสำรวจว่าข้าสบายดีหรือไม่ ข้าไม่อาจทนสบตาเขาได้นาน จึงรีบเบนหน้าหนีจดจ่อกับบทคู่รัก เดินคล้องแขนเขาไปอย่างช่วยไม่ได้
หอคณิกาแห่งนี้มีชื่อว่าจันทราท่องราตรี นับเป็นยอดหอคณิกาขึ้นชื่อในชิงฉวน หญิงงามล่มเมืองหลายคนล้วนแต่เป็นหญิงเพียบพร้อมคุณสมบัติยอดหญิง พวกนางทั้งเฉลียวฉลาด มีไหวพริบ รู้หนังสือ อีกทั้งสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชนิด ร่ายรำได้ต้องตาผู้พบเห็น กิริยามารยาทงดงามเพราะถูกฝึกมาอย่างดี หน้าตาสวยงามดูโดดเด่น แต่ละคนทำเงินให้สกุลจวี๋มหาศาล มิใช่หอคณิกาที่จับหญิงสาวโยนเข้าไปให้ชายหนุ่มเลือกชี้ เพราะพวกนางทั้งถือตัวและคงมารยาทวาจา เว้นเสียแต่บางคนที่ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของเหล่าคุณชายจึงต้องยืนเรียกแขกอยู่หน้าประตู ซึ่งถือว่ามีจำนวนน้อยนัก กล่าวได้ว่าบรรดาคุณชายทั้งหลายในชิงฉวน หากคิดจะเที่ยวหญิงคณิกาพวกเขาย่อมเลือกที่นี่โดยไม่ลังเล
ข้ามองสถานที่ไม่คุ้นเคย ด้านนอกมีนางคณิกาสองสามคนคอยต้อนรับแขก เมื่อพวกนางเห็นรัชทายาทและองครักษ์ทั้งสอง ต่างก็พากันมารุมล้อมพวกเรา คนหนึ่งยื้อแขนอีกคนผลักหลัง ฉุดๆ ยื้อๆ กันอยู่นาน พยายามลากพวกเราเข้าไปในหอให้ได้ แต่พอเห็นข้าที่ยืนตัวเล็กกระจิดข้างรัชทายาท ต่างพากันชักสีหน้าพูดบ่นว่าทำไมถึงมีผู้หญิงมาอยู่แถวนี้เสียได้ ข้าไม่ใส่ใจ มองพวกนางด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ละคนสวมชุดกระโปรงยกสูงจนดูสั้นกว่าปกติ ลายผ้าสีสันฉูดฉาดอวดแข่งกับผีเสื้อ ผ้าคาดเอวถูกผูกหลวมๆ ไว้ด้านหน้า หนึ่งในนางคณิกาต้อนรับที่ดูอาวุโสทั้งอายุและตำแหน่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ใส่พวกเรา
“ถ้าเมียเจ้ามาก็ไม่ควรยืนเกะกะขวางทาง!” นางปัดมือใส่ แต่พวกเรากลับยังไม่ขยับ นางจึงหันหลังเดินไปหน้าประตูโดยมีนางคณิกาอีกสองคนเดินตาม ก่อนปราดมือเชิญให้พวกเขากลับ มองบุรุษทั้งสามยิ้มๆ “ข้าเองก็ไม่ได้อยากไล่แขกนักหรอกเพราะพวกเจ้าดูหล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว เพียงแต่พวกเจ้าก็รู้ว่าพวกข้าทำงานไม่ได้หากพวกเจ้าพานางมาด้วย!” นางส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้รัชทายาทราวกับจะกลืนกินเขา ก่อนปรายตาจิกกัดมาทางข้า
เห็นสายตานางเช่นนั้นใจข้าก็พลันไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรก็ตามทีเถิด
ข้ากอดแขนรัชทายาทแน่น จงใจทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของยั่วพวกนางให้โมโห พวกนางยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงถึงได้ใจกล้าพูดแบบนี้ ทว่ารัชทายาทกลับไม่ถือสาคำพูดของพวกนาง เพียงหลุบตาลง แล้วขยับนิ้วมือเรียวเข้าในสาบเสื้อดึงแผ่นป้ายสกุลจวี๋ออกมาส่งให้นางดู
นั่นสิ...คงถึงเวลาได้ใช้แผ่นป้ายนี้แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกนางคงไม่ให้พวกเราเข้าไปอย่างแน่นอน
“สิ่งนี้พอเป็นค่าผ่านทางให้ข้าได้หรือไม่”
หญิงชราคว้าแผ่นป้ายไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่ออ่านชื่อบนแผ่นป้าย รอยยิ้มเจื่อนได้ปรากฏบนใบหน้าซีดขาว นางรีบกระตุกชายเสื้อหญิงคณิกาอายุน้อย พลางก้มลงคารวะพวกเรานำคนอื่นๆ แทบจะทันที
“ฮ้า…นายท่านสกุลจวี๋ เหตุใดไม่บอกข้าน้อยตั้งแต่แรก อ๋า...ไม่ใช่สิ เป็นข้าน้อยต้องขออภัยที่โง่เขลาเบาปัญญานัก ไม่ทันรู้ว่านายท่านเป็นใคร ได้โปรดอย่าใส่ใจการกระทำเมื่อครู่ของข้าน้อยเลยนะเจ้าคะ เชิญฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ คงเหนื่อยไม่น้อยที่ต้องมาเยี่ยมกิจการร้านค้าของสกุลจวี๋” นางรีบร้อนหันไปสั่งเด็กรับใช้ด้านหลัง “เสี่ยวเอ้อร์เตรียมห้องใหญ่ให้นายท่านทั้งสองเดี๋ยวนี้” พลางผายมือเชิญพวกเราเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ก้มหน้าแทบมุดลงดินไม่กล้าสบตาข้าอีกเลย
“ขอบคุณ”
“เชิญฮูหยินตามสบายเจ้าค่ะ”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก” ข้ายิ้มเรียบไม่ถือสา เดินเข้าไปในหออย่างภาคภูมิ รัชทายาทเห็นท่าทางวางอำนาจของข้าก็เอาแต่หัวเราะเจือเบาด้วยความเอ็นดู
ทว่าเมื่อเข้าไปได้ก็แทบเอามือปิดตาเผลอซุกหน้าเข้ากับแขนเสื้อของเขา ภาพตรงหน้าช่างเกินคำบรรยายทำเอาหน้าข้าร้อนไปถึงหู นางรำพวกนั้นเต้นยั่วยวนแขกด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น หอคณิกามิใช่สถานที่ที่สตรีควรเข้ามาสัมผัส รัชทายาทเหมือนรับรู้ความรู้สึกจึงให้ข้ากอดแขนเขาไว้แน่น โอบมือหนึ่งรอบตัวข้าเพื่อปลอบประโลม
“เจ้าเด็กอวดดีหายไปไหนกันหนอ” เขายิ้มแกล้ง
ข้าถลึงตาใส่ ก่อนจะรีบยกมือปิดหน้าเมื่อเห็นคู่รักคู่หนึ่งกระหวัดกระเหวี่ยงกันอย่างเร่าร้อน “ท่านมิได้อธิบายเสียหน่อย ผู้ใดจะไปรู้ว่าหอคณิกาจะมีภาพใดเกินบรรยายเสียขนาดนี้!”
เขาเห็นข้าย้ำคำว่าเกินบรรยายก็ถึงกับหัวเราะออกมา ปกติเรื่องใดข้าไม่เคยยอมแพ้จึงรู้สึกเสียหน้าให้อยู่บ้าง
“เช่นนั้นหากเจ้าไม่อยากเห็น ให้จ้องมองใบหน้าของข้าแทน”
ข้าเงยหน้ามองประสานตาเขา ก่อนรีบหันไปมองทางอื่นเมื่อสบสายตาจริงจังอ่อนโยนเข้า “มองแล้วช่วยอะไรได้หรือ! ให้ข้ามองหน้าหลี่จวินแทนจะดีเสียกว่า” ข้าหันไปสบตาหลี่จวินที่กำลังยกนิ้วชี้หน้าตน ก่อนถูกคนข้างๆ ช้อนตัวอุ้มขึ้น “อ๊ะ...ท่าน!”
พอเขาออกคำสั่งว่า “จับไว้” ข้าจึงรีบคล้องคอกอดเขาแน่น ใบหน้าที่ว่าร้อนอยู่แล้วยิ่งเพิ่มอุณหภูมิหลายองศา “ข้าเป็นสามีเจ้า อนุญาตให้เจ้ามองเพียงข้าเข้าใจหรือไม่” เขาทำหน้านิ่งเย็นไม่อาจคาดเดาความรู้สึก แต่ข้ากลับรู้ได้ว่าเขากำลังไม่พอใจ
หรือเขากลัวข้าทำเสียแผน? หรือภรรยาไม่ควรมองชายอื่นใช่หรือไม่...
ทั้งที่ควรคิดเช่นนั้น ทว่าหัวใจข้ากลับเต้นเร็วจนไม่อาจมองหน้าเขาตรงๆ จึงเสมองทางอื่น เห็นหลี่จวินยืนบังสายตาข้าไม่ให้เห็นภาพพวกนั้นอีก ท่าทางเขาทำให้รับรู้ว่าใส่ใจองค์หญิงมากขนาดไหน ผิดกับหย่งอวี้ที่เอาแต่ใช้สายตาทิ่มแทงมองข้าในอ้อมแขนรัชทายาท ก่อนเบนสายตามองสำรวจรอบข้างอย่างไม่ใส่ใจ
ข้าไม่สนใจเขา หันกลับไปมองเสี่ยวเอ้อร์สาวเท้าวิ่งมาหาพวกเราแทน
“นายหญิงให้มาถามว่า นายท่านต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เช็ดเหงื่อพลางก้มหน้านอบน้อม คงเป็นหญิงคณิกาชราที่ให้เด็กน้อยมาคอยรับใช้พวกเรา
รัชทายาทหันไปหาเขาพลางกล่าว “ข้าต้องการห้องดีที่สุด หากอยู่ใกล้นางคณิการะดับสูงยิ่งดี ลูกน้องข้าทั้งสองต่างเหนื่อยล้ามามาก ข้าอยากให้พวกเขาได้ผ่อนคลายใจกันบ้าง”
ถึงรู้ว่านี่คือแผนของพวกเขา แต่ข้ากลับหรี่ตามองหลี่จวินอย่างล้อเลียนมิได้ เขาเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าส่ายหน้า ได้แต่เม้มปากขมวดคิ้วราวต้องการจะแก้ต่าง ข้าอมยิ้มขำกับท่าทางเช่นนั้น พลางหันไปมองคนข้างกายเขาอย่างลืมตัว
หย่งอวี้มองข้าเงียบๆ แล้วหันไปมองทางอื่นไม่มีปฏิกิริยาใด สายตาคมเข้มทอดมองนางระบำที่อยู่เบื้องล่าง ทั้งที่ควรเพลิดเพลิน แต่สายตาคู่นั้นกลับคมคายล้ำลึก ไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังเพ่งมองผู้ใด
“ได้ขอรับ…เชิญนายท่านตามข้าน้อยมา” เสี่ยวเอ้อร์เดินนำพวกเราขึ้นชั้นสอง อีกครู่พอมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายถึงได้อธิบายต่อ “ชั้นสามมีเพียงห้าห้องเท่านั้น ห้องใหญ่เหล่านี้มีของใช้อยู่เพียบพร้อมสำหรับนายท่าน หากขาดเหลือสิ่งใดสามารถบอกข้าน้อยได้ทุกเมื่อเลยขอรับ เหล่านางคณิการะดับสูงอยู่เฉพาะชั้นนี้เท่านั้น เชิญนายท่านและฮูหยินพักผ่อนกันตามสบาย ส่วนท่านทั้งสองเชิญตามข้าน้อยไปพบนางคณิกาเลยขอรับ”
หลี่จวินกับหย่งอวี้เดินตามเสี่ยวเอ้อร์ไป พอทุกคนหายไปอีกฟากของทางเดินรอบตัวเราพลันเงียบสงัด ได้ยินเพียงสุ้มเสียงแปลกๆ ในห้องอื่นที่ดังลอดออกมาเป็นระยะ หรือจะเป็นเสียง...?
มองหน้าเขาไว้ มองหน้าเขาไว้!
ข้าตั้งสมาธิแสร้งไม่ใส่ใจเสียงแปลกๆ พวกนั้น แต่ยิ่งนานเสียงพวกนั้นกลับยิ่งดังชัดขึ้น สถานการณ์ยิ่งนานยิ่งดูกระอักกระอ่วน เราสองมองหน้ากันอยู่ครู่ แล้วเป็นข้าที่หลบตาไป นี่เขามาตามหาใครในสถานที่แบบนี้กันนะ!
“ท่านรีบเข้าไปสิ!” ข้าเร่ง
รัชทายาทหัวเราะร่วนพลางผลักประตูเข้าไปแต่โดยดี เขาวางข้าลงตั่งยาวตัวหนึ่ง “ดูเจ้าสิ...ใช่เหม่ยหลิงคนเดิมจริงๆ หรือ” เขามองข้าอยู่ครู่ก่อนแตะหลังมือลงหน้าผากล้อเลียน “หน้าเจ้าแดง ไม่สบายตัวหรือ”
“ทรงหยุดแกล้งข้านะเพคะ!” ข้าปัดมือเขาอย่างโกรธๆ
เขาถอนหายใจกล่าว “ความจริงสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับหญิงพรหมจรรย์เช่นเจ้า ปฏิกิริยาเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติแล้ว แต่วันนี้พี่มีธุระจำต้องสะสาง อย่างไรขอให้ทนรออยู่ในห้องอย่าได้ออกไปไหน พี่จะให้เสี่ยวเอ้อร์เฝ้าหน้าประตูไว้ เมื่อเสร็จธุระจะรีบกลับมา” ใบหน้าเรียบเฉยมีแววกังวลปรากฏอยู่ ข้าถึงรู้ตัวว่าก่อเรื่องยุ่งยากเข้า อดรู้สึกผิดขึ้นมามิได้
“ข้าขอโทษ…ความจริงข้ามารบกวนเวลางานของท่านแท้ๆ”
รัชทายาทหลุบตาครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มเรียบกล่าว “เจ้าดื้อรั้นจนเป็นนิสัย เวลานี้กลับมากล่าวคำขอโทษช่างไม่สมเป็นคนเดิมเอาเสียเลย”
“ท่านไม่โกรธข้าหรือ” ข้านั่งคอตกสำนึกผิด ก่อนถูกมือหนึ่งขยี้ปลายจมูกเบาๆ พอเงยหน้ามองก็เห็นเขาหลุบตัวนั่งระดับเดียวกันพลางส่ายหน้าให้แล้วลุกขึ้นยืนอีก
“แล้วพี่จะรีบกลับมา”
เขามองข้าพยักหน้าตอบ ก่อนหมุนตัวจะเดินจากไป ข้ามองแผ่นหลังนั้นที่เดินห่างไปเรื่อยๆ ในใจเพิ่มพูนความกังวลอย่างอดมิได้ นี่เขามาหาใครหนอ? แล้วเรื่องนี้อันตรายมากแค่ไหน? แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไร? ข้ารุดตัวยืน เมื่อเห็นเขาเหน็บกระบี่เล่มหนึ่งอยู่ข้างเอวใจก็ไม่อาจสงบได้อีก เผลอมือดึงปลายเสื้อเขารั้งไว้
“ระวังตัวด้วยนะเพคะ”
รัชทายาทหันกลับมาหา แววตาดูแปลกใจในการกระทำของข้า ตบหลังมือพลางกล่าวอบอุ่นไม่ให้กังวล “เข้าใจแล้ว” มุมปากเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สำทับว่า “ขอบใจเจ้ามาก” แล้วถึงเดินออกไปจากห้อง
เสียงปิดประตูดังไล่หลัง ข้าจึงเลื่อนสายตาไปมองรอบห้อง
หอคณิกาหลายแห่งมักทาห้องพักด้วยสีชาด หอจันทราท่องราตรีเองนับว่าไม่ต่างจากที่อื่น เตียงไม้หลังงามถูกตั้งไว้ด้านขวาของห้อง มีฉากม่านลายฉลุกั้นบังถังอาบน้ำไว้ เมื่อเดินเข้าไปจึงพบกลีบดอกไม้หอมลอยเตรียมไว้ในน้ำอุ่นแล้ว อีกด้านคือบรรดาอาหารและเครื่องดนตรีมากพอที่ข้าจะนึกออก กลางห้องคือราวไม้แขวนเสื้อคลุมตัวยาววิจิตร เมื่อสัมผัสดูจึงรู้ว่าเป็นผ้าชั้นดีราคาแพง เจ้าของผ้าชิ้นนี้คงเป็นคนใหญ่โตของที่นี่
ข้าไม่ชอบการรอ ยิ่งไม่ชอบที่ตนเองทำสิ่งใดได้มากมายแต่กลับได้แต่รอ จึงคิดปลอมตัวเป็นหญิงคณิกาไปสำรวจภายนอก แล้วคว้าเสื้อตัวงามมาสวมทับ พลางเหลียวมองตัวเองในกระจกบนโต๊ะผัดหน้า เพิ่งรู้ว่าสีสันฉูดฉาดของเสื้อคลุมทำให้ใบหน้าตนดูจืดชืด มิน่าเล่า...นางคณิกาส่วนใหญ่ถึงได้แต่งหน้ากันฉูดฉาด เพื่อให้บุรุษจำใบหน้านางมากกว่าเสื้อผ้านี่เอง ข้าหยิบเครื่องสำอางชั้นยอดมาดูทีละชิ้น ป้ายไปบนใบหน้า เลือกสีสันที่เข้ากับเสื้อคลุมและมวยผมตัวเอง ผ่านไปครึ่งชั่วยามพอมองกระจกอีกทีข้าก็คล้ายเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ ดูคล้ายนางคณิกาขึ้นมาเสียแบบนั้น
“เอาละ!” ข้าเรียกความมั่นใจ เอื้อมมือจะผลักประตูไปตามหาคนอื่นๆ แต่แล้วกลับมีใครอีกคนกระแทกประตูเข้ามาเสียก่อน
“เจ้า…อ๊ะ!” ข้ามองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึง ทำไมถึงเป็นเขาเล่า! “หย่งอวี้?” ข้ามองไปรอบๆ พลางปิดประตู “แล้วเสี่ยวเอ้อร์ล่ะ” เจ้าเด็กรับใช้นั่นหายไปไหนแล้ว รัชทายาทเป็นคนสั่งให้เขาเฝ้าหน้าห้องมิใช่หรือ?
หย่งอวี้ใช้สายตาเย็นพิจารณาใบหน้าที่แต่งแต้มของข้าไม่ยอมตอบ พลางแค่นเสียงดูแคลนใส่ “หึ!”
หรือเขาจะคิดว่าข้าแต่งหน้าได้แปลกตาจนน่าเกลียด? ข้าไม่สบอารมณ์ เม้มปากเตรียมปะทะวาจาทันที “นี่เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? อ๊ะ!”
ยังไม่ทันได้ต่อคำ ตัวเขาได้เซล้มลงใส่ กลิ่นสุราโชยมาจากร่าง ดูท่าทางคงเผลอดื่มหนักถึงได้เมาหนักขนาดนี้ คางเขากดน้ำหนักลงที่ไหล่ข้า ทำให้ร่างกายข้าเสียการทรงตัวไปด้วยจนเซล้มลงบนพื้นไปพร้อมกัน ร่างเขาคร่อมทับจนน่าอึดอัด ข้าจึงพยายามช่วยดันตัวคนบนร่างเพื่อประคองขึ้นนั่ง แต่กลับโดนเขาตวาดเสียงเย็นใส่
“อย่ายุ่งกับข้า” เขาทำเสียงดุ ปรายตามองข้าอย่างเย็นชาทีหนึ่งพลางเอามือยันตัวเองลุกออกไปจากร่างข้าแทน แต่ไม่ทันจะพ้นก็ล้มลงมาทับอยู่ที่เดิม
แล้วอย่างไรเจ้าคนอวดดี? ทั้งที่ยังหามตัวเองไปไม่รอด ฮึ!
ข้าผลักเขาออกอย่างโมโห ทำให้เขานอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น เห็นเขาเมานิ่งไม่ไหวติง ข้าก็แค่นเสียงเย็นชาออกมาบ้าง บุรุษเช่นเขาก็เช่นนี้ ถือทิฐิยิ่งกว่าสิ่งใด แม้กำลังจะตายกลับไม่เรียกร้องขอความช่วยเหลือ แต่ข้าหรือจะสน? หากถือดีมาข้าก็แค่สนองความถือดีของเขาเท่านั้น ไม่อยากให้ข้าช่วยก็อย่ามาทำให้ข้าเดือดร้อนแล้วกัน!
ความคิดเห็น |
---|