บทที่ ๑

บทที่ ๑

พุทธศักราช ๒๔๗๔

ฝนข้างนอกเพิ่งหยุดหลังจากที่โรยตัวช้าๆ มาทั้งคืน ทั้งที่ออกจะผิดฤดูอยู่ไม่ใช่น้อย ละอองน้ำค้างเกาะอยู่ตามพุ่มไม้สวยสด พฤกษานานาพรรณขึ้นเรียงเป็นทิวแถวทอดยาวจากประตูจดปลายรั้วอีกด้านหนึ่ง ตึกสูงใหญ่สองหลังสร้างติดกันและกั้นด้วยรั้วไม้ที่พ้นระดับสายตามาหน่อยเดียวเท่านั้น ตึกฝั่งหนึ่งสีอมส้มสว่างสวย อีกฝั่งทรงสูงกว่า งานอย่างทางยุโรปสีขาวโพลนออกนวลไปทั้งหลัง ต้นเทียนหยดขึ้นระแนวรั้วส่งดอกสีม่วงสดห้อยย้อยลงมาแต้มความสดใส

คนที่อยู่ในชุดกระโปรงตรงสีนวลตาปล่อยผมให้ยาวแปลกตากว่าที่สาวร่วมสมัยหลายคนนิยม มีผ้ายาวเส้นเล็กๆ มัดแนบตรงท้ายทอย อีกร่างนุ่งโจงกระเบนสีทึมถือหนังสือกับตะกร้าใส่ขนมเดินตามต้อยๆ มองเจ้านายตัวเองแล้วก็ถอนหายใจ

“จะถึงไหนเจ้าคะ”

“โธ่ ก็เดินไปเรื่อยๆ ขอดูหน่อยว่าบ้านเจ้าคุณพ่อเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้มาเสียนาน” 

เสียงคนพูดกังวานใส มือรวบประสานไว้ด้านหลัง ตรึงความสนใจของคนที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ในสวนอีกฟากหนึ่ง ลดหนังสือลงทอดตาคมกล้าแลผ่านแนวรั้วไม้ เห็นแต่หน้าผากขาวๆ ผมที่หวีเรียบรัดตึงไปด้านหลังสีดำขลับสะท้อนประกายแดด เท่านั้นก็สงบฟังการสนทนาต่อไป

“บ่าวถือของเมื่อยนะเจ้าคะคุณวิฬาร์ แอบเอาอะไรใส่ลงมาหรือเปล่า” เย็นตาถือตัวเป็นบ่าวคนสนิท ทักท้วงทั้งที่ปวดแขนจะเป็นจะตาย ตะกร้าไม่ใหญ่ ไม่รู้ว่านายตัวเองเอาอะไรใส่ลงมานักหนา มันถึงได้หนักนัก เดินถือตามออกมาจากตัวบ้านแขนแทบจะลากติดพื้น

“จุ๊ๆ” คนฟังหมุนตัวกลับมาทำท่าลึกลับ นิ้วมือเรียวอย่างลำเทียนจดริมฝีปาก ส่ายหน้าจนผมยาวข้างหลังสะบัด “อย่าดังสิเย็น เดี๋ยวมันตื่น”

“ต๊าย...” 

ไม่ต้องเสียเวลาเดาเท่าไร เย็นตาหยุดเดิน วางตะกร้าลงกับพื้นแล้วเปิดฝาครอบ เห็นเจ้าแมวสีสวาดตัวโปรดของนายที่คุณหญิงบ้านโน้นสั่งนักสั่งหนาไม่ให้เอาติดมาบ้านนี้นอนสงบหลับตาเลียขาแผล็บๆ เท่านั้นก็ตาโต เงยหน้ามองคนที่ยิ้มเจื่อน 

“คุณวิฬาร์เอาเจ้าที่รักมาด้วยทำไมเจ้าคะ เจ้าคุณรู้เอ็ดตายเลย”

“แมวตัวเดียวเท่านั้น ตัวเจ้าที่รักมันก็แค่นี้ เห็นไหมว่าเอาใส่ตะกร้าไว้ไม่เห็นมีใครรู้ มันจะอะไรนักหนาล่ะเย็น”

“ก็คุณวิมาลาเธอไม่ชอบแมว คุณแม่ก็สั่งแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะคุณวิฬาร์”

“โธ่ เย็นจ๋าเย็น” คนพูดเดินมาเกาะแขนหมับเข้าให้ ดวงตาสีนิลกาฬทอประกายระยิบระยับ ริมฝีปากบางสีกุหลาบแย้มยิ้มออดอ้อน “ก็มันเหงานี่จ๊ะเย็นจ๋า ฉันมาอยู่บ้านนี้ไม่ทันได้สนิทกับใคร มีแต่ที่รักเท่านั้นพอจะให้คลายเหงา เย็นอย่าใจร้ายนักเลย เรื่องอาหารอะไรฉันจะรับผิดชอบเองนะจ๊ะเย็นจ๋า ให้มันอยู่เฉพาะบนห้องกับในตะกร้า เย็นไม่บอก ฉันไม่บอก เจ้าคุณพ่อกับพี่วิเธอจะรู้ได้อย่างไร”

“คุณวิฬาร์...” 

เย็นตาหมดแรงจะต้านทานสายตานั้น นางหยิบตะกร้าขึ้นมาแล้วส่ายหน้าช้าๆ จะว่าไปก็สงสารวิฬาร์อยู่หรอก คนเป็นนายเป็นบุตรสาวของภรรยารองที่ปลงใจจะแยกกันอยู่กับสามี จนเมื่อลูกสาวจะต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ก็จำใจต้องส่งมาอยู่กับพ่อที่ไม่ค่อยได้พบหน้ากันนัก มีแต่พี่สาวต่างมารดาจากภรรยาหลวงที่เสียไปแล้วอย่างคุณวิมาลาก็ไม่ได้สนิทกัน

เจ้าแมวตัวต้นเรื่องงัวเงียลืมตาขึ้นมอง เย็นตาไม่ได้ปิดฝาครอบตะกร้า มันลุกขึ้นบิดขี้เกียจ มือบางเล็กพยายามดันหัวให้หมอบลงไปอย่างเดิม แต่ดูท่าเจ้าตัวดีจะไม่ยอมฟัง เพราะมันสะบัดขนสั้นๆ ที่ลื่นเหมือนกำมะหยี่แล้วกระโดดแผล็วออกจากตะกร้า ไม่ใช่กระโดดลงพื้น แต่ไปแหมะอยู่ตรงพุ่มไม้ริมรั้ว แล้วก็กระโจนข้ามแนวรั้วไปที่บ้านอีกหลัง

“ว้าย! ตายแล้ว” คนเป็นบ่าวแทบจะทิ้งตะกร้ายกมือทาบอก มือบางจึงเอื้อมมาปิดปากแน่น

“อย่าร้องจ้ะเย็นจ๋า ไม่ตายหรอกจ้ะ แค่ที่รักมันหลุดไปบ้านโน้นเท่านั้น ประเดี๋ยวขอให้เขาช่วยเก็บให้ก็ได้ เอ๊ะ ไม่ได้สิไม่ได้ ประเดี๋ยวเขาบอกเจ้าคุณพ่อ” 

วิฬาร์เขย่งเท้ามองหา แต่ไม่เห็นทั้งแมวทั้งคน เพราะคนที่เก็บเจ้าแมวตัวดีที่วิ่งมากองบนตักอุ้มมันเดินไปหยุดใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่บังสายตาพอดิบพอดี

“เจอไหมเจ้าคะ”

“ไม่เจอจ้ะ แต่ที่รักคงไปไม่ไกลหรอก มันไม่คุ้นกับคน เดี๋ยวนะ พอดีไม่มีคน” 

คนพูดไม่พูดเปล่า อาศัยวิชาเก่าเกาะแนวรั้วไม้พยุงตัวขึ้นไป คนเป็นบ่าวหัวใจแทบวาย ผวาจะดึงร่างนั้นลงมา แต่ช้าเกินไปเพราะวิฬาร์ขึ้นไปคาอยู่บนรั้วแล้วเรียบร้อย จะส่งเสียงดังก็ไม่กล้าเพราะกลัวคนอื่นมาได้ยิน ได้แต่ยืนอกสั่นขวัญแขวนเอาใจช่วยอยู่ตรงนั้น

วิฬาร์เหลือบแลหาแมวตัวโปรดของตัวเอง ป้องปากเรียกแผ่วๆ 

“ที่รักจ๋าที่รัก ที่รักออกมาเถอะนะคนดี วิฬาร์จะไม่ว่าจะไม่ตี คนดีของวิฬาร์ออกมาเถอะนะ”

ฝ่ายที่แอบอยู่หลังต้นไม้ทอดมองคนที่เกาะคาอยู่บนรั้วแล้วกลั้นหัวเราะ เพิ่งเคยเห็นผู้หญิงนิสัยอย่างนี้วันแรกนี่เอง หรือเพราะในรั้วในวังไม่มี แต่ข้างนอกเขาเป็นแบบนี้กันก็สุดรู้ เจ้าสีสวาดในอ้อมแขนร้องหง่าวๆ ตะกายจะลงไปหาเจ้าของ เลยต้องคลายมือหนาให้มันกระโจนลงไป เจ้าตัวเล็กเดินนวยนาดออกจากหลังต้นไม้ไปหาเจ้าของ ปีนรั้วแล้วก็ขึ้นไปอยู่บนตักเจ้านาย

ร่างบางโอบเอาไว้ ลูบหัวลูบหลังทั้งที่ยังนั่งคาอยู่ตรงรั้วนั่นเอง 

“โธ่ ที่รักจ๋า ทีหลังอย่าหนีไปอย่างนี้สิ เจ้าคุณพ่อทราบเข้าวิฬาร์โดนเอ็ดตายเลยนะจ๊ะที่รักจ๋า โอ๋ๆ กลับบ้านเราเถอะนะ” หล่อนเอี้ยวตัว ส่งแมวไปให้บ่าวที่ยืนรอรับอยู่ด้านหลัง

เย็นตารับเจ้าตัวดีใส่ลงในตะกร้าตามเดิม เห็นเจ้านายตัวเองกำลังจะทิ้งตัวลงจากแนวรั้วไม้ แต่ข้างหลังที่บ้านอีกหลังมีใครคนหนึ่งยืนมองอยู่ นางผงะไป แต่เพราะยังใหม่เลยไม่รู้ว่าใคร ยกมือปิดปากบุ้ยใบ้ให้เจ้านายที่กำลังจะลงจากรั้วกลับหลังหันไปมองเสียบ้าง วิฬาร์ค่อยๆ หันกลับไป แล้วก็พลาด เพราะกระโปรงเจ้ากรรมไปเกี่ยวอะไรเข้าไม่ทราบ ร่างบางเอนไปด้านหลังร่วงลงจากรั้วไม้สูง เท่านั้นเองคนเป็นบ่าวก็ผวาร้องลั่น

“ตายแล้ว! คุณวิฬาร์”

“ยังไม่ตาย” 

นั่นเป็นครั้งแรกที่วิฬาร์ได้ยินเสียงทุ้มกังวานดังอยู่ข้างหู และต่อมาก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ปรารถนาจะฟังเสียงนั้นอยู่ตลอดเวลา ตลอดทุกลมหายใจ 

ร่างที่ควรจะร่วงลงสู่พื้นหญ้าสีเขียวสดร่วงไปอยู่ในอ้อมแขนของใครไม่รู้ รู้แต่ไม่เจ็บอย่างที่ควร เท่านั้นเองคนที่หลับตาปี๋ถึงได้ลืมตาขึ้นมอง

อะไรนะที่ทำให้หล่อนนึกไปถึงพระเอกละครรำที่เคยดูสมัยยังอยู่ที่บ้าน ดวงหน้าหวานอย่างนี้จะหาใดมาเปรียบ คิ้ว คาง ปาก อะไรก็ตามที่ประกอบขึ้นเป็นใบหน้านี้ช่างพอเหมาะไปเสียทุกส่วน ริมฝีปากเกือบจะบางเหมือนผู้หญิงสีแดงเรื่อ ผิวหน้ามิใช่ว่าขาวผุดผ่อง แต่นวลลออเสียยิ่งกว่าผิวผู้หญิงบางคน ถึงตัวหล่อนก็เถอะ ยังไม่แน่ใจว่าจะสวยใสได้เท่านี้ไหมหนอ ไหนจะตาคู่นั้นอีก โอ๊ย...วิฬาร์ไม่รู้จะพรรณนารูปโฉมโนมพรรณคนตรงหน้านี้ว่าอย่างไร งามหมด งามยิ่งกว่าสิ่งใด ชะรอยเขาจะเป็นนายละครรำ เพราะไม่รู้จะชมว่าอย่างไรได้นอกเสียจาก...

“สวย”

“ขอบใจ แต่จะอนุญาตให้ฉันปล่อยเธอได้หรือยัง” 

เสียงเขานุ่มทุ้มแล้วก็หวานกังวาน ไม่ต้องรอรอบสอง คนถูกอุ้มที่เพิ่งรู้ตัวแทบจะกระโดดลงมาจากอ้อมแขนของเขา ตอนนั้นเองที่ได้เทียบความสูงใกล้ๆ ศีรษะส่วนบนสุดพ้นไหล่เขาไปหน่อยเดียวเท่านั้นเอง ผู้ชายอะไรตัวอย่างกับยักษ์ปักหลั่น เจ้าคุณพ่อที่ว่าสูงยังเตี้ยกว่าเขาเสียเกือบครึ่งคืบกระมัง

“เจ็บตรงไหนบ้างเจ้าคะ” คนเป็นบ่าวมองไม่เห็นหรอกเพราะรั้วสูงเหลือเกิน เขย่งเท้าเท่าไรหัวก็ไม่พ้นรั้วขึ้นมา 

วิฬาร์นิ่ง อึกอักอยู่ครู่หนึ่งก็บอกไป

“ไม่เจ็บหรอกเย็น ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวฉันกลับไป” 

ตอบแล้วก็หันกลับไปมองคนที่ช่วยไว้ ปากมันก็อยากจะขอบคุณ แต่ไม่รู้เพราะอะไร นัยน์ตาสีนิลทอประกายเรืองระยับของอีกฝ่ายกลับทำให้ทุกคำพูดติดอยู่ในลำคอ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะรอคำนั้นอยู่เหมือนกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรหลุดออกมาจากริมฝีปากบาง จนกระทั่งถูกทัก

“คราวนี้ไม่ต้องปีนกลับไป ประตูมี”

ความอายแผ่ซ่านไปบนผิวแก้ม เพราะตระหนักได้ว่าตัวเองกระโดดข้ามรั้วลงมาแหมะในบ้านเขา คนเขินมองรั้ว มองตัวเอง มองเขา แล้วถึงได้มองเลยไปทางประตู ไกลออกไปมีประตูบ้านใหญ่ที่กั้นบ้านกับถนนเอาไว้ วิฬาร์เกือบจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก แต่ยั้งไว้ได้ทันเพราะคุณจันทร์ผู้เป็นมารดาเคยตีเสียแขนช้ำ

‘เสียมารยาท ใครเขาจะว่าแม่เลี้ยงลูกให้เป็นไพร่’

แม้ไม่ใช่เชื้อสายจากเจ้าเข้าวังที่ไหน แต่ศักดิ์ของความเป็นลูกคนมีเกียรติก็ทำให้ต้องรักษาหน้าคนเป็นพ่อ รักษาทั้งที่ไม่ค่อยจะพบนั่นละ แม่เป็นคุณหญิงของพวกนั้น แต่ไม่ใช่คุณหญิงจริงๆ ของเจ้าคุณพ่อ

‘แม่รักเจ้าคุณพ่อของวิฬาร์ แม่ภูมิใจที่ได้เป็นเมียของเจ้าคุณพ่อ ลูกก็ควรจะภูมิใจในความเป็นลูกของเจ้าคุณพ่อเหมือนกัน’

แม่รัก แม่ภูมิใจ แต่แม่ปฏิเสธการเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ ตั้งแต่สาวจนกระทั่งแม้ยามที่คุณหญิงของสามีสิ้นชีวิตไปแล้ว

“เอาละ จะจำเอาไว้ว่าลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณวิเศษขอบคุณคนไม่เป็น” 

ทั้งที่เสียงเขานุ่มนวลเพราะพริ้งถึงเพียงนั้น แต่คนฟังกลับรู้สึกเหมือนถูกตอกหน้านิ่มๆ จนชาไปวูบหนึ่ง ความอยากจะขอบคุณหายไปเกือบหมด ลำคอระหงตั้งตรง เขาว่าหล่อนได้ แต่พาดพิงการเป็นลูกสาวของพันเอกพระยาวิเศษสรลักษณ์มิได้

“ดิฉันซาบซึ้งน้ำใจของคุณจนไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดีแล้วค่ะ ขอบพระคุณมากเหลือเกินที่กรุณารับดิฉันเอาไว้ เท่านี้คุณคงพอใจ และยกเลิกข้อพาดพิงของคุณต่อเจ้าคุณพ่อของดิฉัน” 

อะไรนะอะไรที่ส่งให้หล่อนหลุดปากบอกเขาไปอย่างนั้น ดูเถอะ ขนาดนี้แล้วพ่อยักษ์ปักหลั่นยังยืนยิ้มเยาะอยู่นั่น

“ไม่เห็นเหมือนวิมาลา” 

เขาว่าเรียบๆ ไม่ได้บอกว่าเหมือนตรงไหน แต่อารมณ์ชื่นชมของวิฬาร์หายเกลี้ยง เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองจะไปเหมือนพี่สาวต่างมารดาได้อย่างไร อีกฝ่ายเป็นลูกคุณหญิง เธอสวย เธอเรียบร้อยจนลือชื่อ ใครจะกล้าเอาตัวเองไปเปรียบกับผู้หญิงอย่างคุณพี่วิมาลาคนนั้นเล่า

“ดิฉันขอตัว” 

คนพูดสะบัดหน้า เดินเชิดหน้าออกไปยังประตูหน้าบ้านอันเป็นประตูเหล็กดัดขนาดใหญ่ เจ้าของบ้านยืนมองตามร่างระหงบอบบางที่สะบัดผมยาวๆ เดินออกไป หญิงสาวไม่ได้หันกลับมามองอีกฝ่ายว่าจะเป็นอย่างไร หล่อนรึโมโหแสนจะโมโหพ่อยักษ์คนนี้เหลือเกิน คนเฝ้าประตูมองหน้าหล่อนตาโตแล้วจำใจเปิดประตูให้ ชุดที่สวมดูเป็นพิธีการแปลกๆ แต่คนโมโหไม่ได้ใส่ใจ เดินอ้อมกลับเข้าบ้านตัวเองทางประตูหน้า แล้วก็นิ่ง...

มือบางคลำข้อมือตัวเอง กำไลทองที่มารดาให้ติดตัวมาจากบ้านหล่นหายไปเสียตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เดินตรงลิ่วกลับไปข้างรั้ว เย็นตายังยืนอุ้มเจ้าที่รักคอยอยู่ตรงนั้นนั่นเอง

“คุณวิฬาร์เจ็บตรงไหนบ้างเจ้าคะ โธ่ ทูนหัวของบ่าว”

“ไม่เจ็บจ้ะ ไม่มีแผลเลย แต่ทำกำไลคุณแม่หาย เย็นช่วยก้มหาทีเถอะ หายไปฉันเสียใจแย่ทีเดียว คุณแม่อุตส่าห์ถอดออกจากมือท่านมาสวมให้แท้ๆ” 

คนพูดร้อนรนเอาเสียจริงๆ สองร่างก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างรั้ว จำได้ว่าก่อนออกจากห้องก็ใส่มา ยังคลำเล่นอยู่เลย ถ้าไม่ตกหายฝั่งนี้ก็ต้องไปตกเอาฝั่งโน้น โธ่...หายที่ไหนไม่หาย อย่าไปหายบ้านนายตัวยักษ์คนนั้นเลย ขี้เกียจจะไปเจอหน้า ผู้ชายอะไรเชือดนิ่มๆ แววตาที่มองคนอื่นเหมือนผู้ใหญ่มองผู้น้อยตลอดเวลานั่นหล่อนไม่ชอบเอาเลยจริงๆ

“ไม่เจอเลยเจ้าค่ะ ขึ้นไปหาบนห้องไหมเจ้าคะ เอ...หรือจะไปตกบ้านโน้น”

“หาก่อนเถอะ อาจจะอยู่แถวๆ พุ่มไม้ เย็นเอาที่รักลงตะกร้าไปก่อน ประเดี๋ยวคนอื่นผ่านมาเห็น” 

คนเป็นบ่าวทำตามอย่างว่าง่าย เอาเจ้าแมวสุดที่รักยัดลงไปนอนนิ่งอยู่ในตะกร้า ปิดฝาครอบแล้ววางไว้ข้างตัว มันครางเหมียวๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เงียบ สองคนนายบ่าวก้มๆ เงยๆ อยู่จนกระทั่งใครบางคนผ่านมาเห็น

ร่างบางระหงสวย ผิวสีขาวผุดผ่องอำไพอยู่ในชุดเสื้อกับกระโปรงเข้าชุด ผมตัดสั้นเป็นทรงบ๊อบระต้นคอ เผยลำคอระหงสวย เสื้อผ้าทั้งชุดเป็นแบบสมัยนิยมสีพื้นชมพูเรียบสดใส เครื่องหน้าจิ้มลิ้มพริ้มพราย เห็นท่าทางนั้นมาตั้งแต่ไกลๆ แล้วก็เดินเข้ามาใกล้ ถามด้วยเสียงหวานนุ่มราวกับเสียงดนตรี

“ทำอะไรวิฬาร์”

คนก้มๆ เงยๆ หันมองแล้วตอบ “หากำไลค่ะคุณพี่วิ กำไลของคุณแม่ใส่ติดมือมา แต่หล่นหายไปไหนไม่ทราบ”

“ราคาแพงมากเหรอวิฬาร์”

“กำไรทองไม่กี่บาทหรอกค่ะ แต่เป็นของคุณแม่ท่านให้มา” น้องสาวต่างมารดาตอบไปตามความจริง 

วิมาลายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในมือถือถาดขนมจะเอาไปฝากใครบางคน แต่เห็นท่าทางร้อนรนของน้องสาวแล้วก็ผ่อนลมหายใจเบาๆ เดินเอาถาดขนมไปวางไว้ตรงเก้าอี้ในสนาม แล้วเดินกลับมาช่วยหา

“มา พี่ช่วย”

สามแรงช่วยกันหา แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ วิฬาร์ขอบตาร้อนๆ จะร้องไห้เสียให้ได้ ของอยู่กับตัวแท้ๆ รับปากมั่นเหมาะเป็นอย่างดีว่าจะไม่ให้หายไปไหน นี่อะไร หล่อนมาอยู่บ้านนี้ได้วันเดียวเท่านั้นเองก็ทำกำไลของสำคัญหล่นหายเสียแล้ว แม่คงไม่เอ็ดหรอกแต่คงเสียใจ

‘เจ้าคุณพ่อให้เป็นของขวัญวันที่มาขอแม่กับคุณยาย วิฬาร์รักษาดีๆ นะลูก’

กำไลราคาไม่กี่บาทแต่แทนรักล้ำค่าของเจ้าคุณพ่อ ลูกเอามาทำหายเสียแล้ว 

วิฬาร์น้ำตาจะหยดให้ได้ เย็นตามองนายตัวเองแล้วก็พลอยจะร้องไปด้วย เหลือพี่สาวคนเดียวที่ยังพอมีสติ

“คิดสิไปที่ไหนมาบ้าง เดี๋ยวพี่ให้พวกบ่าวดูให้ หาทั้งบ้านก็ได้ ของสำคัญนี่” 

แม้จะเพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง แต่วิมาลาก็รับรู้มาตลอดว่าหล่อนมีน้องสาวอยู่อีกคนหนึ่ง เจ้าคุณพ่อไม่ได้ปกปิดเรื่องของผู้หญิงอีกคน คุณแม่เองก็คอยบอกเสมอว่าหล่อนยังมีพี่น้อง วิมาลาถึงได้เฝ้ารอเสมอมา การเป็นลูกคนเดียวของตระกูลไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสักนิด ถูกเก็บให้อยู่แต่ในบ้าน วิฬาร์นี่โชคดีเพราะได้เรียนหนังสือถึงมหาวิทยาลัย

ขณะที่คนน้องร้อนรน ใครบางคนก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา นายทหารรับใช้คนสนิทของพันเอกพระยาวิเศษสรลักษณ์วิ่งหน้าตื่นมายืนหอบอยู่ข้างๆ สามสาว เอ่ยเสียงสั่น

“คุณวิขอรับ คุณหมอท่านชายเสด็จมา”

ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของนาม ‘คุณหมอท่านชาย’ คงเป็นคนสำคัญพอดูทีเดียว เพราะวิมาลาชะงัก ยืดตัวตรงแล้วปัดฝุ่นออกจากกระโปรง 

“วิฬาร์ เดี๋ยวพี่มา เอ...เรามากับพี่ดีกว่า จะได้รู้จักท่านชายเสียด้วยเลย”

“ไม่เอาหรอกค่ะ ไว้รู้จักวันหลังเถอะ” ของยังหาไม่เจอ หล่อนไม่มีอารมณ์ไปรู้จักท่านชายอะไรที่ไหนหรอก แต่คนที่ยืนหอบมองสองพี่น้องคุยกันขัดขึ้นมาเสียกลางลำ

“เอ่อ...แต่รับสั่งว่าให้หาคุณวิฬาร์ด้วยนะขอรับ”

เท่านั้นเองสองพี่น้องก็จ้องหน้าสบตาวัดใจ แล้วคนที่นั่งอยู่กับพื้นถึงได้ยืนขึ้นมายืดตัวตรง จะว่าไปก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก พบก็ไม่เคยพบ เรื่องอะไรมาเรียกหา คุณหมอท่านชายในจินตนาการของวิฬาร์ที่ทำให้หล่อนจำใจต้องเดินตามพี่สาวไป ทิ้งเย็นตาไว้หาของ คือชายแก่อายุสักห้าสิบหกสิบ คงแก่พอที่คนทั้งบ้านจะให้ความสำคัญ เป็นท่านชายน่าจะเป็นหม่อมเจ้า เอ...ต้องใช้ราชาศัพท์ใช่ไหม เกิดมายังไม่เคยพูดเพคะเพขากับใครเขาเลย

“เดี๋ยวพอเข้าไปก็นิ่งๆ นะวิฬาร์ พี่จะแนะนำท่านเอง ราชาศัพท์ไม่ต้องเคร่ง ท่านไม่ถือ” วิมาลากระซิบบอกน้องสาวขณะเดินนำเข้าไปในตัวบ้านตามคำบอกเล่าที่ว่าประทับรออยู่ด้านใน แม้จะอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดถึงได้ทรงถามหาคนเป็นน้องทั้งที่ไม่เคยเจอหน้า

ภาพของผู้ที่ประทับอยู่บนเก้าอี้ทำให้วิฬาร์หายใจไม่ทั่วท้องนัก เพราะหันซ้ายหันขวาหาใครไม่เห็นอีกนอกจากเขา ผู้ชายที่ตัวใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นคนนั้นนั่นเอง คนที่นั่งหลังตรงมองมาแล้วก็ยิ้มแบบที่ไม่ค่อยชอบ ยิ้มอย่างผู้ชนะแบบนั้น วิฬาร์ลดก้าวลงไปใช้ร่างพี่สาวต่างเกราะกำบังตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ แต่ไม่ชอบสายตาของเขาเลย

วิมาลาเดินตัวตรงเข้าไปหาราวกับนางอัปสร พอถึงระยะก็ย่อตัวลงทำความเคารพ แต่คนที่เดินตามหลังยังยืนนิ่งแข็งทื่อเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยสักอย่าง ไม่รู้พี่สาวทำความเคารพใคร ไหนล่ะท่านชายคนที่ว่า หล่อนมองหาท่านชายวรกายหนา เกศาแซมสีขาว พักตร์แต้มริ้วรอยของกาลเวลาไม่เจอ แล้วภาพที่นึกอยู่ก็มีอันต้องพังทลายลงไปตรงหน้า เมื่อเจ้าของเสียงหวานกังวานเรียกตายักษ์ปักหลั่นของหล่อนเต็มปากเต็มคำ

“หม่อมฉันไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะเสด็จ”

“ไม่เป็นอะไรหรอก” 

รับสั่งอย่างนั้น แต่ชายพระเนตรคมวาวระยับทอดพระเนตรร่างบางของคนที่ยืนตะลึงอยู่ข้างหลัง ริมโอษฐ์แย้มยิ้ม ก่อนจะทรงยืดวรกายเต็มความสูง สูงจนชนิดที่วิมาลายังเกือบต้องเงยหน้ามอง แต่ความสูงอย่างนี้เองที่ทำให้ทรงสง่างาม ความสูงอย่างนี้เองที่ทำให้ผิวแก้มของวิมาลาร้อนผะผ่าว

“วิฬาร์ ทำไมไม่ไหว้” วิมาลาเตือนน้องสาวตัวเอง จนแล้วจนรอดวิฬาร์ก็ยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่คนที่ยืดวรกายตรงทอดพระเนตรมาแล้วทรงพระสรวลเบาๆ ในศอ

“เขายังไม่รู้จักฉัน เห็นจะต้องแนะนำตัวกันหน่อย คุณวิฬาร์ บุตรีคนเล็กของพันเอกพระยาวิเศษสรลักษณ์ ที่อยู่ตรงหน้าเธอคือนายแพทย์หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ ดิเรกวัฒนาภา เจ้าของวังน้ำค้างที่อยู่ติดรั้วบ้านเธอนี่เอง” สุรเสียงกังวานก้อง มีรอยเยาะนิดๆ ในนั้นเสียด้วย

คนฟังหน้าชา เพราะนึกรู้ว่าเขาประกาศเสียเต็มยศถึงเพียงนี้คงจะอยากให้รู้ เอาละ คราวนี้รู้ดีทีเดียว ผู้ชายตัวใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นคนนี้ไม่ใช่ใคร นอกเสียจากหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ บ้านหลังที่หล่อนปีนข้ามรั้วเข้าไปก็เป็นวัง คนที่ยืนยืดคอทำท่าหยิ่งยโสใส่ก็เป็นหม่อมเจ้า สำคัญนอกจากจะตกจากรั้วลงไปให้เขารับ ยังทำกิริยาท่าทาง พูดจาไม่มีราชาศัพท์สักคำ หน้าซีดๆ แทบจะหดเหลือสองนิ้ว ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวก้มหน้ามองพื้น มีซอกไหนของบ้านพอจะให้มุดหนีไปได้ไหมหนอ แล้วเขา...อ้อ พระองค์จะทรงทำอย่างไร รับสั่งฟ้อง...ใช่คำนี้หรือเปล่า ก็น่าจะใช่ จะรับสั่งฟ้องเจ้าคุณพ่อหรือเปล่าว่าลูกสาวคนเล็กไปทำอะไรไว้

“อ้าว นึกว่าคุยกับรูปปั้น คนหรอกหรือ” รับสั่งเข้าหูแว่วๆ รับสั่งอะไรก็ไม่รู้

“ทำไมรับสั่งให้หาวิฬาร์เพคะ”

คนเป็นพี่สาวเรียกความสนพระทัยไป ยามนั้นคนเป็นน้องถึงได้ลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ ถอนสายบัวแล้วคงพอแล้ว ก้าวถอยหลังจะหนีออกไป แต่เผลอเงยหน้าไปสบพระเนตรคมเข้าให้ ร่างทั้งร่างจึงตรึงอยู่กับที่ รับสั่งกับพี่สาว แต่ชายพระเนตรมองคนน้องที่จ้องแต่จะหนี ผู้หญิงหยิ่งยโสเมื่อครู่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

“พอดีเก็บของได้ ก็เลยมาหาเจ้าของ” รับสั่งแล้วทรงเอื้อมหัตถ์เข้าไปในฉลองพระองค์ หยิบสร้อยข้อมือทองเส้นเล็กสวยออกมา

วิฬาร์มองตาโต อยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาด ตกที่ไหนไม่ตก จำเพาะจะต้องไปตกในบ้าน...อ้อ...วังนั่นด้วย จะให้นายมหาดเล็กที่ไหนเก็บเสียก็ไม่ได้ ให้เจ้าของวังเก็บได้ กรรมแล้ววิฬาร์เอ๋ย ได้เกิดเป็นกรณีซักไซ้ไล่เลียงยาวแน่ว่าไปทำตกที่นั่นได้อย่างไร คราวนี้ละเรื่องเจ้าที่รักก็เห็นจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป แววตานึกโกรธเจ้าของวรกายสูงหนา 

ร่องรอยงอนๆ ในดวงตาคู่นั้นเองที่ทำให้คนมองเกือบจะหลุดยิ้ม

“เห็นว่าน่าจะเป็นของผู้หญิง นึกได้ว่าไม่เคยเห็นเธอใส่ ฉันเลยนึกไปว่าเธอยังบังเอิญมีน้องสาวอีกคน ก็น่าจะคนนี้แหละเป็นเจ้าของ ไม่ทราบว่าจะใช่หรือเปล่า” 

คำว่า ‘บังเอิญมี’ ตอกหน้าคนฟังเต็มแรง

วิมาลาหันมาถามน้องสาว “ใช่ที่หาอยู่หรือเปล่าวิฬาร์”

คนฟังพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ “ใช่ค่ะ อ้อ...เพคะ ทรงกรุณาเหลือเกิน” 

แล้วก็ยื่นมือออกไปจะรับของตัวเองคืน คนที่ตั้งพระทัยจะเอามาคืนกลับไม่ยอมคืนเสียอย่างนั้น วิฬาร์เกือบออกปากว่าแล้วทีเดียว ถ้าไม่บังเอิญนึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สำคัญคือคดีหล่อนเยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะเพิ่มอีกคดีให้โทษหนักไปทำไม

“ทำไมกำไลของวิฬาร์ถึงอยู่ที่ฝ่าบาทเพคะ”

ทรงเหลือบพระเนตรดูคนที่ยืนหน้าแดงแล้วก็ซีด อยากทรงพระสรวลแต่เก็บเอาไว้ก่อน 

“พอดีเจ้าของกำไลเขาคงจะคุยเพลินไปหน่อย สะบัดมือไปสะบัดมือมามันเลยหลุดกระเด็นข้ามรั้วไปตกที่วัง ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่พอดี นี่ใช่ไหม ได้ยินว่าเป็นของสำคัญ” แล้วก็ทรงวางกำไลลงบนมือบางเล็กอย่างเบาที่สุด

คนรับมือสั่นนิดๆ แล้วก็กำแน่นเอาไปแนบอก ดีใจก็ดีใจ เสียใจก็เสียใจ ทำไมต้องเป็นผู้ชายคนนี้

“น้องสาวหม่อมฉันยังเด็ก ถ้าทำกิริยาไม่เหมาะสมต้องขอประทานอภัย บังเอิญหม่อมฉันทำลูกตาลลอยแก้วเอาไว้ ประเดี๋ยวจะเอาไปถวายที่วังนะเพคะ” วิมาลาคุยเรื่องอื่นแล้วยิ้ม 

เท่านั้นเองก็ทรงหันความสนพระทัยไปยังร่างบางอีกร่าง วิมาลาสวยหยาดเยิ้มเหมือนนางอัปสรสวรรค์ สวยอย่างนางในวรรณคดี ต่างกับคนน้อง...ยังเด็ก มีประกายซุกซนในดวงตาเจิดจ้า น่ารักน่าแกล้งมากกว่า

“ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันขอตัวนะเพคะ” วิฬาร์ไม่ได้สนใจว่าใครจะอนุญาตหรือไม่ หมุนตัวก้าวฉับๆ ออกไปเรียบร้อยแล้ว

หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทอดพระเนตรตามร่างนั้นก่อนจะกลับมาสนพระทัยคนที่ยืนคุยอยู่ข้างกาย ทว่าพระทัยลอยไปไกล ป่านนี้แม่ลูกแมวน้อยคนนั้นจะเป็นอย่างไร ท่าทางเจ้าแง่แสนงอนออกปานนั้น วิฬาร์...แปลว่าแมว แล้วหล่อนก็มาตามลูกแมวของหล่อน แมวแสนซนที่กระโจนข้ามรั้วจนเจ้าของต้องปีนรั้วมาเอาตัว ตัวแมวกับเจ้าของต่างกันที่ไหน ลูกแมวเหมือนกัน ลูกแมวขี้อ้อนที่ชวนอยากให้เอามือลูบหัวเกาคาง เกือบหลุดหัวเราะออกมาแล้วทีเดียว

ขณะที่คนที่ถูกนึกถึงถือกำไลก้าวฉับๆ ไม่ระวังกิริยาอีกต่อไป เขา...อ้อ พระองค์ทรงรู้ รู้หมดนั่นแหละ แต่แกล้งให้ปล่อยไก่เสียนานสองนาน ดีอย่างเดียวคือไม่ทรงขี้ฟ้อง แววพระเนตรอย่างนั้นไม่น่าดูเลย ถึงอย่างนั้นผิวแก้มก็ร้อนผ่าวยามนึกว่าตัวเองตกลงไปในอ้อมพระกรของใครมาเมื่อครู่ พอไม่ได้อยู่เฉพาะพักตร์ ไอ้หน้าที่ซีดก็กลับกลายเป็นสีแดง เข้มขึ้น เข้มขึ้น

วิฬาร์ไม่รู้เลยว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น