บทที่ ๓

บทที่ ๓

 

แมวหรือคะ” ไม่รู้ว่าเค้นเสียงลอดริมฝีปากออกไปได้อย่างไร วิฬาร์จำได้แต่ว่าตัวเองพูดเสียงแผ่วจนเกือบจะกลืนหายไปในลำคอแห้งผาก เวลานี้เรื่องเจ้าที่รักมีคนรู้เสียแล้ว รู้กันทั้งบ้านพร้อมคำสั่ง ‘จับ’ จากเจ้าของบ้านเสียด้วย ถ้าไม่เอาไปปล่อยแล้วจะเอาไปทำอะไร หล่อนไม่อยากจะนึกถึงข้อหลัง

วิมาลาพยักหน้าช้าๆ “จ้ะ แมว...น่ากลัวเหลือเกินวิฬาร์ มันทำท่าเหมือนจะกัดพี่”

ไม่มีทาง! คนเลี้ยงร่ำร้องอยู่ในใจ อย่างที่รักน่ะหรือจะกล้ากัดใคร มันไม่กัดใครหรอก เพราะมันออกจะเข้ากับคนง่าย พี่สาวของหล่อนเริ่มกลัวแล้วตีโพยตีพายไปเองเสียละมากกว่า ถึงอยากจะบอกไปแบบนั้นแต่ลำคอก็ตีบตันไปเสียหมด หนีไปนะที่รักจ๋า อย่ากลับมา หนีไปให้สุดหล้านั่นแหละไม่เป็นอะไร วิฬาร์ผิดเองที่ดึงดันจะพาเจ้ามาลำบากตรากตรำ ขอบตาหล่อนร้อนผะผ่าว

คำภาวนาของวิฬาร์ไม่เกิดผลนัก เพราะไม่นานบ่าวผู้ชายก็หิวเจ้าแมวสีสวาดติดมือมา มันครางหง่าวหน้าเศร้า เจ้าของมองมันตาละห้อยหา อยากจะโจนไปแย่งมากอด แต่ทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นตัวเองนั่นแหละจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ทีนี้ก็จะเดือดร้อนถึงแม่ที่เตือนนักหนาเรื่องความกลัวหมาแมวของพี่สาว หล่อนดื้อรั้นเองแล้วจะโทษใคร เจ้าคุณพ่อจะกล่าวหาไปถึงแม่ว่าเลี้ยงลูกสาวไม่ดี

“เอามันออกไปไกลๆ ทีเถอะนะคะเจ้าคุณพ่อ วิไม่ชอบเลย” วิมาลาลุกขึ้นมากอดแขนบิดาแน่น เจ้าคุณวิเศษมองตาเศร้าๆ กึ่งหวาดกลัวของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนก็หันไปพยักหน้า

“เอ็งจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเอ็ง ขออย่าให้มันกลับมาเพ่นพ่านในบ้านได้อีกเป็นพอ”

“ขอรับ” คนจับได้รับคำ หิ้วร่างนั้นออกไป

วิฬาร์สุดจะฝืนทนผวาลุกขึ้นตามไป แต่แล้วก็ชะงักฝีเท้าเอาไว้เพราะใครอีกคนก้าวเข้ามาด้านใน ไม่ต้องให้บอกเล่าอะไรซ้ำ ไม่ต้องรอให้ใครพูด หัตถ์หนาก็เอื้อมมาดึงเจ้าแมวน้อยออกจากอ้อมแขนคนเป็นบ่าว ที่รักเหมือนรู้งาน เพราะซุกหัวอยู่ในอ้อมพระกร ครางอ้อนจนน่าหมั่นไส้

“ขอโทษ พอดีจะเอาหนังสือมาคืนวิฬาร์” 

รับสั่งสั้น แล้วยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ หนังสือที่หล่อนจำไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของตั้งแต่เมื่อไร พวกบ่าวหมอบต่ำติดพื้น วิมาลาปาดน้ำตาแล้วย่อกาย เจ้าของบ้านก้มหัวให้แต่พองาม ขณะที่เจ้าของหนังสือยืนตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น รู้ตัวอีกทีก็ยามที่ทรงยัดหนังสือใส่มือนั่นแหละ

“แมวของฉันเอง เพื่อนฝากมาเลี้ยง ไม่ทันได้นึกว่าจะมาทำความรำคาญให้วิมาลาที่นี่” รับสั่งพลางเสด็จมาใกล้ กว่าจะรู้ก็ยืนอยู่ตรงหน้าวิมาลาเสียแล้ว หัตถ์หนาข้างที่ยังว่างเอื้อมไปแตะลำแขนกลมกลึงเบามือ ทรงปลอบโยนด้วยสุรเสียงหวานนุ่มนวล “ขอโทษแทนแมวของฉัน เธอคงให้อภัยมันนะวิมาลา”

ความกลัวอะไรต่อมิอะไรเหือดหายไปเกือบหมด วิมาลาแก้มแดงร้อนผะผ่าว พันเอกพระยาวิเศษสรลักษณ์เองก็จนด้วยคำพูด รับสั่งมาเสียขนาดนั้น แมวของหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ ใครหนอใครจะกล้าเอาไปต้มยำทำแกงที่ไหน นอกเสียจากส่ายหน้าตอบรับสั่งแผ่วเบาจะทำอะไรได้อีก

“ไม่เพคะ หม่อมฉันเพียงแต่กลัวเท่านั้นเพราะไม่คุ้นกับแมว”

สัมผัสต่อมาอ่อนโยน พระเนตรวาวระยับ ทรงรู้จักใช้เสน่ห์ขององค์เองให้เป็นประโยชน์ยิ่ง 

“ถึงอย่างนั้นฉันก็ขอโทษ เจ้าที่รักเองก็คงไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอตกใจหรอกวิมาลา ดูสิ...มันเชื่องจะตาย แต่ถ้าเธอกลัว เธอไม่ชอบ ฉันก็จะไม่ให้มันมายุ่งบ้านนี้อีก”

“มิได้เพคะ” วิมาลารีบปฏิเสธทันควัน แล้วก็เอียงหน้าหลบพระเนตรคมกล้าที่ทอดสบมา 

วิฬาร์ยืนนิ่งสบตากับบ่าวตัวเอง ชื่นชมในละครโรงใหญ่ของหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ อ้อ...นอกจากจะทรงเป็นคุณหมอท่านชาย ยังทรงเป็นนายละครชั้นเยี่ยม เจ้าที่รักอีกตัว มันครางหง่าวคลอเคลียทำหน้าซื่อตาใสในอ้อมพระกรเสียน่าสงสาร

“ยังไงก็ตาม ขอโทษอีกครั้ง หวังว่าจะไม่ถือโทษโกรธมันหรอกนะ”

“เพคะ” 

คนฟังรับสั่งแทบจะล่องลอย พระเนตรคมซึ่งมีรอยสงสารทอประกายวาววับระยับสวย โอษฐ์แย้มปลอบโยน สุรเสียงทุ้มหวานกังวานกว่าเสียงใด ทั้งหมดอันเป็นพระโฉมนั้นทำให้คนมองลืมกลัว ลืมโกรธทั้งหมดสิ้น เพราะได้ยินแต่เสียงแผ่วอยู่ข้างหู 

ชายพระเนตรงามตวัดมองคนที่ยืนดูทุกอย่างนิ่ง ประกายระยับที่วิมาลาประทับใจกลายเป็นประกายเฉิดฉันอย่างผู้ชนะที่ทำเอาวิฬาร์อยากจะแทรกแผ่นดินหนีอายไปเสีย

“เป็นพระกรุณาที่ทรงรับวิฬาร์มาส่ง” เจ้าคุณวิเศษขัดขึ้นมาเสียกลางลำ เพราะแลเห็น...โอษฐ์ขยับพูดกับบุตรีคนโต ทว่าเนตรคมระยับกลับตวัดมองบุตรีคนเล็ก หัวใจคนเป็นพ่อหวั่นไหวประหลาด 

เมื่อยืนเบื้องพักตร์ยามนั้นจึงพอให้ได้เทียบ เจ้าคุณวิเศษเตี้ยกว่านิดหน่อย ผิวคล้ำกร้านแดด คมเข้มขึงขัง แต่ยังสง่างามสมชายชาตรี ขณะที่อีกฝ่ายทรงส่ายพักตร์เพียงนิด วรกายสูงหนา พระฉวีขาวผ่องผุด นวลเป็นพระจันทร์คืนเพ็ญ หัตถ์หนาลูบหัวแมวตัวการราวกับทรงเป็นเจ้าของมันจริงๆ

“ไม่หรอก รถเจ้าคุณเสียอย่างนั้นฉันก็ไปส่ง จะไม่ไปรับ ให้หารถกลับเองก็กระไรอยู่ ดีเสียอีก เพราะเป็นข้ออ้างให้ฉันอู้งานได้กลับบ้านเร็ว” รับสั่งเรื่อย โอษฐ์แย้มยิ้ม “ทีนี้ถ้ารถเจ้าคุณเสียอีกจะฝากแม่คนเล็กไปกับฉันก็ได้ มหาวิทยาลัยไม่ไกลจากโรงพยาบาลนักหรอก”

“เท่านี้กระหม่อมก็เกรงพระทัยฝ่าบาทเหลือเกิน”

“เราบ้านใกล้เรือนเคียงกัน อีกประการคือวิมาลาทำขนมอร่อยๆ ทีไรก็ให้บ่าวในเรือนเอาไปถวายที่วังเรื่อย ค่าขนมเหล่านั้นวิมาลาไม่รับเป็นสตางค์ ฉันก็จะตอบแทนเป็นน้ำใจด้วยการช่วยน้องสาวของเธอนิดๆ หน่อย” ทรงหยอดคำหวานเสียคนที่ยืนก้มหน้าฟังแทบละลาย

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะกระหม่อม”

“เอาเถอะเจ้าคุณ ถือว่าหายกัน เพราะแมวของฉันก็มาทำให้วิมาลาเขาขวัญหายไปเหมือนกัน” ทรงก้มพักตร์ลงทอดพระเนตรคนที่ก้มหน้าซ่อนรอยเขินอาย วิมาลาคงความเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว ต่างกับอีกคนที่ยืนนิ่งแข็งทื่อ ไม่ได้ถอนสายบัวเลยสักน้อยนิดตั้งแต่เสด็จเข้ามา “ยังไงฉันขอตัวเอาแมวของฉันกลับก่อนก็แล้วกันนะ”

“กระหม่อม” เจ้าคุณวิเศษตอบรับเท่านั้น

พักตร์หวานแต้มรอยเยาะนิดๆ ขณะทรงชายพระเนตรผ่านร่างบางที่ยืนถือหนังสืออะไรไม่รู้ในมือนิ่ง ผ่านแล้วผ่านไป กว่าวิฬาร์จะได้สติก้าวฉับๆ ตามหลังไปแล้วส่งเสียงเรียกเกือบห้วน ดีแต่ห้ามตัวเองได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ตัวเองเป็นใคร

“ฝ่าบาทเพคะ” จะทรงได้ยินหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ แต่ความเร็วในการก้าวไม่ได้ลดลง นั่นแหละคนยืนมองถึงได้กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปดักหน้า “ฝ่าบาทเพคะ”

เพราะขวางอยู่กลางทางจึงเดินเลี่ยงมิได้ พักตร์คมเกือบหวานละมุนยังเรียบเฉย “มีธุระอะไรหรือ”

“เรื่องแมว...”

“อ้อ แมวของฉันมาทำให้พี่สาวเธอเดือดร้อน ขอโทษด้วยนะ แล้วเธอจะทำอะไรกับแมวของฉันล่ะวิฬาร์” แววพระเนตรคมกล้าสะท้อนประกายยั่วเย้า

“แมว...ที่รักของหม่อมฉัน”

“ที่รักเป็นแมวของฉัน ไม่เชื่อไปถามท่านเจ้าคุณวิเศษดู นี่แมวของใคร” 

นั่นแหละคนเดินตามมาถึงเงียบกริบ เถียงอะไรไม่ออกสักคำ เพราะถ้าไปบอกเจ้าคุณพ่อ เรื่องที่ว่าที่รักเป็นแมวของหล่อนจะพลอยความแตกไปด้วย ถึงเวลานั้นคงกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้แน่นอน

“ฝ่าบาทมีพระประสงค์อะไร”

“เรื่องไหน” ทรงตีพักตร์ซื่อไปตามเรื่อง

“ก็...เรื่องที่รัก จะทรงทำอะไรกับมัน” 

ถึงตอนนี้คนพูดก็ตาแดงๆ หล่อนเลี้ยงมาตั้งแต่มันเกิด เลี้ยงมาแล้วก็รักราวกับน้องในไส้ เวลานี้จะให้ใครที่ไหนไม่รู้มาพรากไป ถึงอย่างไรก็ทำใจลำบาก มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่าพรากแล้วจะไปตกระกำลำบากอย่างไร 

ยามที่ขอบตาแดงก่ำเหมือนน้ำตาจะหยด ยามนั้นเองที่หัตถ์หนาปล่อยให้เจ้าที่รักร่วงลงไปคลอเคลียแทบเท้าเจ้านายเก่า แล้วทรงวางหัตถ์อุ่นบนศีรษะ อุ่นจริง อุ่นเหลือเกิน วิฬาร์จึงเงยหน้าสบพระเนตรคมที่ฉายแววปรานี สุรเสียงทุ้มหวานกังวาน

“ฉันจะรับไปดูแลจนกว่าเธอจะแก้ปัญหาของเธอทางนี้ได้ อย่ากลัวเลยวิฬาร์ เพราะฉันเองก็เอ็นดูเจ้าที่รักอยู่ สัญญาว่าจะเลี้ยงดูอย่างดีให้เท่าที่เธอเคยทำ เธออยากจะไปเยี่ยมมันเมื่อไหร่ก็ได้ วังฉันกับบ้านเธออยู่แค่นี้” รับสั่งปลอบโยน

“หนังสือที่ฉันให้เป็นวรรณกรรมของอังกฤษ เอาไปเถอะ เห็นว่าเธอชอบอ่าน โรเมโอแอนด์จูเลียตของเชกสเปียร์ ฉบับนี้ยังไม่ได้แปล ถ้าอยากอ่านฉบับแปลของรัชกาลที่ ๖ ไปขอที่วังได้ เอาเถอะ ถือว่าฉันให้ไว้เป็นตัวประกันว่าจะไม่ทำให้เจ้าที่รักลำบาก” 

ยิ้มสร้างโลกเป็นแบบนี้ เพราะโลกมืดทึมของวิฬาร์กลับมาสดใสในตอนนั้นนี่เอง

“ทรงกรุณาหม่อมฉันกับเจ้าที่รักมาก” เป็นครั้งแรกที่วิฬาร์กล่าวจากใจจริง เจ้าที่รักยังคลอเคลียอยู่ชิดติดขา วิฬาร์ก้มลงลูบหัวลูกแมว น้ำตาหยด ทว่าริมฝีปากบางแย้มยิ้ม “ไปนะจ๊ะที่รักจ๋า ไปอยู่กับฝ่าบาทแล้วอย่าดื้อให้รำคาญพระทัย วิฬาร์สัญญาว่าจะไปเยี่ยมบ่อยๆ อย่ากลัว วิฬาร์ยังรักเจ้าอยู่เสมอนะ”

คราวนี้กลับมายืดตัวตรง ย่อกายลงต่ำถอนสายบัวลา งดงามชดช้อยจนพระเนตรคมวาวพราวระยับ หล่อนเองก็งามได้เมื่อยามอยากจะงาม กิริยาอย่างคนที่ผ่านการอบรมมาดียิ่ง ถอนสายบัวสุดฝ่าเท้า ก้มถวายอ่อนน้อม 

เจ้าของวรกายสูงเสด็จออกไป รับสั่งเรียกเพียงน้อยเจ้าที่รักก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย วิฬาร์มองตามแล้วปาดน้ำตาทิ้ง ก็พระทัยดีอยู่ไม่น้อย... แล้วก้มลงมองหนังสือในมือตัวเอง นี่ก็...ทรงรู้ได้อย่างไรว่าอ่านงานภาษาอังกฤษออก สำคัญคือรู้ได้อย่างไรว่าชอบวรรณกรรม

พอกลับเข้ามาข้างในความวุ่นวายก็ยุติลงไปนานแล้ว วิมาลาไม่มีรอยน้ำตาปรากฏ มีเพียงรอยยิ้มละมุนละไม เพราะความอุ่นจากหัตถ์ที่วางไว้บนไหล่ยังไม่จางกระจายหายไปที่ใด ความอบอุ่นจากหัตถ์นั้นยังคอยให้ระลึกถึงเสมอมา ผิวแก้มแดงซ่าน ส่วนเจ้าคุณวิเศษทิ้งร่างนั่งลงกับเก้าอี้ ปรารภขึ้นมา

“ดีที่เป็นแมวท่านชาย เกือบได้ฆ่าแกงกันเสียแล้ว”

คนฟังที่เดินเข้ามากอดหนังสือเล่มใหม่แน่น เกือบแล้ว ใช่...เกือบแล้วหากทรงเข้ามาช่วยไว้ไม่ทัน 

“วิฬาร์ไม่ทันนึกว่าคุณพี่วิจะกลัวแมวขนาดนี้” หล่อนพูดแล้วเดินมานั่งใกล้ๆ พี่สาว ไม่เคยเห็นใครจะเห็นสัตว์น่ารักอย่างนั้นแล้วร้องไห้ขนาดนี้เลยสักคน

“ตอนเด็กๆ พี่เคยเห็นเด็กถูกหมามัน...กัดน่ะ เลือดท่วมตัวทีเดียว มาทราบเอาอีกสองสามวันว่า...เสียแล้ว พี่ก็เลยกลัวพวกหมาแมวจับใจ วิฬาร์ว่าตลกใช่ไหม ทั้งที่คนอื่นว่ามันน่ารัก” เสียงหวานทอดอาลัย ยามนั้นเองน้องสาวถึงได้เข้าใจ

“ไม่หรอกค่ะ คนเราก็ต้องมีสิ่งที่กลัวกันทั้งนั้น ไปที่ศาลาไหมคะ วิฬาร์จะอ่านหนังสือเล่มใหม่ให้ฟัง วรรณกรรมดังของอังกฤษเลยนะคะ ชื่อโรเมโอแอนด์จูเลียต คุณพี่วิน่าจะชอบ”

เสียงเรียกปลอบโยนพอจะทำให้พี่สาวเงยหน้ายิ้มแย้ม เจ้าคุณวิเศษมองแล้วก็ยิ้ม อย่างน้อยก็เบาใจว่าลูกสาวทั้งสองจะไม่มีปัญหาเรื่องลูกเมียหลวงเมียรองให้ต้องรำคาญใจ วิฬาร์เป็นเด็กน่ารัก วิมาลาก็เห่อน้อง

“ไปเถอะไป เดี๋ยวพ่อให้คนจัดขนมไปให้ที่ศาลา ลืมๆ ไปเสียบ้างนะแม่วิ มันผ่านไปแล้ว”

นั่นแหละวิมาลากับวิฬาร์ถึงได้จูงมือกันออกไป เจ้าคุณวิเศษผ่อนลมหายใจ ท่านมีบุตรสาวสองคน คนหนึ่งเพียบพร้อมเป็นแม่ศรีเรือน งดงามเหมือนนางอัปสรสวรรค์ อีกคนก็ฉลาดเท่าทันคน น่ารักน่าทะนุถนอมน้อยเมื่อไร สองคนนี้เป็นพี่น้องรักกันได้จะดี แต่แล้วลมหายใจก็กระตุกยามนึกถึงใครอีกคน วิมาลาชอบคุณหมอท่านชายแน่ แต่ท่านล่ะ จะมองวิมาลาเป็นแบบใด แล้วยังพระเนตรที่ชายมองวิฬาร์นั่นอีก

อย่าเลยนะแม่แสน เธอช่วยฉันภาวนาทีว่าอย่าให้พี่น้องต้องมาแย่งผู้ชายกันเองเลย...

พันเอกพระยาวิเศษสรลักษณ์กู่ร้องไปถึงภรรยาหลวงผู้ลับไกล ทว่าคำร้องคงดังไปไม่ถึง ในกาลต่อมาจึงได้กลับกลายให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมา

วิฬาร์ว่าท่านชายทรงเป็นอย่างไร พี่สาวถามเมื่อออกมาอยู่กันเพียงสองต่อสองในศาลา วิฬาร์คล้ายสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะเก็บอาการสะดุ้งนั้นอย่างมิดชิด

“ก็...ทรงงาม พระทัยดี”

“ใช่ไหม” วิมาลาเหมือนล่องลอยในความฝัน “พี่เห็นพระองค์มาตั้งแต่เพิ่งทรงกลับมาจากเมืองฝรั่ง ทรงสง่างามเหลือเกินนะวิฬาร์ ใครๆ ก็ว่าในรุ่นนั้นทรงพระปรีชากว่าใครทั้งหมด ทรงจบแพทย์ด้วยคะแนนสูง สาวๆ ที่ไหนก็เฝ้าฝันถึงท่านกันทั้งนั้น”

“รวมถึงคุณพี่วิด้วยหรือเปล่าคะ” หล่อนดักทางเอาไว้ อาการเอียงอายอย่างนั้นเองที่ทำให้วิฬาร์มั่นใจ ใช่แน่...

“ขอร้องว่าอย่าบอกใครเลยนะวิฬาร์ พี่รู้ว่าไม่เหมาะสมนัก แต่พี่เองก็อยากจะให้วิฬาร์ช่วยบอกพี่เสียหน่อยว่าคนที่เรียนกันสูงๆ เขาคิดเห็นเป็นอย่างไรกัน น้องเคยอยู่กับแหม่มต่างชาติ อาหารที่เขากินเป็นอย่างไร เผื่อ...เผื่อพี่จะทำถวายท่านชายได้บ้าง”

ท่าทางเอาจริงเอาจังทำให้น้องสาวนิ่ง ไม่ใช่ไม่อยากช่วย แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรมากกว่า 

“เรื่องแบบนี้แต่ละคนคิดเห็นไม่เหมือนกันหรอกค่ะ น้องว่าคุณพี่วิทูลถามเอาตามตรงจะดีกว่า พระทัยดี น่าจะทรงตอบตามความเป็นจริง ส่วนอาหารฝรั่งนั้นไม่อร่อยเลยจนนิดเดียวค่ะ มีแต่แป้งกับเนื้อ หาผักไม่ใคร่จะเจอ ท่านเป็นหมอ คงไม่โปรดของแบบนั้นแน่ น้องว่าอาหารอย่างเราๆ นี่ก็ดีแล้วค่ะ”

คนเป็นพี่คลี่ยิ้ม “ดีจริง จะได้ไม่ต้องไปหาตำราฝรั่งมาหัดทำอาหาร ถ้าเป็นเรื่องอาหารพี่ก็มั่นใจว่าคงจะไม่แพ้รสมือใครง่ายๆ เพราะเคยรับสั่งชมว่าพี่รสมือเหมือนแม่ครัวในวัง วิฬาร์ว่าท่านชมจริงๆ ไหม รสมือแม่ครัวชาววังแสดงว่าต้องอร่อยมาก”

“คงจริงค่ะ เพราะรสมือคุณพี่วิอร่อยจริงๆ” ในใจร่ำร้องไปอีกอย่าง โอษฐ์หวาน...แค่พระเนตรชำเลืองมองพี่สาวหล่อนก็บอกชัด อะไรในพระทัยนั้นออกจะชัดเจน แล้วพี่สาวหล่อนก็ไม่ได้เสียหายตรงไหน กลับกัน ใครได้ไปเหมือนคว้านางแก้วไปครอง ตั้งแต่ชิมอาหารมา คุณพี่วิเป็นรองอยู่คนเดียวคือแม่...แม่ก็เป็นนางแก้ว เจ้าคุณวิเศษเคยกระซิบบอกลูกสาว

‘แม่ของเราเขาเป็นนางแก้วนะ แต่เขาเป็นแก้วที่สว่างได้ด้วยตัวเขาเอง พ่อถึงต้องปล่อยเขาให้สว่างในที่ของเขา ไม่เหมือนแม่แสน แม่แสนก็เป็นนางแก้ว แต่ต้องคอยประคองส่องแสงให้ แสงเลื่อมพรายสวยทั้งคู่ของเขานั่นแหละ’

นั่นคือคำเปรียบภรรยาทั้งสองของท่าน วิฬาร์ก็ออกจะชื่นชมแม่ แต่ก็อยากให้แม่หม่นแสงบ้าง อยากให้แม่มาให้เจ้าคุณพ่อประคองไว้เสียบ้าง เจ้าคุณพ่อเองก็หวังอย่างนั้น แต่ก็หวังในเรื่องที่ยากจะหวัง แม่เป็นดาวฤกษ์ที่รอแต่วันจะดับแสงเอง

“โรมันโอนี่เรื่องของอะไรนะ” เสียงพี่สาวดังทักอยู่ไกลๆ ดึงสติน้องสาวกลับมา

“ไม่ใช่โรมันโอค่ะ โรเมโอแอนด์จูเลียต เรื่องความรักของคนสองคนที่สองตระกูลไม่ถูกกัน ฝ่ายหนึ่งชื่อโรเมโอ อีกฝ่ายชื่อจูเลียต น้องรู้มาเท่านี้ ประเดี๋ยวเรามาอ่านด้วยกันดีไหมคะ” 

ยามนั้นเสียงหวานเสนาะหูจึงร่ายมนตร์สะกดคนฟังสองคนในต่างสถานที่

หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ไม่ทันได้ทรงนึกว่าหนังสือที่ถือติดไปอ่านแก้ง่วงจะได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างนี้ ความจริงคือทอดพระเนตรเห็นความวุ่นวาย จึงให้นายมหาดเล็กไปถามเอาความ พอได้เรื่องก็เลยรู้ เห็นจะต้องช่วย ยิ่งตอนเข้าไป คนที่เคยเจ้าแง่แสนงอนทำตาแดงเหมือนจะร้องไห้ พระทัยก็ไหววูบจนต้องทรงยื่นหัตถ์เข้าช่วย

ยามนี้เจ้าตัวก่อเรื่องครางหง่าวอยู่บนพระเพลาหนา ประทับเอนกายอยู่ที่ระเบียงห้องบรรทม ทรงลูบหัวเจ้าที่รักไปพลางคิดอะไรไปพลาง แต่แล้วเสียงหวานแว่วเสนาะหูของสองสตรีที่พูดคุยกันก็ลอยมาแว่วๆ ทรงจำได้แม่นยำว่าเสียงหนึ่งระรื่นสดใสเป็นของเจ้าของเก่าลูกแมวตัวนี้นี่เอง เจ้าที่รักได้ยินเสียงเจ้าของก็ร้องเหมียวๆ จะหา ต้องรีบใช้หัตถ์ปิดปาก โดนมันงับเบาๆ แต่ไม่เข้าเนื้อ

คุยอะไรกันจับความได้ไม่ชัดนัก แต่เสียงสำเนียงอ่านที่ดังแว่วลอยมากลับชัดเจน ทรงแย้มโอษฐ์ยิ้ม โอ้จูเลียตที่รัก รู้ไหมจูเลียตว่าโรเมโอคอยเฝ้าหาเจ้าอยู่ตรงนี้ ครานั้นโรเมโอได้แต่เฝ้ามองจูเลียตที่อยู่บนระเบียง วันนี้โรเมโอมองจูเลียตลงมาผ่านทางระเบียง ไม่ต้องปีนขึ้นมาหรอกจูเลียต เพราะโรเมโอจะลงไปหาเองเมื่อถึงยามเหมาะสม...

หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงพระสรวลในศอ ทรงลูบหัวเจ้าที่รักรอเวลา ไม่นานก็บรรทมไปทั้งอย่างนั้น บรรทมแล้วเก็บเอาภาพนั้นไปทรงฝันถึงแม่ลูกแมวน้อย ปล่อยให้แสงทองของยามเย็นทอดจับพักตร์ขาวนวลผุดผ่อง

กว่าจะเช้าไม่นานนัก ทว่าฝันนั้นหวานไหวชุ่มชื่นในหัวใจคนฝัน

หลายวันมาแล้วที่วิฬาร์ปล่อยให้ที่รักไปอยู่ที่วังน้ำค้างโดยไม่ได้ไปหา เนื่องด้วยการเรียนประการหนึ่ง และไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างใดไปที่นั่นอีกประการหนึ่ง ทว่าวันนี้เป็นหยุด อยากไปหา แต่ยังไม่รู้ต้องใช้ข้ออ้างอะไรจึงจะเหมาะสม ผู้หญิงไปหาผู้ชายถึงที่ ใครจะมองอย่างไรก็น่าเกลียด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ใจ เพราะย่ำสาย คนที่เอนกายอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาก็ถูกเรียกเข้าไปหา วิมาลากำลังดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าตัวเองอีกครั้ง

“จะไปไหนหรือคะ”

“ท่านชายให้นายมหาดเล็กมาเชิญพี่กับวิฬาร์ไปที่วัง รับสั่งว่าอยากให้เราเอาหนังสือที่ยืมไปมาคืน แล้วก็...ให้พี่...” คนพูดก้มหน้าอาย “ให้พี่เอาขนมที่ทำไว้ไปถวาย รับสั่งว่ากลิ่นขนมลอยหอมไปถึงวัง ไปเถอะวิฬาร์ ให้ทรงคอยนานจะไม่งาม” 

ว่าแล้วก็จูงมือน้องสาวเดินออกไป วิฬาร์ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าดีใจ อย่างน้อยเมื่อไปที่นั่นก็จะได้พบที่รัก ที่รักจ๋า วิฬาร์มาหาแล้ว...

พอไปถึงวังก็พบเจ้าของวรกายสูงหนาเดินดูดอกไม้อยู่ในสวน นายมหาดเล็กเชิญเสร็จก็หายวับไปอย่างคนรู้งาน ที่รักเดินคลอเคลียอยู่ใกล้ ทว่าพอพบว่าผู้ที่มาใหม่เป็นใครก็กระโจนเข้าหา วิฬาร์ย่อตัวรับมันไว้แทบไม่ทัน ขณะที่วิมาลาสะดุ้งผวาตกใจ หัตถ์หนาเอื้อมมารับถาดขนมไว้ก่อนมันจะร่วงหล่นพื้น พระกรเอื้อมโอบเอวบางเบาๆ รับสั่งสุรเสียงนุ่ม

“ระวังหน่อยวิมาลา ประเดี๋ยวขนมฉันหกหมดจะอดทาน”

คนฟังก้มหน้าอาย วิฬาร์เงยหน้าแล้วถึงเข้าใจ ทรงอยากพบพี่สาวหล่อนมากกว่า หล่อนเป็นเพียงข้ออ้างไม่ให้น่าเกลียดก็เท่านั้น คนนึกบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แต่ที่มากสุดในเวลานี้คือดีใจที่ได้พบที่รักอีกครั้ง มันครางหง่าวออดอ้อนออเซาะ สองมือตระกองกอดแนบอกอย่างแสนคิดถึง ลืมไปว่ามีสายตาพี่สาวคอยมอง

“แมวของฝ่าบาทท่าจะชอบน้องสาวหม่อมฉัน”

“เขาเป็นแมวเหมือนกันน่ะ” รับสั่งยั่วเย้า ทำเอาคนฟังเงยหน้าตวัดหางตาแสนงอน ทว่านั่นแหละที่ทรงปรารถนา ชอบแม่วิฬาร์ในมาดลูกแมวน้อยมากกว่าเด็กสาวตาแดงเศร้าๆ คนนั้นเป็นไหนๆ “เข้าข้างในเถอะ เดี๋ยวแดดออกจะร้อนกันเสียเปล่าๆ ฉันเองก็หิวขนมจะแย่”

พอเข้ามาข้างใน วิฬาร์ถึงได้เห็นความโอ่อ่าหรูหราของวังน้ำค้างชัดเจน ทุกส่วนสัดจัดแต่งให้งามสง่า ไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป เรียกว่าพอดิบพอดี แต่ให้ความรู้สึกหรูหราอย่างพอเหมาะ นี่หรือวัง สวยจริง...สวยสมกับเจ้าของวัง สวยสง่างามยิ่งในความพอเหมาะ

“ได้ถือหนังสือมาไหมวิฬาร์ วานช่วยเอาไปวางที่ห้องหนังสือที จะยืมเล่มอื่นไปอ่านเสียก็ได้นะ ในห้องหนังสือฉันยังมีอีกมาก จะให้นายมหาดเล็กเขานำไป” 

รับสั่งเหมือนพยายามกีดกัน วิฬาร์เกือบเบะปากอย่างรู้ทัน เดินอุ้มเจ้าแมวน้อย ถือหนังสือเรื่องที่ทรงให้ยืมอย่างไม่ทันตั้งตัวติดขึ้นไปด้วย นายมหาดเล็กเดินนำมาจนถึงหน้าประตูห้องใหญ่ พอเปิดเข้าไป คราวนี้อาการคนมองนิ่งกว่าครั้งแรกมาก

ห้องทรงพระอักษรหรือห้องสมุดนี่ หนังสือมันมากมายละลานตาไปหมด หนังสือในมือที่อ่านจบไปแล้ววางแหมะอยู่บนโต๊ะใกล้มือมากที่สุด ก่อนคนมองจะเดินอุ้มแมวน้อยวนไปรอบห้อง แวะตรงนั้นดูตรงนี้ อะไรต่อมิอะไรมันช่างน่าอ่านไปเสียหมด ห้องเจ้าคุณพ่อมีแต่ตำราอะไรไม่ทราบเยอะแยะไปหมด แต่ที่นี่มีตั้งแต่ตำราวิชาการจนถึงบทกวี มีหลายภาษาเสียด้วย ไทย อังกฤษ อีกอันน่าจะเป็นเยอรมัน เคยเห็นผ่านตาแต่ว่าอ่านไม่ออก

ในเมื่อไม่ประสงค์จะให้ลงไปรบกวน หล่อนก็จะขอเปิดทางให้พี่สาวกับอีกฝ่ายให้เต็มที่ เดินเลือกหยิบออกมาสักเล่มแล้วก็นั่งอ่านมันตรงนั้น ถึงเวลากลับเมื่อไรนายมหาดเล็กคนเดิมคงเข้ามาเรียก แล้ววิฬาร์ก็นั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างนั้น ไม่ได้ขยับไปไหน ปล่อยให้เป้าหมายแรกในการมาหานอนเอียงอิงซบอยู่บนตัก เก้าอี้ฝรั่งที่เรียกว่าโซฟานี่นุ่มดีเหลือเกิน เอนหลังอ่านแล้วไม่เมื่อยอย่างเก้าอี้บ้านเรา มิน่าเจ้าของห้องคงจะทรงพระอักษรได้ทั้งวันทั้งคืน

หล่อนอ่านเรื่อยไป เพลิดเพลินกับเรื่องราวในหนังสือเสียจนแทบไม่ได้ดูเวลา แต่แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูแว่วๆ รู้แน่ว่าหมดเวลาแล้ว ก้มลงมองหนังสืออีกสองสามเล่มที่ว่าจะอ่าน ถึงจะรับสั่งว่าให้ยืมได้ก็เถอะ หยิบติดมือไปเสียเล่มสองเล่มก็พอ จะได้หาโอกาสมาเยี่ยมเจ้าที่รักอีก

คิดอย่างนั้นแล้ววิฬาร์ก็ลุกขึ้นเดินเอาหนังสือไปสอดคืนไว้ที่เดิม หันหลังให้ประตู ได้ยินเสียงเปิดประตูแผ่วเบา คนคืนหนังสือตอบโดยไม่ได้หันมอง

“สักครู่นะจ๊ะ ประเดี๋ยวลงไป”

“จะเอาไปทั้งหมดที่หยิบมาก็ได้” 

สุรเสียงทุ้มหวานกังวานอยู่ด้านหลัง วิฬาร์สะดุ้งหันมอง แล้วผงะถอยไปชนตู้หนังสือ เพราะพักตร์สวยอยู่ใกล้จนเกือบได้กลิ่นลมหายพระทัยหอม คนอะไรก็ไม่รู้ลมหายใจยังหอม ผิวแก้มแดงร้อนเมื่อเจอสายพระเนตรยั่วเย้า 

“เอาไปทั้งหมดก็ได้ ฉันไม่ว่า”

“เอ่อ...หม่อมฉันเอาไปแค่เล่มเดียวก็พอเพคะ ไว้อ่านจบจะมาคืน”

ประกายในพระเนตรคมเจิดจ้า “จะหาข้ออ้างมาที่วังของฉันบ่อยๆ ว่าอย่างนั้นเถอะ ยืมทีละเล่มสองเล่มอย่างนี้ เธอคงได้มาที่วังของฉันทุกวันแน่วิฬาร์” 

เหมือนทรงเป็นผู้ชนะและดูถูกอยู่กลายๆ วิฬาร์เงยหน้าสู้สายพระเนตรนั้น เอ่ยเสียงหวานเกือบห้วนแต่ยังอ่อนอยู่มาก

“หม่อมฉันแค่กลัวอ่านไม่จบ”

“ไม่ใช่แค่ข้ออ้างแน่หรือ”

“ถ้าเป็นข้ออ้างคงจะเป็นหม่อมฉันมากกว่าที่ถูกใช้เป็นข้ออ้าง ให้คนบางคนได้เจอพี่สาวหม่อมฉัน” 

นั่นแหละ พูดอย่างที่คิดออกไป ฝ่ายที่ฟังทรงนิ่งไปแล้วก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ดีแต่ว่ากลั้นเอาไว้ได้ รับสั่งต่อมาจึงเข้าเรื่องที่ทรงเข้ามาหาถึงข้างใน

“ลงไปเถอะ วิมาลาเขารอเธออยู่” 

รับสั่งแล้วทอดพระเนตรร่างบางสะบัดหน้าเดินออกไป ทรงพระสรวลในศอเบาๆ มองเจ้าที่รักที่ร้องเหมียวๆ อาลัยเจ้านายของมันอยู่ในที...ไม่รู้เสียแล้วแม่ลูกแมวน้อย ไม่รู้เสียแล้วว่าใครเป็นข้ออ้างของใครกันแน่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น