บทที่ ๖

บทที่ ๖

               วิฬาร์นิ่งขึงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตวัดหางตามองพักตร์คมที่ซ่อนรอยยั่วเย้าอันเป็นกิริยาปกติให้ชัดเจนแก่สายตา สองมือกุมแน่นวางทาบไว้บนหน้าตัก แล้วก็เหลือบตามองพี่สาว วิมาลานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเหมือนกัน แล้วก็คล้ายกับจะเข้าใจรับสั่งนั้น

“นั่นสิ พี่นั่งดูวิฬาร์เต้นกับฝ่าบาทก่อนจะดีกว่า”

“เธอควรจะรีบลุกนะวิฬาร์ ก่อนที่เพลงนี้จะจบ ให้วิมาลาเขาดูว่าเวลาเต้นนั้นเต้นอย่างไรก่อน เขาจะได้เริ่มเรียนได้ง่ายขึ้น อย่าเสียเวลานักเลย” 

สุรเสียงทุ้มกังวานสำทับ ไม่เพียงไม่ขออนุญาต ยังทรงยื่นหัตถ์หนามาฉวยข้อมือบางให้ลุกขึ้นตามแรงดึง คนไม่ทันได้ตั้งตัวเซไปปะทะแผงอุระหนาแกร่ง ผิวแก้มแดงร้อน ไม่ทันได้ผละตัวออก หัตถ์หนาก็เอื้อมอ้อม พระกรแกร่งตวัดรัดเอวแล้วพาเดิน การเต้นเริ่มโดยหล่อนมิทันได้ตั้งตัว

“หม่อมฉันยังไม่พร้อม”

ทรงแย้มโอษฐ์คล้ายเยาะ “เสียใจด้วย การเต้นเริ่มแล้ว” 

แล้วก็ไม่ได้รับสั่งอะไรอีก ปล่อยให้จังหวะเพลงหวานแปลกหูดำเนินเรื่อยไป วิฬาร์ร้างวิชามานาน ในเวลาที่เรียนเต้นก็เรียนกับครูแหม่ม ไม่ได้เรียนกับผู้ชาย คุณจันทร์ผู้เป็นมารดายอมให้เพียงแหม่มคนเดียวเท่านั้นที่จะถูกเนื้อต้องตัวหล่อนในลักษณะนี้ได้ ทว่าฝ่ายที่ตวัดกอดรัดเอวหล่อนเสียแน่นกลับทำพักตร์ราวกับไม่รู้ร้อน

คนไร้สมาธิก้าวพลาดบ้าง หลงจังหวะบ้างก็ทรงพาให้รอดไปได้เสียทุกครั้ง วิมาลาไม่เคยเต้น ไม่รู้ว่าอาการหยุดบ้างบางครั้ง รวดเร็วบ้างบางคราวนั้น เป็นเพราะน้องสาวตัวเองพลาด ก็คิดเอาว่าเป็นไปตามจังหวะ สายตาจับจ้องสองร่างแน่วนิ่ง เผื่อว่ายามหล่อนออกไปทดลองเต้นบ้างจะได้ไม่ทำพลาดให้ขายหน้าตัวเอง

เพลงบรรเลง คนเต้นก็ลนลาน อยากจะผละออกไป แต่ยิ่งดันตัวออกเท่าไรก็ยิ่งโดนรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น จะโวยวายก็ใช่ที่ ได้แต่เก็บเงียบเอาไว้ แต่สีหน้าคนเต้นบึ้งไปแล้ว ทว่าฝ่ายที่อยู่เหนือกว่าทอดพระเนตรลงมา โปรดแววตาเง้างอน โปรดริมฝีปากบางที่เม้มแน่น โปรดปลายคางเชิดๆ อย่างไว้ที โปรดฝ่ามือนุ่มๆ แต่ไม่อ่อนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นยิ่งอีกฝ่ายทำท่าทางไม่พอใจมากเท่าไรก็ยิ่งพอพระทัย ทรงสนุกยามได้แกล้ง รักหรือ...ชอบหรือ...ประจบพูดไกลเกินไปก็เท่านั้น วิฬาร์ยังเป็นเด็ก แม้ในหมู่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนจะแต่งงานไปแล้วก็ตามเถอะ

“ควรจะมีสมาธิกับการเต้น”

“ทูลแล้วว่าหม่อมฉันเต้นไม่เก่ง” เสียงตอบง้ำพอๆ กับหน้านั่นแหละ แต่รับสั่งต่อมากลับมีแววขัน

“อย่างนั้นเห็นทีฉันจะต้องสอนเธอด้วยกระมังวิฬาร์”

“เกรงพระทัยอย่างยิ่งเพคะ”

“ฉันไม่อยากให้เธอไปทำให้เพื่อนฉันขายหน้าหรอกนะวิฬาร์” 

รับสั่งอย่างนั้น คนฟังเงยหน้ามองพักตร์คมเต็มสายตา ก่อนเพลงจะหยุดลง การเต้นไม่มีท่าจบหยุดลงเสียดื้อๆ อย่างนั้น แล้ววิฬาร์ก็ผละออกไป เดินไปนั่งข้างพี่สาว เจ้าของพักตร์ดุทรงยิ้มบางๆ ก่อนจะเลื่อนสายพระเนตรมาจับที่ผู้หญิงอีกคน 

“คราวนี้ตาเธอแล้ววิมาลา ลุกขึ้นมาเถอะ ไม่ต้องกลัว”

มิได้ทรงฉุดออกไปอย่างคนน้อง แต่ทรงยื่นหัตถ์หนาให้อีกฝ่ายวางมือลงบนหัตถ์อย่างนุ่มนวล อาการเดินออกไปเกือบเรียกกว่าประคอง เพลงใหม่ช้ากว่า หวานกว่าเพลงแรกมาก พระกรแกร่งตวัดรัดรอบเอวบางแต่เพียงเบาๆ วิฬาร์สะบัดหน้าเมินไปทางอื่น ทีกับหล่อนละรุนแรงนัก พอเป็นคนที่โปรดอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าอะไรดี 

ฝ่ายที่ทรงเต้นอยู่กลางห้องทอดพระเนตรแล้วทรงยิ้มนิดๆ ก่อนจะก้มลงทอดพระเนตรคนที่เอาแต่มองพื้น

“เงยหน้าเถอะวิมาลา เดี๋ยวจะได้เอง”

“หม่อมฉันกลัวเหยียบพระบาท”

“เธอไม่ได้ใส่รองเท้า เหยียบไปก็ไม่เจ็บหรอก ตัวเล็กเท่านี้น้ำหนักจะแค่ไหนกันเชียว อย่ากลัวเลย ความกลัวจะทำให้เธอกังวล แล้วก็จะทำให้เต้นไม่ได้เสียทีหนึ่ง”

สุรเสียงทุ้มนุ่ม กังวาน วิมาลาแก้มแดงหน้าร้อนผ่าว หัตถ์หนากระชับมือ ทรงพาก้าวไปตามจังหวะช้าหวานเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน คนเพิ่งหัดเต้นต้องคอยก้มลงมองเท้าที่ขยับต่อไปหลายครั้ง กลัวไปสารพัด ก้าวพลาดบ้าง ผิดบ้าง แต่เจ้าของวรกายหนาก็มิได้รับสั่งว่าอะไร นั่นแหละใจคนหัดเต้นจึงค่อยชื้น

“เป็นเร็ว อีกไม่นานเธอจะเก่ง” ทรงชม แล้วคนโดนชมก็แทบจะลอย

“หม่อมฉันยังต้องฝึกอีกมากทีเดียวเพคะ”

“ไม่ต้องรีบ ฝึกเพลงกับจังหวะพื้นฐานไปก่อน เพลงที่ยากๆ เอาไว้มีโอกาสเราค่อยมาฝึกกันคราวหลังก็ได้” รับสั่งอ่อนหวาน ช้อนพระเนตรมองคนเต้นด้วย วิมาลาสวย ยิ่งมองก็ยิ่งสวย เสียแต่ว่าความสวยนั้นไม่ได้สะกิดเข้าไปในพระทัยพระองค์ “คนที่สโมสรคงอิจฉาฉันกันน่าดู”

คนที่เพิ่งหัดเต้นสมาธิไม่ได้อยู่กับตัว วิมาลาแทบไม่ได้ยินรับสั่งด้วยซ้ำ หล่อนเอาแต่ก้มลงมองปลายเท้าว่าจะต้องก้าวไปทางใด จะเหยียบพระบาทหรือไม่ ฝ่ายที่เต้นจนชำนาญจึงเงยพักตร์ทอดพระเนตรคนที่ล้วงเอาหนังสือจากกระเป๋าตัวเองออกมานั่งเปิดอ่าน พลิกไปพลิกมาเหมือนฆ่าเวลา น่าเสียดายถ้าจะต้องปล่อยให้วิฬาร์ไปเต้นรำกับนายประจบคนเดียว ถึงจะไม่ได้เก่งกาจ แต่ก็อ่อนหวานระคนเข้มแข็ง ท่าเต้นของวิฬาร์มีจังหวะรุกและรับชัดเจน เต้นแล้วสนุก ขณะที่คนเพิ่งหัดเต้นในอ้อมพระกรเวลานี้เป็นแต่ฝ่ายรับ

ไม่นานเพลงนั้นก็จบลง วิมาลาเหนื่อยนิดๆ ก็เสด็จพาไปพัก พระองค์เองก็ประทับที่เก้าอี้ไม่ห่างออกไปนัก แต่ร่างบางที่เคยนั่งอ่านหนังสือหายไปเสียแล้ว ทิ้งไว้แต่หนังสือนั่นเอง วิมาลามองหาน้องสาวไม่เจอ นายมหาดเล็กคุกเข่านั่งรออยู่ริมประตูเห็นสายพระเนตรทอดมองมาก็เข้าใจ ทูลเบาๆ

“คุณวิฬาร์ออกไปหาเจ้าที่รักที่หลังวังกระหม่อม” เท่านั้นแล้วก็เงียบ เขารู้หน้าที่ของตนดีว่าควรวางตัวไว้ตรงไหนและวางตัวอย่างไร ผู้ที่ประทับจึงทรงยืดวรกายขึ้นแล้วหันมารับสั่งกับคนที่นั่งพัก

“เธอพักให้หายเหนื่อยก่อน ฉันจะแวะไปดูของในโรงครัว จะเลยไปตามน้องสาวเธอด้วย”

“หม่อมฉันตามเองเพคะ”

“ไม่ต้อง นั่งเถอะ ฉันจะเอาของไปเก็บอยู่แล้ว” รับสั่งแล้วก็ทรงคว้ากระเป๋าเสด็จหายออกไป

วิมาลามองจนร่างนั้นลับสายตา นายมหาดเล็กไม่ได้ขยับไปไหน ยังอยู่ในที่เดิม ท่านั่งเดิมของตัวเอง หล่อนก้มลงมองมือที่เมื่อครู่เพิ่งได้ประสาน รับเอาไออุ่นเกือบร้อนจากหัตถ์หนานั้น ดวงหน้ายังร้อนผ่าวแดงซ่าน หัวใจยังเต้นเร็วระรัว หล่อนไม่รู้หรอกว่าทรงชวนเพราะเมตตา ชวนเพราะอยากให้วิฬาร์ได้ไปงานกับอาจารย์ประจบ หรือชวนเพราะ...เหตุผลอื่น แต่เท่านี้วิมาลาก็ดีใจเกินจะกล่าวแล้ว

ไม่นานสาวใช้ของวังก็ยกถาดน้ำกับขนมมาวางให้ คนรับน้ำกล่าวคำขอบคุณอ่อนหวาน

“ฝ่าบาทล่ะจ๊ะ”

“เดี๋ยวเสด็จค่ะ รับสั่งให้คุณวิมาลาพักให้หายเหนื่อยก่อน” 

นางว่าเท่านั้นแล้วคลานออกไป หญิงสาวจิบน้ำ รอคอยเพื่อให้ได้อยู่ในอ้อมพระกรนั้นอีกครั้ง

ขณะที่ฝ่ายที่วิมาลาคิดถึงเสด็จอ้อมออกหลังวังไปทอดพระเนตรคนที่รวบกระโปรงตัวยาวย่อกายลงเล่นกับเจ้าลูกแมวตัวร้าย มันดิ้นขลุกขลัก ฟัดไปฟัดมา เสียงหัวเราะใสๆ กังวาน 

วิฬาร์มีความสุขเหลือเกินเมื่อได้เล่นกับแมวสุดที่รักของหล่อนอีกครั้ง แมวที่รักเสมือนน้อง แต่ต้องยกให้คนอื่นเอาไปเลี้ยง ความจริงถ้าไม่มีเจ้าที่รัก หล่อนจะไม่อยากเฉียดเข้ามาที่นี่เลย มาทีไรเป็นต้องโดนแกล้งร่ำไป ไม่แกล้งด้วยสายพระเนตรคมระยับก็ด้วยวาจาเชือดเฉือนอย่างกับมีด ทรงลับเองบ่อยๆ แน่ละ แต่ละคำที่รับสั่ง คนฟังเหมือนโดนกรีดเป็นริ้วไปทั้งตัว คนนึกก็ไม่ทันได้รู้ว่าจะโดนกรีดในอีกไม่นานนี้

“คนมีไม่คุย จะต้องมาคุยกับแมว” 

นั่นไง สุรเสียงทุ้มต่ำหยอกเย้า คนฟังสะดุ้งนิดๆ หุบยิ้มแทบไม่ทันขณะอีกฝ่ายเสด็จเข้ามาใกล้ เพราะย่อตัวอยู่ ยามยืนเคียงถึงได้ทรงสูง สูงสง่าเช่นนั้น 

“ฉันชักแปลกใจ ถ้าไม่มีเจ้าที่รักเสียหนึ่งตัว เธอจะยอมมาที่นี่ไหมวิฬาร์”

“ก็น่าจะทรงรู้” เสียงตอบเกือบห้วน หล่อนอุ้มที่รักไว้ในอ้อมแขนแล้วลุกขึ้นยืน ถอยออกมาสองสามก้าวไม่ให้ใกล้เกินไปนัก “หม่อมฉันจะกลับเข้าไปข้างในแล้ว ทำไมไม่ทรงสอนคุณพี่วิต่อเล่าเพคะ เห็นกำลังทรงพระสำราญ”

“อย่าประชดนักสิ” รับสั่งแล้วทรงพระสรวลในศอ

“ใครประชดเพคะ หม่อมฉันจะประชดทำไม” คนฟังเอียงคอมอง ก็หมั่นไส้อยู่หรอก แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาประชดประชันกันเสียหน่อย “ไม่ใช่เรื่อง”

“ก็เห็นทำท่าฮึดฮัดขัดใจ”

“อย่ารับสั่งเรื่อยเปื่อยนะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันทูลขอตัวเข้าไปข้างในจะดีกว่า”

“จะเอาไปแต่ตัวหรือวิฬาร์ อย่างอื่นจะทิ้งไว้ข้างนอกหรือไง ไหนๆ ก็จะไปแล้ว เอาไปให้หมดเถอะ” รับสั่งเย้า 

คนฟังตวัดหางตามอง ทั้งขำทั้งหมั่นไส้ ก็ทรงช่างคิดไปได้ คนบ้าอะไรจะเอาไปแต่ตัว เขาก็เอาไปหมดนั่นแหละ จะตัว จะแขน จะขา หรือหัว 

“เวลาเธอยิ้มน่าดูกว่าเวลาเธอทำหน้าเง้างอนมาก”

คนฟังสะดุ้ง หุบยิ้ม “หม่อมฉันไม่เคยทำหน้าเง้างอน ทำแบบนั้นแสดงว่าหม่อมฉันมีเรื่องให้งอน แต่นี่ไม่มี” 

ฝ่ายที่ทรงฟังขยับวรกายเข้าใกล้ หล่อนกระชับเจ้าที่รักแน่น ถอยห่างออกไปจนหลังติดต้นไม้ สายพระเนตรคมระยับนั่นต่างหากที่น่ากลัว จะทรงคิดแกล้งอะไรอีกหรือเปล่านะ แล้วก็ทรงยื่นพักตร์มาใกล้

“แน่ใจนะว่าไม่มีเรื่องให้งอน”

“หม่อมฉันจะไปงอนฝ่าบาทเรื่องอะไร”

“ก็ดี” 

รับสั่งแค่นั้นแล้วก็เสด็จกลับเข้าไปข้างใน ทิ้งไว้แต่เสียงหัวเราะแผ่วเบา วิฬาร์ทั้งหน้าร้อน ตัวร้อน ใจร้อน 

คนบ้า...บ้าอะไรก็ไม่รู้ รับสั่งได้อย่างไรว่าหล่อนงอน อย่างหล่อนน่ะหรือจะไปงอนใคร ยิ่งกับหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ด้วยยิ่งแล้วใหญ่

คนที่นึกอะไรไม่ออกเดินกลับเข้ามาด้านใน เห็นเจ้าของวรกายสูงประทับคุยกับพี่สาว หล่อนวางเจ้าที่รักลงแล้วก็เดินไปนั่งข้างๆ พี่สาว ทิ้งระยะห่างจากอีกฝ่ายพอสมควร ไม่ได้รับสั่งอะไรด้วยอีก เพียงทอดพระเนตรมาเป็นระยะ แล้วก็ทรงสอนคนที่เต้นรำไม่เป็นต่อไปอีกหลายเพลง กว่าจะได้กลับบ้านก็เย็นย่ำ ยังทรงอุตส่าห์เสด็จมาส่งถึงหน้าประตูวัง หล่อนกับวิมาลายกมือไหว้ลาอ่อนน้อม ปลอดโปร่งที่จะได้ออกไปเสียที

“พรุ่งนี้มาเร็วๆ นะวิมาลา ฉันจะรอ” รับสั่งทิ้งท้าย

คนฟังแทบจะลอยกลับเข้าไปในบ้าน ผ่านหน้าคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เข้าไปในห้องเฉย ไม่ได้ทักทายอย่างเคย วิฬาร์เสียอีกทิ้งกายลงนั่งแล้วผ่อนลมหายใจข้างๆ บิดา เจ้าคุณวิเศษมองบุตรสาวแล้วพับหนังสือพิมพ์ลงวางบนตัก

“เป็นยังไง”

“ยังไงอย่างไหนล่ะคะ ถ้าถามว่าสนุกไหม ลูกว่าก็คงสนุก เพราะไม่อย่างนั้นคุณพี่วิเธอคงไม่ลอยไปอย่างนั้นหรอกค่ะ แต่ถ้าถามว่าเบื่อไหม ลูกก็ว่าเบื่อเพราะเป็นแต่ผู้ดู” ความจริงหล่อนก็ออกจะดีใจที่ได้แต่ดู

“พ่อหมายถึงฝ่าบาท ทรงเป็นอย่างไรบ้างต่างหาก”

“เอ๊ะ!” ลูกสาวอุทานคำเดียวเบาๆ แล้วก็นิ่งไป “ก็ทำท่าจะโปรดคุณพี่วิของลูกมากอยู่นะคะ คนทางฝั่งเราก็เถอะ เจ้าคุณพ่อก็น่าจะดูออกว่าเธอคิดอย่างไร”

น่าแปลกที่สีหน้าเจ้าคุณวิเศษไม่ได้แช่มชื่นแม้ในยามที่บุตรสาวเอ่ยถึงเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ ท่านควรจะยินดีมิใช่หรือ เพราะหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงมีการงานมั่นคง ทรงพระปรีชา นิสัยส่วนพระองค์เท่าที่รู้จักกันมา แม้จะในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่วิฬาร์ก็พอจะทราบว่าหากตัดนิสัยที่โปรดแกล้งหล่อนบ่อยๆ ออกไปก็ทรงเป็นสุภาพบุรุษอย่างดีผู้หนึ่ง เรื่องทรัพย์สมบัติอะไรก็มากมาย พระเกียรติยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเหนือกว่าลูกชายพระน้ำพระยาหลายคนทีเดียว ถ้าวิมาลาตกลงปลงใจกับพระองค์คราวนี้จะได้เป็นถึงหม่อมวิมาลา ผู้หญิงจะอิจฉากันทั้งเมือง

“ทำไมเจ้าคุณพ่อทำหน้าแบบนั้นเล่าคะ ลูกคิดว่าจะดีใจ”

“ก็ทรงดี แต่...”

“บอกลูกได้ไหมคะ” 

หล่อนขยับเข้าใกล้ ดึงมือบิดาที่วางบนตักมากุม เจ้าคุณวิเศษพยายามคลายสีหน้ากังวล หันมายิ้มให้บุตรสาวคนเล็ก ก่อนจะยีหัวเบาๆ

“แม่เราเขาก็ทำแบบนี้เวลาพ่อทำหน้าไม่สบายใจ วิฬาร์เหมือนแม่มากรู้ไหมลูก เหมือนทั้งหน้าตา ท่าทาง นิสัย หรือแม้กระทั่งความคิด อย่าห่วงเลยวิฬาร์ลูกรัก จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก พ่อเพียงแต่ได้ข่าวอะไรมานิดหน่อยเท่านั้น แต่ข่าวก็คือข่าวอยู่นั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอกลูก”

“ค่ะ” 

รู้ว่าถามไปก็ไร้ประโยชน์ แต่วิฬาร์ไม่รู้ว่าข่าวลือที่บิดาได้รับมาในวันนั้นจะกลายเป็นความจริงในกาลต่อมา ข่าวลือที่เปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตหล่อนไปหลายอย่าง ทั้งความคิดและความเชื่อ หรือแม้กระทั่งการพรากเอาสิ่งสำคัญไปจากชีวิตของหล่อนตลอดกาล

วิมาลามาเรียนเต้นรำทุกวัน ขณะที่วิฬาร์ต้องพยายามต่อสู้กับข่าวลือหนาหูที่ว่าหล่อนมีรถคันหรูแล่นมารับถึงหน้าตึกทุกวัน ข่าวที่ว่าหล่อนจะไปเป็นคู่ควงออกงานกับอาจารย์ประจบที่สาวๆ หลายคนใฝ่ฝัน ข่าวที่ว่าหล่อนจะจับปลาสองมือคือทั้งอาจารย์ทั้งนายเลิศพงษ์ และอาจจะเป็นสองมือกับปลาสามตัว เพราะพ่วงเอาเจ้าของรถปริศนาที่เทียวมารับทุกเย็นด้วย

คนฟังเหนื่อยหน่ายหัวใจ แต่คำคนนินทาใครจะว่าอย่างไรหล่อนก็ไปทัดทานแก้ไขไม่ได้ แม้แต่เลิศพงษ์เองก็ยังมีอารมณ์ไขว้เขวไปเหมือนกัน แรกๆ เขาก็ปักใจเชื่อทุกเรื่อง แต่นานเข้าก็เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ ใครจะพูดถึงอาจารย์ประจบหรือเจ้าของรถคันนั้นให้เข้าหูไม่ได้ เป็นต้องพาลหาเรื่องเขาไปทั่ว นานวันผลร้ายก็ตกมาอยู่กับวิฬาร์เอง เพราะเลิศพงษ์ตามประกบหล่อนไม่ยอมห่างไปไหน

“เลิศอย่าตามเราอย่างนี้เลย”

“ทำไมเล่าวิฬาร์ หรือว่าวิฬาร์จะไปพบใครที่ให้เลิศพบด้วยไม่ได้ อาจารย์ประจบหรือว่าเจ้าของรถคันนั้น เจ้าคนนั้นใช่ไหม คนที่มาหาอาจารย์ประจบคนนั้นใช่ไหมวิฬาร์” 

เลิศพงษ์ซักไซ้ วิฬาร์นิ่ง ทว่าศจีแทรกขึ้นมากลางคัน หล่อนออกไปซื้อน้ำหน่อยเดียวเท่านั้น นายตัวปลิงนี่ก็ออกอาการหึงหน้ามืดตามัวเสียอีกแล้ว

“บ้าน่าเลิศ วิฬาร์เขาจะไปพบใครได้ นอกเสียจากรำคาญคนที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง เที่ยวตามเฝ้าเขาราวกับว่าวิฬาร์เขาเป็นนักโทษอย่างนั้นแหละ” หล่อนว่าเข้าให้ แล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียด้วยที่ออกปากต่อว่าเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้กระทบโสตประสาทอีกฝ่ายเลยสักนิด

“ยุ่งน่าศจี เธอมีอะไรจะไปทำก็ไปทำเถอะไป อย่ามาทำตัวน่ารำคาญแถวนี้”

“โอ๊ย นายต่างหากเล่านายเลิศ มีอะไรก็ไปทำไป๊ ไม่เห็นเหรอว่าวิฬาร์เขาลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว” 

หล่อนวางแก้วน้ำแล้วยื่นอีกแก้วให้วิฬาร์ที่ปั้นหน้าไม่ถูก เลิศพงษ์ตบโต๊ะดังปังแล้วชี้หน้าศจี เอ่ยเสียงเขียว

“หุบปากไปเลยนะยายศจี วิฬาร์เขายังไม่ได้พูดสักคำ ตัวนั่นแหละไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นสักเรื่องมันจะขาดใจตายหรือไง หรือทนเห็นคนอื่นเขามีความสุขไม่ได้ ยายผีเสื้อสมุทรไปตามพระอภัยที่อื่นไป๊” 

เลิศพงษ์ร้องบอก ศจีโกรธจนหน้าแดง ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนบ้าง

“ตัวละดีนักแหละ พ่อจรกาตามแต่นางบุษบา พ่อรูปงามนามเพราะ...พ่อจรกา”

ก่อนจะกลายเป็นศึกวรรณคดี วิฬาร์ฉุดแขนเพื่อนสองคนให้นั่งลงสงบจิตสงบใจเสียก่อน ศจีทิ้งกายหันไปทาง เลิศพงษ์หันไปอีกทาง คนนั่งตรงกลางเลยได้แต่ถอนหายใจ เหนื่อยกายเหนื่อยใจ แค่เรื่องจะรับมือเจ้าของวังน้ำค้างอย่างไรในแต่ละวันก็สาหัสแล้ว ยังต้องมาเจอศึกนี้อีก

“ขอละ อย่าทะเลาะกันได้ไหม คนอื่นเขามองกันหมดแล้ว”

“ก็ดูนายเลิศสิวิฬาร์ ทำตัวน่ารำคาญ ยังมีหน้ามาว่าคนอื่น” ศจีว่าเข้าให้ เลิศพงษ์หรือจะยอมอ่อนข้อ

“ยายศจีต่างหากที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง เลิศคุยกับวิฬาร์อยู่ดีๆ มีอย่างหรือทะลุขึ้นมากลางปล้องเสียอย่างนั้น แล้วยังมาทำปากดี เป็นผู้ชายนะเลิศจะต่อยให้ฟันร่วงทีเดียว ดีที่เป็นผู้หญิง”

“กลัวตายละย่ะ เก่งนักแต่กับผู้หญิงนี่ มาสิมา เข้ามาเลย” 

ศจีลุกขึ้นตั้งท่าจะท้าอีก วิฬาร์แทบลมจับ ต้องยืนขึ้นตรงกลางระหว่างสองคน ตวาดเสียงดังลั่น

“ถ้าไม่หยุดก็ไม่ต้องคุยกันทั้งสามคนนี่แหละ” 

นั่นเองจึงเงียบปากกันได้ทั้งสองคน เลิศพงษ์ทิ้งร่างลงก่อน สะบัดหน้าหันไปทาง ศจีทำตามบ้าง เมินหน้าไปเสียอีกทาง วิฬาร์อยากเอามือตีอกสักสองสามร้อยที เพื่อนหล่อนก็มีอยู่เท่านี้ มีแค่เลิศพงษ์กับศจี เกิดจะมาแตกสามัคคีกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง 

“ทะเลาะกันไม่เข้าเรื่องแท้ๆ เชียวนะเราสองคนน่ะ เราจะไปงานสโมสรกับอาจารย์ประจบจริง แต่ก็ไปเพราะอาจารย์ท่านไม่มีคู่ไป อีกอย่างเราไป พี่สาวเราก็ไปกับท่านชายด้วย ที่เด็จมารับนี่ท่านพาไปซ้อมเต้นรำกับพี่สาวของเราต่างหาก เพราะฉะนั้นอย่ามาเถียงกันด้วยเรื่องนี้เลย”

“ก็แล้วทำไมจะต้องเป็นวิฬาร์เล่า นิสิตาคนอื่นที่เต็มใจจะไปก็มี มายุ่งกับวิฬาร์ของเลิศทำไม”

คำถามของเพื่อนทำให้คนฟังเงียบ ก็นั่นแหละ แต่คิดในแง่ดีคือทรงให้อาจารย์ประจบกรุยทาง แล้วจะได้ทรงขอพาพี่วิมาลาของหล่อนไปงานได้ง่ายขึ้น พอคิดได้อย่างนี้คนคิดก็ยิ่งหงุดหงิดที่ต้องกลายเป็นตัวอ้างอยู่ร่ำไป 

“ท่านช่วยเพื่อนท่านน่ะ อย่าไปสนใจเลย ขอให้ทั้งสองคนเข้าใจไว้เพียงว่าเราไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปในเชิงชู้สาวเลย อีกอย่างอาจารย์ประจบเองก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเรามาก ท่านรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”

“ใช่ๆ อาจารย์น่ะรู้ แต่บางคนน่ะไม่รู้” ศจีอดแขวะไม่ได้ คนฟังหงุดหงิด แต่ก็ยังเก็บเงียบไม่ได้ว่าอะไร เพราะยังอยู่ในอารมณ์สบายใจ

“ขอให้วิฬาร์พูดจริงเถอะ เลิศจะเชื่อ จะเชื่อวิฬาร์ทุกอย่างเลย”

แล้วท้ายที่สุดเลิศพงษ์ก็กลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง ขณะที่แม่เสืออย่างศจียังขู่แง่งๆ อารมณ์เสียอยู่ร่ำไป ความจริงนายเลิศพงษ์คนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก แต่เป็นผู้ชายที่ออกจะขาดความเป็นผู้ชาย คือเที่ยวตามผู้หญิงเขาไปทั่ว แถมยังดูออกจะเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ ปากหรือก็ขวานผ่าซากสิ้นดี แต่พื้นเพนิสัยไม่ได้เลวร้าย เป็นคนปากร้ายใจดีคนหนึ่ง แต่ถ้าบ้าก็คงเอาไม่อยู่เหมือนกัน

“คงเพราะวิฬาร์น่ารักอย่างนี้ไง คนแถวนี้เขาถึงไอ้อิจฉาวิฬาร์ เพราะตัวไม่มีคนมอง ไม่มีคนมาสนใจ เห็นใครได้ดีกว่าสักหน่อยก็ทนดูไม่ค่อยได้ แต่เลิศไม่สนหรอก เลิศสนวิฬาร์คนเดียวพอ” 

ปากแขวะคนที่พยายามคิดถึงตัวเองในแง่ดี ศจีสลัดความดีทั้งปวงของเลิศพงษ์ทิ้งทันทีก่อนจะขบกราม ชี้หน้า

“นายเลิศ! ปากปีจอ!”

วิฬาร์แทบหมดแรง เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมาเหมือนถูกดูดพลังงานไปใช้จนหมด ดีเสียแต่ว่าวันงานนั้นไม่ใช่วันที่ต้องไปเรียน หญิงสาวเลยมีเวลาได้นอนพักเอาแรงก่อนอาจารย์จะขับรถมารับตอนเย็น แต่พอเที่ยงหน่อยก็โดนพี่สาวสุดที่รักลากไปแต่งตัว ความจริงวิฬาร์แทบไม่มีชุดออกงานเลยด้วยซ้ำ คิดว่าจะหาชุดอะไรสักชุดใส่ไป แต่พี่สาวก็ยื่นชุดสีขาวสวยมาให้

“เอามาจากไหนคะ”

“ท่านชายประทานให้จ้ะ สีฟ้านี่ของพี่ สีขาวนี่ของวิฬาร์ รับสั่งว่าต้องใส่ชุดนี้เท่านั้น พี่ว่าทรงช่างเลือกออก สีขาวเหมาะกับวิฬาร์ทีเดียว สีฟ้านี่พี่ก็ชอบ” 

อะไรก็ตามที่เป็นของประทานจากฝ่าบาทองค์นั้น วิฬาร์เชื่อว่าคนเป็นพี่ปลาบปลื้มหมดนั่นแหละ แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ก็คือชุดที่ว่านั้นสวยงามจริงๆ ชุดราตรีของวิมาลาเลยคลุมลงไปถึงข้อเท้าเข้ารูป เย็บริมด้วยลูกไม้ลายหวาน ขณะที่ของหล่อนเป็นสีพื้นขาวประดับช่อดอกไม้ผ้าเล็กๆ เป็นทางรอบเอว เข้ารูปช่วงบน แขนพองอย่างตุ๊กตา แต่ท่อนล่างยาวแค่เลยเข่ามาหน่อยเท่านั้น

หล่อนสวมแล้วก็ออกมาทำผม แค่ขยุ้มๆ มัดด้วยผ้าสีฟ้าอ่อน ดึงปลายมาปรกไว้ตรงไหล่ ขณะที่วิมาลาก็จัดผมสั้นของตัวเองให้เข้ารูป ผัดแป้งบางๆ แต้มสีปากเบาๆ สวยสดสง่าสมความงามที่มีอยู่ก่อนแล้ว เจ้าคุณวิเศษมองบุตรสาวสองคนเดินลงมาจากห้องแล้วอดชมไม่ได้

“สวย! สวยทั้งคู่เลย แม่วิสวยสง่าเป็นนางในวรรณคดีทีเดียว วิฬาร์ก็สวย”

“เหมือนพระเพื่อนพระแพงเลยนะเจ้าคะ” 

เย็นตาชื่นชม แต่คนเป็นบิดาสะดุ้ง ชมหรือนั่น ปากหนอปาก ชมได้อย่างไรว่าเป็นพระเพื่อนพระแพง 

สายตาดุของเจ้าของบ้านทำเอาเย็นตานั่งงงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่เข้าใจ ชมก็ผิดอย่างนั้นหรือ สองศรีพี่น้องงามจนลือเลื่อง งามเป็นพระเพื่อนพระแพงจะผิดอะไร

เสียงรถแล่นเข้ามาจอด รถสองคัน สองบุรุษรูปงาม ฝ่ายที่เสด็จนำเข้ามาด้านในแต่งองค์ด้วยสูทสากลสีขาวพิสุทธิ์ อีกคนสูงใหญ่คล้ายกันแต่งชุดสีครีมอ่อนสวยแบบเดียวกัน สองสง่า วิมาลากับวิฬาร์ยกมือไหว้ผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม สองบุรุษรับไหว้ มองสองสาวไม่วางตา 

ใครเลยจะกล้าปฏิเสธว่าวิมาลาในยามนี้สวยงามจับตา สวยกว่าผู้หญิงคนไหนที่ประจบเคยเจอ ก็น่าจะหมายรวมไปถึงหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ด้วย แต่น่าแปลกที่สายพระเนตรคมทอดมองคนสวยที่สุดเพียงผ่านๆ แล้วเลื่อนไปจับที่ร่างบางของคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง

“วันนี้เธอสวยนะวิมาลา” 

โอษฐ์ชมคน แต่สายพระเนตรทอดมองอีกคน ประจบส่ายหัวแล้วเดินเข้าไปไหว้เจ้าคุณวิเศษ

“ผมกับฝ่าบาทมารับตัวลูกสาวเจ้าคุณไป ไม่ดึกหรอกครับ แล้วจะนำมาคืนอย่างไม่ให้บุบสลาย” 

เจ้าของบ้านพยักหน้า เขาก็หันมาหาลูกศิษย์ตัวเองที่ก้มหน้าหลบตาอีกคนแล้วยื่นแขนให้ 

“มาเถอะวิฬาร์ จากนี้ไปคุณจะเป็นคู่ควงของผม ไม่ใช่อาจารย์กับลูกศิษย์”

“ค่ะ อาจารย์” หล่อนรับคำแล้วก็โดนดุ

“เรียกคุณประจบเถอะ อย่าเรียกอาจารย์เลย”

“ค่ะ คุณประจบ” 

หล่อนยิ้ม ยังรู้สึกเกรงอาจารย์อยู่บ้าง แต่เมื่ออนุญาตให้หล่อนเรียกด้วยชื่อแล้วก็ถือว่าวันนี้ละความเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ไว้สักวันหนึ่ง ทว่าการกระทำนั้นหรือจะรอดสายพระเนตรได้ ขนงกระตุกนิดๆ เพราะเริ่มรู้สึกว่าประจบจะทำเกินหน้าที่ไปสักหน่อย แต่ทรงยั้งโอษฐ์ไว้เพราะรู้ว่าทรงทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากส่งพระกรแกร่งให้วิมาลา สุรเสียงที่รับสั่งหวานยิ่งกว่าหวาน

“มาเถอะวิมาลา ฉันจะต้องรีบพานางอัปสรเข้างาน”

มีหรือวิมาลาจะไม่หลวมตัวล่องละลอยเพราะถ้อยคำเหล่านั้น ทรงทำไปเพราะอะไรไม่ทราบ อาจจะประชดประชันใครสักคนก็เป็นได้ ทว่ายิ่งทรงทำมากขึ้นเพียงไร หัวใจของวิมาลาก็ยิ่งถลำลึก ยามสอดแขนโอบจับพระกรแกร่ง หญิงสาวรู้สึกราวกับได้เป็นเจ้าของวรกายสูงเสียแล้ว 

วันหนึ่งวิจะควงฝ่าบาทแบบนี้ มิใช่ในฐานะของวิมาลา ลูกสาวพันเอกพระยาวิเศษสรลักษณ์ แต่จะเป็นในนามของหม่อมวิมาลา ดิเรกวัฒนาภา!


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น