บทที่ ๒

ศญาไม่เคยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่าราตรีสวัสดิ์ เธอหลงคิดไปว่าถ้อยคำจากเอกภพอาจเป็นข้อยกเว้น แต่ความจริงกลับไม่ใช่

กลางดึกเกือบครึ่งราตรี ไฟยังไม่มา ทั้งบ้านตกอยู่ในการหลับใหล โดยปล่อยให้สายฝนซัดสาดอย่างไร้ทีท่าสงบ จู่ๆ เสียงหวีดหวิวลากยาวก็จู่โจมหญิงสาวให้สะดุ้งตื่นจากฝัน รอบกายยังอยู่ในเงามืดดำกับแสงแลบแปลบปลาบ มันคือความน่ากลัว ซ้ำร้ายยังชวนไม่ไว้ใจจริงแท้ อาจเพราะพายุฝน เสียงประหลาด หรือบรรยากาศบ้านเก่าแก่ห่างไกล แวบแรกยามได้ยินทำให้ตำนานภูตผีที่เคยฟังผ่านๆ ผุดขึ้นมาโดยไม่อาจห้าม

เหมือนเด็กหลายคนที่พ่อแม่ไปทำงานหวังสร้างตัวในเมืองหลวง วัยเด็กของศญาเติบโตในบ้านของตายายที่ต่างจังหวัด จำได้ว่าละแวกเดียวกันมีหญิงชราชื่อยายพุ่มชอบถือไม้เท้ากับตะกร้าหมากมานั่งเคี้ยวแจ๊บๆ บนแคร่หน้าบ้าน คอยชวนใครต่อใครที่ผ่านทางคุยเรื่อยเปื่อย ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายหยุดฟังหรือไม่ ขอแค่ให้ได้พูด ขนาดตายังแอบเปรยฉายาให้แกว่ายายนกกระจิบ เพราะพูดมากเหลือเกิน นั่งพูดมันอยู่อย่างนั้น พูดราวกับมีเรื่องนับร้อยนับพันให้เล่า ศญาวัยเด็กคือเป้าหมายหลักของนางโดยไร้ทางหลบหลีกหรือโต้เถียงทัน

ทุกวัน สองถึงสามครั้ง เด็กหญิงจะถูกเสียงเจื้อยแจ้วพาเดินทางด้วยถ้อยคำ ตั้งแต่นิทานพื้นบ้าน ชาดก พญานาค ป่าหิมพานต์ หรือกระทั่งผีสาง ออกรสเสียจนเหมือนเคยเห็นมากับตัว เธอจำได้ดีถึงท่าทางเบิกตากว้าง ยู่ปากแดงชุ่มจากน้ำหมากให้เล็กจู๋ เพื่ออธิบายลักษณะเปรตด้วยภาษาถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์

‘ปากมันกะซำนี่ ถ่อรูเข็มน้อยๆ ยามร้องกะมีเสียง วี้ด...วี้ด...ถ่าขอส่วนบุญตอนกลางคืน’

วี้ด...วี้ด...ยายพุ่มกล่าวถึงเปรตไว้เช่นนั้น

วี้ด...หวีดหวิวเหมือนที่เธอได้ยินเวลานี้ไม่ผิด

...แต่เปรตโหยหวนในคืนฝนกระหน่ำเป็นความคิดที่น่ากลัวเกินไป ศญารีบตีแก้มดังแปะ เรียกสติหรืออะไรก็ตามที่สร้างความเข้มแข็งในจิตใจได้

กระนั้นเรื่องแย่คือบางคราวเรามักถูกความคิดของตนหลอกหลอน สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นกับเธอเช่นกัน อย่างเวลาเห็นเงาตะคุ่มตรงหางตาแล้วเผลอกลัวไปว่าถูกผีหลอก เมื่อลองหันไปดูจริงจัง กลับพบว่าเป็นเพียงเงาตู้หรือเสื้อผ้า ทั้งๆ ที่มั่นใจเช่นนั้น ครั้นหันหน้ามาเจอเงาหางตาจุดเดิมยังอดหวาดระแวงไม่ได้ ศญาไม่ใช่คนจิตใจเข้มแข็งโดยพื้นฐาน ตอนเด็กๆ นอกจากช่างจินตนาการแล้วออกจะขี้กลัวจนน่ารำคาญด้วยซ้ำ เพิ่งมาดีขึ้นตอนเรียนมหาวิทยาลัยนี่เอง ทั้งหมดที่สามารถทำได้จึงทุลักทุเล กอบโกยความกล้าเพื่อผล็อยหลับโดยไว

อาจเพราะรอบกายมืดมาก แสงเรืองๆ จากโถงทางเดินข้างนอกจึงส่องลอดช่องประตูให้เห็นชัดเจน ช่วยเรียกสติหญิงสาวให้เขม้นมองอย่างกระตือรือร้น มีคนถือตะเกียงเดินผ่านหน้าห้องเธอ และศญาจำได้ว่าเห็นแสงเช่นนี้ช่วงค่ำ เป็นเขาไม่ผิดแน่

“คุณเอก?”

หญิงสาวเอ่ยทักแทบทันทีที่ลุกไปแง้มประตู และเป็นดังคาด เจ้าของชื่อหันมาสบตาเธอโดยปราศจากอาการสะดุ้งตกใจ เอกภพเพียงชะงักเล็กน้อย ใบหน้าคมคายสะท้อนแสงตะเกียงเกิดมุมเงาคล้ายภาพวาดสมัยเก่า งดงามและเข้ากับเขาอย่างน่าประหลาด

“ผมนึกว่าคุณหลับแล้ว”

“ค่ะ แต่ได้ยินเสียงแปลกๆ เลยออกมาดู”

ศญาโกหก ความจริงคือหญิงสาวไม่เคยคิดเอาตัวไปก้าวก่ายเรื่องอื่นใดที่ไม่เกี่ยวกับงาน ไอ้ได้ยินเสียงจนจินตนาการว่าเป็นเปรตยิ่งไม่ต้องพูดถึง มิหนำซ้ำเธอแค่ออกมาเพราะกลัวผี การได้คุยกับคนเป็นๆ ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ไม่เช่นนั้นคงนั่งบริภาษอาการหวาดระแวงของตนจนไม่เป็นทำอะไรอยู่ที่เดิม

เหมือนศญาบังเอิญจับจุดร่วมถูก ร่างสูงชูตะเกียงพลางพยักหน้ารับ บ่งบอกว่านี่คือสาเหตุที่เขามาที่นี่เช่นกัน

“คุณก็ได้ยินเหมือนกันหรือ”

“รู้สึกจะมาจากห้องข้างๆ หรือเปล่าคะ” คนตัวเล็กกว่าพยายามทำใจกล้าอย่างเลยตามเลย

“ใช่ ห้องหนังสือ ผมกำลังจะไปดูพอดี”

“ถ้ายังไงให้ฉัน เอ่อ...”

หญิงสาวเปรยเพียงเท่านั้นแล้วผลุบเข้าไปในห้องนอน ก่อนออกมาพร้อมโทรศัพท์มือถือเปิดโหมดไฟฉาย

“ช่วยฉายไฟนะคะ”

คู่สนทนาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เขามองแสงสองสีส่องสว่างใส่กันจากทั้งคู่ แล้วไพล่อธิบายอีกประเด็นแทน “ลุงปั่นบอกว่าจะไปดูไฟสำรองตั้งแต่ตอนที่ผมบอกคุณ ป่านนี้ยังไม่ได้เรื่องอะไร สงสัยต้องรอไฟมาอย่างเดียวแล้ว...คุณอยู่ข้างหลังผมไว้”

ประโยคสุดท้ายเหลือเพียงเสียงกระซิบได้ยินกันสองคน เมื่อเอกภพค่อยๆ เปิดประตูห้องหนังสือพร้อมลมพลิ้วพรูปะทะทั้งสองอย่างรวดเร็ว ภายในกว้างกว่าที่ศญาคิด อย่างที่เขาบอก มันเป็นห้องหนังสือ ทึบทึมและเก่าขลังด้วยตู้ไม้สูงใหญ่ตั้งเรียงสี่แถว มีหนังสือหุ้มปกสีเข้มหม่นอัดแน่นทุกชั้น ยากจะมองออกว่าจัดหมวดหมู่เช่นไร สุดทางกึ่งกลางนั้น ใต้ประกายสายฟ้ายามราตรี เสียงหวีดหวิวครวญทักพวกเขาจากหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งแง้มไว้ ช่องของมันกว้างพอจะเรียกลมเจือไอฝนเข้ามาภายใน ทั้งหนาวเย็นและชื้นจนรู้สึกได้

“เสียงลมลอดหน้าต่างเหรอคะ”

นี่ไม่ใช่การชวนคุย ศญาเพียงอยากให้เขาตอกย้ำความมั่นใจ เพื่อลบจินตนาการฟุ้งซ่านอย่างเรื่องผีสางกลางพายุฝนของตน ขณะที่อีกฝ่ายคิดอ่านไกลกว่านั้น เอกภพไม่มีท่าทีโล่งใจ ยังขมวดคิ้วยามสาวเท้าเข้าใกล้เพื่อยกตะเกียงส่องสำรวจรอบกรอบหน้าต่าง

“แปลก ทำไมหน้าต่างห้องหนังสือเปิดค้างไว้ทั้งๆ ที่ฝนตกหนักขนาดนี้”

เพียงเท่านั้น คนที่เพิ่งหายกลัวผีหมาดๆ ก็ยิ้มค้าง เธอเข้าใจความหมายถ้อยคำเมื่อครู่ทันที

“หรือ...หรือจะมีโจรขึ้นมาคะ”

“ผมก็คิดเหมือนคุณ แต่ข้างนอกฝนตก แถมนี่ก็อยู่ชั้นสอง ถ้าโจรงัดเข้ามาอย่างน้อยน่าจะมีรอยเปียกบนพื้น”

ร่างบางขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ เรื่องผีน่ากลัวก็จริง แต่โจรขึ้นบ้านถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเอกภพพูดมาก็น่าคิด ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือของศญาส่องไม่พบสิ่งผิดสังเกตใดบนพื้น นอกจากหยาดพราวใต้หน้าต่างจากฝนที่สาดเข้ามา หากมีบุคคลที่สามภายในบ้านอัญเรศไพจิตดังข้อสันนิษฐาน ก็หมายความว่าเกิดการยกเค้าขึ้นข้างห้องเธอนี่เอง...

ศญาเหลือบมองคนข้างกาย หวังว่าเขาจะไม่สงสัยตน

“พวกคุณสองคนมาทำอะไรที่นี่”

เสียงทักจากหน้าประตูเรียกชายหญิงทั้งสองหันไปมองอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครรู้ว่าคุณปรงยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างสูงของชายชราถูกแสงจากเทียนที่เขาถือสาดสะท้อนเกิดเงาใหญ่เยื้องด้านหลัง มองคล้ายภาพทะมึน มัวหม่น และชวนไม่สบายใจจนยากจะอธิบาย

“ผมกับศญาได้ยินเสียงแปลกๆ เลยเข้ามาดู” หลานชายเจ้าของบ้านตอบกลับทันที เอกภพดูไม่ตกใจสักนิดกับการปรากฏตัวปุบปับนี้ แม้คุณปรงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม

“แปลกที่คุณว่าคืออะไร”

พอจะสังเกตได้ตั้งแต่ช่วงเย็นแล้วว่ามีรอยเว้าแหว่งบางอย่างในบรรยากาศระหว่างชายต่างวัยทั้งสอง เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ยังคงจ้องเขม็งและเจ้านายของเธอมองตอบไม่ลดละ ศญาจึงพาตัวเองเข้าร่วมบทสนทนาอย่างนุ่มนวล ประนีประนอมท่าทีที่แม้ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่คงดีกว่าปล่อยไว้

“เหมือนจะเป็นเสียงลมค่ะ เราเห็นหน้าต่างเปิดทิ้งไว้เลยกลัวว่าจะมีขโมยขึ้นบ้าน”

คราวนี้ชายชราเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง

“หน้าต่าง? บานนี้หรือ”

“วันนี้มีใครเข้ามาใช้ห้องหนังสือมั้ยครับ” เอกภพย้อนถาม

“มีแค่ผมเข้ามาหยิบหนังสือให้คุณท่านช่วงเช้า” คุณปรงหันไปตอบร่างสูงก่อนชะงัก ครุ่นคิดแวบหนึ่ง “อาจเป็นผมที่ลืมปิดเองก็ได้ ดึกมากแล้ว พวกคุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“แต่ผมว่าจะตรวจดูในห้องสักหน่อย อย่างน้อยถ้าเป็นขโมยอาจเห็นร่องรอยบ้าง”

“ไฟยังไม่มา ในนี้มืดเกินกว่าจะตรวจสอบอะไรได้ ไว้พรุ่งนี้เถอะ”

ผู้ดูแลความเป็นไปทั้งหมดของบ้านยืนยันคำเดิม แถมไม่เหลือช่องว่างให้ใครต่อรอง ด้วยการเดินเข้าไปปิดหน้าต่างฉับพลัน แล้วหันกลับมายืนนิ่งราวกับรอ...คงจะรอจริงๆ นั่นละ ความเงียบรอบกายบอกชัดหมดแล้วว่าคุณปรงต้องการให้ทั้งสองกลับห้องเดี๋ยวนี้ และจะไม่มีการสร้างความวุ่นวายใดภายในบ้านอัญเรศไพจิตอีก ตราบที่เขายังอยู่ที่นี่ ช่างเป็นสิทธิ์ขาดที่ทำให้หญิงสาวผู้ไม่ปรารถนามีเรื่องกับใครละล้าละลังโดยแท้

ศญาอยากอยู่ข้างเอกภพ อยากยืนหยัดขัดคำสั่งอย่างกล้าหาญ แต่ปัญหาคือเธอเกรงใจชายชราเช่นกัน คนที่ต้องอยู่ต่อและเผชิญหน้ากับผู้ดูแลบ้านทุกเมื่อเชื่อวันคือตัวเธอเอง การถูกชังตั้งแต่วันแรกคือสิ่งสุดท้ายที่หญิงสาวคาดหวังไว้ในฐานะผู้มาใหม่

กระนั้น เธอไม่คาดคิดเช่นกันว่าขณะต่อสู้กับจิตใจตนนั้น ร่างสูงข้างกันจะเหลือบมองมาชั่วครู่ ก่อนระบายลมหายใจ แล้วค่อยเอ่ยคำตัดตอนทุกอย่างให้จบลงอย่างง่ายดาย

“ถ้างั้นผมขอตัว”

ไม่ว่าเปล่า เอกภพยังเดินจากไปจริงๆ พร้อมแสงตะเกียงวูบไหว หันกลับมาจังหวะสุดท้ายก่อนพ้นห้องเพื่อสบตาศญา พยักหน้าเรียก แล้วพาเธอกลับไปส่งจุดเดิมที่ทั้งสองพบกันก่อนหน้านี้ เตือนหญิงสาวอย่าลืมล็อกห้อง ย้ำเรื่องเบอร์ฉุกเฉินหรือเรียกเขาได้หากเธอรู้สึกไม่ปลอดภัย และเอ่ยราตรีสวัสดิ์เป็นครั้งสุดท้ายของวัน

โดยไม่มีใครรู้เลยว่าหลังจากนั้น ชายชราผู้ไล่ทุกคนออกจากห้องหนังสือหันไปเปิดหน้าต่างบานเดิมอีกครั้ง เงยหน้ามองลมฝนอึงอลบนฟ้า ก่อนก้มมองขอบบัวปูนที่ยื่นบนกำแพงด้านนอก ไล่ไปถึงพื้นเปียกแฉะและแอ่งน้ำขัง มืดดำไกลออกไป ตลอดจนเงาโยกโยนของต้นไม้ไหวสั่นตามแรงลม ราวกับมีคนกระโดดเหยียบกิ่งก้านอย่างเริงร่า

พร้อมเสียงลมหวีดหวิวพัดเข้ามาอีกครั้ง...ก่อนปิดหน้าต่างดังเดิม

ฝนเมื่อคืนทิ้งไอเย็นฉ่ำในอากาศ เจือเป็นกลิ่นหมอกเช้า หรือแค่ความชื้นล่องลอย บางสิ่งบางอย่างของละอองน้ำบางเบาปลุกศญาแต่เช้าตรู่ สร้างความรู้สึกปลอดโปร่งจนเกือบหลงลืมไปชั่วขณะว่าตนมาทำงาน แทนที่จะเป็นการพักผ่อน กระนั้น ความคิดทั้งหมดก็ถูกจัดเรียงอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เปิดประตูออกมาแล้วบังเอิญสบตาคุณปรงในจังหวะสวนผ่าน ชายชราปรายตามองมาเล็กน้อย ไม่พูดอะไร การพบกันอันชวนอีหลักอีเหลื่อนี้ทำให้ศญาเข้าใจทันทีว่าเขาคงมีจุดหมายเป็นห้องหนังสือห้องเดิมที่มีประเด็นเมื่อคืน

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

หญิงสาวระบายยิ้มทักทาย เธอไม่คิดจะมีปัญหากับคุณปรง แม้แต่น้อยก็ไม่มี สุขสันติคือยอดปรารถนาของศญาเกินกว่าจะเมินเฉยคนตรงหน้าได้ แม้อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าเบาๆ จนแทบไม่ทันเห็น พลางเอ่ยเสียงเรียบ

“เธอตื่นเช้ากว่าที่คิด”

“ขอบคุณค่ะ” เธอขอบคุณทั้งที่ไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่คือคำชมหรือไม่ “งั้นซิน เอ่อ...ขออนุญาตไปดูคุณบุรีก่อนนะคะ”

“ปกติคุณบุรีจะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ฉันเป็นคนช่วยดูแลเรื่องส่วนตัวทั้งหมดเอง ส่วนเธอดูแลแค่ในฐานะพยาบาลและทำเท่าที่คุณท่านเรียกใช้ เข้าใจใช่มั้ย”

หมายความว่าไม่ให้เธอใกล้ชิดเจ้าของบ้านโดยไม่จำเป็น และห้ามล้ำเส้นเด็ดขาด

“...ค่ะ”

“ไปได้แล้ว คุณบุรีอยู่ที่ระเบียง อีกครึ่งชั่วโมงคนครัวถึงจะยกอาหารเช้าขึ้นมา”

คุณปรงไม่รอการขานรับหรือสานต่อบทสนทนาใด ชายชราผละไปทันที ปล่อยให้ศญายืนส่งอยู่ตรงนั้นพร้อมความคิด...ซึ่งได้แค่คิด ว่าแปลกน้อยเสียเมื่อไหร่ อยู่บ้านด้วยกันเพียงเท่านี้ จำนวนคนก็นับนิ้วได้ในมือเดียว แต่อีกฝ่ายกลับเรียกป้าเอี่ยมว่าคนครัวแทนที่จะเอ่ยชื่อ ราวกับว่าห่างเหินกันนักหนา

หรือไม่เช่นนั้น ก็คล้ายไม่มีใครในโลกที่เขาจะมอบความสนิทสนมให้เลย...แม้แต่คนเดียว

ระเบียงสำหรับนั่งยามเช้าของคุณบุรีอยู่บนชั้นสอง ติดฝั่งห้องนอนหลักและหันไปยังสวนกว้างหลังตึกใหญ่ หรือก็คือระเบียงที่ศญาเผลอเหม่อมองสายฝนตอนเกิดความวุ่นวายเมื่อวานนั่นเอง

แสงแดดยังไม่ประกาศการมีอยู่ของมันอย่างแรงกล้า นกก็เพิ่งส่งเสียงทักทายหลังผ่านคืนพายุ กระนั้น หญิงสาวรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายชายชราช่างดูเรืองรอง สงบนิ่ง และมีสันติ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในที่ทางอันสงบของมัน ดั่งการมีอยู่ของความจริง คุณบุรีนั่งบนเก้าอี้หวายบุนวมนุ่มหนา ดูแจ่มใสเหมือนคนจิตใจดีที่กำลังพักผ่อน ดวงตาเห็นเส้นชั้นชัดเจนทอดมองเบื้องหน้า กะพริบเชื่องช้าบางขณะ เรือนผมแซมเส้นขาวถูกหวีเรียบร้อย นั่นยิ่งเสริมให้เขาดูอ่อนโยนสะอาดสะอ้าน มิหนำซ้ำผิวหนังแห่งอายุก็ไม่อาจกลบความรูปงามตั้งแต่ครั้งอดีตของชายชราลงแม้แต่น้อย ศญาได้บทสรุปแทบทันทีว่าคุณบุรีเป็นคนหล่อ...ถึงขั้นหล่อมาก เอกภพเองคงได้รับมรดกนี้มาจากปู่ของเขาเช่นกัน

อาจเพราะลักษณะอันชวนเข้าถึงง่ายนี่เอง เมื่อเทียบกับคุณปรงผู้ถือเนื้อถือตัวแล้ว ทั้งสองกลับคล้ายนายบ่าวที่สลับบทบาทกันชัดเจน ออกจะประดักประเดิดไปบ้าง สิ่งนี้ทำให้ฐานะเจ้าของบ้านดูครุมเครือในสายตาคนนอกอย่างศญา เธอคิดเช่นนั้นตอนชายชราหันมาพอดี ก่อนพยักหน้าทักเบาๆ

“ซินใช่มั้ย เมื่อคืนหลับสบายดีหรือเปล่า”

“ค่ะ”

ร่างบางรีบสาวเท้าไปใกล้อีกฝ่าย กลิ่นหอมบางอย่างฟุ้งผ่านวูบหนึ่ง อ่อนจางคล้ายไม่มี เหลือบมองโต๊ะข้างเก้าอี้เห็นเพียงหนังสือเล่มหนึ่ง...คนเถื่อน โดยวอลแตร์ หุ้มปกผ้าสีกรมท่าและเขียนชื่อลายมือตัวบรรจง

“ดีแล้ว ขาดเหลืออะไรก็บอกปรงเขา” ชายชรากล่าวพร้อมสายลมอีกระลอกโชยมาระเบียงพอดี “คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลัง”

“ค่ะ”

ศญากล่าวรับ ผินหน้าตามทิศที่เก้าอี้หันไป เพิ่งสังเกตว่าถัดจากสวนกว้างมีบึงบัวขนาดใหญ่ ใหญ่เสียจนกินอาณาเขตไกลจดแนวต้นไม้และขอบรั้วสุดสายตา คงเพราะยังเช้า กลีบสีขาวสลับชมพูอ่อนระดะระดาเหล่านั้นจึงยังไม่สะพรั่งเต็มที่ หากแย้มรอยผลิราวกับเจ้าสาวเอียงอายในห้องหอ แล้วคงเป็นกลิ่นหอมของดอกบัวนี่เองที่รวยรินมากับริ้วลมจาง เบาหวิว อ่อนหวาน บางจังหวะที่พระพายเดินทางผ่านเวิ้งกว้าง ก้านใบเหล่านั้นโยกไหวเบาๆ เหมือนกระซิบกระซาบกัน...ราวกับพูดเรื่องบางอย่างที่มีแต่พวกมันเข้าใจ

เพราะบึงน้ำมีขนาดใหญ่มาก ศญาจึงสัมผัสได้ถึงความเย็น...ออกจะหนาว พลันนึกได้ประเดี๋ยวนั้นว่าจังหวะที่ฝนมืดฟ้ามัวดินเมื่อวาน บึงตรงหน้านี่เองที่ปรากฏเงาพร่าเลือนคล้ายคนยืนโงนเงน วันนี้เมื่อพินิจอีกครั้งค่อยเข้าใจว่าคงเป็นใบบัวใหญ่ชูสูงเหนือน้ำสักก้านกระมัง

“มองอะไร บึงหรือ”

เสียงทุ้มจากผู้อาวุโสเรียกสติหญิงสาวกลับมาอีกครั้ง ศญายิ้มรับ ออกจะขัดเขินเล็กน้อย

“ค่ะ เมื่อวานฝนตกหนักเลยไม่ทันเห็นว่ามีบึงบัวด้วย”

“บึงบัว มีมานานตั้งแต่สมัยฉันยังเด็ก”

“ดอกบัวเยอะมากเลยค่ะ ขนาดยืนตรงนี้ยังรู้สึกเหมือนได้กลิ่นบัวจางๆ”

“ใช่ กลิ่นบัว...จะว่าไปบัวในแจกันเมื่อวานก็เหี่ยวแล้ว เธอช่วยลงไปเด็ดมาให้ฉันสักดอกได้มั้ย เอาดอกที่ยังไม่บานเต็มที่ แบบนั้นถึงหอม...อยู่ได้นาน”

คุณบุรีคงหมายถึงแจกันข้างเตียงในห้องนอนที่เธอเห็นเมื่อวาน แต่ด้วยความสัตย์จริง ศญาไม่คิดจะลงไปบริเวณบึงกว้างสักนิด หนึ่งละ คือตนว่ายน้ำไม่แข็ง อีกประการคือเธอรู้สึกประหลาดกับที่แห่งนั้น จะว่าเป็นผลพวงจากจินตนาการพิลึกพิลั่นแรกพบเมื่อวานก็ได้ กระนั้น ด้วยคำสั่งอันหมดจดเกลี้ยงเกลาของชายชรา เหตุผลทั้งหลายก็จุกตันอยู่ตรงลำคอและถูกกลืนกลับง่ายดาย เพื่อสุดท้ายจะแค่รับคำแล้วผละออกไป

ใครจะเชื่อว่างานแรกในฐานะพยาบาลดูแลผู้สูงอายุของศญาจะเป็นการลงไปเก็บบัวกันล่ะ ตัวเธอเองยังนึกไม่ถึง แต่เอาเถอะ บัวในบึงกว้างนั่นกลิ่นหอมจริงๆ นั่นละ ขนาดอยู่บนระเบียงชั้นสองลมยังพัดมาถึงได้

...หอมกำจรกำจายทั่วบ้านอัญเรศไพจิตเลยทีเดียว

คล้ายว่าหมอกเช้ายังหลงเหลือร่องรอย หรืออาจเพราะฝนเมื่อคืน หรือเป็นพื้นที่ใกล้ภูเขา หรือแค่ไอที่ล่องเลียบเหนือแผ่นน้ำ ตอนที่ศญาลัดเลาะกอดาหลาแคระและเลี้ยวข้ามแนวพลับพลึงแก่จนถึงบึงกว้าง รอบกายเบื้องหน้าดูเลือนรางราวถูกห่มคลุมใต้รอยผ้าบางเบา เย็นเยียบด้วยไอชื้นฉ่ำชวนเหน็บหนาวฉับพลัน เหมือนตอนอยู่บนระเบียงก่อนหน้านี้ กลิ่นบัวหอมเข้มข้นจริงดังคิด ในความหวานละมุนมีกลิ่นขมจางๆ ติดปลาย อบอวลชวนหวนไห้จนหญิงสาวเผลอกอดตัวเองไว้หลวมๆ ขณะก้าวไปยืนริมน้ำ ใบหญ้าเฉอะแฉะป้ายรอยโคลนไปทั่วรองเท้า แล้วสายลมก็พัดเข้ามาอีกครั้ง ดอกบัวทั่วเวิ้งกว้างโยกเอนไปมา กระซิบกระซาบบอกเรื่องราวแก่กันและกันเป็นทอดๆ ถึงผู้มาเยือน พริบตาก้านบัวนับร้อยก็ขยับไหวไปจดท้ายบึง พลิ้วลมลับหายในทิวไม้ทึบทะมึน

ศญาตั้งใจว่าจะตัดดอกใกล้ที่สุด ตรงไหนก็ได้ที่เอื้อมถึง แต่บัวจะผุดพ้นได้ต้องอาศัยผิวน้ำ หลังจากละล้าละลังกะระยะยื่นมือคว้า และเห็นแต่ความล้มเหลวอยู่ข้างหน้า สุดท้ายหญิงสาวจำต้องยืนชั่งใจอยู่ริมบึง เธอไม่อยากก้าวลงน้ำเวลานี้ แต่ถ้าให้ยืนรวบรวมความกล้าอีกนิดอาจทำได้ ถ้าการเก็บบัวแค่นี้เป็นปัญหาเห็นทีจะอยู่ยากเกินการ

กลิ่นหอมโศกโชยมาอีกครั้ง เจือจางราวขดม้วนโดยปราศจากลมนำพา ก่อนบึงเบื้องหน้าจะปรากฏระลอกกระเพื่อมไหว คล้ายการเดินทางของบางอย่างจากด้านใต้...ซึ่งแค่คล้ายเท่านั้น เมื่อมองลงไปกลับพบเพียงสายบัวโยงใยเกี่ยวพันกัน สุดท้ายแล้วคงเป็นแค่ลมเหมือนเดิมที่สร้างการเคลื่อนไหวบนผิวน้ำได้เพียงนี้ เธอคงดูผิดไป

จากครุ่นคิดเป็นจดจ้อง และจากจดจ้องกลายเป็นเหม่อลอย เพียงเสี้ยววินาทีที่ศญาเผลอสติ ยามแดดเช้าเริ่มโปรยแสงตกกระทบผิวลื่นของบึง บางสิ่งก็ประสานสายตากับเธอเข้าพอดีราวจับวาง

...มองตรงมาจากน้ำเบื้องหน้า ถลึงตา ฉีกยิ้มกว้างด้วยรูปร่างมนุษย์อันสมบูรณ์!

“ว้าย!”

ศญาก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ หัวใจกระตุกวูบลึกถึงกลางอก และเกือบชนใครอีกคนเยื้องกัน พร้อมตระหนักตอนนั้นว่าใบหน้าเมื่อครู่เป็นเพียงเงาสะท้อนของอีกฝ่าย มิหนำซ้ำความตกใจยังทำให้เธอต้องควานหาชื่อเขาจากความทรงจำครู่สั้นๆ ท่ามกลางอารมณ์กระจัดกระจาย

“...ขอโทษค่ะ เอ่อ...คุณลุงปั่น”

เจ้าของชื่อยังคงยิ้มด้วยดวงตาเบิกกว้างแทบไม่กะพริบ ลุงปั่นเป็นชายร่างผอมท่าทางคล่องแคล่ว ผิวไหม้แดดเช่นคนทำงานกลางแจ้ง แล้วศญาเพิ่งสังเกตทีหลังว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถลึงตาใส่เธอ ทว่าดวงตาชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นเช่นนั้นโดยธรรมชาติ คือลึก โปน และดูดุตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้กระมังเขาจึงฉีกยิ้มกว้างอยู่เสมอ คงเพื่อกลบแววสร้างอริจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ชวนเข้าใจผิดนั่นเอง

ศญาจำได้ว่าลุงปั่นเป็นสามีป้าเอี่ยม จึงพอจะตีขลุมได้ว่าหญิงคนครัวคงบอกเรื่องของตนให้อีกฝ่ายฟังแล้ว ดังนั้นแม้ไม่ได้แนะนำตัวเป็นทางการ ลุงปั่นก็เริ่มบทสนทนาด้วยท่าทีเป็นมิตร

“มาทำอะไรแถวนี้ครับคุณพยาบาล”

“พอดีคุณบุรีให้มาเก็บดอกบัวค่ะ”

“อ้อ เรื่องแค่นี้คุณบอกลุงก็ได้ ปกติคุณปรงจะสั่งให้ลุงเด็ดบัวขึ้นไปให้ที่ตึกใหญ่ประจำอยู่แล้ว พอดอกเหี่ยวก็เก็บขึ้นไปเปลี่ยนใหม่”

ไม่ว่าเปล่า คนพูดยังก้าวลงน้ำอย่างไม่ลังเล ลุยโคลนเหนียวเหนอะจนเป็นรอยเปื้อนดำเต็มสองขา ก่อนตัดดอกบัวอวดกลีบชูก้านดูเย่อหยิ่งดอกหนึ่งขาดในฉับเดียว ใยขาวยืดยื้อจากตัวก้านแล้วขาดปลิวเหมือนเส้นด้ายลอยละลิ่วยามลุงปั่นเดินกลับมาพร้อมประโยคสุดท้าย

“ขาดไม่ได้หรอกของแบบนี้...คุณท่านชอบดอกบัว”

หญิงสาวรับดอกไม้ก้านยาวมาถือไว้อย่างทะนุถนอม กระนั้นยังอดก้มดมกลิ่นไม่ได้

“หอมดีนะคะ ยิ่งมาดูใกล้ๆ ยิ่งหอม”

“ว่ากันว่าคุณท่านปลูกเองกับมือเลยนะ บัวพวกนี้น่ะ”

เพราะคำพูดนั้นเอง ศญาจึงผินหน้าไปมองบึงกว้างอีกครั้ง สีขาวเหลือบเขียวของการผลิบานและแก่เข้มของใบแต้มแผ่นน้ำให้ละลานตาด้วยสัญญาณแห่งชีวิต สะพรั่งงาม อ่อนหวาน ยังกรุ่นกลิ่นหอมละล่องไกลราวผิวกายของเหล่านางในวรรณคดี อย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าต้องใช้แรงใจมากเพียงใด กว่าจะปลูกบัวให้งอกงามถึงเพียงนี้ได้

คล้ายเห็นว่าหญิงสาวสนใจสถานที่อันเกี่ยวข้องกับงานของตน คนสวนเพียงหนึ่งเดียวของบ้านอัญเรศไพจิตจึงมีใจอธิบายต่ออย่างกระตือรือร้น

“เท่าที่ได้ยินมาน่ะนะ ลุงไม่ได้เห็นเองหรอก ตอนมาทำงานแรกๆ บัวก็บานเต็มบึงแล้ว หรือถ้าไม่ใช่คุณท่านก็คงเป็นคุณปรง รายหลังนั้นยิ่งชอบเดินลงมาดูบัวประจำ”

เพราะได้ยินชื่อที่ไม่คาดคิด คนฟังจึงอดทวนถามไม่ได้

“คุณปรงน่ะเหรอคะ”

ลุงปั่นพยักหน้ารับทั้งที่ดวงตายังเบิกโพลงและรอยยิ้มฉีกกว้าง ขาสองข้างเปรอะโคลนดำ ทิ้งรอยเท้าลากยาวมาจากบึง “คุณปรงนั่นแหละตัวดี หวงบัวในสระอย่างกับอะไร ถ้าไม่ได้เก็บไปใส่แจกันให้คุณท่านก็อย่าหวังจะเอาไปทำอย่างอื่นเลย นี่ถ้าคุณพยาบาลไม่บอกว่าคุณท่านสั่งให้มาเอา ลุงก็ไม่กล้าลงไปเก็บหรอก”

แวบหนึ่งนั้น ศญาคล้ายไม่สบายใจกับคำพูดเมื่อครู่อย่างยากอธิบาย เธอคิดว่าควรหยุดความอยากรู้อยากเห็นไว้เพียงเท่านี้ดีกว่า เมื่อมองด้วยหางตาก็ตระหนักว่า ฝั่งตึกใหญ่ ณ ระเบียงที่ตนเพิ่งจากมา ใต้เงาบดบังของหลังคาซึ่งไม้เลื้อยเกี่ยวกระหวัดจนเขียวครึ้มยังคงเป็นคุณบุรีนั่งอยู่ตรงนั้น...เฝ้ามองทุกความเป็นไปบริเวณบึงกว้างตลอดเวลา

ราวกับรอให้บัวดอกใหม่ไปประดับแจกันเสียที

ศญาคิดว่าตัวเองรีบร้อนกลับมาตึกใหญ่แล้ว ครั้นเหยียบขึ้นชั้นสอง เธอกลับพบว่ามีใครอีกคนดูร้อนใจไม่ยิ่งหย่อนหรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำ

“คุณไปไหนมา”

นี่ไม่ใช่การดักเจอหน้า แต่เป็นจังหวะสวนผ่านขณะเอกภพเดินไปฝั่งห้องหนังสือพอดี ชายหนุ่มชะงักเพียงครู่ คล้ายจะให้คำเมื่อครู่รวบรัดกับการกล่าวอรุณสวัสดิ์ เขาดูยุ่งวุ่นวายกับบางอย่างทั้งที่สีหน้ายังเรียบเฉย คงมีแต่ริ้วกระเพื่อมในแววตาเท่านั้นจะบอกได้ว่าอารมณ์อีกฝ่ายไม่สู้ดีนัก ทว่านิ่งพอจะไม่สะบัดงวงสะบัดงาใส่ใครไม่เลือกหน้า

“ผมนึกว่าคุณอยู่กับคุณปู่ที่ระเบียง”

“คุณท่านให้ฉันไปเก็บบัวค่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

“เหมือนว่าเมื่อคืนมีคนพยายามงัดตู้โชว์เครื่องเงินกับเครื่องนากในห้องหนังสือครับ คุณปรงเพิ่งเห็นรอยงัดแงะเมื่อเช้า” ร่างสูงเอ่ยพลางระบายลมหายใจเล็กน้อย สะกดกลั้นความฉุนเฉียวเหมือนถูกท้าทายใต้จมูก

ศญาใจหายวาบ เธอเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกเมื่อวานนี้ และสถานที่เกิดเหตุอยู่ข้างห้องเท่านั้น หญิงสาวถึงกับหน้าซีด แม้ไม่มีกระจกยังรู้ตัวดี

“ตายจริง แล้วนี่แจ้งตำรวจหรือยังคะ”

“ผมโทร. แจ้งแล้ว สักพักคงมากัน” เขาว่าก่อนหันมาสบตาเธออีกครั้ง จดจ้องคล้ายเห็นแววอ่อนใจรางๆ “ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ตั้งแต่วันแรก”

ไม่รู้เพราะเคยหลงรักเขาเมื่อเจ็ดปีก่อน หรือเพราะใบหน้าเอกภพหล่อเหลาจนตาพร่า การถูกขอโทษด้วยเสียงทุ้มต่ำจึงทำให้คนฟังแทบลอยละล่อง ศญาขัดเขินไม่รู้เวล่ำเวลากระทั่งหลงลืมห้วงตระหนกใดๆ ชั่วขณะ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนรอบกายเงียบเกินไป และพบว่าเงานิลในดวงตาคู่นั้นสะท้อนใบหน้าตนจนหายใจไม่ทั่วท้อง

“ขอโทษอะไรกันคะ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักหน่อย”

“คุณคงตกใจมาก”

“ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นห่วงคุณมากกว่า”

“ผม...”

เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วชะงัก คล้ายเพิ่งรับรู้ถึงคำว่า ‘เป็นห่วง’ เมื่อครู่

แวบเดียวท่ามกลางบ้านทั้งหลังที่กำลังเฝ้าดู คู่สนทนาพลันยกมุมปากน้อยๆ เอกภพเหลือบมองดอกบัวในมือเธอพร้อมกลิ่นหอมบางเบารวยรินในอากาศ ก่อนเบือนหน้ามาสบตากัน พร้อมพยักหน้าราวกับขอบคุณที่เข้าใจ

“คุณเอาดอกบัวไปให้คุณปู่เถอะ ทางนี้ผมจัดการเอง”

ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องปกติของการทำงาน หรือเพราะสถานที่เกิดเหตุคือบ้านอัญเรศไพจิตอันมั่งคั่ง ช่วงสายระหว่างรอด้วยสายป่านของความอดทนที่ค่อยๆ กัดกร่อนตามเวลายืดเยื้อ ในที่สุดตำรวจสองนายก็มาถึงด้วยท่าทีเร่งรีบกึ่งกระตือรือร้น แม้เอกภพมองนาฬิกาหลายต่อหลายครั้ง กลับถือว่าไม่นานเลยในความรู้สึกของศญาผู้เคยประสบเรื่องราวคล้ายกันนี้

เธอเคยโทร. แจ้งเหตุร้ายมาก่อน จำได้ว่าต้องอธิบายและตอบคำถามมากมาย มีคำรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าให้รอ รอตรงนั้นละ ตำรวจกำลังเดินทางไปหา...เพียงแต่ไม่มีใครบอกเธอว่าต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง

แล้วก็เป็นดังคาดในกรณีนี้ หญิงสาวกลายเป็นหนึ่งในผู้ให้ปากคำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง การปรากฏตัวของศญาในคืนแรกพร้อมร่องรอยโจรกรรมนำพาความแคลงใจ ต้องยอมรับว่ามีช่องโหว่จริงตามนั้น พยาบาลสาวเพิ่งมาใหม่คืนพายุฝนฟังดูน่ากังขา และเหตุการณ์ช่างประหลาดเกินกว่าจะมองข้าม ตู้เก็บเครื่องเงินเครื่องนากมีร่องรอยงัดแงะจริงดังที่เอกภพบอก แต่เป็นเพียงรอยเท่านั้น ข้าวของมีค่าทั้งหมดอยู่ครบ ราวกับผู้ร้ายเจอเรื่องบางอย่างระหว่างก่อเหตุโดยไม่คาดฝันแล้วรีบหนีออกทางหน้าต่าง รีบร้อนเสียจนลืมปิดบานพับกลับ เป็นเหตุให้ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวในเวลาต่อมา ช่องโหว่ของเรื่องราวกลายเป็นคำถามว่าผู้บุกรุกพบเจอเรื่องราวน่าประหวั่นใด จึงเป็นเหตุให้ทิ้งทุกอย่างเพื่อหนีจากตึกบ้านอัญเรศไพจิตเช่นนั้น

ดวงอาทิตย์ผงาดจ้าเกือบกลางแผ่นฟ้ากว่าศญาจะตอบคำถามฝั่งตนเสร็จสิ้น ยังดีที่ผู้หมวดคู่สนทนาเป็นคนสุภาพแถมให้เกียรติกันทุกถ้อยปราศรัย เขาถึงกับเดินมาส่งเธอตรงบันไดด้วยซ้ำ เพื่อให้กลับไปทำหน้าที่ตอนมื้อเที่ยงของคุณบุรี

ตรงหัวบันไดนั่นเอง หลานชายเจ้าของบ้านบังเอิญเดินลงมาพอดี

“ผมจะตามไปเซ็นเอกสารที่โรงพัก แล้วคงกลับกรุงเทพฯ เลย”

ศญากะพริบตาปริบ เธอรู้อยู่แล้วว่าต้องอยู่บ้านหลังนี้โดยปราศจากคนตรงหน้า แต่การบอกลาช่างปุบปับเหลือเกิน เมื่อเทียบกับเรื่องราวมากมายที่เพิ่งประสบร่วมกัน

“...ค่ะ”

หญิงสาวยอมรับโดยดี มุมปากถูกยกขึ้นเพื่อกลบความฝืดเฝื่อนภายใน จะให้เธอพูดอะไรมากกว่านี้ได้ล่ะ

ดวงตาคู่คมจับจ้องต่ออีกครู่ ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไร ก่อนสุดท้ายจะเอ่ยเสียงเบาแทบกระซิบ ราวกับต้องการให้ได้ยินกันเพียงสองคน

“ผมจะเคลียร์งานที่นั่นให้เร็วที่สุดแล้วรีบกลับมาภายในสัปดาห์นี้ ตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่สักพักจนกว่าจะจับคนร้ายได้...บอกตรงๆ ว่าผมไม่วางใจ แต่คุณปู่เองก็ไม่ยอมไปที่อื่นเหมือนกัน”

“มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ระหว่างคุณไปมั้ยคะ”

ศญาเงยหน้าถามพร้อมนึกขึ้นได้ประเดี๋ยวนั้นว่าทั้งสองอยู่ใกล้กันเกินไป ปลายจมูกคมกับเงาขนตาของอีกฝ่ายนำความเห่อร้อนอาละวาดบนแก้มเธอ

“ฝากคุณปู่ด้วย”

เอกภพเอ่ยสั้นๆ คล้ายเพิ่งสังเกตถึงระยะย่นย่อของทั้งคู่ เขาขยับถอยห่าง แล้วเอ่ยน้ำเสียงสุภาพ

“แล้วก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”

ไม่รู้ว่ากลิ่นหอมนั้นกลับเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับบัวกลีบบางลากพลิ้วผ่านกลางอก หวิววูบกับเหมือนนำรอยยิ้มจับจีบชั่วขณะหนึ่ง ก่อนภาพบางอย่างจะซ้อนทับท่ามกลางแสงสว่างวาบและห้วงอารมณ์วอนเว้า เสียงพลิกกระดาษ ลมแอร์เย็นยะเยือก ระยะห่างตลอดกาลของโต๊ะอ่านหนังสือสองตัว...ความทรงจำ

หญิงสาวระบายยิ้มรับ

“ฉันจะรอคุณค่ะ”

อย่างที่ฉันเคยทำเมื่อเจ็ดปีก่อน

การบอกลาไม่เกิดขึ้นนานนัก กระนั้นศญายังเดินมาส่งชายหนุ่มถึงเฉลียงหน้าบ้าน รับคำฝากฝังและรับปากว่าจะโทร. รายงานสถานการณ์ในบ้านกับเขาทุกวัน แลกเปลี่ยนความเข้าใจกันและกันโดยไร้ถ้อยคำ ก่อนยืนมองรถของเอกภพหายไปจากเขตรั้วจนลับตา ไกลแสนไกล

เสี้ยววินาทีขณะหันกลับเข้าไปในตึกใหญ่ บนฝั่งห้องหนังสือซึ่งเพิ่งเกิดเหตุชวนกังวลใจ ตรงหน้าต่างบานนั้น บานเดิมกับที่ส่งเสียงหวีดครวญจากพายุฝน ศญาพบว่าคุณปรงยืนมองตน...ก่อนปลดผ้าม่านลงปิดกั้นห้องทั้งห้องฉับพลัน

หรือบ้านทั้งหลัง หรือแม้แต่โลกทั้งใบ


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น