๔
ความกล้าด้านความรักครั้งใหญ่ที่สุดของศญาเกิดขึ้นตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งเทอมสอง อันที่จริงจะเรียกว่ากล้าเพราะรักก็คงไม่ถูกนัก จริงอยู่ที่สองสิ่งนี้เป็นองค์ประกอบของเรื่องราว แต่ยังห่างไกลกันมากโข
เธอจำได้ว่าช่วงเวลานั้นทั้งเมืองปกคลุมด้วยพายุหลงฤดู ก้อนเมฆสีตะกั่วแผ่คลุมสุดสายตา กระทั่งแสงอาทิตย์ยังถูกกางกั้นโดยไร้ช่องว่างให้สาดส่อง ทั้งๆ ที่บรรยากาศมืดครึ้มเพียงนั้น ฝนฟ้าก็ไม่อาจห้ามศญาไปหอสมุดแห่งเดิม ในช่วงเวลาเดิมๆ เพื่อจะพบว่าเอกภพเองก็เช่นกัน ยังคงจับจองที่นั่งประจำและอ่านหนังสือ ราวกับลมมรสุมด้านนอกเป็นเพียงเด็กหลงทางอาละวาดหาผู้ปกครอง เขาช่างงามสง่าเหลือเกินยามอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนั้น สุขุมในมาดเด็กหนุ่มคงแก่เรียน โตกว่าวัย มิหนำซ้ำยังเยือกเย็นเกินกว่าจะเผลอทำท่าทีขัดบุคลิกเมื่อมีฟ้าแลบแปลบ เสียงร้องครางกระหึ่ม และลมโบกจนใบไม้จากที่ไกลๆ นอกกระจกหน้าต่างพลิ้วไหว
จะว่าไปแล้ว ฝนตกในเมืองหลวงไม่ต่างจากฝันร้ายนัก สำหรับเด็กสาวผู้เติบโตในต่างจังหวัดโดยมีคุณตาคอยขับรถไปรับส่ง เรียกว่าคัลเจอร์ช็อกคงไม่ผิด ศญาจำภาพหนูท่อตัวอ้วนพีวิ่งเร็วจี๋ยิ่งกว่าวินาทีฟ้าร้องในวันฝนตกครั้งแรกได้ดี ไหนจะจังหวะหัวใจระทึกไหวยามเดินฝ่าบาทวิถีน้ำขัง โดยไม่รู้ว่าก้าวย่างใดจะพาตนหล่นลงช่องว่างซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีฝาท่อวางทับ เด็กสาวเคยเรียกทางเดินเหล่านั้นในใจว่าเขตขอบฟ้าเหตุการณ์หลุมดำ เลียนแบบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป เพราะไม่รู้จะเผลอก้าวตกสู่ความมืดดำที่มีเชื้อโรคนับหมื่นนับล้านใต้ท่อระบายน้ำตอนไหน ที่ต่างคือจักรวาลทางเท้าไม่ใช่เรื่องผจญภัยหรืออยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเอาตัวรอดของผู้มีเลือดเนื้อและชีวิตจริงๆ กลางเมืองเลื่องชื่อต่างหาก...
ความคิดเรื่องคุณภาพชีวิตกับระบบสาธารณะอันบกพร่องทำให้ศญาเผลอสติไปไกล ไม่รู้นั่งเหม่อนานแค่ไหน หันกลับมาอีกครั้งจึงพบว่าเจ้าของร่างสูงเก็บกระเป๋าเตรียมกลับแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกยังมืดครึ้มจนไม่รู้เวลาแน่ชัด แต่คงใกล้ค่ำเต็มที เด็กสาวได้กลิ่นอากาศยามพระอาทิตย์ตกดินปะปนฝนฉ่ำชื้น...ใช่ กลิ่นพระอาทิตย์ตกดิน มันมีกลิ่นแบบนั้นอยู่จริงๆ
ทุกอย่างควรจบลงอย่างสามัญเพียงเท่านั้น เหมือนเย็นวันศุกร์หลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ ศญาคงนั่งอ่านหนังสือ (ที่เป็นการอ่านจริงๆ เสียที) ต่ออีกสักพักหลังเอกภพกลับไป หากไม่บังเอิญเหลือบเห็นบางอย่างบนโต๊ะซึ่งห่างด้วยระยะกั้นตลอดกาลตรงนั้น แล้วก็เป็นตอนนี้ละ ที่ความกล้าของเธอเริ่มต้นขึ้น
หากมองจากสายตาคนนอกคงไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรนัก เอกภพแค่ลืมร่มทิ้งไว้และเธอแค่ตามไปคืน แต่ศญาผู้เรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาแทบทั้งชีวิต ซ้ำร้ายยังไม่เคยใกล้ชายอื่นนอกจากครอบครัว สิ่งนี้ถือเป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ซึ่งมัดรวมทั้งความกล้าและจังหวะหัวใจไหวสั่นไว้ อีกนานหลังจากนั้น กว่าเด็กสาวจะเรียนรู้ว่าตนถูกปลูกฝังค่านิยมในสังคมชายเป็นใหญ่ซึ่งกลายเป็นเนื้อร้ายชิ้นโตของชีวิต พร้อมค้นพบว่าการสนทนากับเพศตรงข้ามไม่ใช่เรื่องผิดหรือน่าละอายเช่นพวกผู้ใหญ่จอมควบคุมพฤติกรรมว่าไว้ และการเป็นฝ่ายแสดงความรักก่อนไม่ทำให้คุณค่าในตัวเธอลดลงอย่างใด...หากนั่นก็นานมากทีเดียว
เธอรีบร้อนลงลิฟต์ก่อนหันรีหันขวางอยู่หน้าประตูทางเข้า จึงค่อยพบชายที่จิตใต้สำนึกจารจำได้แม้เพียงเสี้ยวเงา เอกภพยังไม่ไปไหน เขายืนอยู่เหนือบันไดเดิมตอนช่วยพยุงเธอไว้ครั้งนั้น ใต้ร่มหลังคาบัง มีละอองฝนซุกซนบางหยดเกาะปลายผมเป็นเศษพราว ท่าทางงุนงงขณะค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า...บางอย่างซึ่งคงอยู่ในมือเธอยามนี้นั่นเอง
มันคือความร้อนผ่าววูบสั้นๆ ก่อนค่อยๆ แผ่ลามไปทั่วตัว หัวใจไหวหวั่นคล้ายไม่ได้เกิดขึ้นจริงขณะศญาพาตัวเองไปหยุดยืนด้านหลังเขา น้ำหนักเบาหวิว เก้กัง วาบหวาม มีรสหวานแปลกๆ อยู่ในลิ้นที่กลายเป็นสาเหตุของเสียงประหม่า
‘ขอโทษนะคะ’
ด้วยอับอายอย่างสุดซึ้งกับการปรากฏตัวปุบปับในฐานะคนแปลกหน้า
‘พอดีว่าคุณลืมร่ม...’
เขาหันมาทางเธอด้วยความงุนงง ก่อนเหลือบมองร่มสีดำในมือ แล้วจึงพยักหน้ารับ
‘ขอบคุณครับ’
เสียงฟ้าร้องครางครวญจากบางแห่งดังกลบความเงียบระหว่างทั้งสอง ลมหอบฝุ่นดินเจือกลิ่นเปียกชื้นมาในอากาศ แล้วเอกภพก็กางร่มซึ่งใหญ่พอให้คนสองคนแบ่งปันพื้นที่แก่กันได้ ก่อนเว้นระยะเล็กน้อยเพื่อรอคอย
‘ฝนตกหนักมาก ให้ผมไปส่งมั้ยครับ’
‘ไม่เป็นไรค่ะ ป้ายรถเมล์อยู่ข้างหน้านี่เอง’
เหมือนสัญชาตญาณหรือไม่ก็ความขัดเขินเช่นคนไม่เคยใกล้ชิดผู้ชาย ศญาเผลอถอยหลังก้าวหนึ่งด้วยซ้ำยามเอ่ยปฏิเสธเขา จริงจังและหนักแน่นเสียจนตัวเองยังตกใจ แถมจำไม่ได้ว่าเผลอแสดงอาการประหวั่นลักษณะไหนในฐานะเฟรชชีแปลกหน้าต่างคณะกับรุ่นพี่ที่ไม่รู้จัก กว่าจะรู้ตัวก็ตอนแว่วเสียงเขาตอบรับ ‘โอเคครับ’ หรืออาจเป็น ‘เข้าใจแล้วครับ’...อะไรสักอย่างในสองประโยคนี้ หรือความจริงอาจไม่ได้เอ่ยอะไรเลย เอกภพจากไปแล้วตอนที่ศญากอบกำสติกลับมาจากห้วงอารมณ์ไหวหวั่น เพื่อตระหนักว่าตนเพิ่งปฏิเสธโอกาสใกล้ชิดชายผู้เป็นเจ้าของรักแรก แล้วนั่งรถเมล์หลังคารั่วกลับบ้านในสภาพเปียกปอน เหนื่อยอ่อนจากรถติด และมีเสียงทุ้มเรียบง่ายของเอกภพดังแว่วอยู่กลางใจต่อไปอีกหลายวัน
ไม่เคยมีจินตนาการสักกระผีกริ้นว่าจากนั้นเนิ่นนานถึงเจ็ดปีต่อมา ท่ามกลางมืดค่ำซึ่งแว่วเพียงเพลงจิ้งหรีดจากที่ไหนสักแห่งขานต่อกันเป็นทอดๆ ราวกับจิ้งหรีดนับสิบนับร้อยใช้ดวงตาเหลือบเงาจับจ้องมายังบ้านอัญเรศไพจิตทั่วทั้งหลัง โทรศัพท์มือถือซึ่งสงบนิ่งทั้งวันพลันสั่นครืดจนคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จสะดุ้ง ก่อนพบว่าชื่อเอกภพปรากฏอย่างมั่นคงบนหน้าจอ เรียบนิ่งเหมือนตัวเขา แต่กลับสร้างระลอกริ้วจางๆ กลางอกหญิงสาวยามกดรับ
“สวัสดีค่ะ”
“ผมเอง” ปลายสายเอ่ยทั้งที่คงรู้ดีว่าเธอเมมเบอร์เขาไว้ตั้งแต่วันสัมภาษณ์งานแล้ว “ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”
ด้วยสัตย์จริง ศญาพอเดาได้ว่าเอกภพคงติดตามความเป็นไปของบ้านอัญเรศไพจิตหลังนี้ ไม่ว่าเรื่องพยาบาลคนใหม่หรือเรื่องการงัดแงะเมื่อคืน แต่คนที่เธอคิดว่าเขาจะโทร. หาคือคุณปรงผู้ดูแลความเรียบร้อยมาเนิ่นนาน ไม่ใช่หญิงสาวที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร แถมยังอยู่ในสถานะน่าสงสัยอย่างเธอ
“เรียบร้อยดีค่ะ แค่ช่วงเย็นมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย แต่โดยรวมก็โอเค”
“เรื่อง? เกิดอะไรขึ้น”
น้ำเสียงอีกฝ่ายแสดงความประหลาดใจจริงแท้ และศญาไม่มีเหตุผลต้องปิดบัง พยาบาลคนใหม่เริ่มต้นเล่าทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องทาวัตลืมกระเป๋าเงินตอนเย็น รวมถึงงูดุร้ายที่กอดาหลา การฆ่าชั่วพริบตา เว้นแต่อาการหน้ามืดของตนหลังจากนั้น
“แล้วคุณไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ปลายสายถามย้ำเมื่อเหลือเพียงความเงียบหลังเรื่องทั้งหมดจบลง ถ้อยคำเรียบง่าย แต่ทำให้คนฟังเผลอยิ้มขณะตอบ
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ตกใจงูนิดหน่อย”
เพราะขัดเขินด้วยสาเหตุงี่เง่าเข้าข้างตัวเอง หรือเพียงเงอะงะปนกระดากอายต่อการพูดคุยที่ไม่สลักสำคัญหรืออย่างไร รู้ตัวอีกครั้งร่างระหงก็ไปยืนริมหน้าต่างห้องนอน จ้องมองไปเจอเพียงความมืดในเฉดสีลดหลั่นด้านนอก ต้นไม้ใหญ่ที่โอบล้อมดูทึบทะมึนใต้แผ่นฟ้าราตรี คล้ายสาแหรกหยดหมึกซึ่งไม่มีวันลบออก ต่างแค่ความเคลื่อนไหวยามลมพัดผ่าน เสียงใบไม้ส่ายสะบัดกันเป็นทอดๆ ราวส่งต่อถ้อยกระซิบ เช่นที่ทำให้เธอเผลอนึกถึงบึงบัวเมื่อกลางวัน...ใช่ บัวพวกนั้นก็ด้วย กระซิบต่อกันแบบนี้เลย...
“ศญา”
“คะ?”
เสียงเอกภพเรียกหญิงสาวกลับมาสู่บทสนทนาอีกครั้ง ก่อนเงียบไปครู่หนึ่ง และ...“ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”
“...ค่ะ”
พวงแก้มเห่อร้อนขึ้นอย่างไรไม่ทราบ ศญาใช้มือพัดให้ตัวเองเบาๆ พลางชั่งตวงชื่อหนึ่งซึ่งติดค้างในใจนับแต่ได้ยินมา จะเป็นไปได้ไหมว่าเอกภพรู้จักคนชื่อกิมแซน อย่างไรเขาก็เป็นหลานเพียงคนเดียวของคุณบุรีนี่นา
“เอ่อ...คุณเอกคะ”
“หือ”
บทเพลงร้าวรานจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงตอนเย็นดังขึ้นในหัว พร้อมภาพคุณปรงและเงามืดของบ้านทั้งหลังที่ทอดยาวราวยึดติดต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย ดวงตาทอดมองบึงเวิ้งว้างราวห่างไกลสุดมือเอื้อมคว้าของคุณบุรี หนังสือคนเถื่อนบนโต๊ะที่ไม่มีร่องรอยเปิดอ่าน และกลิ่นหอมรวยริน ความโศกหม่นทว่าอ่อนหวานของบัวที่จะผลิบานและเหี่ยวแห้งครั้งแล้วครั้งเล่า...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับสุดท้าย คำเตือนจากชายชราผู้ดูแลบ้านคนนั้น...
‘บึงบัวไม่ใช่ที่ที่ใครจะไปเดินเล่นตามอำเภอใจได้’
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่อยากรู้ว่าคุณจะกลับมาประมาณวันไหน”
“ถ้าทางนี้เรียบร้อยก็น่าจะสามสี่วัน ส่วนที่เหลือเป็นงานเอาไปทำที่นั่นได้”
ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายที่ศญาเปลี่ยนหัวข้อคำถามอย่างลื่นไหลจนอีกฝ่ายไม่ทันสังเกต เธอคุยกับเขาอีกสองสามคำและทิ้งชื่อกิมแซนติดค้างไว้เพียงเท่านั้น...เท่าฐานะความแคลงใจที่ควรแค่เก็บกดไว้ โดยไม่มีทีท่าจะถูกยกมาพูดถึงอีกเลย
เหตุการณ์เรื่องงูในกอดาหลาเป็นสิ่งที่ศญาอยากให้ทุกคนในบ้านอัญเรศไพจิตลืมเลือนโดยเร็วที่สุด แต่ไม่ว่าหญิงสาวลอบภาวนาในใจแค่ไหน เช้าวันต่อมาเมื่อพบคุณบุรีตรงระเบียงกว้างที่เดิม ชายชราก็เริ่มบทสนทนาด้วยหัวข้อที่เธอปรารถนาหลีกเลี่ยงอยู่ดี
“ได้ยินว่าเมื่อวานเกิดเรื่องขึ้นหรือ”
ร่างระหงชะงักชั่วครู่ เธอเหลือบมองคุณปรงที่ยืนเฉยชาอยู่อีกด้าน ก่อนพยักหน้ารับ
“ใช่ค่ะ”
“มีใครเป็นอะไรมั้ย บาดเจ็บตรงไหนกันหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ โชคดีที่ผู้หมวดทาวัตไวมากเลยไม่มีใครได้รับอันตราย”
“ดีแล้ว สวนที่นี่กว้าง ต้นไม้ขึ้นรกครึ้มไปหมด คนสวนเองก็มีแค่คนเดียว คงดูไม่ทั่วถึง” คุณบุรีผินหน้าไปทางคนสนิท ดวงตายังทอดมองบึงบัวเบื้องหน้า หากรู้แน่ว่ากำลังสั่งความกับคุณปรง “ต้องกำชับคนสวนให้ใส่ใจมากกว่านี้ แล้วนี่เมื่อไหร่จะหาเด็กรับใช้คนใหม่ได้ซะที”
“กำลังหาอยู่ครับ แต่คนสู้งานมีน้อย ที่ผ่านมาส่วนมากอยู่ได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว เกรงว่าถ้าเลือกไม่ดีมีแต่เสียเวลากันเปล่าๆ”
คุณปรงแสดงเจตจำนงโดยไม่คิดผ่อนปรน ถึงตรงนี้ บทสนทนาระหว่างเอกภพกับป้าเอี่ยมเรื่องเด็กรับใช้ในวันแรกก็กลับมาก่อเค้าให้ปะติดปะต่อได้อีกครั้ง คงเพราะความเนี้ยบและท่าทีเข้มงวดนี้กระมัง ที่เป็นเหตุให้หญิงคนครัวอัดอั้นตันใจถึงขั้นคิดนินทาหัวหน้าให้เจ้านายอีกคนฟัง เอาเถอะ ใช่ว่าเธอจะไม่เข้าใจ ที่ได้มาเป็นพยาบาลคนใหม่เพราะคนก่อนทนไม่ไหวเหมือนกันมิใช่หรือ
“ปรงเองก็อย่าเข้มงวดนักเลย อะไรพอปล่อยผ่านได้ก็ปล่อยไปเถอะ” คุณบุรีเอ่ยจบก็หันเหความสนใจมายังหญิงสาวอีกครั้ง “แล้วนั่นถืออะไรมาด้วยล่ะ”
“เมนูอาหารกับตารางโภชนาการค่ะ พอดีว่าซินอยากเสนอคุณปรงเรื่องอาหารของคุณบุรีสักหน่อย เมื่อวานเท่าที่เห็นเหมือนจะเป็นพวกอาหารติดเค็มมากไปนิด”
คนถูกทักระบายยิ้มอ่อนหวาน ไม่ให้ดูประจบประแจงมากไปและไม่เกร็งเกินพอดี ศญาตั้งใจถือแฟ้มเมนูอาหารมาให้เจ้าของบ้านสังเกตเห็นจริงๆ แต่ทำทีว่านำมาให้คุณปรงเพื่อไว้หน้าอีกฝ่าย หญิงสาวไม่อยากแสดงตัวว่าทำเกินขอบเขตที่วางไว้ แม้การใส่ใจเรื่องโภชนาการของคุณบุรีถือเป็นหนึ่งในงานของเธอเช่นกัน
อาจดูเป็นการคิดอ่านที่ซับซ้อนเกินไปนิด ทว่าจากการสังเกตท่าทีชายชราที่ผ่านมา เห็นจะไม่รอบคอบไม่ได้
คล้ายจะเข้าใจเจตนา นายใหญ่แห่งบ้านอัญเรศไพจิตพยักหน้ารับ พร้อมกวักมือเรียกคนสนิทมายืนใกล้กัน
“ไหน เอามาอธิบายใกล้ๆ หน่อย ปรงก็มาฟังด้วยกันเลยสิ อาหารพวกนี้ยังไงเราต้องกินด้วยกันอยู่แล้ว”
ใช่...ทั้งสองกินข้าวร่วมโต๊ะทุกมื้อ สิ่งนี้อยู่ในการสังเกตของศญาเช่นกัน
เมื่อผ่านการเห็นชอบจากคุณบุรี ความปลอดโปร่งก็ระริกร่าผ่านหญิงสาวพร้อมอารมณ์กระตือรือร้น เธอขอตัวผละไปแจ้งป้าเอี่ยมด้วยตัวเอง หมายมาดจะอธิบายทุกรายละเอียดให้เอ่ยได้ว่าตนทำงานสมค่าจ้างสูงลิ่ว ทว่าทันทีที่เหยียบเท้าเข้าเขตครัว สิ่งแรกที่ทักทายศญานอกจากความเงียบคือกลิ่น
...มันเป็นกลิ่นเครื่องต้มฉุนจัดและคงปรุงเข้ม ทั้งพริก น้ำปลา ข่า ตะไคร้ ปนเปในอากาศหนักๆ ราวกับนักเลงเจ้าถิ่นประกาศอาณาเขตจนผู้มาใหม่ต้องเปล่งเสียงเรียกหาแม่ครัว
“ป้าเอี่ยมคะ”
บางอย่างเดือดปุดๆ ในหม้อส่งเสียงตอบกลับมา หญิงสาวค่อยๆ กวาดตามองรอบกาย นี่คือครั้งแรกที่เธอสังเกตบริเวณครัวจริงจัง
ก็เหมือนกับบ้านอัญเรศไพจิตทั้งหลัง แม้ปรับปรุงให้เข้ายุคสมัยบ้าง แต่พื้นที่ครัวนี้ยังคงกลิ่นอายในอดีตอย่างแนบเนียน มันเป็นอะไรสักอย่างที่ศญาบอกไม่ถูก อาจเพราะบรรยากาศ หรือสีสันเวลากลางวันที่โอบล้อมด้วยเงาไม้ เจือภาพควันจางลอยผ่านริ้วแดด หรือคงเป็นอุปกรณ์เครื่องครัวพวกนั้น หม้อเคลือบโบราณแต้มลายดอกไม้ดาดๆ แบบที่เคยเห็นตากับยายใช้กัน ครกหินวางคว่ำท่าทางหนักอึ้ง เตาอั้งโล่ตั้งไว้โดดเดี่ยวด้านนอก มีกองไม้และถ่านแยกไว้เป็นเชื้อเพลิง แถมดูท่าจะถูกใช้อยู่เสมอ ทั้งที่ภายในมีเตาแก๊สเงาวับพร้อมใช้งาน สังเกตจากกองเถ้าสีมัวซัวอันเป็นเศษซากหลังมอดไหม้ของสิ่งที่เพิ่งถูกเผาไฟ
แล้วกลิ่นจากหม้อต้มก็ดึงความสนใจของศญากลับมาอีกครั้ง พร้อมความใคร่รู้ผุดขึ้นทันใด ผลักหญิงสาวเข้าไปใกล้ด้วยท่าทีเก้กังเล็กน้อย แล้วลองเปิดฝาหม้อ...
เฮือก!
เพล้ง!
ฝาหม้อหลุดมือไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ร่างงูหัวขาดบิดงออยู่ในน้ำเดือดพล่านปรากฏแก่สายตา เสียง ฟองอากาศปุดๆ ทำให้สัตว์เลื้อยคลานไร้ชีวิตคล้ายกระตุกไปมา บริเวณหัวที่หายไปมีตอกระดูกปรากฏ ขาวโพลน เปื้อนเศษเลือดสุกสีก่ำคล้ำยาวเป็นสาย!
ศญาเผลอสะท้านจนก้าวถอยหลัง พยุงไว้ทั้งตัวเองและสติยามภาพการฆ่าเมื่อวานหวนสู่ความคิด แว่วเสียงลุกลี้ลุกลนของหญิงคนครัวดังจากด้านนอก
“คุณซิน? คุณซินเหรอค้า”
“นี่มัน...”
หญิงสาวหันไปทางเจ้าของเสียง ในใจคิดอยากได้ยาดมโดยด่วน ป้าเอี่ยมเยี่ยมหน้ามาก่อนชะงัก คล้ายรู้ตัวว่าถูกจับได้ว่าลักลอบทำสิ่งต้องห้าม หากเชี่ยวชาญพอจะแสดงทีท่าปกติต่อไป
“อุ๊ย แหะๆ ใช่ค่ะ งูตัวเมื่อวาน” หล่อนแจกยิ้มประจบ ชี้แจงต่อเมื่อเห็นว่าพยาบาลคนใหม่ไม่มีท่าทีคล้อยตาม “โธ่ งูตัวใหญ่ขนาดนี้ให้โยนทิ้งเฉยๆ มันน่าเสียดาย แถวบ้านป้าเค้าต้มงูสิงกินกันเป็นเรื่องธรรมดา นี่ป้าเอาไปเผาไฟขูดเกล็ดแล้ว เพิ่งไปเก็บยอดใบมะขามมาเพิ่มเมื่อกี้เองค่ะ”
“แต่นี่มันไม่ใช่งูสิงนะคะ แล้วก็อันตรายมากด้วย ซินว่า...”
ว่า...ก็แน่ละ ควรเอางูที่ว่านี้ไปฝังทิ้งแทนที่จะนำมาประกอบอาหาร กระนั้น ศญาจำต้องชะงักถ้อยคำเมื่อแววตาอีกฝ่ายปรากฏร่องรอยบางอย่าง อาจประเมินมอง...คลับคล้ายไม่พอใจ ป้าเอี่ยมเป็นสตรีที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีวาทะเป็นมิตรก็จริง แต่ศญาจำได้เช่นกันว่าหล่อนตั้งท่านินทาคุณปรงโดยไม่ลังเลในวันแรก แล้วไหนจะอีโก้อย่างผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในครัวนี่อีก หากแนะนำตามตรงนอกจากไม่ฟังกันแล้ว คงเป็นการสร้างศัตรูโดยใช่เหตุ
พยาบาลคนใหม่ใคร่ครวญแล้วยิ้มหวาน
“ซินว่าถ้าคุณปรงรู้เข้าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ค่ะ เห็นจากเมื่อวานก็ไม่รู้จู่ๆ เธอจะเดินเข้าครัวตอนไหน ถ้าเปิดหม้อแล้วเจองูต้ม กลัวว่าป้าเอี่ยมจะแย่เอานะคะ”
เพียงเท่านั้น หญิงคนครัวก็เลิกกอดอกทันที
“คุณ...คุณปรงเหรอคะ”
“ค่ะ นี่ซินเอาตารางเมนูอาหารของคุณบุรีมาให้ คิดว่าอีกสักพักคุณปรงคงตามมากำชับเรื่องต่อแน่ๆ” คนพูดถือโอกาสย้ำ
ศญาดูเป็นคนปากหนักและขี้เกรงใจก็จริง เมื่อถึงเวลาเธอก็สามารถอ้างชื่อคุณปรงได้หน้าตาเฉยเช่นกัน
“ตะ...ตายแล้ว”
ป้าเอี่ยมหันรีหันขวาง บางช่วงยังส่งสายตาล่อกแล่กไปประตูทางเข้า ราวกับหับมุมทั้งหลายคือบริวารที่คอยตั้งท่าส่งข่าวแก่ผู้ดูแล ก่อนรีบยกหม้อไปสาดทิ้งด้านนอก แล้วกุลีกุจอกลับมาทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไหนคะเมนูอาหาร คุณซินมานั่งอธิบายให้ป้าฟังตรงนี้ดีกว่า”
ศญาอยากเอ่ยอะไรมากกว่านี้ แต่สุดท้ายต้องตามน้ำด้วยบทอธิบายเมนูอาหารตามความตั้งใจแรก เธอนั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย พูดในสิ่งที่จำเป็นโดยไม่หมกเม็ด ตารางอาหารห้าหมู่ ธาตุร้อน ธาตุเย็น เครื่องปรุงที่ควรใช้และควรหลีกเลี่ยง รวมถึงกังวลเรื่องความห่างไกลของบ้านอัญเรศไพจิตซึ่งอาจยากลำบากในการหาซื้อวัตถุดิบ
“วุ้ย เรื่องนี้ไม่ยากค่ะ ทุกสามสี่วันจะมีรถพุ่มพวงแวะเข้ามา อยากได้อะไรก็สั่งไว้ เดี๋ยวรอบหน้าเค้าจะหามาให้ เราแค่รอแล้วจ่ายเงิน” คนฟังโบกมืออย่างไม่ยี่หระ
“รอบล่าสุดที่มาคือวันไหนเหรอคะ ใกล้จะมาอีกหรือยัง เผื่อครั้งหน้าซินจะขอออกไปดูของด้วย”
“สองวันก่อนค่ะ ที่ฝนตกหนักๆ จะว่าไปวันที่คุณซินมาที่นี่ครั้งแรกพอดี”
...วันที่มีโจรงัดแงะ
นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวศญา ก่อนปัดหายเมื่อถูกจู่โจมด้วยแววตาใคร่รู้กึ่งๆ พินิจพิจารณาโดยไม่ปิดบังของป้าเอี่ยม หล่อนถึงกับเอนตัวมาเล็กน้อย ประกายบางอย่างวาบวับในกรอบเนื้อหนังเล็กหยี
“ว่าแต่คุณซินรู้จักต้มงูสิงด้วยเหรอคะ”
“สมัยก่อนซินอยู่บ้านตากับยาย เคยเห็นคนแถวนั้นกินกันค่ะ” แม้รู้สึกว่าเหมือนถูกคาดคั้นโดยไม่จำเป็น แต่หญิงสาวก็เอ่ยตอบโดยดี
“บ้านตายายคุณซินอยู่ไหนคะนี่”
“อุดรฯ ค่ะ”
“เอ๊า ป้าก็เป็นคนอีสาน คนบ้านเดียวกันตั้วหนิ”
หญิงคนครัวตบเข่าฉาดราวถูกใจนักหนา หลังจากนั้นไม่ว่าเต็มใจหรือไม่ ศญากลายเป็นผู้รับฟังเรื่องราวเคล้าความคับแค้นใจของสองสามีภรรยาโดยปริยาย
แท้จริงป้าเอี่ยมกับลุงปั่นเป็นคนพื้นที่เดียวกันตั้งแต่จำความได้ ในห้วงวัยเยาว์กลางทุ่งนาห่างไกล ชายขอบหมู่บ้านที่ถนนหนทางเป็นฝุ่นดินแดง โอบล้อมด้วยป่าโคก สายลมโปร่ง และแผ่นฟ้าสุดลูกหูลูกตา กับการดิ้นรนประทังชีวิตท่ามกลางพื้นดิน – ซึ่งบางคราวแตกระแหงราวถูกทิ้งร้างในหน้าแล้ง ค่อยสมบูรณ์ขึ้นบ้างตามธรรมชาติยามน้ำหลาก ขุดปู ดักแมลง หาปลา กระทั่งกบ แย้ กะปอม จิ้งเหลน กุดจี่ในขี้ควาย อะไรก็ตามที่กินได้ เพื่อจุนเจือปากท้องครอบครัวลูกดก ลุงปั่นเป็นพี่ชายคนที่สองจากพี่น้องเจ็ดคน ป้าเอี่ยมเป็นพี่สาวคนที่ห้าของพี่น้องสิบสามชีวิต พ่อแม่เป็นชาวนาเหมือนกัน เรียนโรงเรียนที่ต้องเดินไปกลับวันละห้ากิโลเมตรแห่งเดียวกัน เมื่อขึ้นชั้นปอสี่ต้องหยุดไปดื้อๆ เพื่อให้น้องคนอื่นได้เรียนบ้าง เช่นที่พี่ๆ ของทั้งคู่เคยทำ
วัยสิบเจ็ด ต้นเดือนธันวาหลังฤดูเกี่ยวข้าว สองหนุ่มสาวดวงตาเลื่อนลอยดั่งคนฝันถึงชีวิตที่ดีกว่าก็ผูกแขนแต่งงาน ฝากฝังกันเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของลมหายใจที่เหลือจากนี้ และตัดสินใจจากบ้านที่ชาวเมืองมองว่าเรียบง่ายสมถะ ทว่าแท้จริงดำรงชีพลำบาก สู่ตัวอำเภอซึ่งคึกคักกว่า ทำงานสารพัดหลายปีกระทั่งลุงปั่นได้งานกุลีแบกข้าวในโรงสี ป้าเอี่ยมรับจ้างล้างจานรายวันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เริ่มแรกคล้ายไปได้ดี ลู่ทางลืมตาอ้าปากกำลังเบ่งบาน หากฝ่ายสามีไม่ถูกนายจ้างโกงเงินซึ่งน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำให้ยิ่งต่ำลงอีก และร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างสวนสาธารณะ หรืออนุสาวรีย์ หรืออะไรสักอย่าง ‘หลวงเพิ่นว่าต้องปรับภูมิทัศน์สถานที่’ แต่หลายสิบปีผ่านขั้วอำนาจเปลี่ยนมือครั้งแล้วครั้งเล่า โครงการทั้งหลายถูกปล่อยร้าง หมดยุคสมัยและไม่พัฒนาต่อ แต่สองสามีภรรยาก็ไม่อยู่ที่นั่นนานพอจะเห็นบทสรุปทั้งหมดนั้น
แทบถ่มน้ำลายรดพื้นยามเล่าว่าโรงสีขี้โกงมอดไหม้อย่างไรในกองไฟ ป้าเอี่ยมว่าคงเป็นกรรมตามสนอง กลางดึกคืนอบอ้าวขณะนอนจ้องเพดานสังกะสีทะลุเห็นดาว พลางคิดว่าพรุ่งนี้จะพาชีวิตไปทางไหน จู่ๆ โรงสีที่มีเรื่องคาราคาซังกันก็ถูกเปลวเพลิงกลืนกินเกือบทั่วบริเวณให้สว่างโร่ อึกทึกทั้งตรอกซอยแทบไม่หลับไม่นอน รุ่งเช้าได้ยินว่าเถ้าแก่ถูกไฟคลอกสิ้นใจคาที่ เหลือกองเนื้อหนังดำเป็นตอตะโกนอนกอดเก๊ะเก็บเงินซึ่งกลายเป็นเถ้าถ่านไม่ต่างกัน
ครั้นไม่มีสิ่งใดฉุดรั้ง ป้าเอี่ยมตัดสินใจชวนผัวลงกรุงเทพฯ ทีนี้ละ จะฝากชีวิตกับเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ดินแดนบรรจุฝันของผู้คนจนบวมฉุ หมักบ่มทับถม บางคราวบูดเน่าจนเปื่อยสลาย หล่อนรู้แก่ใจเพราะเคยได้ยินมามาก แต่ใครบ้างไม่อยากเสี่ยงดวงเพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม
ด้วยการฝากฝังของคนบ้านเดียวกันซึ่งรู้จักบนรถทัวร์จาก บขส. ลุงปั่นได้งานยามเฝ้าคอนโดกลางเก่ากลางใหม่แถวดินแดง ส่วนป้าเอี่ยมเป็นลูกจ้างร้านอาหาร ตำแหน่งดีขึ้นเพราะคุยโวตอนเถ้าแก่ถามถึงประสบการณ์ร้านก๋วยเตี๋ยว ไม่บอกหรอกว่าไอ้ร้านที่ว่านั่นมีหน้าที่แค่ล้างจาน หล่อนได้เป็นผู้ช่วยในครัว สั่งสมทักษะเออออห่อหมกและประจบประแจง ไม่นานเริ่มคล่องมือจนไม่มีใครจับได้ แต่ความซวยไล่ทันเมื่อผัวมีเรื่องกับหลานชายเจ้าของตึก เพราะอีกฝ่ายเมากลับบ้านดึกแล้วเจอลุงปั่นเข้าเวรพอดี...เท่านั้นละ แค่เห็นหน้าชายแก่ตาลึกโปนฉีกยิ้มกว้างแล้วขัดใจ อารมณ์ผสมแอลกอฮอล์ผลักดันให้เขาตบหน้ายามหนึ่งที ฟาดแล้วยิ้มนั้นไม่แห้งหาย ชายหนุ่มยิ่งมีโทสะ ลุงปั่นผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวยอมให้ตบตีด้วยเหตุผลว่าเป็นหลานเจ้านาย เขาอยู่สูงกว่า รวยกว่า การศึกษาดีกว่า แต่หน้ายิ้มนั้นจนใจแก้ไขเพราะเกิดมาเป็นแบบนี้ ลุงปั่นยิ้มอยู่เสมอ แม้สุข เศร้า เสียใจ เริงร่า ดวงตาเบิกกว้างนี่ด้วย สีหน้าเดียวนี้มั่นคงเทียบเท่าชีวิตแก กระทั่งต้องนอนคู้ตัวกับพื้นรับแรงกระทืบของคนหนุ่มคราวลูก พร้อมคำถามวิ่งวุ่นในหัวว่าทำไม เหตุเลวร้ายใดทำให้ตนถูกปฏิบัติอย่างไร้ศักดิ์ศรีมนุษย์เพียงนี้ แต่ยิ้มชั่วกัลปาวสานของแกก็ไร้แววลบเลือน
ทีแรกป้าเอี่ยมไม่คิดยอมความ ครั้นคุณนายเจ้าของตึกส่งคนมาเจรจาพร้อมเงินก้อนที่ทำงานทั้งปีถึงได้ ทั้งมืดแปดด้านไม่รู้ว่าใครจะยืนหยัดเข้าข้าง แม้น้ำตาอุ่นร้อนแทบแผดไหม้และหัวใจรวดร้าวด้วยอัดอั้นจวนระเบิด สุดท้ายสองผัวเมียจำต้องรับเงินให้เรื่องจบ คนจนจะสู้อะไรเขาได้ ทุกคนบอกเช่นนั้น
ระหว่างกัดฟันอยู่กับหนทางมัวซัว แม่ครัวคนใหม่ในร้านอาหารก็มาพร้อมเรื่องเล่าจากที่ทำงานเก่า ‘เป็นแม่ครัวให้บ้านเศรษฐีน่ะ มีคนแก่อยู่กันแค่สองคน’ หล่อนว่า ‘งานสบาย เงินดี เสียแต่ว่าอยู่ไกล...และผีดุ’ ตรงนี้เองทำให้ใครต่อใครอยู่ได้ไม่นาน ผีดุ คนก็ดุ ทั้งเจ้ากี้เจ้าการทั้งน่ากลัวแทบทนไม่ไหว กระนั้น สองสามีภรรยาที่ใช้ชีวิตสมบุกสมบันบนความไม่แน่นอนและถูกบีบสู่ทางตันหลายครั้งก็ตัดสินใจลองดูสักตั้ง ผีที่ไหนจะน่ากลัวเท่าพวกชิงเปรตเกิดที่เอาหนังมนุษย์มาห่อสันดาน อย่างน้อยคุณปรงก็ไม่เคยโกงค่าจ้างหรือด่าทอใบหน้ายิ้มไม่สร่าง นับแต่นั้น ราวๆ สี่ถึงห้าปีแล้วที่ลุงปั่นกับป้าเอี่ยมมาบ้านเก่าแก่ห่างไกลนี้ และใช้ชีวิตในฐานะคนสวนกับแม่ครัวโดยไม่คิดลาออกสักครั้ง
ป้าเอี่ยมเล่า เล่า และเล่าทุกอย่างได้น้ำไหลไฟดับ ครั้นลองถามว่าที่นี่ผีดุจริงไหม หญิงคนครัวกลับหัวเราะในลำคอ หล่อนกวาดตาไปมารอบหนึ่ง มองเงาประตูทอดยาวสลับเงาไม้ครึ้มไหวด้านนอก แล้วเอ่ยตอบด้วยถ้อยคำเรียบง่าย...ซึ่งไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันสักนิด
“ได้ยินว่ามีหีบใบนึงอยู่ใต้บึงบัวค่ะคุณซิน ทางที่ดีอย่าไปแถวนั้นคนเดียวจะดีกว่า”
บทเพลงเว้าวอนจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงบรรเลงอยู่ก่อนแล้วตอนศญากลับขึ้นไปชั้นสอง ออดอ้อนต่อรักซึ่งสูญสลายพร้อมสายลมพัดพลิ้วล่องลอยสู่เวิ้งบึงสุดสายตา ก่อนคุณบุรีที่นั่งเงียบขรึมบนเก้าอี้นวมตัวเดิมจะหันมาส่งยิ้มและเอ่ยถามเรียบๆ
“เต้นรำเป็นมั้ย”
ศญางุนงงครู่หนึ่งจึงเข้าใจความหมาย เธอไม่ใคร่เห็นชายชราเดินหรือเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก นอกจากการก้าวล้มในวันแรกที่เจอกัน ส่วนใหญ่อีกฝ่ายใช้เวลาแทบทั้งวันนั่งมองบึงบัวใต้ระเบียงไม้เลื้อย ใช่เพียงการนั่งที่ดูสงบนิ่ง หากรวมถึงวิธีพูด ท่าทางการขยับกาย จังหวะเคลื่อนไหว ทุกอย่างช่างดูเนิบนาบ เรียบร้อย แถมยังเฉื่อยชาไปนิด จนหญิงสาวถึงขั้นลอบทำตารางออกกำลังกายอย่างง่ายไว้ และคิดแผนนำเสนออย่างแนบเนียนเหมือนคราวเมนูโภชนาการ
“พอได้ค่ะ ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่” พยาบาลคนใหม่ตอบขณะช่วยประคองเจ้าของบ้านยืน
“เต้นรำกันสักเพลง”
กล่าวจบก็ยื่นมือมาในท่าเชิญราวกับอยู่ในงานเต้นรำ พริบตาเดียวขณะวางมือตอบรับ และเริ่มขยับกายท่ามกลางการโอบหลวมๆ ตามจังหวะเพลง ศญาคล้ายเห็นคุณบุรี อัญเรศไพจิตเป็นหนุ่มผู้หล่อเหลาและอ่อนโยนสักคนจากนวนิยายย้อนยุค...ตัวเขาในอดีตคงเป็นเช่นนั้น คุณชายใบหน้าเกลี้ยงเกลา บุคลิกเรียบร้อย ท่าทางใจดี ไม่ใช่เรื่องยากหากจะทำให้ใครสักคนตกหลุมรัก
“นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้เต้นรำแบบนี้” ชายชรารำพึงยามเสียงหวนไห้ของเครื่องสายกรีดครวญ “เพลงเศร้าทำให้ฉันนึกถึงกิมแซน”
“กิมแซน...ชื่อภาษาเวียดนามที่คุณท่านเคยบอกหรือคะ”
“ใช่...ชื่อกิมแซน...เวียดนาม”
คุณบุรีพึมพำพลางทอดตามองบางอย่างไกลแสนไกล พร้อมกลิ่นบัวซึ่งไม่รู้ว่าโชยมาได้อย่างไรระหว่างทั้งสอง หอมรวยรินอยู่ปลายจมูก กำจายคล้ายบอกเล่าการมีอยู่ของมัน ทั้งที่ไม่มีลมพัดมา
หลงเพ้อเฝ้าละเมอรัก
ช้ำนักยามรักหมองไหม้
พาให้ร้าวรานฤทัย
สุดอาลัยรักลอยลม[1]...
“สงครามจบไปแล้ว กิมแซน...”
เสียงกระซิบแผ่วดั่งจะปล่อยให้ล่องลอยไกล ขณะที่คนฟังเผลอสะท้าน
“สงคราม?”
“...เธอทำให้ฉันนึกถึงตอนเป็นทหารในสงครามเวียดนาม”
บางอย่างบีบรัดในถ้อยคำ คล้ายปวดร้าว คล้ายสั่นไหว และคุณบุรีไม่อธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม ชายชราหลับตา มือที่จับอยู่สั่นเล็กน้อย...ราวกับเฝ้ามองฉากม่านแสดงในความทรงจำ ขณะศญากลับเหน็บหนาวในใจด้วยเหตุผลที่แตกต่าง เมื่อพบว่าตลอดเวลาไม่ไกลกัน คุณปรงจ้องมองการเต้นรำครั้งนี้อย่างเงียบงัน
มีเพียงชั่วขณะ ยามเอ่ยถึงสงครามเวียดนามเท่านั้น ที่ดวงตาเฉยชาจะไหวสั่น
...ราวพบพานเรื่องร้าวรานมาไม่ต่างกัน
[1] เพลง “รักลอยลม” ขับร้องโดย สุเทพ วงศ์กำแหง
ความคิดเห็น |
---|