บทที่ ๗

ว่ากันตามจริง แม้ได้ชื่อว่านับถือพุทธศาสนา แต่ศญาไม่ใช่คนเข้าวัดเข้าวาเป็นกิจจะลักษณะ หรือมุ่งมั่นศึกษาพระธรรมคำสอนเท่าไร

เมื่อก่อนอาจมีบ้าง สมัยติดสอยห้อยตามตายายไปใส่บาตรหรือถวายเพลพระ เธอจะถือตะกร้าใส่ปิ่นโตกับดอกบัวเดินตามหลังตาผู้ประคองยายตลอดเวลาอีกที และดอกบัวยังเป็นความภาคภูมิใจลับๆ ของเธอด้วย ศญาหัวไวด้านงานฝีมืออยู่บ้าง เธอพับดอกบัวสวย คงครูพักลักจำตั้งแต่เด็กเวลานั่งดูยายทำ ความรู้สึกยามปลายนิ้วสัมผัสผิวกลีบเรียบลื่นจนมือติดกลิ่นหอมรวยรินทำให้เธอผ่อนคลายเสมอ รู้อีกทีก็ได้รับคำชมทุกครั้งว่าดอกบัวที่ซินซินพับงามกว่าใคร อันที่จริงทั้งสองชมเช่นนี้ทุกเรื่องมาแต่ไหนแต่ไร ศญาคือพรอันมีค่าของตาและเป็นหลานที่ยายรักที่สุด เติบโตมาอย่างนั้น ผูกพันอยู่เช่นนั้น

หลังจากย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัย เวลาถูกย่นย่อแทบไม่ได้หลับได้นอนทำให้หญิงสาวห่างหายการเข้าวัด ช่วงปีแรกเธอยุ่งกับการตกหลุมรักเอกภพ ส่วนปีที่เหลือยุ่งจริงๆ กับการเรียน เรื่องที่บ้าน และหลายอย่างประดังประเดจนแทบไม่มีเวลาพักหายใจ นี่ยังไม่รวมงานในโรงพยาบาลช่วงแรกๆ การเข้าเวรดึกดื่นโต้รุ่งแทบทุกวันทำให้หญิงสาวไร้ทางเลือก นอกจากหอบร่างกลับไปนอนเอาแรงยามเช้า เพื่อตื่นไปทำงานใหม่ช่วงเย็น ไม่ค่อยได้คุยกับใคร ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีแฟน การทำบุญเดียวที่เข้าถึงคือใส่ซองผ้าป่า อนุโมทนา แล้วยกมืออธิษฐาน...ขอให้ทุกคนมีความสุข

อย่างไรก็ตาม ระยะหลังนี้ศญาหวนเข้าวัดทำบุญอีกครั้ง...ราวหนึ่งปีเห็นจะได้ อย่างน้อยเดือนละครั้ง ต่อให้บ้านอัญเรศไพจิตอยู่โดดเดี่ยวหรือห่างไกลแค่ไหน เมื่อลองอ้อมแอ้มขอไปทำบุญที่วัด คุณบุรีก็อนุญาตอย่างใจดี แถมเอ่ยปากยืมจักรยานลุงปั่นให้ด้วยตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่ กระทั่งคุณปรงผู้ห่างเหินและดูชังกันยังช่วยบอกทางคร่าวๆ และยืนมองเธอสุดสายตาข้างกระถางกังไสตรงหน้าบ้าน

ชายชราทั้งสองไม่เอ่ยถึงอาการประหลาดเมื่อวาน นับเป็นอีกครั้งที่เรื่องเหล่านั้นถูกบังคับให้หลงลืมโดยปริยาย

วัดที่คุณปรงบอกทางเป็นวัดป่าของหมู่บ้านใกล้ที่สุด ตีขอบเขตเพียงกำแพงปูนเปลือยง่ายๆ ยามนี้ปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำ ไม้กาฝาก มองเห็นแต่ต้นไม้ครึ้มสูงหนาตายิ่งกว่าอาณาเขตบ้านอัญเรศไพจิตด้วยซ้ำ คนมาทำบุญไม่คับคั่งเหมือนวัดในเมือง เป็นผู้เฒ่าผู้แก่เสียส่วนใหญ่ แม้สนใจหญิงสาวแปลกหน้าผู้ประดับบรรยากาศเรียบง่าย ห่างเหิน และคล้ายผิดที่ผิดทางอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครมายุ่มย่ามกับเธอมากนัก เมื่อหญิงชราคนหนึ่งถามไถ่ที่มาที่ไปและรู้ว่าศญามาจากบ้านอัญเรศไพจิต พยาบาลสาวยิ่งถูกเว้นระยะห่างด้วยท่าทางประดักประเดิดไปใหญ่...บ้านต้องสาป ใครบางคนกระซิบบอกต่อกันเช่นนั้น บางครั้งเหมือนมองเลยไปด้านหลังอย่างระแวดระวัง คล้ายกลัวเห็นใครเกาะตามเธอมาด้วย

แต่เป้าหมายการมาวัดของศญาไม่ใช่เพื่อให้ใครหวาดระแวง หลังถวายสำรับและรับพร หญิงสาวเดินมากรวดน้ำเงียบๆ ข้างต้นพิกุลไร้ดอก สุดท้ายพึมพำประโยคสั้นๆ ซึ่งเอ่ยนับครั้งไม่ถ้วน และจะเอ่ยอีกเนิ่นนานต่อจากนี้ไป

“ได๋ อโหสิกรรมให้เจ้ด้วย...เจ้ขอโทษ”

ภาพบางอย่างผุดขึ้นในความคิดเป็นรอยเลือดเปรอะเปื้อน เสียงหวีดร้องแทบขาดใจของใครสักคนแว่วในสติเลือนราง ร่างแน่นิ่งไร้วิญญาณตรงหน้า ตอนที่ก้มลงอีกครั้งพบว่าสองมือตนเต็มไปด้วยโลหิตคาวข้น...

สายน้ำรินสู่ผืนดินพร้อมชั่วขณะที่มีหยาดหนึ่งจากดวงตาหยดซึมตาม ศญายังคุกเข่านิ่ง ปล่อยให้ลมจางพลิ้วผ่านพร้อมเชื่อว่าใครบางคนจากอีกฟากฝั่งอาจตอบรับถ้อยคำที่ฝากถึง ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือมาจ้องหน้าจอ รวบรวมความกล้าอีกครู่ สูดลมหายใจลึก แล้วกดโทร. ออก

“เจ้เหรอ”

รอไม่นานปลายสายก็กดรับ ศญาไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ เธออึกอัก ประหม่าเสียดื้อๆ ทั้งที่อีกฝ่ายคือน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง แต่อันที่จริงเธอกับเขาก็ไม่สนิทกันอยู่แล้ว

“อื้อ เที้ยงทำอะไรอยู่”

“มาซื้อของเป็นเพื่อนหม่าม้า”

“อ๋อ...” คนเป็นพี่อับจนถ้อยคำอีก เธอแค่อยากโทร. หาเขา ไม่ทันคิดว่าจะชวนคุยเรื่องอะไร “ช่วงนี้เงินพอใช้มั้ย อยากได้อะไรหรือเปล่า”

“เพิ่งจ่ายค่าหอไป แต่มีเหลืออยู่.../ เที้ยง ใครโทร. มาลูก / เจ้ซินอะม้า / อ้อ ซินเหรอ”

เสียงสนทนาที่เล็ดลอดมาไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงใดบนหน้าศญา หญิงสาวยังเรียบเฉย เธอรู้ดีว่าแม่ไม่ตื่นเต้นหรือยินดีกับการติดต่อไปของตน บางทีอาจกระอักกระอ่วนถึงขั้นรำคาญใจด้วยซ้ำ

“งั้นเจ้ไม่กวนแล้วนะ เดี๋ยวจะโอนค่าหอไปให้ ต่อไปถ้าใกล้ครบกำหนดจ่ายอีกก็บอกเจ้ไว้เลย”

“เจ้มีอะไ-”

เธอไม่ปล่อยให้น้องถามจนจบ พอเดาได้คร่าวๆ ว่าคงอยากรู้สาเหตุที่โทร. หา ดีแล้วที่ชิงตัดสายก่อน เอาเข้าจริงศญาคงตอบเที้ยงไม่ได้ว่าทำไมติดต่อหาเขาทุกครั้งหลังทำบุญ คงเป็นความรู้สึกผิดกระมัง ใช่ รู้สึกผิด ขอโทษ ละอายใจ...เธอพรากพี่สาวที่ดีที่สุดในชีวิตเที้ยงไป โดยไม่อาจพาตัวเองเข้าไปแทนที่ได้

นี่คือสิ่งติดค้างตลอดกาลระหว่างทั้งคู่

เพราะตั้งใจมาทำบุญ สิ่งที่ศญาสนใจจึงมีเพียงการทำบุญเท่านั้น หญิงสาวไม่คิดว่าต้องมาแบกรับความรู้สึกแห่งการพลัดพรากอันหนักอึ้งของคนอื่น ซ้ำร้ายเป็นถ้อยกระซิบกระซาบอีกทอดหนึ่งที่บังเอิญได้ยินขณะจูงจักรยานออกจากวัด ไกลจากอีกด้านปรากฏชายชราหลังค่อมผู้หนึ่งเดินตุปัดปุเป๋พ้นเขตศาลาออกมา พร้อมบทสนทนาสองคุณป้าด้านหลังแว่วผ่านโสตพอดี

“ตาผันไม่ใช่เหรอนั่น ไม่เห็นตั้งนาน”

“ใช่ เห็นว่ามาทำบุญครบร้อยวันให้นางพลอย”

“ผอมลงแทบจำไม่ได้ น่าสงสารนะ มีลูกสาวกับเค้าแค่คนเดียวดันโดนฆ่าตายเสียนี่”

ศญาชะงัก คำว่าหญิงสาวกับความตายมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเธอด้วยเรื่องราวซึ่งทับซ้อนเข้ามา และการตายอันไม่ธรรมดายิ่งทำให้คนฟังคล้ายวิงเวียนเข้าไปใหญ่ เธอไม่ชอบฟังอะไรเกี่ยวกับความร้าวราน เรื่องประเภทคนที่จากไปและคนที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่...

“ฮู้ย พอพูดถึงนางพลอย สภาพศพมันยังติดตาฉันอยู่เลย”

คุณป้าด้านหลังยังเล่าต่อโดยไม่รู้ว่าเสียงดังมาถึงใครบ้าง

“เอ็งเห็นด้วยรึ”

“เห็นซี ตอนเขาเจอศพมันท้ายทุ่งก็ฉันนี่แหละไปมุงดูคนแรกๆ คอนี่บาดจนแหว่ง ท้องโดนกรีด ตับไตไส้พุงงี้ไหลออกมาหมด แขนขาก็โดนหักจนผิดรูป เห็นตอนแรกฉันยังนึกว่ามันโดนหมีขย้ำ” คนตอบเว้นจังหวะเพื่อกดเสียงเป็นกระซิบ แต่ยังได้ยินชัดอยู่ดี “เค้าว่าไม่ได้ข่มขืนหรือชิงทรัพย์นะ แค่ฆ่าเฉยๆ เอ็งคิดดูสิ ใจคอคนทำมันวิปริตนัก”

“ชู่...อย่าพูดดังไป ฆาตรกรก็ยังจับไม่ได้ ถ้ามันมาได้ยินเข้าแล้วฆ่าเราด้วยจะทำยังไง”

ประโยคหลังคล้ายเน้นพร้อมรู้สึกถึงสายตาที่ลอบมองกัน แวบหนึ่งศญาเผลอคิดด้วยซ้ำว่า คุณป้าทั้งสองเห็นเธอไม่ต่างจากตัวแทนฆาตกรหรืออย่างน้อยอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง

การเป็นคนจาก ‘บ้านต้องสาปหลังนั้น’ สร้างกำแพงกางกั้นผู้คนด้วยกลไกความลึกลับของตัวมันเอง ถึงตรงนี้ หญิงสาวปะติดปะต่อได้ว่า คงเป็นเรื่องเหตุฆาตกรรมท้ายทุ่งที่ป้าเอี่ยมกับเถ้าแก่สุนัยคุยกันคราวรถพุ่มพวงแวะมาจอด เธอไม่รู้รายละเอียดมากนัก ครั้นฟังคำอธิบายสภาพศพก็อดสะเทือนใจไม่ได้ โดยเฉพาะยามนึกถึงภาพบิดาผู้มาทำบุญครบร้อยวันให้บุตรสาว ชายชราหลังค่อม ผอมแห้ง และโศกเศร้า

ฟิ้ว...

ลมระลอกหนึ่งพัดผ่านพร้อมเสียงเศษใบไม้แห้งเสียง วงนินทากระจายตัวราวกลัวว่าสิ่งที่หอบมาไม่ใช่เพียงอากาศเปล่าเปลือย หากหนักอึ้งด้วยแรงแค้นแสนวิปโยคของเด็กสาวที่พวกนางเพิ่งเอ่ยถึงความตายกันสนุกปากเมื่อครู่ ศญาหรี่ตา ยกมือป้องหน้าจากเศษฝุ่นหรือสิ่งที่อาจสร้างความระคาย ครั้นลืมตาอีกครั้งหลังสายลมลับหาย ภาพที่ปรากฏกลับเป็นรถคาริเบียนสีดำชวนคุ้นเคย และใครคนหนึ่งเปิดกระจกมาทักทาย

“คุณศญา มาทำอะไรแถวนี้ครับ”

“มาทำบุญค่ะ ผู้หมวดล่ะคะ”

ไม่รู้ว่าสมาคมคุณป้าเมื่อครู่อันตรธานไปไหน หรือแม้แต่บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนรอบกายมาได้อย่างไร แต่ต้องยอมรับว่าการเจอทาวัตครั้งนี้สร้างความงุนงงและอุ่นใจในเวลาเดียวกัน...อย่างน้อยเขาก็ไม่มองเธอด้วยสายตาหวาดระแวงหรือตีตัวออกหาก เหมือนศญาเป็นหลุมหล่มแห่งเคราะห์ร้ายจากบ้านต้องสาป

“พอดีหมู่บ้านทางโน้นมีเหตุทะเลาะวิวาทนิดหน่อยครับ แต่ตอนนี้ไกล่เกลี่ยเรียบร้อยแล้ว” เขาว่าพลางเหลือบมองท้องฟ้า “เหมือนฝนใกล้จะตกเลย ทางแถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยวด้วย ยังไงให้ผมไปส่งดีมั้ยครับ”

“แต่ฉันมีจักรยาน...”

“เอาขึ้นรถได้ครับ ไม่มีปัญหาเลย”

ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มลงมายกจักรยานขึ้นรถให้เธออย่างใจดี แถมเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้ด้วยท่าทางแสนสุภาพ ทาวัตไม่ทำตัวใกล้ชิดหรือสนิทสนมกับเธอสักนิด เขาเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม ภายในรถก็สะอาดสะอ้านด้วยกลิ่นดอกไม้จางๆ สะบัดฟุ้ง หวาน เย็น...แบบเดียวกับที่กรุ่นเสมอจากตัวเขา

“เรื่องเมื่อวานคุณคงตกใจมาก”

“อ้อ...ค่ะ จะว่าไปได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นเหรอคะ”

มันเป็นการชวนคุยเพื่อห้ำหั่นความเงียบและบรรยากาศอักอ่วนระหว่างทั้งสอง ศญาเพิ่งรู้ว่าเขาพูดกับตนหลังเผลอคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาก่อนหน้าไปครึ่งทาง ยังไพล่จับใจความเรื่องในหัวแทนที่จะคุยเรื่องศพงูเมื่อวาน

“อ๋อ ใช่ครับ ถ้าหมายถึงศพเด็กสาวท้ายทุ่ง คุณน่าจะได้ยินตอนป้าเอี่ยมกับเถ้าแก่สุนัยคุยกัน”

ศญาปล่อยให้เขาคิดเช่นนั้น ไม่บอกว่าเห็นบิดาของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาทำบุญครบร้อยวัน หรือเล่าเรื่องคำนินทาสนุกปากของคนในวัด

“ชาวบ้านแถวนี้คงตกใจน่าดูนะคะ ได้ยินว่าสภาพศพไม่ดีด้วย”

“ใช่ครับ เป็นเรื่องฮือฮากันพักใหญ่เลย” ปลายนิ้วเขาเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะเบาๆ คล้ายลังเลกับถ้อยคำต่อมา “แต่ในความคิดผมกลับรู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูกครับ...จะว่ายังไงดี มันเหมือนฆาตกรกำลังสร้างงานศิลปะอะไรสักอย่างเลย...”

บทสนทนาชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าหญิงสาวดังขัดจังหวะ ศญายิ้มแหยพลางพึมพำขอโทษอีกฝ่าย ชื่อแม่ครัวจากบ้านอัญเรศไพจิตโชว์หราบนหน้าจอ เสียงเจ้าตัวเล็ดลอดมาทันทีเมื่อกดรับ

“คุณซินทำบุญเสร็จหรือยังค้า”

“กำลังกลับค่ะป้าเอี่ยม มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“พอดีเลยค่ะ ฝากแวะซื้อไข่ไก่ที่ตลาดแถวนั้นให้ป้าหน่อย”

“เอ่อ...ตลาดเหรอคะ” เธอเหลือบมองทาวัต แค่เขาขับรถไปส่งก็นึกเกรงใจมากแล้ว

“แวะได้นะครับ ลัดไปทางนี้นิดหน่อยจะมีตลาดเล็กๆ พอดี”

เหมือนเข้าใจดีโดยไม่ต้องเอ่ยขอ ผู้หมวดหนุ่มตีไฟเลี้ยวเข้าทางลัดรกแคบซึ่งศญาไม่มีวันใช้สัญจรเด็ดขาดหากต้องปั่นจักรยานมาคนเดียว เธอเกร็งไหล่โดยไม่รู้ตัวและกำมือถือแน่น แวบหนึ่งริ้วหญ้าสูงชวนนึกถึงโรงสีร้างและภาพศพงูพิลึกพิลั่นเมื่อวาน

“รบกวนด้วยนะคะ”

หญิงสาวกระซิบเสียงอ่อนพลางกวาดตามองทิวทัศน์ภายใต้ฟ้าเจือเค้าพายุรอบกาย กระนั้น เธอยังทันเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ของอีกฝ่าย ก่อนเขาจะพยักหน้าราวปรารถนาให้วางใจในการนำพา

“ยินดีครับ คุณใช้ผมได้ ไม่รบกวนอะไรเลย”

แม่ครัวของบ้านอัญเรศไพจิตรู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่สุดหลังวางสายจากการไหว้วานซื้อไข่ ป้าเอี่ยมคิดว่าตนทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว ส่วนเรื่องศญาจะไปตลาดเช่นไร หรือเค้าฝนด้านนอกเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางกลับหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องจัดการเอง ในเมื่อเจ้าตัวรับปากแล้วก็ต้องทำให้ได้ ป้าเอี่ยมไม่คิดว่าตนต้องช่วยแบกรับปัญหาหรือรู้สึกผิดหลังจากนั้น

การเห็นแก่ตัวเป็นกลไกเอาตัวรอดที่ดีที่สุด นี่คือวิธีที่หล่อนใช้ชีวิตบนโลกพร่องแพร่งใบนี้

กระนั้น แม้ดื่มด่ำกับความสบายใจหลังรอดพ้นปัญหา หากคุณปรงพบว่าบกพร่องเรื่องจัดการวัตถุดิบ หญิงคนครัวยังประสบบรรยากาศกดดันอันเลวร้ายยิ่งกว่าโดยไม่ทันตั้งตัว จากการเข้ามาของร่างสูงผู้เห็นได้ชัดว่ากำลังไม่พอใจบางอย่าง เอกภพกวาดตามองรอบครัวเป็นอันดับแรก สำรวจเลยไปถึงแปลงผักไร้ระเบียบด้านนอก แล้วหันมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทำให้บรรยากาศกดดันโดยไร้สัญญาณเตือน

“ทำไมผมไม่เห็นศญาเลยครับ”

“อ้อ คุณซินเธอไปวัดตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ เห็นว่ากำลังจะกลับ”

ด้วยความสามารถซึ่งบ่มเพาะมาเนิ่นนาน ป้าเอี่ยมใช้ยิ้มประจบประแจงเข้าสู้ทันที แม้แทบไม่ได้ผลก็ตาม เอกภพยังไม่คลายปมคิ้ว ดูมึนตึงกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“ไปวัด? ไปกับใคร”

“ไปคนเดียวค่ะ”

“แล้วคุณปู่ก็อนุญาตเนี่ยนะ”

“คะ...ค่ะ คุณท่านออกปากยืมจักรยานตาปั่นให้คุณซินด้วยตัวเองเลยค่ะ” คนตอบยังงุนงง นิสัยช่างพูดทำให้หล่อนต้องอดกลั้น ไม่ให้เผลอเล่าว่าเพิ่งฝากฝังศญาไปซื้อไข่ต่อถึงตลาด ป้าเอี่ยมไม่อยากเสี่ยงเอาสัญชาตญาณจำนรรจาไปแลกเขม่ามัวของกับดักระเบิดเบื้องหน้า โดยเฉพาะยามร่างสูงไม่มีท่าทีผ่อนคลายต่อคำอธิบายสักนิด เดิมทีเอกภพดูเรียบเฉยเป็นอาจิณ แม้เขาสุภาพกับหล่อนมาตลอด ทว่าคราวนี้เพิ่มบรรยากาศคร่ำเคร่งจนอดอกสั่นขวันแขวนไม่ได้

แวบหนึ่ง ป้าเอี่ยมยังนึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าด้วยซ้ำ

“ถ้าศญากลับมา บอกเธอขึ้นไปพบผมที่ห้องหนังสือด้วยครับ”

ชายหนุ่มทิ้งถ้อยประโยคไว้เช่นนั้นก่อนเดินจากไปสู่ม่านเงาทะมึนของชั้นสอง ปล่อยให้หญิงคนครัวมองตามกระทั่งแน่ใจว่าเหลือเพียงตนแล้ว เพื่อบ่นพึมพำยามรอบกายมีแต่ความเงียบคอยสดับฟัง

“แล้วจะหงุดหงิดทำไมหว่า แค่ไปวัดไม่ใช่เรอะ คุณเอกนี่แปลกคน”

มันคงเป็นทางลัดจริงดังที่ผู้หมวดทาวัตว่า เพราะลัดเลาะตามตรอกเปลี่ยวร้างมาไม่นาน ทั้งสองก็ถึงเขตชุมชนครึกครื้นกว่าส่วนถนนบ้านอัญเรศไพจิตมากโข แม้ไม่ใช่ตลาดขนาดใหญ่หรือใกล้เคียงเขตการค้าในเมืองนัก แต่แวบหนึ่ง คงเพราะเริ่มคุ้นชินความโดดเดี่ยวและบรรยากาศสงบเงียบ ผู้คนที่เดินพลุกพล่านจึงทำให้ศญาตื่นตาตื่นใจลึกๆ คล้ายว่าตัวเธอเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหยุดเวลาหลังนั้น ซึ่งขังค้างจากเรื่องราวทั้งหลายจนแทบก้าวตามการเคลื่อนหมุนของโลกไม่ทันแล้ว

หญิงสาวเพิ่งค้นพบอีกอย่างคือทาวัตเป็นที่ชื่นชอบของคนแถวนี้ เขาเรตติงดีโดยเฉพาะในหมู่แม่ค้า จนกระทั่งตัวเธอยังได้ส่วนลดราคาค่าไข่ไก่ด้วย ผู้หมวดหนุ่มมักมีรอยยิ้มแสนสุภาพให้ใครต่อใคร ยังช่วยปฏิเสธแข็งขันเมื่อทั้งสองถูกถามว่าเป็นอะไรกัน ‘แค่คนรู้จักครับ’ หรือ ‘เปล่าครับ ไม่ได้คบกัน’ เขาพูดแค่นั้น โดยตั้งใจเว้นการกล่าวถึงบ้านอัญเรศไพจิต เธอคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้ดีว่าชาวบ้านจะมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่ศญาไม่ได้บอกเขาว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลยต่อสายตาคนรอบกาย ต่อให้ผู้คนรู้ว่าเธอมาจากบ้านต้องสาปหลังนั้น นั่นยังเป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเพราะคำปดได้อยู่ดี

ช่วงเวลาหาเรื่องชวนคุยอันเชื่องช้า ขณะทาวัตเล่าให้เธอฟังว่าวันนี้คนเดินตลาดน้อย คงเพราะเมฆครึ้มห่มบรรยากาศจนหนักอึ้ง อีกไม่นานฝนจะตก เขาคงไม่รู้ว่าศญาถูกดึงความสนใจไปสู่กลิ่นรวยรินของบางอย่างซึ่งหอบผ่านพร้อมระลอกลม หญิงสาวชะงัก สูดลมหายใจลึกอีกครั้ง ก่อนสาวเท้าไปร้านขายดอกไม้ที่ไม่มีอะไรมากมาย นอกจากพวงมาลัยห้อยเรียง มัดดาวเรืองกับกล้วยไม้แซมใบเตยสำหรับไหว้พระ และช่อขาวสะพรั่งแย้มบานรับรอยยิ้มเธออย่างเงียบงัน

“เจอแล้ว”

“ครับ?”

“ดอกไม้นี้เองที่ฉันได้กลิ่นมาจากคุณ คิดตั้งนานค่ะว่าเหมือนดอกอะไร”

ศญาว่าพลางก้มลงพินิจ ดมกลิ่นมันเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ผิดแน่...หวานทึบและเย็นในที เป็นกลิ่นหอมโศกกรุ่นจากกายอีกฝ่ายตั้งแต่วันแรกที่ทั้งสองเจอกัน

“กลิ่นจากผมเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ตอนแรกที่เจอคุณฉันคิดว่าคงเป็นน้ำหอม แต่ยิ่งได้กลิ่นยิ่งเหมือนดอกไม้สด เอ่อ...ขอโทษค่ะ ฉันลืมไปว่าผู้ชายบางคนคงไม่ชอบ ถ้าถูกชมว่ามีกลิ่นเหมือนดอกไม้”

“พอดีที่บ้านพักมีดอกไม้พวกนี้ขึ้นเป็นสวนเลยครับ ผมตัดใส่แจกันบ่อยๆ สงสัยกลิ่นติดมา จะว่าไปในรถมีก้านนึงนะครับ” ทาวัตไม่มีทีท่าโกรธเคืองเธอ เขาอธิบายอย่างดี แวบหนึ่งคล้ายขบขันด้วยซ้ำ “แล้วก็...ผมไม่ว่าอะไรหรอกเรื่องที่คุณบอกว่ามีกลิ่นดอกไม้ ค่อนข้างเป็นความคิดคับแคบสักหน่อย ถ้าจำกัดผู้ชายไว้แค่สิ่งที่แข็งกระด้างถึงจะดูสมชาย ความจริงความคิดนี้มีผลกระทบต่อผมด้วยนะครับ พวกรุ่นพี่ตำรวจบางคนไม่ค่อยให้เกียรติกันเพราะผมหน้าหวานไป เค้าว่าผมดูเหยาะแหยะเหมือนพวกผู้หญิง ไม่น่าเชื่อถือ”

“เหตุผลอะไรกันคะเนี่ย งี่เง่าจัง”

ศญาเผลอสบถอย่างยั้งไม่ทัน ใครมันเป็นคนป้ายสีความอ่อนแอให้เพศใดเพศหนึ่งแบกรับ เพื่อตัวเองจะได้เชิดชูตนว่าแข็งแกร่งจากการถือเพศฝั่งตรงข้าม ช่างเห็นแก่ตัว คับแคบ และคร่ำครึโดยแท้ คำว่าเหยาะแหยะเหมือนพวกผู้หญิงทำให้เธอนึกฉุน คนตรงหน้าได้รับผลกระทบเช่นนี้ยิ่งทำให้เธอโกรธ คิดถึงหลายครั้งที่เคยเอ่ยเรื่องนี้จนบิดาไม่พอใจ เธอยิ่งนึกถึงท่าทีโกรธเคืองของท่าน เสียงดุ คำแดกดัน กิริยาปิดกั้นนั้นสร้างแผลใจจนศญาแทบไม่เหลือความกล้าจะพูดถึงความเท่าเทียมกับใครอีก หญิงสาวต้องคอยเก็บงำความคิด รวมถึงต้องขอโทษทุกครั้งหากเผลอเอ่ยอะไรทำนองนี้ มันกลายเป็นปมลึกๆ ข้างในสำหรับเธอที่ความกล้าถูกบั่นทอนเรื้อรัง

ขณะที่คนพูดเพียงหัวเราะ เสมือนสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อย จนกลายเป็นความชินชาสำหรับเขาในฐานะผู้ถูกกระทำ

“อาจฟังดูเว่อร์ แต่มีจริงๆ นะครับ บางทีผมยังคิดเลยว่าถ้าตัวเองไม่มีหน้าตาแบบนี้ อะไรๆ คงดีขึ้น”

ศญาหันไปสบตาเขา นี่อาจเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ทั้งสองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน

“ใบหน้าคุณงดงามมาก และเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดคุณเลยค่ะ ถ้าจะโทษก็โทษโครงสร้างความคิดที่ฝังรากพวกนั้นดีกว่า อย่างเวลาเด็กผู้ชายโดนบังคับให้ใช้สีฟ้า ส่วนเด็กผู้หญิงต้องเป็นสีชมพู...ทั้งๆ ที่เฉดสีบนโลกนี้มีนับร้อยนับพัน ฉันคิดว่าคงดีไม่น้อยนะคะ ถ้าเด็กๆ ได้เลือกสีตามใจพวกเขา โดยไม่ต้องสนใจเรื่องข้อจำกัดทางเพศพวกนี้”

คงเพราะความอัดอั้นสะสมมาจากครอบครัว ยิ่งพูดยิ่งโมโห ยิ่งนึกถึงยิ่งมีอารมณ์ร่วม สังเกตอีกครั้งจึงเห็นว่าคู่สนทนาจ้องมองตนพร้อมรอยยิ้มอ่อนจาง ผู้หมวดทาวัตขยับมายืนข้างเธอช้าๆ ก่อนก้มลงดมช่อดอกไม้ขาวที่ผลิแย้มให้ทั้งสอง

“แล้วคุณล่ะครับ ชอบสีอะไร”

“ฉันเหรอคะ นั่นสินะ ฉันชอบสีอะไร...”

แวบหนึ่ง เธอนึกถึงสีเทาของท้องฟ้าสายฝนจากหอสมุดเมื่อเจ็ดปีก่อน

“ที่จริงผมว่าสีนี้ก็เหมาะกับคุณนะครับ” ชายหนุ่มหยิบช่อดอกไม้กลิ่นรวยรินให้เธอแล้วหันไปจ่ายเงินกับแม่ค้า ปล่อยให้ศญายืนงุนงงท่ามกลางกลิ่นหอมฟุ้งเข้มข้น และละอองฝนที่เริ่มโปรยลงก่อนการร่วงหล่นครั้งใหญ่

“สีขาวเหรอคะ” เธอถามขณะพินิจช่อดอกสะพรั่งในมือ

“ก็ไม่ขาวซะทีเดียว เอาเป็นว่า...สีของดอกซ่อนกลิ่นแล้วกันครับ”

อ้อ…ใช่ ดอกซ่อนกลิ่น เธอนึกชื่อมันออกเพราะคำพูดเขาเมื่อครู่นี่เอง

แม้ซื้อไข่ไก่ไปให้ดังที่รับปาก แต่คล้ายว่าป้าเอี่ยมไม่ซาบซึ้งน้ำใจหรืออยู่ในอารมณ์สนทนาปราศรัยนัก ทันทีที่ศญาก้าวเข้าครัวหลังการมาส่งของผู้หมวดทาวัต หญิงคนครัวก็สร้างช่องว่างระหว่างทั้งสองชัดเจนราวโกรธอะไรกันมา หล่อนระบายลมหายใจเฮือก บ่นหงุงหงิงว่าศญามาช้าไม่ดูเวล่ำเวลา ขณะรับถุงไข่ไปถือไว้ ก่อนผลักไสให้ขึ้นไปหาเอกภพบนห้องหนังสือ จบธุระแค่นั้น ลืมกระทั่งคำขอบคุณ

ฝนฟ้าไม่มีทีท่าซาลง บรรยากาศโถงทางเดินชั้นสองเดิมทะมึนอยู่แล้วจึงคล้ายแต้มเฉดทึบขึ้นอีก กลิ่นลมชื้นปนหนาวยะเยือกไม่รู้ลอดผ่านช่องห้องหับจุดใดของบ้านก็เลียบต่ำจนชายกระโปรงพะเยิบ ดวงตาไร้ที่มาจ้องมองหญิงสาวพร้อมเสียงกระซิบกระซาบปะปนสายฝน...มันมีเสียงเช่นนั้นอยู่จริงๆ ท่ามกลางพายุฟ้าฝน เพื่อรอให้ชัดเจนขึ้นในจังหวะของความเงียบ คล้ายชายแก่ตะโกนอย่างคลั่ง หรือหญิงสาวครวญคราง หรือบทสวดบางอย่าง ปะปนไม่เป็นภาษา เซ็งแซ่ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง

เหมือนภาพซ้อนของความทรงจำวันคืนร่มในหอสมุดเมื่อเจ็ดปีก่อน เอกภพนั่งอย่างมั่นคงตรงโต๊ะทำงานราวบรรยากาศรอบกายไม่มีผลกระทบสักกระผีกริ้น เขากำลังเขียนบางอย่างลงสมุดบันทึก ไม่เสียเวลาฟังกระทั่งลมกรรโชกหรือกระหึ่มครางของสายฟ้าจากที่ไกลๆ มันคือความเยือกเย็นที่ไม่ได้เกิดจากการสั่งสม ทว่าติดตัวมาดั่งเลือดเนื้อและแขนขา ต่างก็เพียงท่าทีซื่อตรงแบบเด็กหนุ่มที่ช่วงวัยนั้นจะมีอันตรธานไปแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าศญามาถึง เขายังสนใจการจดบันทึกยาวเหยียดนั่นมากกว่าจะเบนสายตามามองกัน แม้เริ่มเอ่ยบทสนทนา

“ป้าเอี่ยมบอกผมว่าคุณไปวัด”

“ใช่ค่ะ ฉันไปทำบุญ แล้วแวะซื้อไข่ไก่ที่ตลาดด้วย” หญิงสาวขยับไปใกล้อีกฝ่ายเล็กน้อย เธอกลัวว่าเสียงฝนตกจะทำให้เขาไม่ได้ยิน แต่คนตรงหน้ากลับไม่แสดงอาการอื่นใด นอกจากถามต่ออย่างเรียบเฉย

“ไปยังไง”

“จักรยานค่ะ ฉันยืมจักรยานลุงปั่น”

“คนเดียว?”

“ค่ะ แต่ขากลับหมวดทาวัตมาส่ง”

จนแล้วจนรอด ศญาไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนตกอยู่ในสถานการณ์ราวกับจำเลยถูกไล่ต้อนหน้าบัลลังก์ศาล เธอคิดว่าบางทีสายตาระแวดระวังดั่งมองบุคคลต้องสงสัยของคนบ้านอัญเรศไพจิตอาจลามมายังเอกภพแล้ว ศพงูเมื่อวานคงกระตุ้นความแคลงใจที่เขามี ไม่แน่ว่าเสี้ยวขณะใดขณะหนึ่ง...ชายหนุ่มอาจนึกเสียใจย้อนหลังด้วยซ้ำ กับการเลือกจ้างงานพยาบาลผู้ดึงดูดแต่เหตุอับโชคเช่นเธอ

ความคิดสะเปะสะปะไหลวน ความชื้นจากสายฝนทำให้ศญาปวดหัวหนุบๆ เหลือบมองอีกครั้งก็พบว่าเอกภพยังคงเขียนงาน เขาปล่อยให้ความเงียบสยายปีกคลุมห้องหนังสือ ทิ้งค้างความทรงจำครั้งคืนร่มไว้ในที่ทางมันตรงนั้นโดยไม่เคยรับรู้ถึงการดำรงอยู่ และตอบรับอย่างไม่ใส่ใจเสียงเคาะ พร้อมการปรากฏตัวของเด็กรับใช้คนใหม่ซึ่งเยี่ยมหน้าอ่อนใสเข้ามา กวาดตามอง และยิ้มหวาน

“ขออนุญาตค่ะ”

เหมือนเมื่อวาน ลินจงยกถาดชามาเสิร์ฟเจ้านายตามหน้าที่ เอกภพแตกต่างจากปู่ตรงที่ไม่เคร่งครัดเรื่องของว่างนัก ส่วนใหญ่รับชาฝรั่งหรือกาแฟดำ เด็กสาวอาจผิดพลาดบ้างในกรณีคุณบุรี แต่หล่อนจะราบรื่นเมื่อรับใช้ส่วนของหลานชาย ว่ากันตามจริง เขาเป็นเจ้านายที่ปฏิบัติด้วยง่ายยิ่งกว่าผู้ดูแลอย่างคุณปรงด้วยซ้ำ

ความจริงข้อนี้ทำให้ศญาเกือบวางใจและวางตัวในฐานะผู้สังเกตการณ์ กระทั่งเหลือบเห็นวินาทีที่ลินจงก้มลงเทน้ำชา

...ภาพเด่นหราใต้คอเสื้อแหวกเว้าคือสองเต้าอัดแน่นเนื้อหนังแห่งวัยแรกแย้ม กลมกลึงเป็นอิสระไร้ยกทรงปิดบัง หล่อนยังก้มค้างเช่นนั้น...รอคอย กระทั่งผู้เป็นเจ้านายเอ่ยตอบโดยไม่เงยหน้ามอง

“ผมมีเรื่องคุยกับคุณศญาสองคนครับ ขอบคุณสำหรับชา แล้วฝากปิดประตูให้ด้วย”

ไร้แววหวั่นไหว ระทึกใจ หรืออึกทึกแห่งปรารถนารุมเร้า ศญาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารับรู้ถึงโคมสะพานแห่งเสน่หาที่อีกฝ่ายทอดไว้หรือไม่ เพิ่งนึกขอบคุณเสียงฝนด้านนอกกับการกลบห้วงจังหวะหายใจหนักๆ ของเธอเอง

ศญาตอบไม่ได้ว่ารู้สึกเช่นไร อาจหึงหวงเอกภพในฐานะคนเคยแอบรัก หรือเห็นอกเห็นใจลินจงในฐานะคนเคยแอบรักอีกเช่นกัน  เด็กสาวหน้าม้านไปแล้ว หล่อนตะกุกตะกักรับคำแล้วออกจากห้อง กระทั่งทุกอย่างกลับคืนสู่บรรยากาศความเงียบระหว่างสองคน ชายหนุ่มค่อยเงยหน้ามาสบตาเธอแล้วพูดต่อ

“เมื่อคืนผมโทร. ไปถามคุณย่าเรื่องคนชื่อกิมแซน แต่ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ คุณย่าบอกว่าคนที่รู้เรื่องนี้ดีน่าจะมีแค่คุณปรงเท่านั้น”

“งั้นหรือคะ...”

คนฟังลอบกลืนคำพูดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ลงคอก่อนตอบรับอย่างหนักใจ สิ่งที่เขาบอกไม่ผิดจากที่เธอคิด ชื่อกิมแซนและตัวตนของหล่อนเลือนรางไม่ต่างจากเงาหมอกสลายบนผิวน้ำ ราวกับโลกใบนี้เหลือเพียงคุณปรงและคุณบุรีที่ยืนยันการมีอยู่นั้นได้

“บอกผมได้มั้ยว่าอะไรทำให้คุณคิดติดใจชื่อนี้นัก”

ศญาเผลอเม้มปาก เธอลองชั่งน้ำหนักกับความกล้าดูสักครั้ง

“คุณจะว่าฉันคิดไปเองก็ได้นะคะ แต่บางครั้ง...เหมือนว่าคุณบุรีมองฉันเป็นกิมแซนคนนั้นค่ะ”

เอกภพหยุดเขียน เขาวางปากกาลงก่อนกุมมือเท้าศอกบนโต๊ะ ดวงตาคู่คมจ้องมองท่ามกลางเสียงลมครวญครางและบทสวดสายฝนซ่านเซ็น

“คุณรู้สึกไม่ปลอดภัยหรือเปล่า”

“ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ อย่างที่บอก มันเป็นแค่ความรู้สึกบางครั้งเท่านั้น แค่แวบสั้นๆ ด้วย”

ชายหนุ่มเคาะนิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด

“คุณจะบอกผมใช่มั้ยศญา ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”

เขาคงไม่รู้ว่าถ้อยคำเพียงเท่านั้นทำให้คนฟังชะงักด้วยความรู้สึกเช่นไร นานมากแล้วที่ศญาชินกับการเก็บงำเรื่องราวไว้ในใจ เผชิญปัญหาและแก้ไขคนเดียวโดยปราศจากมือช่วยประคอง การเป็นลูกคนโตที่พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงมาทำให้เธอไม่สนิทกับคนในครอบครัว และคนปากหนักเช่นเธอรู้แต่วิธีแบกรับ สุมเข้ามากดเก็บอยู่เช่นนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร โดดเดี่ยวเกินกว่าจะค้นพบคำว่าพึ่งพาหรือแบ่งเบาได้ นี่กระมังสาเหตุที่เพื่อนๆ มักบอกว่าศญาเป็นคนขี้เกรงใจ เพราะหญิงสาวไม่เคยแสดงความทุกข์ยากข้างในให้ใครต้องลำบากใจกับเธอเลย

ถ้อยคำแสนธรรมดาเมื่อครู่จึงพิเศษสำหรับคนฟัง ศญามองเขาและยิ้มอีกครั้ง

“ค่ะ ฉันจะบอกคุณ”

...ด้วยทำนองของหัวใจที่สั่นไหวผิดเพี้ยน สองแก้มผะผ่าว ทำให้เธอไม่อาจอยู่ใกล้เอกภพอย่างนิ่งเฉยนานนัก

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอกลับไปทำงานก่อนนะคะ”

โดยไม่รอคำอนุญาต พยาบาลสาวรีบพาตัวเองและห้วงจังหวะครึกโครมข้างในถอยห่างจากคนตรงหน้า ก่อนชะงักอีกครั้งกับถ้อยคำที่เขาเอ่ยตามมา

“ครั้งหน้าถ้าคุณอยากไปวัดหรือออกไปข้างนอก ผมจะพาคุณไปเอง”

คนฟังหันกลับไปยิ้มแหยทันที “ฉันเกรงใจค่ะ นี่ก็รู้จักทางแล้วด้วย”

“แต่ผมไม่สบายใจ ผมเป็นคนพาคุณมาที่นี่ ถือว่าความปลอดภัยของคุณอยู่ในความรับผิดชอบของผมด้วย”

เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนก้มลงเขียนอะไรสักอย่างในสมุดบันทึกต่อ ธุระของทั้งสองจบลงแล้ว

กระนั้น…อย่างเงียบงันและไม่มีใครรู้ตัว สิ่งที่คงอยู่กลับเป็นความเว้าวอนซึ่งลอบหลงเหลือมาแต่ครั้งมนตร์ขลังจากรักแรก

พร่างพรมผ่านกลิ่นไอฝนและหอมรางๆ ของบางอย่างรอบกาย...

บ้านอัญเรศไพจิตตกอยู่ในความเงียบยามดึกสงัด สายฝนสาดกระหน่ำช่วงกลางวันหยุดลงแล้ว เหลือเพียงอากาศเย็นๆ และหมอกจางเริงระบำทั่วบริเวณบ้านดุจชายผ้าอาภรณ์หญิงสาว เหยียดสยายแหวกว่ายเชื่องช้า ผ่านกอดาหลา คาคบไม้ อิฐหินดินปูน ย่างสัมผัสสู่ทุกการกำเนิดและแตกดับในขอบรั้วอันไร้อิสระของบ้านทั้งหลัง ความมืดเองก็เช่นกัน มันเป็นนายยามค่ำคืน นิ่งงันอยู่ตามมุมเงา ราวทวารบาลคอยเฝ้ามองทุกความเป็นไป นานๆ ครั้งจะมีเสียงบางอย่างกระโดดจ๋อมลงบึงบัวดังมาถึงระเบียงชั้นสอง อาจเป็นปลาตัวใหญ่เท่าพรายน้ำที่ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ หรือกบหน้าง้ำที่อัตวินิบาตกรรม โดยไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนว่ายน้ำเป็น

เสี้ยวจันทร์แขวนหมิ่นเหม่บนฟ้าส่องแสงพอเห็นเงาราง ตกกระทบเด็กสาวผมยาวสยาย ผู้ก้าวไร้เสียงบนโถงทางเดินเบื้องหน้าห้องนอนใหญ่ ลินจงดูผุดผาดกลางความมืดด้วยชุดนอนสีขาวกรอมเท้า ด้วยท่วงท่าเนิบนาบ ผ่านความทึบหม่นของเครื่องเรือนด้วยการกวาดตามองทีละชิ้น ราวกับหล่อนเป็นเจ้าของพวกมันมาเนิ่นนาน พลันนิ่งค้างเมื่อมีเสียงจากข้างหลัง

“เธอขึ้นมาทำอะไรที่นี่”

มันคือความหนาวที่ไม่ได้มาจากอากาศรอบกาย ยะเยือกและเสียดลึกแทบสะดุ้งโหยง ไม่ไกลกันนัก เบื้องหน้าความมืดทอดยาวตรงนั้นคือร่างสูงของคุณปรงยืนจ้องหล่อน ดวงตาเรียวรีปานบาดเด็กสาวเป็นริ้ว ยังเป็นสาเหตุความหวาดหวั่นที่ทำให้ลินจงทิ้งกิริยาเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว หล่อนเผลอถอยหลัง สั่นเทา และก้มหน้างุด

“หนู...หนูลืมไม้ขนไก่ไว้ตอนบ่ายเลยจะขึ้นมาหาค่ะ”

“ลงไป พรุ่งนี้ตอนกลางวันค่อยขึ้นมาเอา อย่าขึ้นมาชั้นสองสุ่มสี่สุ่มห้าอีกถ้าไม่ได้รับอนุญาต”

ชายชราสั่งสิทธิ์ขาดไร้แววเมตตาหรือผ่อนปรน หากลินจงคิดรั้งตัวเองไว้ การไล่ครั้งต่อไปจะไม่ใช่แค่บริเวณชั้นสอง ทว่าเป็นบ้านอัญเรศไพจิตทั้งหลัง และเขาเอาจริงแน่

“ค่ะ...”

เด็กสาวยังไม่กล้าเงยหน้าประสานสายตา หล่อนโค้งหัวเล็กน้อย ก่อนรีบสาวเท้าจากไปในเงามืดดำสู่บันได ทิ้งคุณปรงยืนมองกระทั่งแน่ใจว่าทั่วบริเวณไร้แววสรรพชีวิตใดหลงเหลือ เขาปล่อยให้ภาพหมอกจางลอยเคลื่อนผ่านซุ้มไม้เลื้อยนอกระเบียงครู่หนึ่ง กระทั่งบึงบัวถ่มเสียงน้ำดังจ๋อมอีกครั้ง แล้วค่อยเหยียบย่างผ่านแสงจันทร์สลัวเข้าห้องนอนใหญ่ แล้วพบคุณบุรี อัญเรศไพจิตผู้เป็นนายนั่งลืมตาบนเตียงกว้าง รายล้อมกลิ่นบัวบางเบาจากแจกันข้างกาย เงาหม่นทำให้ใบหน้าซึ่งเคยหล่อเหลาครั้งอดีตดูแก่ชราลงหลายปี

“ฉันนอนไม่หลับ”

คุณบุรีทำลายความเงียบขึ้นก่อน และไม่ว่าอะไรด้วยที่คุณปรงไม่คิดเปิดไฟ ผู้เป็นนายหมกมุ่นกับความคิดบางอย่างจนลืมใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น

“กิมแซนเรียกฉัน เธอเรียกฉันตลอดเวลาเลยปรง”

คุณปรงก้มลงเก็บผ้าคลุมตักซึ่งหล่นอยู่ปลายเตียงเมื่อไรไม่ทราบขึ้นมาพับ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“วันนี้อากาศชื้น ผมจะเอาผ้าห่มมาให้อีกผืน แล้วจะลงไปหาอะไรอุ่นๆ ให้คุณดื่ม...”

“ใช่...ชื้น ฝนตก ข้างล่างคงหนาวมาก ฉันต้องพาเธอขึ้นมา”

ไม่ว่าเปล่า ประมุขแห่งบ้านอัญเรศไพจิตยังตั้งท่ารีบร้อนลุกจากเตียง คู่สนทนาต้องตรึงไหล่ทั้งสองข้างไว้ คุณปรงประสานตากับผู้เป็นนายผ่านความมืด จ้องมองแววสะท้อนที่คุ้นเคยนับแต่ยังเยาว์คู่นั้น ส่งผ่านรอยแข็งกร้าวที่โลกนี้ไม่มีใครเข้าใจนอกจากพวกเขาทั้งสอง ก่อนเค้นเสียงกระซิบแผ่วจางยิ่งกว่าความเบาหวิวใด

“คุณพาเธอขึ้นมาไม่ได้ เราสัญญากันไว้แล้ว”

คุณบุรีชะงัก ไม่มีอาการโกรธเคืองหรือต่อต้าน เพียงขออย่างเดียวเท่านั้น

“ฉันอยากคุยกับศญา”

อาจเพราะคาดเดาไว้แล้ว คนฟังจึงเก็บท่าระบายลมหายใจไว้ได้ แต่ลืมผ่อนแรงบีบไหล่ผู้เป็นนาย “คุณต้องหยุดมองว่าศญาเป็นตัวแทนของเธอได้แล้ว”

“แต่ศญา...”

“พักผ่อนเถอะครับ ผมจะเอาชามาให้”

โดยไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธ คุณปรงผละจากคู่สนทนาแล้วปลดม่านหัวเตียงคลุมรอบชายชรา กางกั้นกระทั่งแจกันบัวซึ่งเอนก้านหากันดุจเรียวมือไขว่คว้า เพื่อปล่อยให้ความมืดยามค่ำคืนโอบล้อมห้องหกเหลี่ยมที่ใช้กักขังหัวใจอับปางดวงหนึ่งมาหลายสิบปี ขณะที่เขาเดินผ่านระเบียงกว้าง คุณปรงพลันชะงักยามหันไปจ้องมองบึงน้ำสงบนิ่ง ยามฝนเพิ่งตก คืนนี้หมอกหนากว่าปกติ กลิ่นอากาศชื้นๆ ปนหอมบางติดปลาย วูบหนึ่งเกิดเสียงจ๋อมและผิวน้ำกระเพื่อมอีกครั้ง ระลอกคลื่นก็สะท้อนวงกว้าง

...จากกึ่งกลางที่เป็นภาพคล้ายใบหน้ามนุษย์ผุดกลางบึง ขาวโพลน เล็กจ้อย...เหมือนภาพลวงตา หรืออาจเป็นแค่บัวสักดอกเพิ่งชูช่อพ้นน้ำ

“เธอไม่ใช่คนของที่นี่...ไม่เคย เธอเองก็รู้ดีอยู่แล้ว”

ไม่มีใครตอบได้ว่าถ้อยคำนั้นส่งผ่านไปถึงใคร คุณปรงเลิกสนใจบึงบัวอย่างสิ้นเชิงขณะเดินหายไปในความมืดดำแห่งบ้านอัญเรศไพจิต ที่ซึ่ง-ก็เช่นกัน จะกักขังเขาไว้ชั่วกัลปวสาน จวบจวนกายและลมหายใจสะบั้นจากกัน


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น