บทที่ ๙

ตั้งแต่ค้นพบเรื่องผิดปกติของเด็กลินจงในเช้าวันนั้น ศญาไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหล่อนอีกเลย

ราวกับเดินสวนคนแปลกหน้าใต้ชายคาเดียวกันทุกเช้าค่ำ ทั้งสองไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเกินการสั่งงานเล็กๆ น้อยๆ หรือตอบคำถามเท่าที่อยู่ในขอบเขตการทำงาน ทีแรกเด็กสาวไม่รู้ตัว ถึงขั้นเทียวถามเรื่องเอกภพอยู่เนืองๆ เช่นเป็นคนยังไง มีแฟนหรือยัง ชอบผู้หญิงแบบไหน เมื่อมีการทิ้งระยะห่างมากขึ้น พักหลังลินจงเริ่มสังเกตเห็นและเฉยเมยกลับ...ติดจะเย็นชาจนบางคราวถึงขั้นกระแทกกระทั้นด้วยซ้ำ หล่อนเริ่มกระแนะกระแหนผ่านป้าเอี่ยม ประชดประชัน เรื่องตนเป็นเพียงคนใช้เลยไม่มีใครอยากสมาคม ทั้งที่ไม่เกี่ยวกันสักนิด ลินจงเข้าใจว่าศญากันท่าเรื่องผู้ชาย พยาบาลสาวเองก็คิดว่าปล่อยไปเช่นนั้นดีกว่าความแตกเรื่องแอบฟังหน้าห้องน้ำ

กระนั้น เช้าวันแดดจ้าขณะนั่งร่วมโต๊ะอาหารบนระเบียงชั้นสองดังปกติ เด็กลินจงก็เดินมาหาเธออย่างเงียบเชียบ หลบตาเสียไม่ได้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่างเหิน

“มีคนมาหาคุณพยาบาลค่ะ”

“ทะเล่อทะล่าเข้ามาแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ไม่เห็นรึไงว่าคุณท่านกำลังทานข้าวอยู่”

คุณปรงตำหนิอีกฝ่ายทันที คุณบุรีผู้ถูกกล่าวถึงเพียงพยักหน้าแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย

“ใครกันล่ะที่มา”

เด็กสาวหน้าง้ำไปแล้ว ลินจงดูอัดอั้นจากการถูกดุด้วยเรื่องที่ตนเพียงเป็นธุระอีกต่อ เกี่ยวเนื่องกับศญาซึ่งนึกชังนักหนาเป็นทุนเดิม หล่อนเหลือบมองเอกภพที่ไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้น แล้วเอ่ยหวังให้คำตอบนี้ชัดเจนในความหมายที่คนฟังจะนำไปต่อยอดกันเอง

“ตำรวจชื่อทาวัตค่ะ มาขอพบคุณพยาบาลโดยเฉพาะ”

“อ้อ ผู้หมวดคนนั้นหรือ” ชายชราเจ้าของบ้านพึมพำก่อนหันหน้ามาหาเธอ “ไปสิ อาจจะมีธุระสำคัญก็ได้”

ศญารับคำแล้วผละไปทันที เธอเหลือบเห็นแววตำหนิจากคุณปรง ประกายแข็งกระด้างต่อกันของเด็กรับใช้ และท่าทีเรียบเฉยตั้งแต่ต้นของเอกภพที่ดูไม่ออกว่าคิดอย่างไร...แต่จะให้เขาคิดอะไรล่ะ ความสัมพันธ์ทั้งคู่เบาบางกว่าสายตาลินจงมองเห็นนัก หากมีใครคนหนึ่งมองกันด้วยแววอาทรกึ่งครุ่นคิดจนลับตา เห็นจะมีแต่คนบุรีคนเดียวเท่านั้น

ทว่า นั่นก็เพียงแวบเดียว ก่อนเขาจะหันไปจดจ่อบึงบัวดังเดิม

ผู้หมวดทาวัตรอเธออยู่ในศาลาที่ทั้งสองเคยคุยกันครั้งเกิดเรื่องงัดแงะบ้าน ศาลาเดิมที่เขาช่วยเธอไว้จากงูดุร้ายนั่น กอดาหลาซึ่งถูกคุณปรงสั่งตัดจนบางตาเริ่มแทงยอดใหม่ หน่อสีเขียวอ่อนกับกลิ่นฤดูฝนสร้างบรรยากาศผลิบานแทนทึบทะมึน มันดูปลอดโปร่งภายใต้แสงอาทิตย์ซึ่งสะท้อนใบหน้าชายผู้งดงามที่สุดอีกที เขายืนท่ามกลางริ้วแดดอ่อนใส ดวงตาติดไฝเสน่ห์คู่นั้นจ้องมาตั้งแต่วินาทีที่ศญาเดินออกจากตึกใหญ่ ดวงตาสื่อยิ้มก่อนริมฝีปาก ทั้งบางเบา เปี่ยมสันติจนหญิงสาวผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว

“คุณทาวัตมาแต่เช้าเลย มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

“ขอโทษด้วยครับ ผมตั้งใจจะแวะมาที่นี่ก่อนไปทำงาน ไม่ทราบว่ารบกวนคุณหรือเปล่า”

ผู้หมวดทำหน้าลุแก่โทษพลางขยับให้ศญาเข้ามายืนในศาลาเดียวกัน กลิ่นดอกไม้ขาวกรุ่นจางรอบกายเขาเหมือนเงา หญิงสาวเพียงหยุดยืนตรงทางเข้า เธอพยายามควบคุมสายตาไม่คอยมองพื้นยามสนทนา ความคิดหลอกหลอนวกวนว่าอาจมีงูพุ่งออกมาตลอดเวลานั่นด้วย

“ไม่ค่ะ ไม่เลย”

ศญาไม่ซักไซ้ถามธุระ เธอเพียงปล่อยความเงียบเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเอ่ยต่อ และทาวัตก็เข้าใจ

“พอดีคืนนี้ที่หมู่บ้านใต้มีงานวัดครับ เลยมาลองถามคุณดูว่าสนใจไปด้วยกันมั้ย” เขานิ่งคิดเล็กน้อย ดูขัดเขินเสียเองจนรีบออกตัว “อาจไม่ใช่งานใหญ่เหมือนที่จัดกันในเมือง แต่ครึกครื้นพอตัว เผื่อว่าคุณอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศดูน่ะครับ”

อันที่จริงศญาค่อนข้างเข้าใจความหมายของเขา นับตั้งแต่มาบ้านอัญเรศไพจิตหญิงสาวก้าวออกนอกขอบรั้วนับครั้งได้ เท่าที่ไล่ดูมีเพียงโรงสีร้าง วัด กับตลาดซึ่งทาวัตพาไปคราวก่อน กระนั้น ด้วยสถานะลูกจ้างทำให้เธอกล่าวแบ่งรับแบ่งสู้แทน

“เรื่องนี้ฉันต้องขออนุญาตคุณบุรีก่อนค่ะ เอาอย่างนี้มั้ยคะ ฉันขอเบอร์คุณไว้ ถ้าได้รับอนุญาตแล้วจะส่งข้อความไปบอก”

“ได้ครับ ยินดีเลย”

ทั้งสองแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กันก่อนศญาจะเดินไปส่งเขาหน้าบ้าน ขณะก้าวขาขึ้นรถแคริเบียนคู่ใจ ผู้หมวดทาวัตก็หันมาสบตาอีกครั้ง พร้อมถ้อยคำเจือความรู้สึกบางอย่างจนหญิงสาวนิ่งค้าง

“ผมจะรอข้อความจากคุณนะครับ...แล้วพบกันใหม่”

เสมือนสิ่งสามัญของคำสัญญา ราวกับการพบหน้าคือเรื่องที่ไม่มีทางหลีกพ้น

อาหารมื้อเช้าใกล้จบลงแล้วเมื่อศญากลับขึ้นไป เอกภพกับคุณปรงเปลี่ยนไปจิบชาขณะคุณบุรีละเลียดข้าวต้มอย่างไร้ทีท่ารีบร้อน ครั้นเห็นพยาบาลสาวกลับมาร่วมโต๊ะ เจ้าของบ้านค่อยหันมาสนใจบรรยากาศบนโต๊ะอาหารและทักถามอย่างใจดี

“คุยธุระเสร็จแล้วหรือ”

“ค่ะ พอดีผู้หมวดทาวัตเธอแค่ชวนไปงานวัดที่หมู่บ้านใต้คืนนี้เฉยๆ ค่ะ”

“แล้วเธอก็ตกลง?”

คุณปรงขมวดคิ้วพร้อมชำเลืองมองด้วยดวงตายาวรีคู่นั้น เหมือนครูฝ่ายปกครองกวาดหาเสี้ยวความผิดของนักเรียนจากกฎระเบียบอันเคร่งครัด ศญาเองก็เป็นศิษย์ชังของเขา ต่อให้เรียบร้อยหัวจดเท้า เพียงการปรากฏตัวก็ถือเป็นโทษอยู่ดี

“ยังค่ะ ซินบอกไว้ว่าจะมาขออนุญาตจากคุณท่านก่อน”

แม้พยายามพึ่งพาคุณบุรีผ่านบทสนทนา แต่คุณปรงยังจิกเธอไม่ปล่อยอยู่ดี

“เป็นผู้หญิงจะไปเที่ยวกับผู้ชายกลางค่ำกลางคืนสองต่อสองได้ยังไง อันตราย ตำรวจสมัยนี้ก็ดีเหลือเกิน ทีเรื่องงานไม่เห็นคืบหน้า ยังมีเวลามาชวนคนอื่นไปเที่ยวงานวัดอีก”

“แล้วใจคุณอยากไปมั้ย” เอกภพซึ่งอยู่กับความเงียบมาตลอดเอ่ยขัดถ้อยคำเหล่านั้น ราวกับไม่ได้ฟังคุณปรงมาตั้งแต่ต้น ชายหนุ่มวางแก้วชาพลางสบตาเธอ แค่นั้นศญาก็หน้าร้อนผ่าวอย่างไม่อาจควบคุม

“ฉัน...ไม่รู้สิคะ”

แม้เป็นคนช่างเก็บถ้อยคำแถมค่อนไปทางจืดชืดอยู่บ้าง แท้จริงแล้วศญาชอบบรรยากาศรื่นเริง เทศกาล และความคึกคักของการเดินท่ามกลางผู้คน

มันเป็นนิสัยติดจากความเคยชินสมัยเด็ก ครั้งตายายพาเดินเที่ยวงานประจำจังหวัดทุกปี ไม่ถึงกับเริงร่าหรือกระโดดโลดเต้นอะไร เธอแค่เป็นเธออย่างนั้น ให้คู่รักวัยชราจับมือทั้งสองข้าง มองผู้คนเดินขวักไขว่ ฟังเสียงดนตรีคลอผ่านหูไปไม่เคยดับ หวั่นไหวกับข้าวของที่คิดอยากได้แต่ไม่เคยขอให้ยายซื้อ แล้วตาผู้แก่เกินกว่าจะอุ้มหลานขี่คอก็ถือขนมสายมาไหมมาให้ มอบยิ้มอ่อนหวาน ก้มจูบแก้ม เมื่อเห็นมือเธอไม่ว่างให้จับก็เปลี่ยนไปกุมมือยายแทน เงากระทบจากแสงไฟเกิดภาพการเคียงข้างของทั้งสองและเด็กหญิงตัวน้อย ทอดยาวท่ามกลางละอองอากาศและผู้คนคลาคล่ำ...งานเทศกาลสำหรับเธอคือความทรงจำเหล่านั้น

อยากไปไหม...ต้องอยากไปสิ แม้รู้ดีว่าอะไรๆ ไม่เหมือนเดิมก็ยังอยากไป ไม่รู้สึกทุรนทุรายหรือดั้นด้นเพื่อเติมเต็มความต้องการ ศญาแค่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ เท่านั้น

“เรื่องนี้คงต้องแล้วแต่คุณท่านอนุญาตค่ะ” เธอยื่นการตัดสินใจให้คุณบุรีด้วยยิ้มที่ไม่คลายลงสักนิด

“โตๆ กันแล้ว ฉันไม่ใช่พวกเผด็จการที่จะบังคับอะไรใคร ถ้าอยากไปฉันก็อนุญาต ที่ไปด้วยกันนั่นก็ตำรวจ น่าจะปลอดภัยอยู่แล้ว”

ไม่มีใครเอ่ยต่อหลังถ้อยคำของคุณบุรีจบลง ประมุขแห่งบ้านอัญเรศไพจิตวางช้อนข้าวต้ม ปฏิเสธการรับชา แล้วให้ศญาประคองกลับไปนั่งเก้าอี้หวายเบาะนวม เพื่อใช้เวลาที่เหลือห่อหุ้มตนดังที่ทำมาตลอด คุณปรงก็ผละไปคุมงานลุงปั่นตัดกิ่งไม้ด้านล่างหรือคงจ้ำจี้จ้ำไชป้าเอี่ยมเรื่องอาหารตามปกติ มีเพียงหลานชายคนเดียวอย่างเอกภพแสดงท่าทีแตกต่างไปเล็กน้อย

เขาไม่กลับไปทำงานในห้องหนังสือดังเดิม แต่ย้ายมานั่งข้างเก้าอี้หวายของปู่ เหลือบมองเธอ กระแอมกระไอเล็กน้อยค่อยเอ่ยถาม

“ศญา คุณจะไปกี่โมง”

“ไม่ทราบสิคะ คงเย็นๆ หลังดูแลคุณท่านเรียบร้อยแล้ว”

หญิงสาวเอ่ยตอบโดยไม่ปิดบัง แต่เธอไม่รู้สักนิดว่ามันไม่จบลงง่ายดายแค่นั้น...

ช่วงสาย ตอนดอกบัวบานสะพรั่งรับแดดเต็มบึง เอกภพยังคงนั่งที่เดิมพร้อมงานซึ่งนำมาทำด้วย ขณะที่พยาบาลสาวจะเริ่มอ่านหนังสือเล่มใหม่ให้คุณบุรีฟัง เขาก็เงยหน้ามาถามอีกครั้ง

“ศญา คุณไปยังไง ทางนั้นมารับหรือไปเอง”

...ช่วงเวลาอาหารเที่ยง เขาช่วยเธอประคองปู่ไปโต๊ะกินข้าว ขยับเก้าอี้ให้แล้วก้มลงกระซิบ

“ศญา งานวัดที่ว่านั่นอยู่ไหน”

...ยามแดดบ่ายรอนๆ ลอดช่องซุ้มไม้เป็นร่องแสงจางๆ ศญาเลือกท่วงทำนองอ่อนหวานสำหรับเพลงเต้นรำ เขาก็เดินมาใกล้ เอ่ยถามขณะเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง

“ศญาคืนนี้คุณตั้งใจว่าจะกลับเมื่อไหร่”

ขณะช่วยป้าเอี่ยมจัดโต๊ะอาหารเย็นช่วงตะวันชิงพลบ สีส้มแก่อาบเคลือบทั่วท้องบึง เขาก็มาจัดช้อนส้อมข้างกันทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยตกเป็นหน้าที่ เพียงเพื่อเอ่ยเสียงทุ้ม

“ศญา...”

“คุณเอกคะ”

หญิงสาวหันขวับพร้อมยิ้มไม่จืดจางแม้แต่น้อย คราวนี้เธอจ้องทะลุดวงตาคู่คม เข้าใจปรุโปร่งถึงเจตนาเป็นครั้งแรก กล้าหาญถึงขนาดไม่สนใจว่าเขาจะถามอะไรอีก

“ไปเที่ยวงานวัดด้วยกันมั้ยคะ”

เอกภพชะงักด้วยท่าทางราวกับคว้าปรารถนามาง่ายดายเกินคาด เขานิ่งดุจชายสุขุมผู้พึงจะนิ่งได้ หยุดเคลื่อนไหว จงใจครุ่นคิดโดยเฉพาะ จากประสานสายตาก็เบือนผ่านไปทางอื่น แทนที่ด้วยเสียงกระแอมตะกุกตะกักพอๆ กับคำตอบ

“ก็...ถะ…ถ้าคุณยินดีให้ผมไปด้วย”

ศญาตั้งท่าเอ่ยบางอย่าง กระนั้นก็ไม่รู้ว่าควรเลือกใช้คำไหน ตอนกลั้นยิ้มสักพักนั่นละถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองลอบขำ...ก็ใครใช้ให้นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายเสียอาการเช่นนี้เล่า แค่ขอไปเที่ยวงานวัดด้วยกัน แต่คุณเอกภพ อัญเรศไพจิตผู้แสนเย็นชากลับใช้เวลาแทบทั้งวันกว่าจะสื่อสารได้ชัดเจน

ช่างเป็นมุมที่...ไม่เคยคาดคิด แต่ชวนเอ็นดูในคราวเดียวกันอะไรอย่างนี้

งานวัดที่ผู้หมวดหนุ่มกล่าวถึงเป็นงานระดับตำบลนานทีมีครั้ง แม้ไม่ยิ่งใหญ่ตระการตาเทียบเท่างานในตัวอำเภอ หากครึกครื้นด้วยผู้คนที่กระตือรือร้นต่อความสนุกสนาน เอกภพวนหาที่จอดรถหลายรอบ ค่อยพบทางเหมาะเจาะและไม่สะดุดตาใต้ต้นไม้ใหญ่เยื้องกำแพงวัด เด็กหนุ่มบางคนสังเกตเห็นและชี้ชวนกันดูรถยุโรปคันโก้อย่างตื่นเต้น กระทั่งหนึ่งในนั้นกระซิบ ‘พวกจากบ้านต้องสาปไง ที่อยู่ข้างโรงสีร้างนั่น พวกมึงอย่าไปจ้องมาก เดี๋ยวโดนของแม่งหรอก’ นั่นละ ค่อยแยกย้ายกันไปไม่กล้าสบตาพวกเธออีก ที่จริงเรื่องนี้ชวนอึดอัดใจอยู่บ้าง แต่เอกภพไม่แสดงทีท่าใด เขาดูพอใจกับการไม่มีใครวุ่นวายหรือรุมล้อมใกล้ตัว...หมายรวมถึงตัวเขาและศญาเองด้วย

ผู้หมวดทาวัตยืนรอทั้งสองหน้าทางเข้างาน งดงามดุจรูปสลักถูกจัดวางมากกว่าประกอบจากเลือดเนื้อ โดดเด่นด้วยท่าทีเปี่ยมอัธยาศัยกับคนที่เดินผ่านจนต้องแวะทักทาย จังหวะที่ชายหนุ่มเห็นศญาปรากฏตัวพร้อมเจ้าของร่างสูง มีเพียงแววประหลาดใจบนใบหน้าแวบหนึ่ง เขาไม่ถามซอกแซก แค่ทักทายเอกภพตามมารยาทเหมือนที่ผ่านมา แล้วคุยจิปาถะชวนผ่อนคลาย

“ทานข้าวกันมาหรือยังครับ”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณทาวัตล่ะคะ” หญิงสาวเป็นฝ่ายตอบ

“ผมรองท้องมานิดหน่อย แต่ถามไว้ก่อนเผื่อหิวกัน” ว่าพลางชี้ไปท่ามกลางผู้คนขวักไขว่และแผงร้านเรียงราย “ทางโน้นมีร้านขายขนมไทยเจ้าอร่อยด้วย ถ้าสนใจนะครับ”

“ยังก่อนดีกว่าค่ะ ฉันอยากเดินดูให้ทั่วๆ ก่อน”

หัวข้อเรื่อยเปื่อยประมาณนี้ ทาวัตและศญาดำเนินบทสนทนา นานๆ ทีชายอีกคนจะถูกดึงมาร่วมพูดคุยด้วย หากไม่รวมอาการประดักประเดิดของผู้ไม่สนิทสนมกันทั้งสามซึ่งปรากฏบางคราว ที่เหลือก็เป็นไปด้วยดี หรืออย่างน้อยมันก็เคยดีในช่วงแรก...

นอกจากปู่ของเขา เอกภพปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีเย็นชาและทิ้งระยะห่างมาตลอด ฝ่ายผู้หมวดทาวัตแสนสุภาพกับใครต่อใครเค้าไปหมด ทั้งเป็นมิตรและอ่อนน้อมจนบางคราวนึกเกรงใจ ศญาไม่เคยเห็นอาการอริหรือประชันขันแข่งใดระหว่างทั้งสองแม้แต่น้อย อันที่จริงอาจเพิ่งเกิดขึ้นที่งานวัด ยามนี้เองก็ได้ ด้วยสาเหตุพิลึกพิลั่นไร้คำอธิบายเบื้องหน้าซุ้มยิงปืน ก้ำกึ่งระหว่างศักดิ์ศรีกับความอยากเอาชนะแบบเด็กๆ...หรืออาจทั้งสองอย่าง

เรื่องเริ่มจากศญานึกสนุกอยากลองแสดงฝีมือเพื่อตุ๊กตาหมีหน้าตามู่ทู่ตัวหนึ่ง แต่ไม่เอาไหนถึงขั้นยิงอะไรไม่ได้สักเป้า ความจริงเธอจับปืนไม่ถูกด้วยซ้ำ ทันทีที่กระสุนพลาสติกหมดแม็กหญิงสาวก็ยิ้มแหย ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าชายทั้งสองโดยดี

“น่าอายจังค่ะ” เธอแค่อยากดูเท่บ้าง ไม่นึกว่าจะล้มเหลวไวขนาดนี้ “อุตส่าห์เล็งตุ๊กตาหมีไว้แท้ๆ”

“ให้ผมลอง”

ทายาทคนเดียวแห่งบ้านอัญเรศไพจิตเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนรับปืนไปถือด้วยท่วงท่าสง่างาม เอกภพยืนนิ่ง เล็งเป้าอย่างรวดเร็ว ดวงตาไร้แววล่อกแล่กแม้เศษเสี้ยวยามลั่นไก

ปัง! ปัง! ปัง!

แต่ก็เช่นกัน ตุ๊กตาที่ว่ายังตั้งอย่างมั่นคงบนชั้นวาง เขายิงไม่โดนสักตัว...

ความเงียบบังเกิดในบรรยากาศโดยไม่ตั้งใจ ศญาไม่รู้ว่าตนคาดหวังเกินไปหรืออีกฝ่ายเย็นชาถึงที่สุดกันแน่ เอกภพไม่ขัดเขินกับฝีมือยิงปืนของตัวเองสักนิด เขาแค่มุ่นคิ้วน้อยๆ ราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดมือซึ่งร่างภาพเครื่องประดับราคาแพงมากมายไม่อาจเล็งเป้าตุ๊กตาง่ายๆ ได้

ด้วยเหตุนี้ ในฐานะลูกจ้างผู้ปวารณาตนว่าใกล้ชิดที่สุดในบ้าน เธอต้องเข้าข้างเขาอยู่บ้าง

“ตุ๊กตาอาจจะ...แหะๆ ใส่ตัวยึดหรือหินถ่วงไว้ไม่ให้ล้มก็ได้ค่ะ”

นั่นคือทั้งหมดที่เธอช่วยนึกแก้ตัวให้ได้ คาดไม่ถึงว่าถ้อยคำจะถึงหูเจ้าของร้านจนอีกฝ่ายฉุนทันที 

“อ้าว พูดงี้ไม่ได้นาคุณ ผมหากินสุจริตไม่เคยโกงใคร ยิงไม่ได้ก็อย่าพาลสิ”

โอ้ ฉันแค่อยากปลอบใจเจ้านายเท่านั้นเองค่ะ คุณอย่าใส่ใจเลย หญิงสาวแก้ตัวอย่างกล้าหาญในใจ เดิมยิ้มแหยพลันจืดชืดกว่าเดิม ผู้หมวดหนุ่มซึ่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นก้าวมายืนข้าง หยิบปืนไปกะน้ำหนักอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วหันมายิ้ม

“ให้ผมลองดูนะครับ”

บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไปทันทีที่เขายกปืนเล็ง

ปัง! ปัง! ปัง!

รวดเร็ว เด็ดขาด ตุ๊กตาหมีหน้ามู่ที่ศญาอยากได้นักหนาตกไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นอย่างศิโรราบ เงยหน้าอีกครั้งก็เห็นทาวัตทำหน้าขัดเขิน เขาเกาท้ายทอยทั้งที่มือยังถือปืน แววตาเฉียบคมในวินาทีลั่นไกจางหาย เหลือเพียงการเป็นผู้หมวดทาวัตผู้แสนใส่ใจดังเดิม

“ไวมากเลยค่ะ ฉันมองแทบไม่ทัน” หญิงสาวพึมพำด้วยยังอึ้งไม่หาย

“ผมแค่ทำในสิ่งที่ถนัดน่ะครับ...ให้คุณ”

เขายื่นตุ๊กตาตัวเมื่อครู่ซึ่งได้เป็นรางวัลให้เธอ ศญาไม่ทันตอบรับ ตุ๊กตาอีกตัวไม่รู้ที่มาก็ถูกส่งให้เช่นกัน หันไปเห็นเอกภพเก็บกระเป๋าเงินกลับคืน เขาอธิบายโดยไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย

“ผมแค่ทำในสิ่งที่ถนัดเหมือนกัน” เขาว่าพลางพยักหน้าอย่างเรียบเฉย “นั่นคือการใช้เงิน”

ไม่มีใครรู้ว่าเขาถามซื้อจากเจ้าของซุ้มยิงปืนตอนไหนหรือต่อรองอย่างไร หันไปเห็นเพียงฝ่ายนั้นทำหน้าพออกพอใจพลางตบกระเป๋ากางเกงดังปุๆ

คงอย่างที่ชายหนุ่มว่าจริงๆ สิ่งที่เขาถนัดคือการใช้เงิน

“อ่า...ขอบคุณค่ะ ทั้งคู่เลย”

จะมีอะไรให้เธอตอบมากกว่านี้กัน หญิงสาวรับตุ๊กตาทั้งสองตัวมาอุ้ม คิดเพียงว่าเรื่องคงจบลงด้วยบรรยากาศสันติ แต่ชายหนุ่มทั้งคู่ดูท่าไม่เป็นเช่นนั้น

“ตุ๊กตานี่ผมใช้ความสามารถส่วนตัวสมัยฝึกยิงปืนได้มา ฝากดูแลด้วยนะครับคุณซิน”

“เงินที่ผมใช้ซื้อตุ๊กตาก็หามาได้ด้วยตัวเองเหมือนกัน ฝากดูแล...ไม่สิ ถ้าทำหายก็ไม่เป็นไร ผมซื้อให้ใหม่”

“ดูเหมือนคุณเอกจะเป็นพวกชอบให้เงินแก้ปัญหาเลยนะครับ”

“คุณทาวัตคิดมากไปแล้วครับ ก็อย่างที่บอก ผมแค่ทำสิ่งที่ถนัดตราบเท่าที่ไม่ขัดศีลธรรมอะไร”

ศญาวิงเวียนฉับพลัน ราวกับเพิ่งค้นพบสิ่งไม่คาดฝันในวันนี้ ถ้อยความว่าทาวัตยิงปืนเก่งกับเอกภพเชี่ยวชาญการหาเงินกลายเป็นเงาสะท้อนประชันกันข้างหู เป็นความวุ่นวายที่ไม่เคยตั้งรับ เหมือนถูกยื้อแย่งความสนใจไปมา คลับคล้ายสงครามความดีความชอบ แต่นั่นยังไม่ชัดเจนพอ ศญาปราศจากความกล้าในการคิดเข้าข้างตัวเอง...ไม่มีใครให้ความสำคัญกับเธอนานมากแล้ว

หญิงสาวผินหน้าหนีแล้วเอ่ยแทรกทันที

“โอ๊ะ ทางนั้นมีหนังกลางแปลงเหรอคะ”

น้ำเสียงเหมือนพวกท่องบทเป็นหุ่นยนต์ วิธีเปลี่ยนเรื่องค่อนข้างแข็งทื่อ แต่คือความพยายามทั้งหมดของเธอแล้ว พยาบาลสาวกระชับตุ๊กตาในอ้อมกอด แล้วเดินนำชายทั้งคู่ไปยังจุดหมายทางลานกว้างห่างออกไป จงใจให้ตนอยู่ตรงกลางพร้อมถ้อยคำอันยิ่งใหญ่ซึ่งดังเพียงในใจว่า แด่สันติภาพ

ยิ่งมืดผู้คนยิ่งมากตาม รอบกายเต็มไปด้วยกลุ่มวัยรุ่นดิบห่ามส่งเสียงโหวกเหวกแย่งกันเป็นจุดสนใจ ศญาไม่ทันสังเกตเห็นบรรยากาศเหล่านี้ กระทั่งเดินผ่านซุ้มยาดองแล้วถูกเอกภพจับแขน ร่างสูงเข้ามาสลับที่ให้เธออยู่อีกฝั่งด้วยสีหน้าเรียบตึง หันมองทาวัตซึ่งเดินเคียงอีกด้านก็มีทีท่าไม่ต่างกัน ขณะคิดว่าเหตุผลกลใดทำให้ชายทั้งสองมีอาการขรึมเข้มชวนครั่นคร้าม ก็ได้ยินเสียงเมามายเหล่านั้นเสียก่อน

“ไปดูหนังเหรอจ๊ะพี่สาวคนสวย”

“แวะนั่งซุ้มยาดองด้วยกันก่อนสิ ฮ่าๆ”

ฝุ่นดินลอยละล่องกลางแสงไฟหลายสี เจือบางสิ่งที่หมักบ่มพร้อมกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจมูก ศญารู้สึกชาตรงไหนสักแห่ง ไม่ใช่ร่างกาย หากเป็นอารมณ์ข้างใน ความคิดเธอหรือไม่ก็กระแสสำนึกชาวาบถึงความไม่ปลอดภัยภายใต้บรรยากาศครื้นเครงนั้น ปนเปทั้งความไม่ยินยอมและคำถามซ้ำซาก ว่าอีกนานเท่าไรผู้หญิงจะใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องกังวลว่าวันดีคืนดีต้องกลายเป็นเป้าให้คนโห่แซวเช่นนี้ ทำไมผู้ถูกกระทำต้องแบกรับความอัดอั้นตันใจ ทั้งที่คนเหล่านั้นต่างหากควรละอาย ความสนุกสนานของพวกเขาทำให้หญิงสาวขนลุกชัน

เพียงคิดว่าน้องสาวตนเคยประสบเหตุการณ์ทำนองนี้หลายครั้ง หัวใจยิ่งเหน็บหนาวขึ้นทุกขณะ...แวบหนึ่ง เธอพลันคิดถึงได๋ด้วยความทรงจำร้าวรานจนขมไปทั้งปาก เจ็บกระทั่งไม่รู้ตัวว่าเผลอกำมือแน่น สั่นเทาจนลืมวิธีควบคุม

ท่ามกลางห้วงอารมณ์สะเปะสะปะ เงาสูงของใครคนหนึ่งพลันขยับมาบัง...ทั้งเงียบขรึมและข่มกลั้น เอกภพใช้ร่างกายตนดั่งปราการขวางกั้นทุกถ้อยคำที่จะกระทบเธอ กระทั่งหมวดทาวัตก็หันมองกลุ่มเด็กวัยรุ่นด้วยแววตาที่ศญาไม่ทันสังเกต ยินแต่เสียงหัวเราะกระท่อนกระแท่นตอบกลับตามประสาคนมีพวกมาก

“กลัวแล้วคร้าบ กลัวแล้ว”

“โหยพี่ แซวเล่นน่า ฮ่าๆ”

“พกบอดีการ์ดมาด้วย เจ้าหญิงจากเมืองไหนวะเนี่ย ฮ่าๆ”

นั่นปะไร ต่อให้กลัวจริงหรือแกล้งเอาสนุก แต่การรวมกลุ่มใหญ่ก็เหมือนใบเบิกทางให้ทำตัวเสียงดังเข้าว่า คนพวกนี้ต้องการแค่ความสนใจและการยอมรับในกลุ่มเพื่อน ต่อปากต่อคำไปเท่ากับให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่มีประโยชน์ใดเลย

หญิงสาวปรายตามองอย่างข่มกลั้น เธอจับแขนเสื้อเอกภพเพื่อเอนกายเข้าไปกระซิบ

“อย่าไปสนใจเลยค่-...”

ถ้อยคำค้างคา เมื่อเห็นว่าตรงเก้าอี้ซุ้มยาดองที่ปลีกวิเวกจากกลุ่มวัยรุ่น มีชายชราผู้หนักอึ้งความทุกข์จ้องมองมาทางนี้ ใบหน้าเขาแดงก่ำด้วยเมามาย ดวงตาคู่นั้นแฝงแววครุ่นคิด กระฉอกไหวในอารมณ์ล่มร้างของทั้งสูญเสียและเดียวดาย

ศญาจำได้ทันที เขาคือตาผันที่คนในวัดพูดกัน บิดาผู้สูญเสียบุตรสาวในเหตุฆาตกรรมพิลึกพิลั่นท้ายทุ่ง...

“เฮ้ย พวกมึงตรงนั้นแม่งน่ารำคาญว่ะ”

เสียงวัยรุ่นอีกกลุ่มตะโกนท่ามกลางความครึกครื้น บรรยากาศรอบกายคุกรุ่นจากการข่มเขม่นของเด็กหนุ่มสองฝ่าย ผู้คนที่เดินงานวัดเริ่มแตกกระจายคล้ายเห็นเค้าลางบางอย่างในเหตุการณ์นี้ ทว่า ระหว่างความขึ้งเคียดของแววอริที่เข้มข้นทุกขณะ สิ่งที่ศญาได้ยินกลับเป็นถ้อยกระซิบโรยแรงของตาผัน แหบพร่ากลางเสียงเอะอะรอบกาย แผ่วเบาไร้คนฟัง แต่พุ่งพรวดเข้ากลางใจ

“มึง...มึงนั่นเอง กูจำเงามึงได้”

...มึงไหน เขาหมายถึงใคร ศญาไม่รู้เลย ตระหนักเดียวคือดวงตาคู่นั้นจ้องตรงมาด้วยเจตนาพูดกับทางนี้โดยเฉพาะ มือนั่นก็ด้วย สั่นระริกจากฤทธิ์เหล้าแต่ชี้มาอย่างหมายมั่น

“ศญาเราไปจากที่นี่กันเถอะ”

เอกภพก้มลงเอ่ยพลางแตะแขนเธอเบาๆ ผู้หมวดทาวัตกลับมองเหตุการณ์วิวาทอย่างเคร่งเครียดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

“เดี๋ยวผมมานะครับ” ว่าพลางสาวเท้าไปยังซุ้มยาดอง คงหมายจะไกล่เกลี่ยเรื่องราว

ศญาไม่ได้ตอบ ไม่มีใครตอบเขา เอกภพขยับกายบังเธอไว้จากความน่าจะเป็นทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้น เสียงทะเลาะเริ่มบานปลายกลายเป็นโหวกเหวกและการใช้กำลัง

“จะเอาใช่มั้ย มึงจะเอาใช่มั้ย!”

“มาซี่! มึงมาเลย!”

“กรี๊ด! วิ่งเร็ว คนตีกัน!”

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มือไม้ของเหล่าเด็กหนุ่มกวัดไกวในอากาศเหมือนภาพอลหม่าน หอบความหมายมาดและพยาบาทใส่กำปั้นให้อีกฝ่าย เธอไม่ทันเห็นผู้หมวดทาวัตในตอนนั้น ตาผันผู้อยู่กลางอันตรายเสี่ยงโดนลูกหลงที่สุดก็ตะโกนก้อง โดยไม่สนใจว่ามีคนฟังตนหรือไม่

“มึงใช่มั้ย มึงฆ่านังพลอยลูกกู!”

ปัง!

กรี๊ด!

เสียงกระสุนแผดลั่นกลางงานวัด บาดก้องแก้วหูเหลือแต่เสียงหวีดวี้ดลากยาว ท่ามกลางความอลหม่านคนวิ่งพล่าน ศญารู้เพียงใครคนหนึ่งกอดเธอไว้ดั่งปราการคุ้มภัย กลิ่นไม้กฤษณากำจายในฝุ่นดิน ชั่วขณะยามมวลอื้ออึงในหัวเริ่มคลายเริ่มได้ยินเสียงอื่น ใครบางคนพลันหวีดร้องหน้าซุ้มยาดอง

“มีคนถูกยิง! ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที มีคนถูกยิง!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น