11

เป็นทั้งเลขาฯ และเมียเก็บ


 

11

เป็นทั้งเลขาฯ และเมียเก็บ

“นั่นมันรถพี่สินนี่คะแม่”

ประภาพรจำได้ว่าเป็นรถของใครโดยไม่ต้องรอให้ลูกสาวบอก จิรสินมาหาใคร แล้วทำไมไม่แวะไปหาแม่ของเขาที่เรือนเล็กด้านหลัง

“รถวิ่งออกมาจากทางไปบ้านน้าทัดด้วยนะ แสดงว่าต้องไปหาใครสักคนที่บ้านนั้น”

“ใช่ค่ะ แต่เมื่อกี้สินีมองเห็นเหมือนมีใครนั่งอยู่ในรถด้วย”

“ใครล่ะ ตามปกติเขาก็มารับแต่แม่เขาออกไปหาหมอหรือไปกินข้าว แต่นี่ไม่ได้แวะบ้านเล็ก เพราะถ้าแวะก็ต้องจอดรถตรงหน้าบ้านเรา” ประภาพรขมวดหัวคิ้วด้วยความสงสัย อยากรู้ว่าใครกันที่นั่งรถออกไปกับจิรสิน

“หรือว่าเขามากับเพื่อนก็ไม่รู้ เพราะตอนเข้ามาเราก็ไม่เห็น ต้องถามคนที่ไปเปิดประตูให้” พิสินีก็อยากรู้เช่นกันเพราะจิรสินคือคนที่อยู่ในความสนใจของหล่อนในเวลานี้ และดูเหมือนเขาจะเป็นความหวังของใครอีกหลายๆ คนในตระกูลญานันทร ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรพลาดเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาแม้แต่เรื่องเดียว

“เรียกเด็กที่วิ่งตามไปเปิดประตูมาถามก็ได้” ประภาพรออกความเห็น

“อย่าเลยค่ะ สินีว่าเราเดินไปบ้านโน้นกันดีกว่า คงมีใครบอกได้สักคนละค่ะ”

ทั้งสองคนแม่ลูกจึงเดินไปที่บ้านอีกหลังซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกันและใช้ประตูทางเข้าร่วมกัน เวลารถเข้าออกจึงต้องผ่านมาทางถนนหน้าบ้านใหญ่

“น้าพิมพาอยู่พอดีเลย” หญิงสาวหันมาบอกมารดาทันทีที่เห็นเจ้าของบ้าน

“พี่ประภากับสินีมีอะไรรึเปล่าคะ” พิมพาเดินออกมาหน้าบ้านจึงเห็นว่าทั้งสองคนแม่ลูกมีท่าทีเหมือนอยากถามไถ่เรื่องอะไรสักอย่าง

“เมื่อกี้นี้เราสองคนเห็นรถเบนซ์สีดำเพิ่งขับผ่านออกไป ใช่สินรึเปล่าจ๊ะพิมพา” ประภาพรถามแบบไม่รอช้าด้วยความสงสัยเต็มที่ว่าจิรสินมาทำอะไรที่บ้านนี้

“ใช่ค่ะ” พิมพาพยักหน้า แต่สีหน้าเริ่มไม่ค่อยสบายใจ

“พี่สินมาหาใครเหรอคะ”

“เอ่อ...” ฝ่ายที่ต้องตอบมีท่าทีอึกอัก เพราะไม่ได้เตรียมคำพูดไว้ตอบคำถามใครเกี่ยวกับเรื่องชายหนุ่มคนนั้นกับลูกสาวของตนเอง

“หรือว่า...เขามาคุยเรื่องซื้อบ้านหลังนี้” ประภาพรเดาไปตามเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ในเวลานี้

“ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ” พิมพาตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง

“จริงเหรอ!” ประภาพรทำเสียงตื่นเต้นปนตกใจกับข่าวใหม่ล่าสุดที่คาดว่ายังไม่มีใครรู้แน่ๆ นอกจากตนเองกับลูกสาว “แล้วเขาจะให้ทางนี้อยู่ต่อเหมือนบ้านใหญ่ด้วยรึเปล่า”

“ค่ะ” พิมพาพยักหน้านิดๆ

“แหม...ทำไปทำมากลับเป็นทางนี้ที่เคลียร์ได้ก่อน ทางบ้านใหญ่ยังติดที่คุณพ่อ พี่อำไพก็ยังไม่กล้าเข้าไปคุยเสียที”

“ยังตกลงกันไม่ได้หรือคะ” พิมพาถามไปตามมารยาท

“ยังน่ะสิ แต่ยังไงก็คงต้องเกลี้ยกล่อมคุณพ่อให้ได้นั่นแหละ ก่อนจะไม่มีที่ซุกหัวนอนกันทั้งบ้าน แล้วทางนี้อาธารินทร์ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

“คงไม่มีหรอกค่ะ” พิมพาตอบเบา เพราะที่จริงคุณปู่ของหลานๆ ยังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำว่ามีการตกลงอะไรกัน

“เอ่อ...แล้วเมื่อกี้นี้มีใครมากับพี่สินด้วยรึเปล่าคะ” พิสินีเข้าเรื่องที่ยังติดใจสงสัย

“ไม่มีนี่จ๊ะสินี”

“แต่สินีเห็นมีคนนั่งรถออกไปกับพี่สินตอนขากลับ”

“คือ...” พิมพาเริ่มมีท่าทีอึกอักมีพิรุธให้สองคนแม่ลูกต้องหันมองหน้ากันด้วยความสงสัย

“คุยอะไรกันอยู่หรือครับ” วิธานเดินออกมาสมทบด้วยอีกคนหลังจากมายืนฟังอยู่พักหนึ่ง

“ธานมาก็ดีแล้ว เธอเห็นคนนั่งในรถพี่สินตอนขากลับออกไปจากบ้านของเธอรึเปล่า” พิสินีตั้งท่าซักทันที เพราะวิธานอ่อนวัยกว่าจึงไม่ต้องเกรงใจกันนัก

“เห็นครับ”

“ใคร”

“น้องสาวผมเอง” วิธานตอบตรง

“ยายกระเต็น!” พิสินีเรียกชื่อนั้นด้วยความตกใจและประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ใช่ เขาออกไปกินข้าวด้วยกันน่ะครับ” ในเมื่ออยากรู้ เขาจึงไม่คิดว่าควรปิดบังกันอีกต่อไป เพราะอีกไม่นานก็ต้องรู้กันทั่ว

“นี่มันอะไรกันคะ น้าพิมพา” พิสินีหันไปถามผู้เป็นแม่ของหญิงสาวที่เอาแต่ยืนนิ่ง

“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่พี่สินี พี่สินเขาชวนกระเต็นออกไปกินข้าว ก็แค่นั้นเอง” วิธานพยายามทำเสียงให้เป็นเรื่องปกติธรรมดา

แต่สองคนแม่ลูกที่อุตส่าห์เดินมาหาข่าวถึงที่นี่กลับทำหน้าราวกับเป็นเรื่องใหญ่โต ทั้งคู่หันมองหน้ากันเองด้วยสีหน้าที่บอกว่าผิดหวังและร้อนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“แล้วปล่อยให้ไปกันสองคนได้ยังไง” ประภาพรรีบท้วง

“ก็พี่สินเขาไม่ได้ชวนคนอื่น แล้วถ้าพวกเราจะขอไปกับเขามันจะดีหรือครับ” วิธานบอกแบบพาซื่อ

“คงไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องบ้านเลยต้องยอมให้ลูกสาวไปเอาอกเอาใจเขาหรอกนะ” ประภาพรดักคออย่างรู้ทัน แถมยังจิกตาเข้าใส่มารดาของหญิงสาวที่เพิ่งนั่งรถเบนซ์ออกไป

“นั่นสิคะแม่” พิสินีรีบรับคำทันทีด้วยความริษยาที่เริ่มคุกรุ่นอย่างห้ามไม่อยู่

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ พี่ประภา” พิมพาบอกได้แค่นั้น เพราะเริ่มพูดไม่ออกเรื่องสถานะระหว่างจิรสินกับลูกสาวของตนเอง

“ท่าทางบ้านเราจะช้ากว่าไปซะทุกเรื่องแล้วนะคะ” พิสินีบอกกับแม่ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

“แต่ผมว่าดูท่าทางพี่สินีก็อยากเอาใจพี่สินด้วยอีกคนนะครับ” วิธานอดเหน็บกลับไปไม่ได้ เพราะมองออกว่าพิสินีเดือดเนื้อร้อนใจเป็นพิเศษที่จิรสินออกไปกับกินรินตามลำพัง

‘แล้วนี่ถ้ารู้ความจริงทั้งหมดคงได้เต้นเหมือนกุ้งเต้นโดนน้ำมะนาวแน่ๆ’

“เธอหมายความว่ายังไง” คนโดนขัดคอถามหน้าตาเอาเรื่อง เพราะแทงใจดำเข้าพอดี

“ผมก็เพิ่งได้เจอหน้าเขาวันนี้เอง ถึงได้รู้ว่าพี่สินหล่ออย่างกับพระเอกแน่ะ” วิธานว่าไปอีกเรื่อง แต่ทำเอาสาวสวยซึ่งเป็นนางแบบประจำบ้านที่มักจะแต่งตัวและแต่งหน้าแม้แต่วันที่อยู่บ้านก็ไม่เว้นถึงกับค้อนควัก

“จริงไหมครับพี่สินี”

“ชมผู้ชายด้วยกันเต็มปากเต็มคำแบบนี้ เปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอยะ” พิสินีไม่ยอมง่ายๆ แต่คนถูกศอกกลับไม่ทุกข์ร้อน ได้แต่หัวเราะเบาๆ

“เอาละๆ เลิกเถียงกันได้แล้ว แม่ว่าเรากลับกันเถอะสินี”

ทั้งแม่และลูกสาวที่มักวางท่าเป็นผู้ดีเต็มตัวเดินสะบัดหน้ากลับไปโดยไม่ล่ำลาสักคำ สองคนที่เหลือจึงได้แต่มองตากันแล้วถอนหายใจดังเฮือกออกมาพร้อมๆ กัน

“แล้วเราจะปิดคุณปู่ไปได้อีกนานแค่ไหนกันครับ”

“พ่อบอกให้ปิดไปก่อน แล้วค่อยหาทางออกกันอีกที ตอนนี้พ่อกับแม่ยังคิดอะไรไม่ออก ส่วนพ่อก็อยากออกไปหางานทำเพื่อมาแบ่งเบาภาระของลูกๆ”

“พ่ออายุตั้งห้าสิบกว่าแล้วนะครับ จะไปหางานที่ไหนได้ ลาออกมาทำธุรกิจของตัวเองตั้งสิบกว่าปีแล้ว”

“เขาคงอยากช่วยอะไรบ้าง แล้วที่ยายกระเต็นตัดสินใจอย่างนี้พ่อเขาก็ยังทำใจไม่ค่อยได้”

“ผมเข้าใจ แต่เราควรจะดูๆ พวกเขาไปก่อนนะครับ บางทีอะไรๆ มันอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพี่สินคนเดียวว่าเขาต้องการอะไรกันแน่”

“แม่ก็เป็นห่วงกระเต็น แม่กลัวน้องเสียใจน่ะลูก”

“แม่ครับ อย่าเพิ่งคิดอะไรมากจนเกินไป” วิธานเดินเข้าไปโอบบ่าผู้เป็นแม่เพื่อปลอบประโลม ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทุกคนในครอบครัวของเขาต้องการในเวลานี้

 

ทางด้านแม่กับลูกสาวที่เดินกลับไปบ้านใหญ่ต่างก็มีหัวข้อสนทนาซึ่งเป็นข่าวล่าสุดไปตลอดทาง โดยเฉพาะเรื่องระหว่างจิรสินกับกินรินที่ดูเหมือนจะสำคัญกว่าเรื่องไถ่ถอนบ้านเป็นไหนๆ

“ยายกระเต็นดูเหมือนเด็กหงิมๆ สุดท้ายหยิบชิ้นปลามันไปจนได้” ประภาพรเอ่ยถึงหลานสาวแบบคาดไม่ถึง

“ยังไม่ถึงตอนสุดท้ายค่ะแม่ นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง” พิสินียังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ในฐานะที่เป็นคู่แข่งกันมาตลอด

‘เรื่องอย่างนี้ใครจะยอม คงต้องสู้กันยิบตา!’

“เราก็มัวแต่ชักช้า จนแม่กระเต็นนั่งชูคอเป็นตุ๊กตาหน้ารถออกไปโน่นแล้ว” ประภาพรอดไม่ได้ต้องต่อว่าเพื่อกระตุ้นให้ลูกสาวเร่งความคืบหน้าก่อนที่เป้าหมายจะถูกฉกไปต่อหน้าต่อตา

“พี่สินเข้าถึงตัวง่ายๆ ซะที่ไหนล่ะคะ”

“แล้วทีแม่กระเต็น ทำไมง่ายขนาดนั้น เจอกันไม่กี่หนเองออกไปดินเนอร์ด้วยกันแล้ว”

“นั่นสิ ทีกับเราวางท่าจะตาย” สาววัยสามสิบบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างขัดใจที่ถูกเมิน

“เราก็อย่าไปวางท่าใส่เขาสิ แม่กระเต็นก็คงไม่ท่ามากนักหรอก ถึงได้กระโดดขึ้นรถไปกับเขารวดเร็วขนาดนั้น” ประภาพรเหลือบตามองหน้างอๆ ของลูกสาวอย่างไม่สบอารมณ์นักที่ทำอะไรไม่ได้อย่างใจแม่เลยสักเรื่อง

“ก็ยายกระเต็นมันเด็กกว่าสินีตั้งแปดปี หน้าใสแบ๊วขนาดนั้น”

“แล้วตกลงเราจะยอมแพ้เหรอ หน้าเราก็ยังใส เห็นออกไปทำหน้าที่คลินิกอยู่ตลอด เสียเงินเสียทองไปตั้งเท่าไรเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์หน่อยสิ”

“ใครบอกว่ายอมล่ะคะ”

“งานนี้สินีจะทำยังไงก็ได้ แม่อนุญาต ขอแค่ให้เราได้ทุกอย่างที่ต้องการเท่านั้น”

“ค่ะแม่” หญิงสาวสบตากับมารดาโดยไม่ขอคำอธิบายใดๆ อีก เพราะเข้าใจได้ไม่ยากตามประสาคนที่เคยมีประสบการณ์เรื่องเพศตรงข้ามมาพอควร

พิสินีรู้แล้วว่าตนเองต้องทำอะไรบ้างนับจากนี้เพื่อเอาชนะกินรินและเขี่ยออกไปให้พ้นทาง

 

ดินเนอร์มื้อแรกระหว่างสองหนุ่มสาวเป็นร้านอาหารหรูบนยอดตึกของโรงแรมชื่อดังใจกลางกรุง ที่ใครๆ ต่างก็รู้กันว่าต้องจ่ายเงินเรือนหมื่นเพื่อให้ได้มานั่งรับประทานมื้อค่ำท่ามกลางทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองหลวงในยามค่ำคืน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะถูกจองโต๊ะจากบรรดาคู่รักหนุ่มสาวที่ต้องการเพิ่มสีสันหรือรสชาติให้ชีวิตรัก

แม้ว่ากินรินเคยมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศสวยงามหรูหราอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังอดตื่นตาตื่นใจกับร้านอาหารบนยอดอาคารสูงหลายสิบชั้นแห่งนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นคู่รักกันเหมือนอย่างคู่อื่นๆ หล่อนคงไม่รั้งรอที่จะบอกเขาถึงความรู้สึกตื่นเต้นว่ามีมากเพียงใด

“คุณชอบที่นี่ไหม” ฝ่ายที่เลือกจองสถานที่ไว้ล่วงหน้าอดถามไม่ได้เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเอาแต่นั่งเงียบ แต่สีหน้าก็ดูเหมือนจะชื่นชอบกับทุกสิ่งรอบตัวในเวลานี้ เพราะความตื่นเต้นปรากฏชัดในดวงตากลมโตคู่นั้น

“ชอบค่ะ” กินรินตอบสั้นๆ เพราะยังรู้สึกเกร็งกับคนตรงหน้า แม้ว่าสถานที่ที่เขาเลือกจะถูกใจเพียงใดก็ตาม

อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องลงทุนกับผู้หญิงที่เขาใช้เงินซื้อมาเพื่อความสุขส่วนตัวมากขนาดนี้ก็ได้ ที่ต้องจ่ายสิบกว่าล้านก็มากพอแล้ว ใบหน้าตื่นเต้นยินดีหมองลงในทันที เมื่อระลึกได้ว่าตนเองอยู่ในสถานะใด ซึ่งไม่ควรดีใจเกินกว่าเหตุและควรเผื่อใจไว้บ้างไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นนับจากนี้

“ผมให้คนโทร. จองโต๊ะสั่งอาหารไว้ให้แล้วนะครับ” เขาบอกเพื่อให้รู้ว่าอีกไม่นานอาหารคงถูกเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ เพราะตระเตรียมไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย

“ค่ะ”

“เป็นอาหารฝรั่งเศส”

“ไม่เบื่อเหรอคะ พี่สินน่าจะทานทุกวันตอนอยู่ที่โน่น” คนที่ต้องรับประทานอาหารฝรั่งเศสโดยไม่มีสิทธิ์เลือกอดถามไม่ได้

“ไม่เบื่อ...ผมชอบทุกอย่างที่เป็นฝรั่งเศส เพราะที่นั่นเป็นบ้านของผม”

“ค่ะ” กินรินรับคำเพียงสั้นๆ เช่นเคย แต่ในใจคิดว่า เขาคงรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนฝรั่งเศสไปแล้ว ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ทั้งหน้าตาและบุคลิกท่าทางเขาดูคล้ายฝรั่งไปเกือบหมด

“ผมอยากให้คุณชิมอาหารฝรั่งเศส แต่คุณน่าจะเคยทานมาก่อนแล้ว”

“เคยค่ะ แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นเอง”

“ไปทานกับใคร”

“ทานในงานเลี้ยงค่ะ”

คนฟังขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ตอนนี้คุณมี เอ่อ...บอยเฟรนด์รึเปล่า” เขาตัดสินใจถามในสิ่งที่อยากรู้

“ไม่มีค่ะ”

“เป็นไปได้ยังไง คนหน้าตาสวยอย่างคุณไม่มีใครสนใจเลยเหรอ” นั่นคือสิ่งที่คาใจชายหนุ่มมาตั้งแต่แรก แต่เขาต้องปัดความคิดผิดถูกออกไปเพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ แต่สุดท้ายก็อดถามไม่ได้ด้วยความอยากรู้ เขาต้องการรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกินริน

“มีค่ะ”

“ตกลงมีหรือไม่มีกันแน่”

“มีคนสนใจค่ะ แต่ตอนนี้ไม่มีแฟน”

คิ้วเข้มขมวดมุ่น เมื่อได้ยินคำตอบที่ยังไม่ทำให้หายสงสัย “แสดงว่าเคยมี”

“ใช่ค่ะ...” หญิงสาวจำต้องบอกไปอย่างนั้น ถ้าบอกว่าไม่เคยมีเลยสักคนเขาก็คงไม่เชื่ออีกแน่นอน

“โอเค” จิรสินทำท่าเหมือนไม่ติดใจอะไรอีก เพราะสาวฝรั่งเศสอายุยี่สิบสองมีคู่รักแล้วทั้งนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับหนุ่มหัวนอกอย่างเขา

“พี่สินมีเรื่องอะไรจะคุยกับกระเต็นหรือคะ” กินรินเริ่มเกริ่นเข้าเรื่อง ยังเป็นกังวลเรื่องข้อตกลงและเงื่อนไขระหว่างหล่อนกับเขา วันนั้นหล่อนทั้งเสียใจและรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตจนต้องดื่มไวน์แก้วใหญ่ กระทั่งฟุบหลับไปแบบไม่ได้ตั้งใจจนเป็นเหตุให้ไม่มีเวลาคุยกันอีกจนมาถึงวันนี้ แต่เขาก็ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษพอที่ไม่ข่มเหงผู้หญิงทั้งที่ไม่รู้สึกตัว

“ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบหรอก ทานอาหารอร่อยๆ กันก่อนดีกว่า”

ไม่นานนักอาหารฝรั่งเศสก็ถูกเสิร์ฟตามลำดับ พร้อมกับไวน์แดงแบบที่หล่อนเคยดื่มจนเมาฟุบไปคราวก่อน

หลังจากเริ่มรับประทานออร์เดิร์ฟกันไปไม่นาน หญิงสาวก็เหลือบมองหน้าคนที่ยังคงนิ่งไม่ยอมเอ่ยปากเสียที กระทั่งเขาเงยหน้ามาสบตาด้วยแล้วคงเห็นแววตาสงสัยใคร่รู้ของหล่อนเข้าจึงยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกเหมือนขำ ซึ่งรอยยิ้มนั้นทำให้ใบหน้าคมสันดูสดใสขึ้นในชั่วพริบตา

เวลายิ้มหรือหัวเราะเขาดูเด็กลงด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย นั่นหมายถึงว่ายามปกติเขาเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่าง ดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควร

“ผมจะเอาเงินไปไถ่ถอนจำนองบ้านออกมาให้ แต่ให้เปลี่ยนชื่อเป็นของคุณ”

“แต่เดิมบ้านเป็นของพ่อ”

“ไม่สำคัญนี่ ผมอยากให้เป็นชื่อคุณ อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันได้ว่าจะไม่มีใครเอาไปจำนำจำนองที่ไหนอีก เพราะคุณคงไม่ทำอย่างนั้นแน่ๆ ใช่ไหม”

“ค่ะ ไม่ทำแน่”

“งั้นก็ตกลงตามนี้ เพราะผมขี้เกียจหาเงินมาไถ่บ้านให้คุณบ่อยๆ”

กินรินทำหน้าแทบไม่ถูกที่เขาพูดเหมือนครอบครัวของหล่อนหรือคนในบ้านญานันทรเป็นพวกใช้เงินไม่เป็นจนมีหนี้สินล้นพ้นตัวกันทั้งสองบ้าน “กระเต็นคงไม่รบกวนพี่สินอีกแล้วค่ะ” กินรินบอกจากใจจริง

ทว่าคนฟังกลับทำหน้าเคร่งแล้ววางส้อมในมือลง ก่อนหันไปหยิบแก้วน้ำเย็นมาจิบ ท่าทางเขาเหมือนไม่ค่อยพอใจที่เธอตอบกลับมาเช่นนั้น

‘หรือว่าอยากจะให้รบกวนไปเรื่อยๆ’

“ผมจะให้เงินสดคุณอีกสองล้านตามที่บอกไว้ เงินเดือนค่าจ้างเป็นเลขาฯ ส่วนตัวอีกเดือนละแสน แล้วก็เงินเดือนอีกสองแสน...”

“ค่าอะไรคะสองแสน” กินรินไม่รอให้เขาพูดจบ

“เงินค่าใช้จ่ายส่วนตัวของคุณ” เขาหยิบแก้วไวน์มาจิบต่อ

“ค่าใช้จ่ายอะไรคะตั้งสองแสน”

“ไม่รู้...ก็ถ้าคุณมาเป็นเมียผม ผมก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายให้คุณ เพราะผมไม่ให้คุณไปรับงานยืนโชว์ตัวที่ไหนอีกแน่นอน”

คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง หน้าเริ่มแดงทั้งที่ยังไม่ได้จิบไวน์เลยสักอึก

“หรือว่าน้อยไป” เขาอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นว่าหล่อนเอาแต่นิ่ง ซึ่งดูเหมือนจะผิดวิสัยสาวขี้สงสัยและช่างพูดช่างเถียง บางทีสาวสวยระดับพริตตีอย่างกินรินอาจต้องการได้ยินจำนวนตัวเลขที่สูงกว่านั้น

“เอ่อ...พี่สินไม่ต้องจ่ายหรอกค่ะ” แม้จะอยากได้เงินทั้งหมดที่เขาเสนอให้เพื่อมากอบกู้ฐานะครอบครัว แต่กินรินก็ตัดสินใจบอกไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากกลายเป็นคนเห็นแก่ได้ ที่เขาจ่ายให้ตั้งสิบกว่าล้านก็ถือว่ามากเกินไปแล้วสำหรับค่าตัวของผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างหล่อนที่กำลังถังแตก

“ผมบอกแล้วนะว่าห้ามคุณไปเป็นพริตตีอีก อ้อ...แล้วงานโฆษณาอะไรนั่นก็ห้ามรับ คุณต้องมาเป็นเลขาฯ ของผมที่โรงแรม ส่วนอยู่ที่บ้านก็เป็นเมียผม แค่นี้ก็หมดเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว”

คนที่กำลังจะได้รับสองตำแหน่งควบถึงกับอึ้ง นี่ตกลงว่าเขาจะไม่ยอมให้หล่อนได้คลาดสายตาไปไหนเลย อยู่ด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทั้งที่บ้านและที่ทำงาน “เข้าใจแล้วค่ะ แต่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างให้อีกก็ได้”

“เงินสองแสนผมไม่ได้ให้เป็นค่าจ้าง ผมให้คุณไว้ใช้จ่ายส่วนตัวกับดูแลผม อย่างเช่นเรื่องกินอยู่หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในบ้าน”

“ดูแล?”

“ก็ใช่สิ ทุกวันนี้ผมก็ไม่มีใครดูแลอะไรให้เลย ตู้เสื้อผ้าผมรกยิ่งกว่ารังหนู”

กินรินได้ยินแล้วถึงกับนิ่วหน้า เพราะนึกภาพตามที่เขาเล่ามา นี่สรุปว่านอกจากเป็น ‘เมียเก็บ’ แล้ว ยังต้องเป็นคนรับใช้ไปในตัวด้วยหรือ

“หรือว่าคุณไม่อยากทำงานพวกนี้”

“เปล่าค่ะ”

“ผมรู้ว่าคุณเป็นญานันทร อาจจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน เพราะมีคนคอยทำให้ทุกอย่างมาตั้งแต่เด็ก”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ กระเต็นทำได้ค่ะ”

“ดีครับ” เขาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ

‘ในที่สุดเงินก็ซื้อได้ทุกอย่าง!’

จิรสินยอมทุ่มไม่อั้นเพื่อให้กินรินยอมจำนนแบบไร้ข้อแม้ใดๆ เขาจะให้ทุกสิ่งที่หล่อนต้องการแบบที่ไม่เคยได้จากใคร จนสุดท้ายแล้วสาวน้อยญานันทรคนนี้ก็ต้องติดใจกับสิ่งที่เขาปรนเปรอให้ และหากวันหนึ่งทุกอย่างหายไป หล่อนจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่

“คุณต้องย้ายออกมาอยู่กับผม”

“เมื่อไรคะ”

“หลังจากไปไถ่จำนองบ้านออกมา”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงเบาแล้วพานจะอิ่มเอาดื้อๆ

ตั้งแต่คุยกันมาจนถึงตอนนี้ได้ยินแต่คำสั่ง ซึ่งหล่อนก็ต้องยอมทำตามทุกอย่างเหมือนคนไร้ชีวิตจิตใจ กินรินแทบไม่อยากเชื่อว่าตนเองต้องมาเจอเรื่องบ้าบอขนาดนี้

“ผมทำให้คุณเครียดรึเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุยกันไว้แต่แรกก็ดีแล้ว” หญิงสาวฝืนยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง

“ถ้าคุณไม่พอใจตรงไหนก็บอกผมได้นะครับ”

“ไม่มีค่ะ”

“แต่คุณทำหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจ”

“เปล่าค่ะ แค่นี้ก็เยอะแล้ว” หล่อนตอบเสียงเบาเหมือนต้องการรำพึงกับตนเอง ที่ให้มาทั้งหมดยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเรียกร้องค่าตอบแทนกลับคืนไปมากมายแค่ไหน หล่อนจึงไม่อยากได้อะไรอีก เพราะเคยได้ยินใครๆ พูดกันว่า ของฟรีไม่มีในโลก!

กินรินกระชับผ้าคลุมและห่อไหล่เข้าหากันคล้ายกับรู้สึกหนาวขึ้นมาเสียเฉยๆ แต่แท้จริงหล่อนกำลังเริ่มรู้สึกกลัวคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“กินริน...กินริน...” ชายหนุ่มเรียกคนที่นั่งเหม่อมองวิวเบื้องล่างซ้ำสองครั้ง

“คะ” หญิงสาวรีบหันกลับมาด้วยอาการคล้ายสะดุ้ง

“ผมมีของขวัญมาให้คุณ” เขาบอกพร้อมล้วงหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดย่อมออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท แล้วยื่นมาตรงหน้า

กินรินรู้ทันทีว่าข้างในต้องเป็นเครื่องประดับราคาแพงอย่างแน่นอนจึงไม่กล้ายื่นมือไปรับ

“ลองเปิดดูสิ”

หญิงสาวส่ายหน้าทันที เพราะไม่ต้องการอะไรจากเขามากไปกว่านี้อีกแล้ว

“ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยซื้อมาให้คุณ” จิรสินเป็นฝ่ายเปิดกล่องเสียเอง

หล่อนจึงเห็นว่ามีกำไลเพชรอยู่ในกล่อง แสงเพชรวูบวาบเข้าตาทันที แล้วตามประสาผู้หญิงทั่วไปก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้กับเครื่องประดับสวยๆ

“อย่าบอกนะว่าคุณไม่อยากได้” เขาอ่านสายตาของสาววัยยี่สิบสองทะลุ หล่อนก็ไม่ต่างจากสาวๆ ค่อนโลกที่ทนความยั่วยวนของเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับหรูหราไม่ได้ ที่สำคัญกินรินคงแทบไม่เคยได้สัมผัส เพราะฐานะทางบ้านอันย่ำแย่มานานหลายปี

นั่นคือจุดอ่อนที่เขามองเห็น แล้วหลานสาวคนสวยของตระกูลญานันทรจะไปไหนรอด นอกจากตกเป็นทาสของความฟุ้งเฟ้อหรูหราที่เขาคอยหยิบยื่นให้

“กระเต็นอยากได้ค่ะ แต่ว่ามันแพงไป พี่สินเก็บไว้เถอะ”

“เก็บไว้แล้วผมก็ใช้เองไม่ได้ ของพวกนี้ขายคืนร้านขาดทุนยับเยินคุณก็น่าจะรู้ ผมอุตส่าห์ซื้อมาแล้วคุณก็รับไปเถอะ ดูเหมือนคุณก็ไม่มีเครื่องประดับใส่มาเลย” เขาบอกพลางมองสำรวจไปทั่วเนื้อตัวหล่อนอย่างไม่เกรงใจ

“เอ่อ...”

“รับไปสิครับ” จิรสินเห็นว่าอีกฝ่ายยังอ้ำอึ้งจึงหยิบกำไลเพชรออกจากกล่องแล้วยื่นมือข้ามโต๊ะไปขอมือข้างหนึ่งจากหญิงสาว ไม่นานนักสาวน้อยก็ยอมยกมือข้างซ้ายขึ้นมาให้ เขาจึงสวมกำไลที่ส่องแสงประกายวูบวาบล้อแสงไฟให้ ข้อมือเรียวขาวนวลซึ่งเข้ากับกำไลหรูอย่างพอดิบพอดี

“ขอบคุณค่ะ”

“มันไม่ได้แพงมากมายหรอกนะ ผมไม่อยากให้คุณคิดมาก”

เจ้าของแขนเรียวเสลาก้มลงมองกำไลฝังเพชรบนตัวเรือนทองคำขาว สายตาของหล่อนที่เขาเห็นตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสน ทั้งพอใจและไม่แน่ใจปนกันจนทำให้เขาเผลอมองด้วยความพึงใจ

เกมนี้แค่เริ่มต้น แต่เขารู้แล้วว่าจะจบลงแบบไหน...กินรินก็แค่หมากตัวหนึ่งบนกระดานเท่านั้น!


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น