12
หลง...หรือแค่อยากลอง
รถเบนซ์สปอร์ตเปิดประทุนขับผ่านประตูเข้ามา แล้วเลี้ยวไปจอดที่หน้าบ้านสองชั้นหลังใหญ่ท่ามกลางหมู่ไม้ร่มครึ้มเป็นสวนขนาดย่อมๆ อยู่ด้านหลัง
“ขอบคุณที่พาไปเลี้ยงอาหารฝรั่งเศสนะคะ” กินรินหันไปบอกคนขับรถ
“คุณชอบร้านอาหารที่โรงแรมไหม”
“ชอบค่ะ”
“แล้วกำไลนี่ล่ะ ชอบรึเปล่า” เขาขยับมาใกล้พร้อมกับตั้งคำถาม ซึ่งจำได้ว่าหล่อนยังไม่ได้บอกสักคำว่าถูกใจหรือไม่
“ค่ะ”
“แค่นั้นเองเหรอครับ”
“ชอบค่ะ สวยมาก” กินรินบอกไปตามจริง ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจเขาเท่านั้น
“ถ้าคุณทำให้ผมถูกใจ ผมจะให้มากกว่านี้” จิรสินจ้องดวงตากลมโตผ่านความสลัวรางภายในรถ
หล่อนมองสบตาคมที่แม้จะเห็นไม่ถนัดนัก แต่ก็พอเดาได้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร
“กระเต็นเข้าบ้านก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวสิ!” เขารีบคว้าแขนไว้ก่อนที่หล่อนจะทันได้เปิดประตูลงจากรถ
“พี่สิน!”
จิรสินจับต้นแขนทั้งสองข้างนั้นไว้แน่นแล้วดึงร่างโปร่งบางเข้ามาหา ในขณะที่เจ้าตัวอยู่ในอาการตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งชายหนุ่มที่เพิ่งมาจากดินแดนซิวิไลซ์อย่างปารีสไม่คุ้นเคยนัก “คุณจะไม่ให้รางวัลผมหน่อยหรือ”
“รางวัลอะไรคะ” กินรินถามแบบงงๆ
“ก็ที่ผมพาไปนั่งดินเนอร์ในร้านอาหารหรูบนยอดตึก กับกำไลที่ผมเพิ่งสวมให้คุณไง” เขาเลยต้องทวงแบบดื้อๆ เมื่อหญิงสาวทำท่าว่าไม่เข้าใจ
“เอ่อ...กระเต็นไม่มีอะไรให้ค่ะ”
“มีสิ จูบผมเป็นรางวัล” เขาบอกคล้ายออกคำสั่งเสียมากกว่า
“คือ...ไม่...”
“เราก็เคยจูบกันแล้ว แต่คราวนี้ผมอยากได้รางวัลจากคุณ”
กินรินได้แต่ส่ายหน้า เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต ใครจะกล้าจูบผู้ชายก่อน โดยเฉพาะผู้ชายที่ยังเป็นแค่คนแปลกหน้า
“ทำไม” เสียงเข้มๆ เริ่มไม่พอใจนิดๆ “คุณไม่เคยจูบแฟนคุณบ้างหรือไง เวลาที่เขาซื้อดอกไม้มาให้”
“เอ่อ...ขอเวลาให้กระเต็นก่อนได้ไหมคะ มันยังไม่ใช่วันนี้” หล่อนบอกเขาด้วยน้ำเสียงขอร้อง
“คุณพยายามจะบอกผมว่า คุณไม่เคยจูบผู้ชายเลยงั้นสิ” เขาอดถามไม่ได้จากท่าทางที่เห็น
“พี่สินปล่อยกระเต็นก่อนนะคะ” หญิงสาวเริ่มเสียงสั่น เพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนคุกคามจากญาติหนุ่มที่ดูแล้วเป็นคนอารมณ์แปรปรวนพอควร
“วันก่อนคุณยังไปนอนฟุบหลับคาห้องผมอยู่เลย แล้วทำไมวันนี้ต้องทำเป็นกลัวจนตัวสั่น” เขาเชยคางเรียวเล็กให้เงยหน้าขึ้นมาหา ริมฝีปากอิ่มที่พยายามเม้มเข้าหากันยิ่งก่อกวนอารมณ์ของคนที่อยากลิ้มรสอีกสักครั้ง เพราะคราวที่แล้วยังติดใจจนแทบลืมไม่ลง
‘กินรินเป็นของนาย...อยากจะทำอะไรก็ทำสิ!’ เขากดริมฝีปากลงไปหาทันทีตามที่ใจเรียกร้องต้องการ
“อย่า...” เสียงเล็กๆ ถูกกลืนหายไปเมื่อริมฝีปากถูกประกบปิด หล่อนไม่ได้อยากขัดขืนให้เขาคิดว่าทำไมต้องดีดดิ้น ทั้งที่อีกไม่กี่วันก็ต้องย้ายไปอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้เขาจอดรถอยู่หน้าบ้าน แล้วถ้าใครออกมาเห็นเข้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จึงพยายามผลักหน้าอกกว้างให้ออกห่าง แต่ออกแรงจนสุดกำลังแล้วก็ยังไม่ได้ผล
เขากอดรัดร่างอรชรแน่นขึ้นอีกเมื่อถูกผลักไส ริมฝีปากหยักได้รูปยิ่งบดเบียดเข้าหากลีบปากบอบบางที่แสนเย้ายวน กระทั่งหล่อนหยุดดิ้นรน ยินยอมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
กินรินหมดเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ เมื่อเขาแทรกผ่านเข้าไปภายในเพื่อควานหาความชื่นฉ่ำจากหล่อนราวกับหิวกระหาย ร่างบอบบางอ่อนปวกเปียกระหว่างที่เขากำลังเพลิดเพลินราวกับผีเสื้อโบยบิน หล่อนมารู้สึกตัวอีกหนเมื่อผ้าคลุมไหล่เลื่อนหลุดจากบ่า
“กินริน...” เขาเรียกหลังจากถอนริมฝีปากออกห่างมาเพียงไม่ถึงคืบ แล้วจ้องมองอีกฝ่ายราวกับไม่เคยเห็น จิรสินแทบไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะอยากสัมผัสแตะต้องหญิงสาวคนหนึ่งได้มากมายถึงเพียงนี้ ตอนนี้เขาเหมือนคนควบคุมตัวเองไม่ได้ หล่อนบอบบางน่ารัก แต่กลับเย้ายวนใจอย่างแสนประหลาด
“พี่สินคะ” เสียงเล็กเบาเรียกทั้งที่รู้ว่าคงไม่ได้ช่วยอะไร
ใบหน้าคมคายที่คล้ายกับคนต่างชาติซบลงมาที่ต้นคอแล้วค่อยๆ ลากไปมาบนผิวอ่อนบางอย่างย่ามใจ กินรินทำได้แค่ห่อไหล่พร้อมกับขนลุกไปทั้งตัวจากสัมผัสที่ไม่คุ้นมาก่อน ผิวหน้าสากระคายเลื่อนไล้จากลำคอผ่านไหล่ลงมายังเนินอกอิ่มที่มีเพียงเส้นสายเดี่ยวบางๆ พาดอยู่ทำให้หล่อนต้องขยับตัวหนีทันที
“พี่สิน...ปล่อยกระเต็นนะคะ” หล่อนขอร้องเขาเสียงสั่นด้วยอารมณ์ที่ทั้งกลัวและหวิวไหวจนแยกไม่ออก
เขากลับไม่ยอมหยุดง่ายๆ แต่ยังเลื่อนไล้และจูบไซ้บนผิวนวลเนียนบริเวณเนินอกที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ อันแสนยั่วยวนของวัยสาว ที่ทำให้ชายหนุ่มอย่างเขาแทบโงหัวไม่ขึ้น แถมยังอยากกระชากสายสองเส้นเล็กๆ ให้ขาดคามือในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
หนุ่มร่างใหญ่ยังคงโอบเอวหญิงสาวไว้แน่น ในระหว่างที่กดปลายจมูกโด่งลงบนเนินอกเปลือยส่วนที่พ้นจากผ้าพลิ้วบางที่ขวางกั้นอยู่ เพื่อสูดกลิ่นหอมที่ชวนให้หลงใหล
“อย่านะ!” หล่อนร้องบอกด้วยเสียงสั่นเครืออีกครั้ง
ฝ่ามือใหญ่ๆ ข้างหนึ่งสอดเข้าไปในชายกระโปรงแล้วลูบผ่านขึ้นไปจนถึงต้นขาเรียวทำให้หญิงสาวได้สติร้องห้ามเสียงสั่น และดูเหมือนว่าเขาเองก็เริ่มดึงสติกลับมาได้เช่นกัน
กินรินรีบถอยห่างเมื่อเขายอมปล่อยมือจากตัว แม้ใจยังเต้นแรงจนหน้าอกกระเพื่อม แต่หล่อนไม่คิดจะเสียเวลาหรือเปิดโอกาสให้เขาอีก จึงหันไปเปิดประตูแล้วรีบลงจากรถทันที
เจ้าของรถนั่งนิ่งอยู่ไม่กี่อึดใจจึงติดเครื่องยนต์แล้วขับกลับออกไป เมื่อพ้นประตูบ้านออกมาแล้วเขาเหลียวไปมองที่เบาะนั่งข้างตัวด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ
‘ยายเด็กนั่นฉีดน้ำหอมยาเสน่ห์หรือไง หรือว่าหล่อนมีแม่เหล็กฝังอยู่ในตัว!’
จิรสินสะบัดศีรษะเพื่อไล่อารมณ์ตกค้างและเสียงต่างๆ ในหัวออกไปให้หมด เพื่อใช้สมาธิขับรถกลับไปยังโรงแรมที่พัก แต่สุดท้ายเขาก็อดหันไปมองเบาะข้างๆ อีกไม่ได้ กลิ่นของหล่อนยังลอยอวลอยู่ที่ปลายจมูกราวกับว่าหล่อนวางยาหรือร่ายมนตร์ไว้
‘ผ้าคลุมไหล่นี่เอง!’
แทนที่จะยื่นมือไปหยิบแล้วปาออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหยุดกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ยังติดตรงปลายจมูก แต่เขากลับหยิบผ้าบางๆ ผืนนั้นมาถือไว้โดยไม่ลังเลที่จะสูดกลิ่น เพราะอยากรู้ว่าใช่กลิ่นเดียวกับเจ้าของหรือไม่ จิรสินหยิบผ้าคลุมของกินรินติดมือขึ้นไปบนห้องพักด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจตัวเองมากขึ้นทุกขณะ
‘นี่นายกำลังหลงยายเด็กแม่มดนั่น รู้ตัวไหม!’
‘ไม่มีทาง...ฉันก็แค่อยากได้ เพราะยังไม่เคยลองของใหม่เท่านั้นเอง!’
เมื่อหาเหตุผลให้ตนเองได้แล้ว จิรสินจึงมีแก่ใจเดินไปอาบน้ำ แต่คืนนั้นกว่าจะข่มตาหลับลงได้ก็ผ่านไปอีกหลายชั่วโมง เพราะว่าทั้งกลิ่นและรสสัมผัสของแม่มดกินรินยังตามมาหลอกหลอน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรถเบนซ์คันงามทำให้หญิงสาวรู้ตัวว่าหลังจากนี้จะต้องถูกเรียกร้องอะไรบ้างเป็นค่าตอบแทนในสิ่งที่เขาจ่ายมาทั้งหมด
ตอนที่วิ่งจากรถมาถึงประตูบ้าน แม่เป็นคนลงมาเปิดประตูให้ แต่กินรินไม่อยู่ในสภาพที่จะคุยหรือตอบคำถามใครจึงขอตัวเข้าห้องพักผ่อนทันที แต่ปรากฏว่าพอเข้าห้องมาแล้วกลับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งลงเหมือนคนหมดแรงอยู่ที่ปลายเตียง
ผ่านไปนานแค่ไหน หล่อนไม่มีแก่ใจดูเวลา แต่พอสติสตังเริ่มกลับคืนมาก็รีบลุกไปที่หน้ากระจกตรงตู้เสื้อผ้าติดผนังแบบบิลต์อิน แล้วก็เห็นว่าทั้งลำคอและเนินอกเป็นรอยแดงจางๆ ที่เขาฝากไว้บนผิวขาวเนียนบอบบางที่ไวต่อการสัมผัสและเกิดร่องรอยได้ง่าย
ถ้าถึงวันที่ต้องย้ายไปอยู่กับเขา กินรินยังนึกไม่ออกว่าตนเองจะเป็นอย่างไร
จิรสินไม่เคยแสดงออกหรือทำให้รู้สึกเลยสักครั้งว่าเขาเป็นญาติกับหล่อน หรือแม้แต่กับใครก็ตามในญานันทร เขาวางตัวห่างเหินราวกับไม่นับญาติกับใครทั้งนั้น แต่ก็ยอมจ่ายเงินหลายสิบล้านเพื่อช่วยเหลือให้ทุกคนได้มีที่ซุกหัวนอนกันต่อไป รวมทั้งหล่อนเองด้วยที่ต้องพึ่งพาเขาทุกเรื่องนับจากนี้ หากเขาจะวางตัวไม่ต่างจากเจ้าชีวิตของหล่อนขึ้นมาก็คงไม่แปลก ในเมื่อเขาจ่ายให้ทุกอย่างแบบที่หล่อนคงไม่มีวันได้จากใครอีกแล้วบนโลกใบนี้
‘ก็ดีแล้วไง มีคนเปย์ให้ทุกอย่างยังต้องคิดอะไรอีก’ เสียงที่ดังขึ้นมาในหัวไม่ทำให้กินรินรู้สึกดีขึ้นมากนัก เพราะอีกเสียงหนึ่งคอยค้านอยู่นั่นเอง
‘เขาจะทำยังไงกับเธอก็ได้ เป็นแค่เมียเก็บ! อย่าได้คิดว่าจะต่อรองหรือขอความเห็นใจ’
กินรินกำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่เสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นเสียก่อน
“ยังไม่นอนอีกหรือลูก”
“ยังไม่ได้อาบน้ำเลยค่ะ” หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้แม่ผิดสังเกตและไม่สบายใจ
“มีอะไรรึเปล่า แม่เห็นเขามาจอดรถอยู่สักพักแล้ว แต่ไม่เห็นกระเต็นลงมาสักที”
“ไม่มีอะไรค่ะ เราคุยกันมาระหว่างทางยังไม่จบก็เลยคุยกันต่อ”
ผู้เป็นแม่เริ่มสังเกตว่ามีกำไลแปลกตาเพิ่มขึ้นมา “แล้วกำไลนั่นไปเอามาจากไหนล่ะลูก ตอนออกจากบ้านไปแม่ไม่เห็นหนูใส่อะไรเลย”
“พี่สินซื้อให้น่ะค่ะ”
“จริงหรือลูก” พิมพารีบเดินเข้ามาดูใกล้ๆ โดยยกข้อมือของลูกสาวขึ้นมาดูแล้วก็รู้ว่าเป็นเพชรจริง “นี่มันของแท้นะ ราคาคงไม่เบาเลยทีเดียว”
“งั้นเหรอคะ ตอนแรกกระเต็นว่าจะไม่รับ แต่เขาไม่ยอม”
“พี่เขาซื้อมาให้ก็รับไว้เถอะ เดี๋ยวจะเสียน้ำใจกันเปล่าๆ” พิมพามองเลยกำไลขึ้นไปบนท่อนแขนเรียวเปลือยเปล่าของลูกสาว จึงเห็นว่าต้นแขนขาวๆ มีรอยแดงเหมือนถูกใครบีบมา พอมองเลยมาที่เนินอกกับลำคอก็เห็นรอยแดงจางๆ อีกสองสามจุดจึงรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าตัวด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก”
“ไม่ค่ะ”
“แล้วรอยแดงๆ นี่...เขาทำอะไรรุนแรงกับหนูรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ” กินรินตอบแล้วก้มหน้าหลบตา อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงให้เจ็บปวดแต่อย่างใด แต่ผิวบางๆ ของหล่อนเองที่โดนอะไรนิดหน่อยก็เป็นรอยแดงขึ้นมา
“แม่เป็นห่วงลูกนะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่สินก็ดีกับกระเต็นนี่คะ ไม่งั้นคงไม่ซื้อกำไลเพชรแพงๆ มาให้”
พิมพาได้ยินแล้วพยักหน้า เพราะเห็นหลักฐานอยู่ว่าเขาซื้อให้จริง ถ้าไม่มีใจให้กันบ้างคงไม่ยอมเสียเงินหรือแม้แต่เสียเวลาไปเลือกซื้อมาให้แน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นหนูก็รีบเข้านอนได้แล้ว”
“คงต้องอาบน้ำก่อนค่ะ แม่ไปนอนเถอะ”
“จ้ะ แม่ไปก่อนนะ”
หลังจากที่แม่เดินออกไปแล้ว กินรินจึงเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งอก เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าเล่าให้คนอื่นฟังแม้แต่คนที่เป็นแม่ก็ตาม หญิงสาวถอดกำไลออก เก็บไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า แสงเพชรที่วูบวาบเข้าตาทำให้นึกไปถึงคนที่สวมกำไลให้อีกจนได้
“ขอบคุณ...ที่อุตส่าห์ซื้อมาให้ แต่กระเต็นก็ต้องตอบแทนพี่จนคุ้มแสนคุ้มใช่ไหม”
เช้าวันนี้เรื่องการไถ่ถอนจำนองบ้านของทัดเทพรู้กันทั่วบ้านใหญ่ไปเรียบร้อย ไม่เว้นแม้แต่ธวัช ซึ่งเป็นผู้มีอาวุโสมากที่สุดในญานันทรตอนนี้
“มันไปรวยมาจากไหนนักหนา เหมือนมันตั้งใจจะมาซื้อบ้านของพวกเราทุกหลังไม่ให้เหลือ”
ธนดลเอ่ยขึ้นมาระหว่างนั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่ชายหนุ่มอย่างเขาจะตื่นมาทันมื้อเช้า ส่วนใหญ่จะรวบทั้งมื้อเช้าและมื้อเที่ยงไปรวมกัน
“เขามาซื้อไว้ก็ดีแล้วนี่พี่ดล เห็นไหมล่ะว่าน้าทัดเทพรีบตอบตกลงกับพี่สินตัดหน้าเราไปแล้ว” พิสินีพูดคล้ายกับอยู่ฝ่ายเดียวกับจิรสินไปแล้วในตอนนี้ น้ำเสียงเห็นดีเห็นงามที่จะขายบ้านใหญ่ให้เขาอีกหนึ่งหลัง
“ไม่เห็นสนเลย” ธนดลตอบพร้อมกับยักไหล่ไม่แคร์
“แต่สินีสน เพราะยังไม่อยากไปนอนข้างถนน แต่ถ้าพี่ดลอยากก็เชิญเถอะ” หญิงสาวว่าอย่างรำคาญที่ญาติผู้พี่ยังทำท่าลำพองเหมือนเป็นลูกเศรษฐีทั้งที่กำลังถังแตก
“เธอนี่มันเปลี่ยนสีไวจริงๆ นะ” ธนดลตอกกลับมาอย่างหงุดหงิดที่พิสินีแปรพักตร์ไปเข้าข้างจิรสินเพราะฝ่ายนั้นรวยกว่า
“หยุดเถียงกันได้แล้ว!” ธวัชบอกเสียงดังคล้ายกับรำคาญ ไม่นานก็วางช้อนลงบนจานแล้วทำท่าจะลุกจากโต๊ะไปดื้อๆ
“คุณตาคะ เราขายบ้านให้พี่สินเถอะนะคะ” พิสินีตัดสินใจขอร้องคนที่เป็นปัญหาสำหรับเรื่องขายบ้านในตอนนี้
ธวัชชะงักแล้วนั่งลงที่เดิม เมื่อได้ยินหลานสาวขอร้องในสิ่งที่ตนเองก็ครุ่นคิดมานานหลายวัน
“นั่นสิคะคุณพ่อ เห็นแก่ลูกหลานเถอะค่ะ” ประภาพรช่วยโน้มน้าวอีกแรง
“พวกเธอกลัวว่าจะต้องไปอยู่ข้างถนนกันรึไง” เสียงแหบๆ ถามอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อย่าขายนะคุณตา” ธนดลแย้งทันที
“ไม่ยอมให้ขายแล้วเธอจะไปอยู่ที่ไหน หรือว่าดลมีปัญญาหาบ้านใหม่ให้คุณตาอยู่” ประภาพรถามพร้อมจิกตาใส่หลานชายตัวดีอย่างไม่สบอารมณ์
“แต่ยังไงผมก็ไม่ยอมเป็นคนอาศัยอยู่ในบ้านของไอ้สินแน่ๆ” ธนดลยืนยันเสียงดัง
“พี่ดลก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นสิ สินีกับแม่จะอยู่ที่นี่” พิสินีบอกเสียงดังให้รู้ว่ายืนกันคนละข้างแล้วในตอนนี้
ธวัชมองหลานๆ แล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักอก เพราะรู้แก่ใจดีว่าแต่ละคนต่างก็เอาตัวไม่รอด ถ้าไม่มีบ้านหลังนี้คุ้มหัวก็ยังเดาไม่ได้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป และนั่นเป็นเหตุให้ชายชราจำเป็นต้องตัดสินใจ
“คงไม่ใช่แค่อยากอยู่บ้านนี้หรอก แต่เธออยากได้มันด้วยใช่ไหมสินี” ธนดลดักคออย่างรู้ทัน เพราะโตมาด้วยกัน
“หยุด!” ธวัชสั่งเสียงดังอีกครั้ง
“คุณตาว่ายังไงคะ” พิสินีหันมาหาคนที่ต้องตัดสินใจอย่างมีความหวัง
“ขายให้มันไป!”
การตัดสินใจของชายวัยแปดสิบกว่าทำให้ทุกคนในบ้านถึงกับตะลึงด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป
“คุณตา!” ธนดลผุดลุกขึ้นทันทีด้วยความผิดคาด
“แม่อำไพไปบอกขายบ้านให้ไอ้สิน แล้วไม่ต้องพูดกันเรื่องนี้อีก” ธวัชสั่งเสียงเฉียบขาดตามนิสัย ก่อนลุกจากโต๊ะเดินไปที่บันไดทางขึ้นชั้นสอง
ประภาพรรีบลุกตามเพื่อช่วยพยุง แต่ผู้เป็นพ่อโบกมือห้าม
“คุณตาทำแบบนี้เท่ากับกลืนน้ำลายตัวเอง” ชายหนุ่มเอ่ยถึงคนที่เพิ่งลุกจากไปอย่างไม่พอใจ เขาออกอาการฮึดฮัดจนทุกคนต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเอือมระอา
“จะพูดจาอะไรให้มันระวังปากหน่อยนะตาดล” ประภาพรเอ็ดหลานชาย
“ก็ไม่จริงหรือครับ แต่ก่อนไม่เคยยอมรับมันเป็นหลาน พอมันหนีออกจากบ้านไปก็บอกว่าดีแล้วปล่อยมันไป แต่มาตอนนี้กลับยอมรับมันกลับเข้ามาอีก”
“พอเถอะตาดล ไม่ต้องออกความเห็นอะไรอีก เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณตา แม่ต่างหากที่เป็นต้นคิดไปขอความช่วยเหลือจากนายสิน”
“ต่อไปนี้พวกเราคงต้องพูดถึงมันกันทั้งบ้านใช่ไหม รวมทั้งบ้านน้าทัดด้วย”
“แน่นอน...” พิสินีรับคำเสียงสูงแล้วยิ้มเหยียด ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “ใครๆ ก็ต้องพูดถึงอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าน่าจะมีคนแทบเพ้อหาพี่สินด้วยซ้ำ”
“ก็เธอไง”
“แหมๆๆ เรื่องอะไรดีๆ ก็มาลงที่สินีหมดเลยนะพี่ดล” พิสินีทำเสียงเล็กเสียงน้อย
“จะมีใครอีกล่ะที่เห่อไอ้เศรษฐีใหม่จนออกนอกหน้า เมื่อก่อนเคยเรียกมันไอ้สิน ไอ้ลูกข้างถนน แต่ตอนนี้เรียกพี่สินได้เต็มปากเต็มคำ”
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนได้ยินแล้วต่างก็ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะโทษใคร เพราะเด็กก็พูดตามผู้ใหญ่นั่นเอง ถ้าไม่มีตัวอย่างหรือได้ยินจากใครมาก่อนแล้วเด็กจะเอาที่ไหนมาพูดได้ โดยเฉพาะถ้อยคำที่ใช้จิกหัวเรียกคนอื่นอย่างนั้น
“พี่ดลอยากรู้ว่าเป็นใคร ก็ลองไปถามแม่นกกระเต็น น้องสาวคนโปรดดูสิ ว่าเมื่อคืนนี้ออกไปไหนกับใครมา เห็นมีรถเบนซ์สปอร์ตสีดำขับกลับมาส่งที่บ้านตั้งเกือบห้าทุ่ม”
“กระเต็นเหรอ!” ธนดลเป็นคนเข้าใจอะไรไม่ยาก แต่ยังไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เขาคิดว่ามีแต่พิสินีเท่านั้นที่กำลังคิดจะจับจิรสินเพราะรักสบาย
“ไม่รู้สิ ลองดูต่อไปก็แล้วกัน”
“เมื่อคืนนี้กระเต็นออกไปกับนายสินเหรอสินี” แม้แต่อำไพยังอดถามไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย ทุกคนในญานันทรต่างรู้ว่าธนดลหมายปองกินรินมานานหลายปี ติดที่ว่าฝ่ายหญิงยังอายุน้อยและเพิ่งเรียนจบจึงยังไม่กล้าเอ่ยปากอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็เห็นว่าอยู่ในรั้วบ้านเดียวกันคงไม่ยากเย็นอะไรนัก คนเป็นแม่ที่รักลูกแบบยอมทุกอย่างอย่างอำไพเห็นดีเห็นงามด้วยหากจะได้กินรินมาเป็นลูกสะใภ้
“ค่ะ ป้าอำไพ”
“สงสัยว่าบ้านโน้นจะขายบ้านแถมลูกสาวเสียก็ไม่รู้” ประภาพรยิ้มหยัน แต่ในใจกลับร้อนวูบด้วยความริษยา หากว่าลูกสาวบ้านโน้นจับจิรสินไว้ได้อยู่หมัดก็เท่ากับสบายกันไปทั้งบ้าน แล้วคนที่หมดสิทธิ์ก็คือลูกสาวของหล่อนเอง ที่มัวแต่ชักช้าปล่อยให้มือดีมาฉกไปต่อหน้า
“ผมจะไปถามน้องกระเต็น”
“ดล! ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม อย่าใจร้อนจนเสียเรื่อง” อำไพห้ามลูกชาย ก่อนเขาจะทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
ทั้งที่เป็นคนใจร้อน แต่ธนดลก็ทำใจอดทนรอมาได้ตลอด เพราะเห็นว่าหญิงสาวเป็นญาติใกล้ชิดและอยู่ในรั้วบ้านเดียวกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็คงไม่ไปไหนเสีย กินรินเป็นสาวสวยก็จริง แต่สนใจเรื่องร่ำเรียนเป็นหลัก ไม่เคยประพฤตินอกลู่นอกทางจนเป็นที่รักใคร่ชื่นชมของทุกคนในญานันทร หล่อนโตขึ้นและสวยขึ้นทุกวันจนเตะตาธนดลและเกิดหลงรักขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ความเป็นญาติจึงทำให้เขาไม่กล้าผลีผลามเข้าหาเหมือนกับสาวๆ รายอื่นที่ผ่านมา
แต่ตอนนี้ธนดลเริ่มใจร้อนเป็นไฟ เมื่อรู้ว่าของที่หมายปองอาจจะหลุดมือไป แถมยังไปอยู่ในมือของ ‘ไอ้สิน’ อีกด้วย!
ความคิดเห็น |
---|