4
ภาวินมารับหลานชายและครูประจำชั้นของเด็กน้อยตรงตามเวลาที่นัดหมายกันเอาไว้ เด็กน้อยดีใจยกใหญ่เมื่อนลินขึ้นรถมาด้วย แถมยังจะไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าด้วยกันอีกต่างหาก
“พาลิปดาไปด้วยได้ไหมครับครูลิน”
“ลิปดานี่ใครกันเหรอครับ เพื่อนใหม่องศาเหรอ” ภาวินถามหลานชายที่วันนี้ดูจะร่าเริงเป็นพิเศษ
“ลูกหมาตัวที่คุณเห็นเมื่อวานน่ะค่ะ ฉันช่วยตั้งชื่อให้ จะได้คล้องจองกับชื่อองศา” ตอบคุณลุงเสร็จแล้วก็หันไปตอบคุณหลานต่อ
“เราพาลิปดาไปด้วยไม่ได้ค่ะ เพราะลิปดาต้องอยู่เฝ้าบ้านให้ครูลิน”
ครูสาวบอกลูกศิษย์ไปอย่างนั้น เพราะรู้ดีว่าภาวินคงไม่ยอมให้เอาลูกสุนัขขึ้นรถมาด้วยแน่ๆ ขนาดเมื่อวานแค่มันจะเลียรองเท้ายังโวยวายแทบแย่
“ว้า...” เด็กน้อยทำน้ำเสียงผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้งอแงอะไร
“วันนี้องศาบอกครูลินว่าอยากได้อะไรนะคะ ครูจำไม่ได้”
ครูสาวเบนความสนใจลูกศิษย์ตัวน้อยด้วยการชวนคุยเรื่องสิ่งของที่เขาเคยพูดว่าอยากได้
“ดินสอสีครับ ครูลินจะซื้อให้องศาเหรอครับ” องศาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เปล่าค่ะ คุณลุงต่างหากล่ะคะที่จะซื้อให้ ใช่ไหมคะคุณภาวิน”
“ใช่ครับ”
ภาวินตอบรับแทบจะทันที เขาฟังครูสาวคุยกับหลานชายมาตลอดทางด้วยความดีใจอย่างบอกไม่ถูก ที่อย่างน้อยหลานชายของเขาก็กล้าพูด กล้าขอในสิ่งที่อยากได้กับคุณครูประจำชั้น ผิดกับตัวเขาซึ่งเป็นลุงแท้ๆ แต่องศากลับไม่ค่อยยอมขออะไร แม้ว่าภาวินพร้อมที่จะให้ทุกอย่างก็ตาม ส่วนนลินเองก็พยายามทำให้เขามีส่วนร่วมพูดคุยด้วย เพราะตั้งแต่ขึ้นรถมาองศาก็เอาแต่เรียกครูลิน โดยที่ไม่คิดจะสนใจคุณลุงของตนสักเท่าไร
“เดี๋ยวลุงจะซื้อดินสอสีให้เองครับ องศาอยากได้กี่กล่องก็ได้ ตามใจองศาเลย”
ภาวินพูดกับหลานชาย หลังจากนั้นก็หันไปมองนลินด้วยสายตาขอบคุณที่ช่วยเป็นสื่อกลางระหว่างหลานชายกับเขาให้
นลินพยักหน้ารับแล้วสอนให้องศาขอบคุณคุณลุงของเขา เด็กน้อยทำตามที่ครูสาวบอกอย่างว่าง่าย...
ภาวินพานลินกับองศามาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในที่สุดชายหนุ่มก็ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้เธอ เพราะทนเห็นรองเท้าที่ทั้งเก่าทั้งเชยของหญิงสาวไม่ได้ เมื่อเลือกซื้อรองเท้ากันเสร็จ ทั้งสามคนก็ไปร้านหนังสือกันต่อ ภาวินเลือกซื้อสมุดภาพระบายสีพร้อมดินสอสีครบชุดให้องศาก่อน เด็กน้อยได้ของที่อยากได้มานานก็ยิ้มจนหน้าบาน ส่วนลุงของเขาหน้าบานยิ่งกว่าเมื่อเห็นหลานชายยิ้มได้ จากนั้นชายหนุ่มก็หันมาเลือกหนังสือเตรียมสอบชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศให้แก่นลิน
“เล่มนี้ผมเคยอ่านตอนเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอก ส่วนเล่มนี้เอาไว้ทดลองทำข้อสอบ เล่มนี้อ่านเพื่อปรับพื้นฐานด้านภาษา ส่วนนี่คือคู่มือการใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ”
ชายหนุ่มหยิบแล้วส่ง หยิบแล้วส่งจนเต็มไม้เต็มมือนลินไปหมด แต่ละเล่มหนาและหนักอย่างกับหมอนหนุนรางรถไฟ ทำให้นลินถือไปเดินเซไป
“เราทยอยซื้อก็ได้มั้งคะ ซื้อเยอะขนาดนี้ ฉันอ่านไม่ทันหรอกค่ะ”
“ผมไม่ค่อยมีเวลาพาคุณมาซื้อได้บ่อยๆ นะครับ และถ้าให้คุณมาซื้อเองก็คงไม่ได้ซื้อเสียที เพราะมัวแต่ประหยัด” ภาวินพูดราวกับรู้จักเธอดี
และใช่ ถ้าเธอมาซื้อเองคงไม่หยิบเล่มที่ชายหนุ่มเลือกมาให้แน่ๆ บางเล่มแพงถึงขนาดเธอนำเงินไปซื้อข้าวกินได้ทั้งเดือนเลยก็ว่าได้
“ค่ะ ซื้อไปเลยก็ได้ค่ะ แล้วก็...ฉันจะรบกวนให้คุณช่วยหักจากเงินค่าแรงของฉันเดือนหน้าได้เลยนะคะ”
“ผมบอกแล้วไงว่าจะซื้อให้ คุณมีหน้าที่รับไป มันฟังเข้าใจยากตรงไหนครับ คุณครูนลิน”
ชายหนุ่มพูดโดยที่ยังคงกวาดสายตาไปบนชั้นเพื่อเลือกซื้อหนังสือเล่มที่เขาต้องการจะซื้อให้หญิงสาว
นลินเองก็ทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรเคืองที่อยู่ๆ ก็ถูกทำเสียงดุใส่ หรือควรขอบคุณภาวินที่ออกเงินซื้อหนังสือให้ดี เธอไม่คิดที่จะรับหนังสือพวกนี้ฟรีๆ ตั้งแต่แรก แค่เขาพามาซื้อก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว
“ซื้อไปเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน อ่านจบแล้วค่อยมาซื้อใหม่”
เมื่อเลือกหนังสือเล่มสุดท้ายได้ ก็แย่งหนังสือที่นลินถืออยู่มาถือไว้เสียเองแล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์
ระหว่างนั้นองศาก็หยิบขนมที่วางขายอยู่ในร้านหนังสือร้านเดียวกันมายื่นให้คุณลุงเพื่อให้เขาจ่ายเงินให้
“หิวแล้วเหรอครับองศา”
“ครับ” เด็กน้อยตอบพร้อมกับมองพนักงานคิดเงินค่าขนมตาละห้อย
ภาวินหัวเราะออกมานิดหนึ่ง ก่อนจะแกะขนมปังกรอบส่งให้หลานชายชิ้นหนึ่ง แล้วก็เอาเข้าปากตัวเองชิ้นหนึ่ง นลินสังเกตสองลุงหลานแล้วก็ยิ้มตาม อันที่จริงภาวินเองก็พยายามตามใจหลานในหลายๆ เรื่อง แต่อาจจะเป็นเพราะองศายังไม่คุ้นเคยกับลุงของเขา แล้วไหนจะความเจ้าระเบียบ ชอบออกคำสั่ง แถมชอบทำหน้าดุตลอดเวลาของชายหนุ่ม จึงทำให้เด็กน้อยกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้
“เดี๋ยวเราไปทานข้าวกันนะครับ องศาหิวแล้ว ผมก็เหมือนกัน”
“คะ?”
นลินทำหน้าสงสัย นี่เขาจะพาเธอมาซื้อหนังสือ ซื้อรองเท้าให้ แถมยังจะชวนไปกินข้าวด้วยกันอีกหรือนี่ เป็นครูสอนพิเศษหลานคนรวยมันดีแบบนี้นี่เอง
“องศาชอบกินไก่ทอด แต่อาทิตย์นี้องศากินไก่ทอดไปแล้วสามครั้ง ผมอยากให้แกทานผักบ้าง คุณครูช่วยชวนแกไปทานอะไรที่เป็นเมนูผักหน่อยได้ไหมครับ” ภาวินเอ่ยปากขอ
นลินได้แต่คิดในใจว่า กับอีแค่อยากให้หลานกินผัก ทำไมต้องให้เธอเป็นคนชวนด้วย
“ก็...คุณก็ชวนแกสิคะ ฉันว่าองศาไม่กล้าขัดคุณหรอกค่ะ”
“ผมรู้ว่าเขาจะยอมกิน แต่เขาจะกินแบบไม่มีความสุข ตอนที่ภัทรยังอยู่ เขาจะมีวิธีหลอกล่อให้องศากินผักจนหมดจานได้ คุณช่วยทำแบบนั้นบ้างได้ไหม”
คำขอร้องจากเสียงทุ้มฟังดูราบเรียบคล้ายเป็นคำสั่งจากนายจ้างสั่งลูกจ้างเสียมากกว่า นลินก้มมองของที่เธอหิ้วพะรุงพะรังซึ่งภาวินออกเงินซื้อให้แล้วก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าไม่อาจปฏิเสธคำขอของชายหนุ่มได้
“ค่ะ ฉันจะชวนองศาเอง...”
ภาวินพานลินและองศามาที่ร้านอาหารร้านหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้า นลินสั่งข้าวผัดไข่ ใส่ผักหลากสีมาให้เด็กน้อยกินคู่กับไข่ม้วนที่ราดด้วยซอสมะเขือเทศสีแดงสวย เด็กน้อยกินเอาๆ เพราะต้องการจะเอาใจคุณครู ทำให้ภาวินพอใจที่เห็นหลานชายกินอาหารอย่างมีความสุขเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขารับแกมาดูแล ทำให้ตัวเขาเองก็กินอาหารได้อย่างมีความสุขมากขึ้น เพราะรอยยิ้มของเด็กน้อยช่วยทำให้เขาเจริญอาหารกว่าทุกวัน จนกระทั่ง...
“องศา!”
เสียงเรียกชื่อเด็กน้อยดังอยู่ใกล้ๆ ภาวินหันไปมองต้นเสียง เมื่อรู้ว่าเป็นใคร สีหน้าเขาก็บึ้งตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี อายุก็น่าจะไล่เลี่ยกับภาวินยืนอยู่ใกล้กับโต๊ะอาหารที่ทั้งสามคนนั่งกินมื้อค่ำกันอยู่ เขาผู้นี้มองมาที่องศาด้วยรอยยิ้มอย่างคนที่ดีใจสุดขีดพร้อมด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“องศา! อิ่มรึยังครับ เราต้องกลับบ้านกันแล้ว”
ภาวินพูดแล้วก็กวักมือส่งสัญญาณให้พนักงานมาคิดเงินค่าอาหาร ทำเป็นมองข้าม ไม่สนใจชายหนุ่มที่ยืนนิ่งทำสีหน้าอ้ำอึ้งอยู่ในขณะนี้
นลินมองสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้าแล้วก็ได้แต่สงสัย ไม่มีคำพูดใดๆ จากผู้ชายทั้งสองคน สิ่งมีชีวิตเดียวที่เคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตอนนี้คือเด็กน้อยที่ขยับตัวลงจากเก้าอี้สำหรับเด็ก แล้วตะกายขึ้นมานั่งตักคุณครูสาว ยื่นมือเล็กๆ อูมๆ มาประคองสองแก้มของนลินแล้วพูดเสียงเจื้อยแจ้ว
“ครูลิน องศาเก่งมั้ย องศากินข้าวจนหมดจานเลยนะครับ” เด็กน้อยทวงคำชมจากคุณครูสาวเมื่อเขาตักข้าวในจานใส่ปากด้วยตัวเอง
ความสนใจของชายผู้มาใหม่พุ่งเป้ามาที่หญิงสาว เขาจ้องมองยูนิฟอร์มที่นลินสวม สลับกับมองชื่อโรงเรียนพร้อมตราสัญลักษณ์บนอกเสื้อของเด็กน้อย และทำปากขมุบขมิบพึมพำเป็นชื่อโรงเรียน
“ที่แท้ก็ย้ายมาอยู่โรงเรียนนี้นี่เอง”
“อย่ามายุ่งกับหลานชายของฉัน!”
“แต่องศาเป็นลูกของฉัน”
ได้ยินอย่างนั้น นลินก็ถึงกับทำตาโต เธอหันไปมองภาวินที่ตอนนี้มองไปยังผู้ชายที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อขององศาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากันแน่นอย่างพยายามข่มอารมณ์เต็มที่
“ภัทรไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับแก ดังนั้นแกก็ไม่มีสิทธิ์ในตัวองศาหรอกนะองอาจ กลับไปเสียเถอะ อย่ามาข้องเกี่ยวกับองศาอีกเลย หลานคนเดียวฉันดูแลได้”
“ฉันก็ดูแลลูกของฉันได้”
“ถ้าดูแลได้แล้วทำไมไม่ดูแลตั้งแต่แรก แกทิ้งภัทรไปทำไม”
“ก็ตอนนั้นฉันยังไม่พร้อมจะรับผิดชอบนี่หว่า แต่ตอนนี้ฉันพร้อมที่จะดูแลองศาแล้ว แกก็รู้ดีว่าฉันพยายามตามหาภัทรกับลูกมาโดยตลอด แต่เป็นแกเองที่คอยขัดขวางฉัน”
“ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน แกก็ไม่มีสิทธิ์ในตัวองศาทั้งนั้น”
“แต่องศาเป็นลูกของฉันโดยสายเลือด ฉันมีสิทธิ์ในตัวเขา แกเป็นแค่ลุง มีสิทธิ์อะไรมาพรากลูกของฉันไปฮะ!”
“นี่แกกล้าใช้คำว่าพรากเหรอ” ภาวินตวัดเสียงเข้ม พร้อมกับทำท่าจะปราดเข้าไปหาอีกฝ่าย
“แง...” องศาร้องไห้จ้า โผเข้ากอดครูสาวด้วยท่าทางตื่นตระหนก
ผู้ใหญ่สองคนที่ทำท่าจะมีเรื่องกันต่างก็ตรงเข้าไปปลอบเด็กน้อย ทว่าองศากลับยิ่งร้องไห้และกอดนลินแน่นขึ้น
“เอ่อ...คุณทั้งสองคนคะ ช่วยสงบสติอารมณ์กันหน่อยได้ไหมคะ องศากลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้วค่ะ” ครูสาวกอดเด็กน้อย พร้อมกับกระซิบปลอบเขาที่ข้างหูว่า “ไม่ต้องกลัวนะคะองศา ครูอยู่ตรงนี้แล้ว”
“แกกลับไปเสียเถอะองอาจ ฉันจะพาหลานฉันกลับบ้าน” ภาวินเอ่ยพร้อมกับขยับไปนั่งข้างๆ นลิน เขายื่นมือไปลูบศีรษะหลานชายที่ตอนนี้ยังคงซุกหน้าอยู่กับอกของคุณครูสาว
“ได้ ฉันไปก็ได้ อยากกีดกันไม่ให้ฉันเจอหน้าลูกนักใช่ไหม แกเตรียมตัวเอาไว้ให้ดีเลยนะไอ้ภาม ฉันจะฟ้องศาล เพื่อให้มีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูองศาแต่เพียงผู้เดียว แล้วจะไม่ให้ลูกฉันมาเจอหน้าแกอีกเลยคอยดู” พูดด้วยความเจ็บแค้นจบก็เดินพึมพำออกจากร้านไป
ภาวินปรับสีหน้ามาเป็นปกติอีกครั้ง ทว่าแววตาของเขาดูกังวลจนครูสาวรู้สึกได้ องศาหยุดร้องไห้แล้ว แต่ก็ยังคงซบหน้าลงกับอกและกอดนลินเอาไว้อยู่อย่างนั้น เขาทำเสียงประท้วงเมื่อนลินทำท่าจะดันตัวเด็กน้อยออกจากอก ทำให้ต้องกอดเขาไว้อย่างนั้น
“คุณ...โอเคใช่ไหมคะ”
ภาวินพยักหน้าแทนคำตอบ เขามองไปยังหลานชาย ยื่นมือไปลูบศีรษะทุยของแก ก่อนจะตอบคำถามจากแววตาตั้งคำถามของครูสาวโดยที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
“ภัทรท้องตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ต้องดรอปเรียนแล้วหนีไปต่างประเทศเพื่อคลอดลูก แล้วก็ไม่ยอมกลับบ้านอีกเลยเพราะรู้สึกผิดต่อคุณพ่อคุณแม่”
แววตาภาวินหม่นเศร้าเมื่อพูดถึงน้องสาวคนเดียวของเขา ที่แม้เธอจะอ่อนต่อโลกจนตั้งท้อง แต่บทจะใจแข็งขึ้นมาก็ไม่ยอมกลับมาให้พ่อกับแม่เห็นหน้าอีกเพราะถูกตำหนิรุนแรงจนตัดสินใจหอบลูกในท้องหนีออกจากบ้าน ภาวินออกตามหาน้องจนเจอ คอยให้ความช่วยเหลือภัทราอยู่ตลอด ขอร้องให้กลับบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เธอก็ไม่ยอมกลับเพราะยังรู้สึกผิดต่อครอบครัวและวงศ์ตระกูลที่ตนเองท้องไม่มีพ่อ
“แล้วคุณพ่อขององศาไม่ได้ตามไปดูแลเลยเหรอคะ”
“ไอ้องอาจ พอมันรู้ว่าภัทรท้อง มันก็บอกให้ภัทรไปเอาลูกออก เพราะมันไม่พร้อมจะรับผิดชอบ แต่จริงๆ แล้วมันไปทำผู้หญิงอีกคนหนึ่งท้องเหมือนกัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกของผู้มีอิทธิพล มันเลยต้องเลือกรับผิดชอบผู้หญิงคนนั้น ภัทรรับไม่ได้ก็เลยหนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศคนเดียวจนกระทั่งคลอดลูก โดยที่ไอ้องอาจไม่คิดที่จะดูดำดูดีเลยจนกระทั่งองศาโต” ภาวินเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบก็จริง แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและแค้นใจพ่อแท้ๆ ขององศา
“ฉันไม่เข้าใจเลย คุณองอาจเขาก็มีลูกอยู่แล้ว ทำไมต้องมาฟ้องเพื่อมีสิทธิ์เลี้ยงดูองศาเอาตอนนี้คะ”
“ก็เพราะว่าลูกที่เกิดกับผู้หญิงอีกคนเป็นผู้หญิงน่ะสิ แถมเมียมันก็มีปัญหาด้านสุขภาพ เลยมีลูกได้แค่คนเดียว พอมันรู้ว่าภัทรมีลูกชาย ไอ้องอาจมันก็เลยดิ้นเร่าๆ อยากได้องศาไปสืบสกุลของมัน”
“อีตาองอาจนี่ ทุเรศสิ้นดีเลยนะคะ” คนที่ถูกทิ้งให้เป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิดรู้สึกเกลียดผู้ชายไร้ความรับผิดชอบขึ้นมาในทันใด
“เพราะฉะนั้น คุณต้องช่วยผม”
“คะ?” หญิงสาวถาม เมื่อครู่นี้เธอแค่มีอารมณ์ร่วมก็เพราะอินกับเรื่องราวขององศามากไปหน่อย แต่กลายเป็นว่า กลับพาตัวเองไปมีภาระโดยไม่รู้ตัวเสียอย่างนั้น
“ก็เรื่องที่ผมเคยขอร้องคุณไว้ยังไงล่ะครับ ตอนนี้องอาจรู้แล้วว่าองศาย้ายมาเรียนที่นี่ หลังจากนี้คงตามไปที่โรงเรียนบ่อยๆ คุณต้องคอยกันเขาเอาไว้ อย่าให้เขาได้เจอกับองศานะครับ” ภาวินกำชับ
“เรื่องขัดขวางไม่ให้เขาได้พบกัน อันนี้มันก็ทำได้ยากสักหน่อยนะคะ เพราะโรงเรียนคงห้ามไม่ให้คุณองอาจเข้ามาในโรงเรียนไม่ได้ แต่ว่าฉันจะอยู่กับองศาตลอดเวลา และจะบอกคุณทุกครั้งถ้าหากคุณองอาจมาหาองศาค่ะ”
นลินรับปาก ภาวินจึงมีสีหน้าสบายใจขึ้น
“ขอบคุณครับ อ้อ อีกเรื่องที่ผมจะเตือนคุณก็คือ ห้ามหลงคารมไอ้องอาจเด็ดขาด ผู้ชายคนนี้หลอกฟันผู้หญิงไปทั่ว ดูอย่างน้องสาวผมเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อก็อย่ายุ่งกับมันนะครับ” ภาวินพูดเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอ่อ...เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ คุณดูสภาพฉันสิคะ น่าถูกหลอกไปทำอะไรอย่างที่คุณว่าเสียที่ไหน” พูดแล้วก็แทบสำลักลมหายใจตัวเองเมื่อเห็นภาวินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาคมแวววาวมองเธออย่างพิจารณากว่าที่เคย เขากวาดสายตาไปแทบจะทุกองค์ประกอบของใบหน้าหญิงสาว จ้องอยู่นานจนแก้มของนลินเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น”
“ก็เพราะ...ฉันตัวดำ” ครูสาวตอบเสียงแผ่ว นึกน้อยใจในปมด้อยที่ถูกล้อมาตั้งแต่เกิด
ภาวินมองสีผิวของนลินด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากที่เธอพูด เพราะผิวของนลินไม่ได้คล้ำ แต่นี่คือผิวสีน้ำผึ้งที่นวลเนียนและมีเสน่ห์ โครงหน้าของหญิงสาวมีส่วนผสมที่พอจะดูออกว่าไม่ใช่ไทยแท้ เพราะมีความคมชัดทั้งสันจมูกโด่ง ดวงตากลมโตประดับด้วยขนตาหนาจนเห็นขอบตาคมชัดตามธรรมชาติ ริมฝีปากสีแดงระเรื่ออิ่มเต็มในแบบที่หากใครอยากมีแบบนี้ต้องไปฉีดฟิลเลอร์ถึงจะได้รูปสวยเหมือนอย่างที่นลินมี
“รู้ไหมว่ามีคนกว่าค่อนโลกอยากมีสีผิวเหมือนคุณ”
เสียงทุ้มน่าฟังนั้น นลินอยากจะทึกทักเอามาเป็นคำชมเสียจริงๆ ติดตรงที่ชายหนุ่มไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางชื่นชมอะไรมากมายนัก ก็แค่พูดไปตามที่คนส่วนใหญ่พูดกัน
“เพิ่งจะมารู้ตอนโตนี่ละค่ะ ตอนเด็กๆ โดนล้อจนอยากจะร้องไห้”
นลินพูดปนหัวเราะ กาลเวลาทำให้เธอเข้มแข็งขึ้น การต้องสู้ชีวิตเพียงลำพังทำให้เธอให้ความสำคัญแก่การใช้ชีวิตมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกมาแต่ไหนแต่ไร
“ตอนเด็กๆ ภัทรก็ถูกล้อว่าขี้เหร่ โตมาเลยกลายเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง พอมีผู้ชายมาจีบเลยหลงคารมง่ายๆ”
ภาวินเอ่ยพร้อมกับลูบศีรษะหลานชายที่ยังคงซบหน้าลงกับอกของนลิน วงแขนน้อยๆ ที่กอดครูสาวร่วงผล็อยลง คงจะร้องไห้จนเหนื่อยแล้วเผลอหลับไป
“คุณภัทร หน้าตาไม่คล้ายคุณหรอกเหรอคะ”
นลินถามด้วยความสงสัย เพราะประเมินจากหน้าตาของภาวินแล้ว ต่อให้ดูดีน้อยกว่านี้ครึ่งหนึ่งก็ยังห่างไกลคำว่าขี้เหร่อยู่มาก
“ภัทรหน้าตาคล้ายผม ผิวคล้ำกว่าผมนิดเดียว แต่น้องสาวผมชอบบอกว่าตัวเองไม่สวย แล้วก็ชอบค่อนขอดว่าผมเอาส่วนดีของพ่อกับแม่ไปไว้กับตัวเองหมด ทั้งที่ผมเป็นผู้ชาย” เล่าแล้วก็อมยิ้มไปด้วย ดวงตาของภาวินเป็นประกายมากขึ้นเมื่อพูดถึงน้องสาว
นลินลอบมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มอย่างชื่นชมในความสมบูรณ์แบบไปหมดทุกส่วน ทั้งคิ้ว ตา จมูก ปาก และขนตาของเขาเป็นแพหนางอนงามราวดวงตาของผู้หญิง ผิวขาวใสราวกับมีแสงสว่างในตัวเอง เหนือริมฝีปากหยักมีไรหนวดเขียวครึ้มรับกับคิ้วหนา ขับใบหน้าหวานให้คมเข้มสมกับเป็นผู้ชาย นี่คงเป็นนิยามที่น้องสาวใช้ค่อนขอดพี่ชายว่าเอาส่วนดีของพ่อกับแม่ไปเสียหมด เพราะทุกองค์ประกอบของชายหนุ่มล้วนไม่มีที่ติ ติดอยู่อย่างเดียวตรงที่เขาชอบทำหน้านิ่ง หากภาวินยิ้มกว้างกว่านี้อีกสักหน่อย โลกทั้งใบคงจะสดใสมากขึ้น
“คุณครูนลินครับ!”
“คะ!” ขานรับด้วยท่าทางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าเผลอมองชายหนุ่มนานไปหน่อย
“ส่งองศามาให้ผมอุ้มเถอะ เห็นเขาหลับอยู่ท่านั้นนานแล้ว กลัวครูนลินจะเมื่อย”
“ค่ะ” นลินค่อยๆ ประคองศีรษะขององศาให้ออกห่างจากอก
ภาวินรับตัวเด็กน้อยต่อจากครูสาวด้วยการสอดมือเข้าไปใต้รักแร้ ยกตัวแกขึ้นมาอุ้มพาดบ่าเอาไว้ เสียงประท้วงอู้อี้เงียบไปเมื่อได้นอนในท่าที่สบายขึ้นด้วยการแนบหน้าลงบนบ่ากว้าง
“คุณพาองศากลับไปบ้านเลยก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องย้อนไปส่งฉันที่บ้าน เดี๋ยวฉันจะนั่งรถเมล์กลับเอง ส่วนหนังสือ คุณค่อยเอามาให้ฉันวันพรุ่งนี้ตอนมารับองศาก็ได้ค่ะ” นลินเห็นว่าห้างสรรพสินค้าอยู่ไกลจากบ้านของเธอพอสมควร จึงไม่อยากรบกวนเวลานอนของเด็กน้อย
“ผมจะพาองศาไปนอนที่บ้านก่อน หลังจากนั้นผมจะไปส่งคุณที่บ้าน ผมเป็นฝ่ายชวนคุณมา ก็ต้องไปส่งสิครับ”
“แต่ว่าฉันเกรงใจ คุณซื้อของให้ฉันตั้งเยอะ แถมยังเลี้ยงข้าวอีก ฉันขึ้นรถเมล์กลับเองได้จริงๆ ค่ะ”
“อย่าเลยครับ ผมเป็นห่วง”
“คะ?” อยู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั้งใบหน้า คนอะไรพูดว่าเป็นห่วงผู้หญิงได้หน้าตาเฉย หน้าตาเฉยจริงๆ เพราะหน้าภาวินยังนิ่งสนิท ไม่บ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน
“ผมต้องดูแลคุณให้ดีๆ เพราะไม่รู้จะหาครูที่องศาติดขนาดนี้ได้จากที่ไหน”
“อ้อ ค่ะ” ที่แท้ภาวินก็แค่ห่วงหลาน
“ผมจะแวะพาองศาไปส่งให้พี่เลี้ยงพาเข้านอนแค่แป๊บเดียว หลังจากนั้นก็จะพาคุณไปส่งบ้าน”
“ค่ะ เอาตามที่คุณสะดวกเลยค่ะ ฉันยังไงก็ได้”
นลินยอมให้ภาวินไปส่งเพราะรู้ดีว่าปฏิเสธไปก็เหนื่อยเปล่า เขามักจะมีเหตุผลที่เหนือกว่ามาพูดให้เธอต้องยอมทำตามที่เขาบอกเสมอ
หญิงสาวเดินเคียงคู่กับชายหนุ่มที่ตอนนี้อุ้มหลานชายเอาไว้อย่างทะนุถนอมแล้วก็เข้าใจทุกอย่าง ภาวินรักน้องสาวของเขามาก องศาคือตัวแทนของภัทรา ที่ชายหนุ่มจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ เสียดายที่องศาเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ แต่ถ้าองศาเข้าใจได้ เธอคงไม่มีโอกาสมายืนอยู่ข้างๆ ภาวิน ไม่ได้มารับรู้และแอบเป็นห่วงความรู้สึกคนที่เพิ่งเสียน้องสาวและกำลังจะถูกพรากหลานชายไปอีกคน...
ความคิดเห็น |
---|