8

บทที่ 8



8

 

นลินตื่นขึ้นมาพบว่าภาวินอาบน้ำแต่งตัวในชุดทำงานเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวคู่กับกางเกงสแล็กสีเทาเข้มเข้ารูปดูทันสมัย ถ้าเธอไม่รู้มาก่อนว่าภาวินคือเพื่อนรุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยของผู้อำนวยการโรงเรียนของเธอ ครูสาวจะไม่เชื่อเลยว่าชายหนุ่มอายุปาเข้าไปเลขสี่นำหน้าแล้ว อาจเป็นเพราะเขาดูแลตัวเองดี ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

นลินดูจากเสื่อโยคะที่ถูกม้วนเก็บเอาไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องก็พอจะเดาได้ว่าคงเพิ่งถูกใช้งานไปเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนอาหารการกินก็คงจะคัดสรรมาเป็นอย่างดีเช่นกันในแต่ละมื้อ เพราะบนโต๊ะมีกาแฟดำที่บดใหม่ๆ จากเมล็ดกาแฟพันธุ์ดี ชงด้วยเครื่องชงกาแฟแบบพกพาที่ภาวินพกมาจากที่บ้าน ใกล้กับถ้วยกาแฟมีข้าวต้มทะเลหอมกรุ่นเต็มโถที่ยังไม่ถูกแตะต้อง

“คุณไปเอาข้าวต้มมาจากไหนคะ” หญิงสาวถาม เพราะวัตถุดิบในตู้เย็นของเธอไม่มีกุ้งตัวโตๆ เนื้อปูก้อนใหญ่ๆ และปลาหมึกบั้งเป็นลายตารางสวยงามแบบนี้

“คุณป้าข้างบ้านให้มา”

“คุณป้าข้างบ้าน! เป็นไปได้ยังไงคะ ปกติเค็มจะตาย นี่ให้มาทั้งโถ”

“พอดีเมื่อเช้าผมเดินไปหน้าบ้าน เห็นแกกำลังจะไปจ่ายตลาดเลยได้คุยกัน พอแกรู้ว่าผมอยากทานข้าวต้ม แกก็เลยทำมาให้ มาทานด้วยกันสิ ผมบอกให้แกทำมาเผื่อคุณด้วย” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับหยิบช้อนมาคนข้าวต้มในโถ ซึ่งส่งกลิ่นหอมกรุ่นชวนให้น้ำลายไหล

“แกต้องคิดเงินค่าข้าวต้มแน่ๆ เท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายคืนคุณให้” นลินบอกชายหนุ่ม เพราะคิดว่าค่าอาหารกับค่าเช่าห้องที่ภาวินโอนให้เมื่อวานมันมากเกินไป

“ยี่สิบล้าน”

“ว่าไงนะคะ!” หญิงสาวแทบลมจับเมื่อได้รู้จำนวนเงินที่ภาวินบอก “ข้าวต้มอะไรคะแพงขนาดนั้น”

“ค่าทาวเฮาส์ของคุณป้าทั้งหมด ส่วนข้าวต้มโถนี้ผมได้มาฟรี”

ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ผิดกับนลินที่ตอนนี้อึ้งจนพูดอะไรแทบไม่ออก

“แค่คุณเดินไปหน้าบ้าน ก็ตัดสินใจซื้อทาวเฮาส์ทั้งหมดได้เลยเหรอคะ อะไรจะตัดสินใจเร็วขนาดนั้น” หญิงสาวถามด้วยสีหน้าที่ยังคงทึ่งไม่หาย

“ทีแรกผมกะจะซื้อแค่บ้านคุณหลังเดียว แต่คุณป้าแกบอกว่าหลังเดียวไม่ขาย ก็เลยต้องซื้อทั้งหมด และผมก็เห็นว่าที่นี่มีคนเช่าเต็มทุกหลัง ซื้อมาผมก็เก็บค่าเช่าต่อ อีกไม่กี่ปีก็คืนทุนแล้ว”

“คุณจะอยากซื้อบ้านฉันไปทำไมคะ”

“ผมจะได้ไม่รู้สึกเกรงใจเวลามาที่นี่ ถ้าหากอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็จะได้ตัดสินใจได้ทันที เพราะมันเป็นของของผมแล้ว”

“หมายความว่า ถ้าคุณจะให้ฉันย้ายออก ฉันก็ต้องออกทันทีอย่างนั้นเหรอคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่วยให้เวลากันสักหน่อยนะคะ เงินในกระเป๋าฉันไม่ได้ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายๆ อย่างคุณ”

นลินพูดด้วยน้ำเสียงเคืองนิดๆ เคืองทั้งเจ้าของบ้านเช่าคนใหม่ที่ทำอะไรไม่ปรึกษา และโกรธเจ้าของบ้านคนเก่าที่ตัดสินใจขายกิจการอย่างง่ายดายโดยไม่คิดจะแจ้งคนเช่าล่วงหน้า

“คุณไม่ต้องย้ายออกไปไหนทั้งนั้น และไม่ต้องจ่ายค่าเช่าด้วย ผมให้คุณอยู่ที่นี่ฟรีๆ เพียงแต่ว่า...” ชายหนุ่มหยุดคิดนิดหนึ่ง ปรายตาคมไปทางหญิงสาวที่ตอนนี้ทำหน้าบึ้งเล็กน้อยใส่เขา

“เพียงแต่ว่าอะไรคะ” นลินถามแล้วก็ตั้งใจรอฟังคำตอบ

“คุณต้องให้กุญแจบ้านผมมาชุดหนึ่ง เผื่อผมเอาของอะไรมาตกแต่งเพิ่มเติมจะได้ทำได้เลยโดยที่ไม่ต้องรอคุณ”

“งั้นคุณเอาบ้านนี้ไปเลยค่ะ ฉันตัดสินใจย้ายที่อยู่ดีกว่า ถ้าจะไล่กันทางอ้อมก็บอกกันตรงๆ ก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องเสียเงินเยอะขนาดนี้เลย”

“ลิน!...”

น้ำเสียงนุ่ม ทว่าฟังดูสุขุมกว่าทุกครั้ง ทำให้คนที่กำลังโกรธจัดหยุดทุกการกระทำ เขาลุกขึ้นแล้วขยับมาใกล้ๆ เธอ ใกล้เสียจนนลินได้กลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้

“ใจเย็นๆ แล้วฟังผมก่อนนะ” แววตาขณะพูดบ่งบอกชัดเจนว่านี่คือคำขอร้อง ไม่ใช่คำสั่ง

“ผมอยากให้คุณช่วยผมดูแลองศาให้ดีๆ ไม่ได้ต้องการจะให้คุณไปไหนทั้งนั้น สิ่งที่ผมจะปรับเปลี่ยนบ้านนี้ คือสิ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นสำหรับหลานชายผม”

“แต่ฉันไม่โอเคกับวิธีการของคุณ มันเหมือนฉันถูกล้ำเส้นกันเกินไป มันทำให้ฉันไม่อยากดูแลองศาให้คุณอีกต่อไปแล้ว”

“ครูลิน!” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงสั่นเครือ ปากแดงๆ เบะจนแทบติดจมูก ดวงตากลมโตมีน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

“องศา ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ผู้เป็นลุงตรงดิ่งเข้าไปหาหลานชายก่อน ตามด้วยครูสาวที่ตามไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเด็กน้อย

“ครูลินไม่รักองศาแล้ว แม่ก็ไม่รักองศาแล้ว แม่ไม่ยอมกลับมาหาองศา ไม่มีใครรักองศาเลย” พูดไปก็สะอึกสะอื้นไป

“ลุงไงครับ ลุงรักองศา รักที่สุดในโลกเลย” ชายหนุ่มดึงตัวหลานชายเข้ามากอด แต่เด็กน้อยยังคงร้องไห้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“ครูลินรักองศานะคะ ครูลินขอโทษ”

เด็กชายผงกหัวจากอกผู้เป็นลุง หันมามองครูสาวตาแป๋ว

นลินอ้าแขนพร้อมกับพยักหน้าให้องศา เด็กน้อยจึงโผเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนครูสาว โอบวงแขนเล็กๆ ไว้รอบตัวเธอ ซบหน้าลงแนบอกแน่น จนนลินรับรู้ถึงแรงสะอื้นที่ยังคงมีอยู่ แม้องศาจะหยุดร้องไห้ไปแล้ว

“อย่าทิ้งองศาไปได้ไหมครับ”

แววตาอ้อนวอนนั้น ครูสาวมองแล้วสะท้อนใจเสียจริง เธอไม่น่าใช้อารมณ์จนเผลอพูดอะไรทำร้ายจิตใจองศาแบบนี้เลย ยิ่งเห็นเขาร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบนี้ หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้เด็กที่กำลังอ้างว้างคนหนึ่ง เด็กที่ใช้เธอเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแทนแม่ต้องร้องไห้เพราะคำพูดที่ไม่ยั้งคิดของตัวเอง

“ครูลินไม่ทิ้งองศาไปไหนหรอกค่ะ” ครูสาวปลอบลูกศิษย์ตัวน้อยเสร็จก็หันไปพูดกับคุณลุงของเขา

“เดี๋ยวแต่งตัวเสร็จ ฉันจะหยิบกุญแจมาให้คุณนะคะ ถ้าจะตกแต่งหรือจะเอาอะไรมาไว้เพิ่ม ก็ช่วยคำนวณพื้นที่ให้ดีๆ ก็แล้วกันค่ะ อย่าลืมว่าห้องที่นี่เล็กมาก”

“ขอบคุณนะลิน”

รอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงสวยของเขาทำให้นลินรู้สึกราวตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ภาวินขยับเข้ามาใกล้เธออีกนิดเพื่อจะยื่นมือไปลูบหัวหลานชายได้ถนัดขึ้น เด็กน้อยเลื่อนวงแขนขึ้นไปคล้องคอครูสาว แนบแก้มป่องๆ ไว้บนบ่าเธออย่างหวงแหน ไม่ยอมให้นลินอยู่ห่างกาย

“ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วครับองศา เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะครับ” ภาวินพูดกับหลานชาย

“องศาอยากให้ครูลินอาบให้” เสียงของเด็กน้อยยังคงสั่นเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้ วงแขนเล็กๆ โอบคอครูสาวแน่นขึ้นอีกเมื่อได้ยินผู้เป็นลุงบอกให้เขาไปอาบน้ำ

“ค่ะ ครูอาบให้ก็ได้ ปล่อยครูลินก่อนนะ แล้วเราไปอาบน้ำกัน”

 

เสียงหัวเราะดังมาจากห้องนอน ไม่นานเด็กชายตัวน้อยก็เดินยิ้มแป้นออกมาพร้อมคุณครูที่แต่งตัวในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ข้าวต้มทะเลถูกนำไปอุ่นใหม่ให้ร้อนและหอมกรุ่น และถูกตักแบ่งออกเป็นสามชาม วางเตรียมพร้อมเอาไว้บนโต๊ะไม้อเนกประสงค์ในห้องโถง

“ครูลิน เดี๋ยวองศาจะตักข้าวกินเองครับ” เด็กน้อยพูดเสียงเจื้อยแจ้ว ผิดกับตอนที่บังเอิญมาได้ยินคำพูดสะเทือนใจของนลินราวกับคนละคน

“เก่งมากค่ะ แต่ระวังหกนะคะ” พูดแล้วก็หยิบทิชชูแผ่นใหญ่มาเหน็บที่คอเสื้อของเด็กน้อยไว้ ก่อนจะเริ่มตักข้าวต้มในชามของตัวเองกินบ้าง

“ผมบอกคุณป้าข้างบ้านว่าผมเป็นสามีของคุณ”

พรวด!

“แค็กๆ...แค็กๆ...”

เหมือนภาวินจะรู้ว่าคำพูดของเขาจะทำให้นลินสำลักข้าวต้ม ชายหนุ่มจึงไม่รอให้เธอหยิบทิชชูเอง แต่หยิบและยื่นไปรอไว้ขณะพูด

“คุณไปบอกแบบนั้นทำไมคะ ปากคุณป้านี่ยิ่งกว่าสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเสียอีก ป่านนี้เอาไปโพนทะนาแล้วมั้ง”

“แล้วจะให้บอกว่าผู้ชายที่มานอนค้างกับคุณเป็นอะไรกับคุณดีล่ะครับ บอกว่าเป็นเพื่อนยิ่งไม่น่าเชื่อไปใหญ่ ผมแก่กว่าคุณตั้งหลายปี แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย ผมจะกลายเป็นป๋าตัณหากลับที่แอบมามีกิ๊กทันที”

“แล้วคุณพูดไปแบบนั้น ไม่กลัวคุณเสียหายบ้างเหรอคะ ถ้าภรรยาตัวจริงของคุณมาได้ยินเข้าจะว่ายังไง”

“ผมยังไม่ได้แต่งงาน”

นลินสำลักข้าวต้มเป็นระลอกที่สอง แต่ไม่ถึงขั้นพุ่งพรวดเหมือนครั้งแรก

“งั้นก็ช่วยบอกแฟนของคุณให้เข้าใจด้วยก็แล้วกัน”

“แฟนผมก็ไม่มี” ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็ซดข้าวต้มด้วยท่าทางสุภาพดูเป็นผู้ดีต่อไป

นลินเหล่มองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเหลือเชื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจัดการข้าวต้มในชามของตัวเองจนหมด ตามด้วยป้อนและเช็ดปากให้องศาที่เริ่มมีเมล็ดข้าวเกาะอยู่ที่แก้มจาการตักข้าวกินเอง

 

ภาวินขับรถมาส่งนลินและองศาถึงที่โรงเรียน ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนครูที่เห็นว่านอกจากนลินจะมีรถสปอร์ตสุดหรูมาส่งแล้ว ยังมีชายหนุ่มอีกคนที่มาดักรอครูสาวและลูกศิษย์ตัวน้อยอยู่ เขา

มองตั้งแต่นลินลงจากรถของภาวินด้วยความสนใจ มองตอนที่ลูกชายของเขาจับจูงมือครูสาวอย่างสนิทสนม รอจนกระทั่งแน่ใจว่าภาวินขับรถออกไปแล้ว จึงเดินมาดักหน้านลินที่กำลังจูงมือองศาเข้ามาภายในอาคารของโรงเรียน

“สวัสดีครับครูลิน หวังว่าวันนี้คงจะกล้ารับช่อดอกไม้ของผมนะได้ครับ เพราะไอ้คนชอบขวางมันไปไกลแล้ว”

คำทักทายมาพร้อมรอยยิ้มมีเสน่ห์แต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ที่นลินดูออก ก่อนองอาจจะยื่นช่อกุหลาบสีแดงให้ครูสาว หญิงสาวรับมาถือไว้อย่างรักษามารยาท ก่อนจะกระชับมือน้อยๆ ที่กุมมือของเธอแน่นอย่างส่งสัญญาณว่าไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้นานๆ

องอาจเป็นพ่อแท้ๆ ขององศาก็จริง แต่เป็นพ่อที่ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าสำหรับเด็กน้อย และเมื่อวานเขายังทำเสียงเอะอะโวยวายกับภาวินอีก เด็กน้อยก็คงจะยังกลัวไม่หาย

“ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะคะ ฉันจะเอาไปถวายพระ”

เจ้าของช่อดอกไม้หัวเราะแห้งๆ อย่างทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะพูดต่อ “ที่ดอกไม้ของผมสวยไม่ถูกใจครูลิน เพราะผมไม่ได้ขับรถคันละเกือบสิบล้านมาส่งคุณที่โรงเรียนใช่ไหมครับ”

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยค่ะ ดอกไม้ส่วนดอกไม้ รถส่วนรถ และคนก็ส่วนคน” นลินตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจคำพูดประชดประชันขององอาจ

เขายังคงยิ้ม และมองมายังครูสาวด้วยแววตาแพรวพราวไม่หยุด ราวกับว่าไม่ถือสาสีหน้าบึ้งๆ ของเธอในขณะนี้สักเท่าไร

“ครับ ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว ผมขอโทษครับหากทำให้คุณครูไม่พอใจ และที่มาวันนี้ก็ตั้งใจจะมาขอโทษคุณครูเรื่องเมื่อวานด้วย แต่ไม่คิดว่าจะช้ากว่าไอ้ภาม”

“เรื่องเมื่อวานฉันไม่ได้โกรธใครทั้งนั้น และถ้าจะมีการขอโทษกัน ก็ควรจะเป็นพวกคุณขอโทษกันเองมากกว่า”

“ไม่มีทาง” องอาจพึมพำเบาๆ

นลินได้ยินเสียงเขาขบกรามเข้าหากันแน่น

“ผมไม่มีวันขอโทษไอ้ภาม และจะเดินหน้ายื่นเรื่องต่อศาลเพื่อมีสิทธิ์ในการดูแลองศาในฐานะพ่อแท้ๆ ต่อไป”

“คุณจะทำแบบนั้นไปทำไมคะ คุณเองก็มีครอบครัว มีลูกของคุณแล้ว ส่วนองศา คุณภาวินก็ดูแลแกได้อย่างสบายๆ”

“เพราะผมอยากได้ลูกชาย องศาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของผม เป็นทายาทที่จะสืบนามสกุลของผม ถ้าผมไม่ฟ้องเอาแกไปเลี้ยงตอนนี้ จะให้ผมไปฟ้องตอนไหน” องอาจพูดออกมาตามตรง

“แต่นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้วคะคุณองอาจ ผู้หญิงก็สืบนามสกุลได้”

“คุณก็รู้ว่ามันไม่เหมือนกัน” องอาจโต้กลับทันควันด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครูลินๆ” เด็กน้อยเรียกและกระตุกแขนครูสาว เขาเริ่มกลัวชายแปลกหน้าที่ชอบเรียกแทนตัวเองว่าพ่อ เพราะองอาจทำสีหน้าขึงขังและเริ่มจะพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

“ฉันต้องพาองศาเข้าห้องเรียนแล้วละค่ะ ขอตัวนะคะ”

นลินบอกพร้อมกับจูงมือองศาผ่านหน้าองอาจไปโดยที่ไม่สนว่าเขาจะทำหน้าไม่พอใจแค่ไหน ความเป็นคนเจ้าอารมณ์ทำให้องอาจเก็บความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ เขาพูดไล่หลังนลินที่เดินหันหลังให้เขาด้วยคำพูดที่ทำให้ครูสาวรู้สึกว่าต้องปกป้องลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอให้อยู่ห่างๆ จากพ่อห่วยๆ คนนี้เข้าไว้

“ฝากไปบอกไอ้ภามด้วยว่าให้มันเตรียมหาทนายไว้ได้เลย ผมเริ่มรวบรวมเอกสารเพื่อยื่นต่อศาลแล้ว ไอ้ภามมันรู้ดีว่าไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอก็รู้ว่าองศาเป็นลูกผม องศาต้องไปอยู่กับผม เด็กควรจะได้อยู่กับพ่อแท้ๆ แค่นี้ผมก็ชนะเห็นๆ”

พูดจบองอาจก็เป็นฝ่ายหันหลังให้นลินบ้าง ชายหนุ่มเดินกลับไปยังรถคันงาม ที่แม้จะหรูหราไม่เท่ารถของภาวิน แต่ก็บ่งบอกถึงฐานะที่จะสามารถดูแลองศาได้ดีไม่ต่างจากผู้เป็นลุงของเด็กน้อยเช่นกัน

“ครูลิน ทำไมผู้ชายคนนั้นพูดว่าเป็นคุณพ่อขององศา เขาเป็นคุณพ่อขององศาจริงๆ เหรอครับ” เด็กน้อยถามด้วยแววตาใสซื่อ

“ใช่ค่ะ ผู้ชายคนนั้นเป็นคุณพ่อขององศาจริงๆ”

ได้ยินอย่างนั้น องศาก็ทำตาโต ตามด้วยเบะปากเหมือนจะร้องไห้

“ถ้าอย่างนั้น ที่เขาพูดว่าองศาจะต้องไปอยู่กับเขาก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิครับ” เสียงเล็กๆ สั่นเครืออย่างมีแววตื่นตระหนก

นลินไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะฟังและจดจำคำพูดของผู้ใหญ่ได้ละเอียดถึงเพียงนี้

“ไม่ค่ะ ลุงภามจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนนั้นมาเอาตัวองศาไปอย่างเด็ดขาด ถ้าวันหนึ่งมีคนมาถามองศาว่าอยากอยู่กับใคร องศาต้องตอบว่าอยากอยู่กับลุงภามนะคะ”

นลินหมายถึง หากต้องขึ้นศาลจริงๆ และองศาต้องเลือกว่าจะอยู่กับใคร ก็ควรจะเป็นภาวิน เพราะเห็นได้ชัดว่าเขารักองศาจากใจจริง ไม่ใช่ด้วยเหตุผลของการสืบนามสกุลอะไรนั่น

“ไม่เอา องศาไม่อยากอยู่กับลุงภาม องศาอยากอยู่กับครูลิน”

“อ้าว! แล้วกัน” เมื่อได้ยินลูกศิษย์พูดแบบนั้น ครูสาวถึงกับต้องกุมขมับ

“ครูลินเป็นแค่ครูประจำชั้นขององศานะคะ เดี๋ยวพอขึ้นอนุบาลสาม องศาก็ต้องมีครูคนใหม่”

นลินพยายามอธิบายให้เด็กน้อยเข้าใจว่าเธอจะดูแลเขาแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น องศาต้องเติบโตและต้องพบเจอผู้คนใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ

“ไหนครูลินบอกว่ารักองศาไงครับ ครูลินโกหกองศาทำไม ครูลินจะทิ้งองศาไปเหมือนแม่ใช่ไหม”

เด็กน้อยเบะปากแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำให้นลินรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกศิษย์ตัวน้อยเสียใจเป็นครั้งที่สอง

“อย่าร้องไห้นะคะองศา” ครูสาวดึงตัวเด็กน้อยเข้ามากอด และรับรู้ถึงวงแขนน้อยๆ ที่โอบกอดเธอแน่นราวกับกลัวว่าคุณครูของเขาจะหนีไปไหน

“องศาคิดถึงแม่ พอแม่ไม่อยู่ ก็ไม่มีใครกอดองศาเลย”

“โถ...ต่อไปนี้ครูลินจะกอดองศาเองนะคะ...” เธอรับปากเด็กน้อย

หลังจากนั้นองศาก็ตัวติดอยู่แต่กับนลิน ไม่ยอมปล่อยให้เธอคลาดสายตาตลอดทั้งวัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น