7

บทที่ 7


7

 

ภาวินมาถึงบ้านของนลินพร้อมกับของจำเป็นซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อผ้าขององศา ชุดทำงานของเขาเอง เสื่อโยคะ ถุงนอน หมอนเพื่อสุขภาพ และเครื่องชงกาแฟแบบพกพา ส่วนที่นอนท็อปเปอร์กับเครื่องฟอกอากาศ เขาให้ร้านเฟอร์นิเจอร์มาส่งถึงหน้าบ้านของครูสาวก่อนที่เขาจะมาถึง

แม้ภาวินจะอาบน้ำและแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อยืดสีเทาอ่อนกับกางเกงผ้าเนื้อบางเบาแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ยังเตรียมชุดนอนลายทางสีน้ำเงินขาวมาเปลี่ยนอีกหนึ่งชุด เนื่องจากเขาไม่ชอบสวมเสื้อยืดนอน

ในขณะที่นลินพาองศาไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ภาวินเตรียมมาให้ ชายหนุ่มก็ลงมือปูที่นอนท็อปเปอร์ที่มีคุณสมบัตินุ่ม นอนสบาย กันไรฝุ่น ลงบนฟูกนอนยางพาราขนาด 3.5 ฟุตให้ ตั้งใจจะให้เจ้าของบ้านสาวใช้นอนกับหลานชายของเขา ส่วนตัวเขาเองปูถุงนอนไว้ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง

“คุณจะนอนในห้องเหรอคะ” นลินถามเมื่อพาองศาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เข้าห้องมาเห็นถุงนอนของชายหนุ่มที่ถูกปูเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

“ใช่ครับ ก็บ้านนี้มีห้องนี้ห้องเดียวที่มีแอร์” ภาวินตอบสีหน้านิ่ง

ใช่...เขามีสิทธิ์นอนห้องนี้ เพราะเขาจ่ายค่าที่พักสำหรับหนึ่งคืนแต่มีมูลค่าที่สามารถเช่าบ้านนี้ได้ทั้งเดือนไว้แล้ว

นลินหันไปมองที่นอนท็อปเปอร์ที่ปูทับฟูกนอนของเธอ นั่นภาวินก็ซื้อมาเพื่อให้องศาได้นอนสบายอย่างถูกสุขลักษณะ

“งั้นฉันไปนอนข้างนอกก็แล้วกันค่ะ ฉันนอนแบบไม่ต้องเปิดแอร์ได้ คุณก็นอนในห้องนี้กับองศา”

“ไม่เอา!” เด็กน้อยที่ฟังผู้ใหญ่คุยกันอยู่นานพุ่งตัวเข้ามากอดขาคุณครูสาว “องศาจะนอนกับครูลิน ไม่นอนกับลุงภาม”

“แต่ว่าองศาคะ ข้างนอกมันร้อน ฝุ่นก็เยอะ แถมมียุงด้วย องศานอนข้างนอกไม่ได้หรอกค่ะ”

“งั้นผมไปนอนข้างนอกเองก็ได้”

“ฉันก็ยอมให้คุณไปนอนข้างนอกไม่ได้เหมือนกันค่ะ”

“ก็คุณบอกว่าข้างนอกร้อน ฝุ่นเยอะ แถมมียุงด้วย คุณจะนอนเข้าไปได้ยังไง คุณนอนอยู่ในห้องนี้กับองศาเถอะ เดี๋ยวผมจะไปนอนข้างนอกเอง”

ชายหนุ่มตัดสินใจให้ และพูดด้วยสีหน้าปกติ ไม่มีแววของความโกรธหรือหงุดหงิดใดๆ เลยเมื่อนลินเรื่องมากเรื่องที่นอน ทำให้นลินยิ่งเกรงใจเพราะคนที่เสียสละกลับเป็นคนที่โอนเงินค่าห้องมาให้ แล้วไหนจะเด็กชายที่เกาะเธอแจอย่างกับลูกลิงนี่อีก เห็นได้ชัดว่าถ้าเธอนอนที่ไหนองศาจะนอนที่นั่น แล้วจะให้เธอไปนอนนอกห้องได้อย่างไร

“คุณภาวินนอนห้องนี้เหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ ฉันว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าฉันปล่อยให้คุณออกไปนอนข้างนอกแบบนั้น”

หญิงสาวตัดสินใจใหม่ ท่าทางนิ่งขรึมทำให้ชายหนุ่มน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ทำให้เธอกล้าให้เขามานอนร่วมห้องได้ ก็แค่นอนแยกที่นอน ไม่ได้นอนร่วมเตียงกันเสียหน่อย

“ขอบคุณที่เข้าใจ” พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย ก่อนจะหันไปหยิบของใช้ส่วนตัวออกมาจากกระเป๋าที่เขาเตรียมมาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นแบบพับได้ ที่ชายหนุ่มหยิบออกมากางขาออกเพื่อใช้เป็นที่วางของชั่วคราว

นลินหันมาจัดการองศาต่อ เธอหยิบแป้งเด็กออกมาเทใส่มือ ทาไปที่ซอกคอ ล้วงเข้าไปที่ข้อพับต่างๆ เพื่อลดความอับชื้นและเพื่อความสบายตัวของเด็กชาย

“ครูลิน องศาตัวหอมแล้ว” เด็กน้อยพูดอวด

นลินทาแป้งเด็กกลิ่นเดียวกับที่เธอใช้ให้เด็กชาย เขายิ้มแป้นอย่างอารมณ์ดีเพราะเป็นกลิ่นอันคุ้นเคยเหมือนกับที่แม่ผู้จากไปของเขาใช้อยู่เป็นประจำ

“หอมมากค่ะองศา ไหน เดินไปให้คุณลุงดมหน่อยสิคะ ว่าหอมจริงหรือเปล่า”

นลินพยายามดึงภาวินให้อยู่ในความสนใจขององศาบ้าง การที่เธอยอมตามใจให้เด็กน้อยมาค้างด้วย ก็เหมือนกับยิ่งสนับสนุนให้องศาตัดขาดจากคนรอบข้าง และจะยิ่งติดเธอจนใช้ชีวิตกับคนอื่นยากขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวจากการเห็นภาวินพูดจาเอะอะเสียงดังทำให้เด็กน้อยยืนนิ่งอย่างลังเล จนกระทั่งผู้เป็นลุงหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า เพียงเท่านั้น ดวงตาน้อยๆ ก็เป็นประกายเจิดจ้าขึ้น

“องศาครับ นี่ผ้าเน่าขององศา ลุงไปเอามาให้” ภาวินยื่นผ้าห่มเนื้อผ้านุ่มให้ ซึ่งตรงมุมทั้งสี่ขาดรุ่ยจากแรงดูดของเด็กน้อยมาตลอดหลายปี

องศาเดินไปรับผ้าเน่ามาจากมือคุณลุงของเขาโดยไม่อิดออด จากนั้นก็เดินไปนั่งเบียดตัวอยู่กับคุณครูของเขาบนที่นอนอีกอยู่ดี

“หิวหรือยังคะ ฉันเพิ่งจะผัดข้าวผัดเสร็จก่อนคุณมาถึงได้ไม่นาน น่าจะยังร้อนๆ อยู่” เจ้าของบ้านถาม

“หิวแล้วครับ ว่าแต่...คุณกินอะไรหรือยัง”

“ยังค่ะ ก็กะว่าจะรอกินพร้อมคุณ”

ตาคมมองเธอวูบหนึ่ง แค่วูบเดียวเท่านั้น หัวใจของนลินก็เต้นไม่เป็นจังหวะ เธอไม่อยากกินข้าวพร้อมกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่กลัวว่าผู้ชายหล่อรวยอย่างภาวินจะกินอาหารฝีมือเธอไม่ได้ ถ้ากินเหลือก็คงน่าเสียดาย เลยต้องหิ้วท้องรอกินพร้อมกันเพื่อความประหยัด

 

ภาวินเป็นคนเรื่องมากในเรื่องอื่นๆ ก็จริง แต่เขาเรื่องง่ายกับอาหารการกินมากๆ หลังจากจัดการให้องศานั่งทำการบ้านที่เป็นแบบฝึกหัดโยงเส้นจับคู่อยู่ในห้องนอน นลินก็ตักข้าวผัดไข่หน้าตาธรรมดามาเสิร์ฟเขาบนโต๊ะไม้ลายการ์ตูนที่ตั้งเอาไว้ในห้องโถงคนละจานกับเธอ หญิงสาวมองชายหนุ่มกินเอาๆ อย่างคนเลี้ยงง่ายแล้วก็แอบยิ้ม ถึงแม้ว่าเขาจะขอเปลี่ยนหลอดดูดน้ำไปแล้วสามหลอดจากการมีแมลงวันมาตอมที่ปลายก็ตาม ผิดกับเธอที่แค่โบกมือไล่ ใช้นิ้วขยี้ปลายหลอดแล้วก็ดูดน้ำต่อได้

“อร่อยเหรอคะ”

“อร่อยดี ไม่ได้กินอาหารรสชาติธรรมดาแบบนี้มานานแล้ว”

“ฉันก็กลัวแทบแย่ว่าคุณจะกินไม่ลง” พูดแล้วก็ถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก เมื่อได้ยินภาวินชมฝีมือทำอาหารของเธอ ถึงแม้จะชมว่าอาหารรสชาติธรรมดาก็เถอะ แต่มันก็เกลี้ยงจานในเวลาอันรวดเร็วจนคนทำอดปลื้มไม่ได้

“ผมดูเป็นคนเรื่องมากขนาดนั้นเชียวเหรอ”

นลินอยากจะตอบว่า ‘มาก’ แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจอย่างรักษามารยาท มาตรฐานชีวิตของภาวินกับเธอมันผิดกัน เป็นเธอต่างหากที่ไม่ได้มาตรฐานของเขา ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์ได้

“เปล่านี่คะ คุณแค่เป็นคน...เจ้าระเบียบ” นลินพยายามหาคำเปรียบเปรยเพื่อให้ฟังแล้วรู้สึกดีทั้งสองฝ่าย

“ผมคงติดนิสัยนี้มาตอนที่ไปเรียนเมืองนอกละมั้ง”

ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทางผ่อนคลาย เขาคงรู้สึกคุ้นเคยกับหญิงสาวแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังนั่งหลังตรงแน่วอย่างคนที่ได้รับการฝึกเรื่องบุคลิกภาพมาอย่างดี

“ถ้าฉันได้ไปเรียนเมืองนอก สิ่งแรกที่ต้องปรับตัวก็คงจะเป็นเรื่องความเป็นระเบียบสินะคะ”

“ก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ ที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว”

เขาเอ่ยเสียงนุ่มพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ ห้องโถง บ้านที่ประกอบไปด้วยห้องโถงและห้องนอนของนลิน แม้จะแคบไปสักนิด แต่ก็รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบได้ดีอย่างน่าชื่นชม

“ฉันก็ทำเท่าที่จะทำได้นั่นละค่ะ ว่าแต่...คืนนี้คุณนอนบนฟูกกับองศาเถอะนะคะ เดี๋ยวฉันจะปูที่นอนปิกนิกนอนข้างๆ เอง” หญิงสาวพูดด้วยความเกรงใจ เพราะแม้แต่ถุงนอน นลินก็ไม่กล้าใช้ของเขา

“คุณนอนบนฟูกไปเถอะ ผมมีถุงนอนมาแล้ว อีกอย่าง ฟูกคุณทั้งเล็กทั้งสั้น ผมนอนไม่ได้อยู่ดี”

ชายหนุ่มพูดเสียจนนลินเห็นภาพ ภาวินตัวสูงใหญ่จริงๆ สูงจนถ้าขึ้นไปนอนบนฟูกของเธอแล้ว ขาเขาอาจจะเลยฟูกออกมาได้

“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าหากคุณนอนไม่สบายตัว หรือปวดหลัง ก็ปลุกฉันได้นะคะ ถึงแม้ฟูกจะสั้น แต่ก็คงจะนอนสบายกว่านอนในถุงนอนแน่ๆ”

นลินย้ำอีกครั้ง เพราะเกรงใจภาวินที่ต้องมานอนอยู่บนพื้นแข็งๆ ซึ่งเขาคงไม่ค่อยชินสักเท่าไร อีกอย่างเขาเองก็โอนค่าห้องพักมาแล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างก็ควรจะเป็นของเขา

“ผมไปแคมป์ กางเต็นท์และนอนในถุงนอนกลางป่าอยู่เป็นประจำครับ ไม่ต้องห่วง” ชายหนุ่มยืนยันพร้อมทั้งพูดให้หญิงสาวสบายใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณค่ะ” นลินทำตามที่ภาวินบอกอย่างปฏิเสธไม่ได้เช่นเคย

“องศาดูหายตกใจแล้ว ขอบคุณนะลินที่ช่วยผม ถ้าไม่มีคุณ ผมคงทำอะไรไม่ถูก” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างยอมรับว่าไม่สามารถจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้

“ฉันก็ทำไปตามสัญชาตญาณของความเป็นครูน่ะค่ะ”

นลินตอบพร้อมกับลอบมองชายหนุ่มซึ่งอยู่ในอิริยาบถที่เริ่มผ่อนคลายลงมาก อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้สวมเสื้อเชิ้ตเข้ารูปที่บังคับให้นั่งหลังตรง แต่เป็นเสื้อยืดเนื้อบางเบาที่ทำให้เขาเอนแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลายได้ เก้าอี้ไม้ขนาดที่พอเหมาะสำหรับให้เด็กวัยอนุบาลถึงประถมนั่งทำการบ้านดูเล็กลงถนัดตาเมื่อคนที่นั่งอยู่บนนั้นคือภาวิน

ชายหนุ่มหันมามองครูสาวที่ตอนนี้หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อเธอนึกถึงคำพูดขององศาเมื่อตอนเย็นที่พูดถึงคุณลุงของเขา

“หัวเราะอะไรลิน ผมมีอะไรน่าตลกเหรอ” ชายหนุ่มที่เอนหลังด้วยท่าทางผ่อนคลายอยู่ดีๆ นั่งหลังตรงขึ้นอย่างอัตโนมัติ

“คุณไม่ได้มีอะไรตลกหรอกค่ะ แต่ว่าเมื่อตอนเย็นฉันแอบถามองศาว่าทำไมถึงกลัวคุณ องศาตอบว่า คุณเหมือนยักษ์” หญิงสาวพูดแล้วก็มองคนตัวโตที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กและขำออกมาอีกระลอก

“ยักษ์เหรอ ผมเนี่ยนะเป็นยักษ์” ชายหนุ่มถาม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย

“องศาหมายถึง คุณตัวใหญ่น่ะค่ะ”

“อ๋อ เพราะอย่างนี้เองน่ะเหรอ” ภาวินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถามนลินต่อด้วยสีหน้าเป็นกังวล “แล้วทีนี้ผมควรจะทำยังไง ผมลดขนาดตัวเองไม่ได้เสียด้วย”

“ก็ไม่จำเป็นต้องลดขนาดตัวเองนี่คะ คุณก็แค่ทำให้องศาเลิกมองว่าคุณเป็นยักษ์”

“แต่วันนี้องศาคงจะยิ่งฝังใจว่าผมเป็นยักษ์ไปแล้ว” ชายหนุ่มพูดแล้วถอนหายใจอย่างตำหนิตัวเองที่ไม่ควบคุมสติอารมณ์ให้ดีกว่านี้

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่องศาค่อนข้างฝังใจ คือเขาเห็นแม่ของเขาร้องไห้ตอนที่คุณไปหาทุกครั้ง นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ” นลินถามต่อ

“จริงครับ ภัทรร้องไห้ทุกครั้งที่ผมไปหาเพราะเอาแต่รู้สึกผิดที่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง เพื่อความสบายใจของภัทรผมก็เลยให้เขาอยู่ในที่ที่เขาอยู่แล้วสบายใจ ภัทรเองก็คงไม่อยากกลับมาเห็นบรรยากาศเดิมๆ ที่ทำร้ายจิตใจอีก เลยตัดสินใจไปอยู่เมืองนอกจนองศาคลอดและเริ่มเคยชินที่จะอยู่ที่นั่น” ภาวินอธิบายเหตุผลว่าทำไมน้องสาวของเขาจึงไม่ยอมกลับมาอยู่ที่บ้านทั้งที่ทุกคนให้อภัยหมดแล้ว

“ฉันก็เข้าใจว่าคุณภัทรคงจะร้องไห้เพราะรู้สึกผิด และคงจะซาบซึ้งใจที่คุณช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด เรื่องนี้ฉันจะค่อยๆ อธิบายให้องศาเข้าใจคุณนะคะ” นลินบอกชายหนุ่ม แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่หายกังวลสักเท่าไร

“แล้ว...เรื่องที่องศามองผมเป็นยักษ์ล่ะ ผมควรจะทำยังไง” พูดแล้วก็มองนลินตาปริบๆ อย่างตั้งใจรอฟังคำตอบ

นลินอยากจะบอกภาวินเหลือเกินว่า เขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ก็แค่เลิกทำหน้าเคร่งขรึม และหัดยิ้มให้บ่อยขึ้น แค่นี้เขาก็กลายเป็นยักษ์ที่น่ารักแล้ว

“คุณก็แค่ลดความเป็นลุงลง แล้วเพิ่มความเป็นเพื่อนให้มากขึ้นเวลาอยู่กับองศาน่ะค่ะ” หญิงสาวแนะนำ

ภาวินได้ฟังแล้วก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ผมโชคดีจังเลยที่มีคุณ”

“คะ?” อยู่ๆ นลินก็ใจเต้นแรงเมื่อได้ยินภาวินพูดประโยคนั้น

“ผมหมายถึง ผมโชคดีที่ดาวเลือกให้คุณเป็นครูประจำชั้นขององศา”

“อ๋อ...ค่ะ” เมื่อรู้เหตุผลที่แท้จริงแล้วก็ได้แต่หน้าแดงเก้อ

“ดาวบอกว่า คุณเป็นครูที่ดี ขยัน แล้วก็ตั้งใจสอนมากๆ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับดาวนะ”

“ขอบคุณที่ชมนะคะ ที่ฉันตั้งใจสอนก็เพราะว่าฉันรักเด็กๆ จากใจจริง และรักหน้าที่ของความเป็นครูน่ะค่ะ” นลินยิ้มอย่างน้อมรับคำชม

“แล้วที่คุณอนุญาตให้ผมกับองศามาค้างที่บ้านคุณได้ ก็คงเพราะหน้าที่ครูสินะครับ” ภาวินถาม เนื่องจากเขาค่อนข้างประทับใจที่นลินให้ความสำคัญแก่องศาเป็นอย่างมาก

“เปล่าค่ะ เพราะคุณจ้างฉัน และฉันต้องทำให้คุ้มค่าจ้างค่ะ”

“อ้อ นั่นสินะ” ภาวินพึมพำพร้อมกับอมยิ้ม

“ฉันขอตัวไปล้างจานก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะเข้านอน องศาจะได้นอนแต่หัวค่ำด้วย”

“ครับ ผมขอนั่งทำงานตรงนี้อีกสักพัก แล้วเดี๋ยวจะตามเข้าไปนอนเหมือนกัน”

ชายหนุ่มบอกพร้อมกับหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่นำมาวางไว้ตั้งแต่มาถึงขึ้นมาเปิดใช้งาน

 

กว่าภาวินจะตามเข้ามานอนก็ดึกมากแล้ว หลังจากแยกกันที่โต๊ะอาหาร นลินก็เข้าห้องนอนมาเล่านิทานให้องศาฟัง กล่อมให้เขาหลับ จากนั้นเธอก็ล้มตัวลงนอนบ้าง การนอนบนที่นอนท็อปเปอร์ผืนใหม่แสนนุ่มและนอนสบายก็จริง แต่มันเป็นความนุ่มสบายที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เพราะนอกจากจะมีเด็กน้อยมานอนอยู่ข้างๆ แล้ว ยังมีผู้ชายที่ยังหนุ่มแน่นซึ่งกำลังจะตามเข้ามานอนในห้องนี้ด้วยอีกคน

หากภาวินจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับเธอนั้นมีแต่เรื่องเสียเปรียบล้วนๆ เพราะในห้องนี้มีหลานชายของเขาที่นอนหลับดูดผ้าเน่าอย่างเมามันอยู่ข้างๆ เธอ แล้วไหนจะฐานะทางสังคม ญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูลของเขาอีกล่ะ ซึ่งไม่น่ามาเสียกับคนที่ไม่มีอะไรดังกล่าวข้างต้นอย่างเธอ ท่าทางไว้ตัวของชายหนุ่มทำให้นลินมั่นใจว่าภาวินจะไม่ทำมิดีมิร้ายกับเธอ คนที่หายใจเข้าออกเป็นหลานชาย ก็คงคิดแต่เรื่ององศาเท่านั้น

ในขณะที่นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนดึกดื่น ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก นลินก็ปิดเปลือกตาลง แกล้งทำเป็นหลับทั้งที่ตอนนี้สมองยังคิดฟุ้งซ่าน ประสาทรับรู้ของหญิงสาวยังคงอยู่ครบถ้วนและรู้สึกว่าฟูกขนาด 3.5 ฟุตยวบตัวลงใกล้ๆ กับจุดที่เธอนอน

นลินแทบจะกลั้นหายใจเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นของคนที่เพิ่งเข้ามาในห้องอยู่ใกล้กับเธอจนรับรู้ถึงกลิ่นกายของเขาได้ ความคิดในสมองกำลังตีกันวุ่นวายไปหมด

‘ลืมตาสิ โวยวายสิ เขาเข้ามาใกล้เกินไปแล้วนะ’

‘ไม่! ถ้าลืมตา เขาก็รู้สิว่าเราแกล้งหลับ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยนะ’

แล้วความคิดอย่างหลังก็ถูก เมื่อภาวินหยิบผ้าห่มที่องศาถีบลงไปอยู่ที่ปลายเท้ามาคลี่แล้วห่มให้เด็กน้อย เท่านั้นยังไม่พอ เขายังมีน้ำใจดึงผ้าห่มที่ร่นลงไปกองอยู่ที่เอวขึ้นมาคลุมจนถึงหน้าอกของนลินให้อีกด้วย ช่างเป็นวินาทีทรมานที่สุดเท่าที่นลินเคยรู้สึกมา เมื่อเธอต้องพยายามนอนให้นิ่งๆ ปิดเปลือกตาให้สนิท รอจนแสงสว่างภายในห้องมืดมิดแล้วจึงแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น