6

บทที่ 6



6

 

โทรศัพท์มือถือของนลินดังขึ้นขณะที่เธอกำลังสอนให้นักเรียนในชั้นจับคู่รูปภาพในสมุดแบบฝึกหัด เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนที่โทรศัพท์มาแจ้งว่ามีผู้ปกครองมาขอพบน้ององศา

“เขาบอกว่าเป็นคุณพ่อของน้องค่ะ” เจ้าหน้าที่สาวแจ้งตามที่ผู้มาขอพบบอก

“รบกวนช่วยบอกคุณพ่อน้ององศาว่าให้รอช่วงพักกลางวันนะคะ เพราะตอนนี้เด็กๆ กำลังเรียนกันอยู่ ไม่สะดวกพาไปพบค่ะ”

นลินแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนไป และได้รับรู้ถึงน้ำเสียงลำบากใจของอีกฝ่ายที่คงจะถูกคนที่อ้างตัวว่าเป็นคุณพ่อขององศากดดันมาอีกที

“ผมต้องการพบลูกชายของผม ตอนนี้ เดี๋ยวนี้” เสียงดังแว่วๆ แทรกเข้ามาในโทรศัพท์

นลินได้ยินเจ้าหน้าที่สาวพยายามอธิบายแล้วว่า หากผู้ที่มาขอพบไม่ใช่คนที่แจ้งชื่อไว้กับทางโรงเรียน จะไม่สามารถให้เข้าพบนักเรียนในทันทีได้ ต้องขออนุญาตตรวจสอบไปยังผู้ที่ลงชื่อไว้ว่าเป็นผู้ปกครองเสียก่อน

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไงว่าผมเป็นพ่อ จะต้องตรวจสอบอะไรกันอีก” ผู้มาขอพบยังคงกดดันเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่เลิก

“ลินขอคุยกับคุณพ่อน้ององศาหน่อยได้ไหมคะ”

นลินเริ่มสงสารเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ จึงขอเป็นฝ่ายอธิบายกับองอาจด้วยตัวเองผ่านทางโทรศัพท์

“ฮัลโหล!”

เขาตะคอกเสียงเข้มจนครูสาวต้องยื่นโทรศัพท์ให้ออกห่างจากหู ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าผู้มาเยือนกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

“ฉันนลิน ครูประจำชั้นขององศานะคะ เราเคยเจอกันแล้วเมื่อคืน”

องอาจชะงักไปนิดหนึ่ง หลังจากคิดทบทวนถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่องศาเกาะติดคุณครูคนนี้แจ ก็เปลี่ยนน้ำเสียงจากห้าวเข้มเป็นเสียงทุ้มนุ่มราวกับคนละคน

“ครับ คุณครูนลิน”

“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่พาองศาไปพบคุณตอนนี้ไม่ได้ ก็อย่างที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์บอก คุณไม่ได้มีชื่อในรายชื่อผู้ปกครองขององศา ดังนั้นจึงขอเวลาให้เราติดต่อไปยังผู้ปกครองของน้องก่อน เพื่อตรวจสอบว่าคุณมีความสัมพันธ์กับน้ององศาจริงหรือไม่”

“อืม...ดีจังเลยนะครับ ไอ้ภามมันเข้าใจหาโรงเรียนให้ลูกชายผมจัง ระบบการตรวจสอบเป๊ะเชียว แต่เมื่อคืนคุณครูก็รู้จักผมแล้วนี่ครับ คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่จะให้ผมพบกับลูกชายได้” คำพูดกึ่งประชดประชันยังคงถูกเอ่ยด้วยเสียงที่ทุ้มนุ่มน่าฟัง

“ค่ะ ฉันทราบแล้วว่าคุณคือคุณพ่อของน้ององศา แต่ฉันอยากจะขอร้องคุณให้รอตอนพักกลางวันค่ะ เพราะตอนนี้ฉันทิ้งเด็กทั้งห้องไปไม่ได้”

นลินพยายามอธิบายอย่างใจเย็น และดูเหมือนองอาจเองก็เข้าใจแล้วว่า ถ้าอยากจะเจอองศา เขาก็ต้องรอเท่านั้น

“ครับ ช่วยพาองศามาพบผมทันทีหลังจากแกทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วนะครับ ผมจะรอ”

 

นลินเดินจูงมือองศาที่กำลังดูดนิ้วโป้งตัวเองอย่างไร้เดียงสามาที่ห้องประชาสัมพันธ์ เพื่อมาพบคนที่มานั่งรอเด็กน้อยตั้งแต่ช่วงสาย ทันทีที่เห็นลูกชาย องอาจก็ยิ้มกว้างพร้อมกับหยิบของเล่นที่เตรียมมายื่นให้ มือน้อยๆ ที่จับกับมือครูสาวกำแน่นขึ้น องศากระตุกมือของนลินพร้อมกับทำท่าส่ายหัวไปมาเพื่อส่งสัญญาณว่าเขาไม่อยากมาเจอคนคนนี้ ยิ่งองอาจยื่นของเล่นมาใกล้ๆ องศาก็ยิ่งเบี่ยงตัวหลบไปอยู่ที่ด้านหลังของครูสาวราวกับว่าตรงนั้นคือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขา

“องศาครับ คุณพ่อซื้อของเล่นมาฝาก ดีใจไหมครับลูก”

ยิ่งถามองอาจก็ยิ่งหน้าเสีย เพราะลูกชายแท้ๆ ของตัวเองไม่สนของเล่นที่เขาเอามาหลอกล่อ แถมยังไม่ยอมคุยด้วยอีกต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยยังมองมาที่พ่อของเขาราวกับเป็นคนแปลกหน้าไม่หยุด

“ฉันช่วยรับไว้ให้ก็แล้วกันนะคะ”

นลินรับของเล่นมาแล้วก็แทบจะกลอกตาใส่หน้าคนให้ นี่องอาจเป็นพ่อประสาอะไรกัน ไม่รู้หรือไงว่าองศาอายุห้าขวบแล้ว แถมเป็นเด็กผู้ชาย แต่ของเล่นที่เขาซื้อมาให้กลับเป็นตุ๊กตาหมีและลูกเป็ดลอยน้ำ นี่ถ้าหน้าตาขององศาไม่โขกผู้เป็นพ่อออกมาละก็ นลินจะไม่มีวันเชื่อเลยว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกกัน

“แกคงยังไม่พร้อมที่จะเจอผม” องอาจพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง สีหน้าของเขาดูเสียใจอย่างมากเมื่อองศาไม่ยอมให้เข้าใกล้

จากเรื่องราวที่นลินรับรู้มาจากภาวินเมื่อคืน องอาจคงไม่ได้มาเจอหน้าลูกเลยจนกระทั่งภัทราแม่ขององศาเสียชีวิต ซึ่งก็ไม่แปลกที่เด็กน้อยจะเห็นองอาจเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง

“องศายังเด็กมาก อย่าถือสาแกเลยนะคะ” ครูสาวเอ่ยอย่างให้กำลังใจ

“ผมไม่ถือสาแกหรอกครับ มีแต่อยากจะขอโทษมากกว่า ผมผิดต่อแกมาก แล้วก็ไม่รู้จะแก้ตัวกับแกยังไง”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงสั่นเครือ ดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอเมื่อมองไปยังเด็กน้อยที่ตอนนี้ไม่ยอมให้แตะต้อง แค่เขามองแล้วยิ้มให้ องศายังเบือนหน้าหนี

“ผมขอมาหาแกบ่อยๆ ได้ไหมครับ” องอาจขอร้องครูสาวทั้งคำพูดและแววตา

“คงไม่เหมาะค่ะ เพราะตอนนี้องศาอยู่ในความดูแลของคุณลุง”

“เขาสั่งไม่ให้ผมพบกับองศาใช่ไหมครับ” องอาจพูดถึงคนอีกคนด้วยดวงตาที่วาวโรจน์ขึ้นมาวูบหนึ่ง

“ค่ะ และตามกฎของโรงเรียน เราจะต้องแจ้งผู้ปกครองของนักเรียนทุกครั้งที่มีบุคคลอื่นมาขอพบ ซึ่งถ้าคุณภาวินรู้ว่าคุณมาหาองศา ก็คงจะไม่พอใจมาก”

“กะเอาไว้แล้วไม่มีผิด” ชายหนุ่มทำสีหน้าไม่พอใจ และมองลูกชายที่เขาไม่มีสิทธิ์แม้จะมาหาด้วยแววตาผิดหวัง

“หวังว่าคุณจะเข้าใจฉัน และเข้าใจกฎระเบียบของโรงเรียนนะคะ” นลินย้ำ เพราะไม่อยากให้องอาจมากดดันเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเพื่อขอพบองศาเหมือนอย่างวันนี้อีก

“ก็ไม่อยากจะเข้าใจนักหรอกครับ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ” เขาพูดแล้วเหยียดยิ้มด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจที่ถูกกีดกันไม่ให้พบลูกชาย

“คุณมีอะไรอีกไหมคะ ถ้าไม่มี ฉันขออนุญาตพาองศากลับไปที่ห้องค่ะ” นลินตัดบทพร้อมกับกระชับมือของเด็กน้อยเพื่อเตรียมจูงเดินออกไปจากตรงนั้น

“มีครับ คุณครูนลิน” องอาจพูดแล้วก็รีบเดินมาขวางเอาไว้

“คะ?” ครูสาวชะงักพร้อมกับมีสีหน้าตั้งคำถาม

“ผมมาหาคุณครูแทนได้ไหมครับ ถ้าไม่ได้พบกับองศา มาเจอคุณครูนลินก็ยังดี อย่างน้อยผมก็จะได้ถามถึงลูกชายของผม” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม ริมฝีปากหยักได้รูปยิ้มอย่างหว่านเสน่ห์

นลินไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่ขององศาจึงหลงองอาจจนเผลอไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกระทั่งมีลูก เพราะแค่เธอพูดคุยกับองอาจแค่ไม่กี่คำ ก็ถูกเขามองด้วยแววตาแพรวพราวครั้งแล้วครั้งเล่า

“ฉันต้องสอนเด็กทั้งวัน คงไม่ว่างมาพบคุณเท่าไหร่” นลินปฏิเสธแบบถนอมน้ำใจ

“ผมหมายถึงตอนพักกลางวัน หรือตอนเย็นหลังเลิกงานน่ะครับ”

“พักกลางวันฉันต้องดูแลเด็กๆ น่ะค่ะ ตอนเย็นฉันมีงานสอนพิเศษ” ครูสาวปฏิเสธแบบรวบรัด

“เอาเป็นว่า ผมคงต้องแวะมาบ่อยๆ ก็แล้วกันนะครับ เจอคุณครูก็ดี ไม่เจอก็ไม่เป็นไร” องอาจออกปากว่าจะตามตื๊ออย่างเปิดเผย

“ก็ตามใจคุณก็แล้วกันค่ะ” ครูสาวตัดบท และคิดว่า หากเขามาแล้วไม่ได้พบกับเธอ แค่ครั้งสองครั้ง องอาจก็คงจะท้อแท้ และเบื่อที่จะตามตื๊อไปเอง

 

นลินไม่คาดคิดว่าการแวะมาบ่อยๆ ขององอาจจะเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เพราะเย็นวันเดียวกัน เขาก็มาดักรอเธอที่หน้าโรงเรียนพร้อมด้วยดอกไม้ช่อใหญ่ มันจะไม่มีอะไรเลยถ้าเธอไม่ได้จูงมือองศา และจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลยหากรถที่จอดรออยู่ที่หน้าโรงเรียนไม่ใช่รถของภาวิน

เจ้าของช่อดอกไม้พุ่งปราดเข้ามาหาครูสาวในขณะที่เธอกำลังส่งองศาให้ลุงของเขา นลินสังเกตเห็นสายตาแข็งกร้าวที่มองไปยังองอาจ แล้วตวัดมาจ้องหน้าเธอเขม็ง จ้องเสียจนเธอไม่กล้าที่จะยื่นมือไปรับดอกไม้ช่อนั้น

“แกมาที่นี่ทำไม” ภาวินเอ่ยเสียงเข้มผ่านไรฟันขณะที่ขบกรามแน่น

“ฉันจะมาที่นี่ทำไมก็เรื่องของฉัน แกไม่มีสิทธิ์ถาม” องอาจตอบด้วยน้ำเสียงยียวน

“อย่ามายุ่งกับหลานของฉัน”

“ไม่ได้ยุ่งกับองศาเสียหน่อย ฉันแค่เอาดอกไม้มาให้คุณครู” องอาจโต้กลับด้วยสีหน้ายียวน ก่อนจะหันไปทางหญิงสาว “นี่ครับคุณครู หวังว่าคุณคงจะชอบนะครับ”

“ห้ามยุ่งกับลิน!” ภาวินเอ่ยเสียงเข้ม พร้อมกับผลักช่อดอกไม้ให้ออกห่างจากครูสาว

“อะไรของแกวะไอ้ภาม นี่มันจะกีดกันกันเกินไปแล้วนะ แกจะไม่ให้ฉันยุ่งเกี่ยวกับคนรอบข้างลูกชายฉันเลยหรือไง”

“ก็เพราะฉันรู้ว่าที่แกมายุ่งวุ่นวายกับลินเพราะแกมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงน่ะสิ”

“จะทำไมวะ ทีแกยังมารับมาส่ง แถมพาไปกินข้าวด้วย แล้วทำไมฉันจะทำบ้างไม่ได้ นี่อย่าบอกนะว่าแกจีบครูลิน”

“ไม่ใช่นะคะ!” นลินรีบแย้งเนื่องจากเกรงใจภาวิน กลัวว่าเขาจะถูกคนหลายคนที่มองด้วยความสนใจเข้าใจผิดไปตามที่องอาจพูด

“แกไปให้พ้นจากองศาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปให้ไกลๆ เหมือนตอนที่แกทิ้งภัทรไปไง”

“เรื่องนั้นฉันยอมรับว่าฉันผิด และฉันพร้อมที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันทำแล้ว”

“สายไปแล้วองอาจ แกทิ้งโอกาสนี้มาห้าปีแล้ว”

“แต่ลูกควรจะได้อยู่กับพ่อแท้ๆ เลือดครึ่งหนึ่งในตัวองศาคือสายเลือดของฉัน ถึงแม้ว่าฉันกับภัทรจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันก็เถอะ แต่ตอนนี้ภัทรตายไปแล้ว เหลือฉันคนเดียวที่เป็นพ่อ แล้วถ้าฉันยื่นเรื่องขอตรวจดีเอ็นเอเพื่อจดทะเบียนรับรองบุตรสำเร็จ แกลองคิดดูก็แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“ไอ้องอาจ!” ภาวินหมดความอดทน เขากำหมัดแน่น พุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อองอาจเอาไว้

เสียงหวีดร้องดังมาจากผู้ปกครองที่มารอรับบุตรหลาน บ้างก็หยุดยืนดู บ้างก็รีบจูงมือเด็กๆ เพื่อรีบเดินไปให้พ้นจากบริเวณนั้น

“คิดว่าฉันกลัวแกเหรอไอ้ภาม ฉันจะเอาลูกของฉันคืน ใครก็ขวางฉันไม่ได้”

เมื่อองอาจตั้งหลักได้ก็สะบัดตัวจนคอเสื้อหลุดจากมือของภาวิน กระดุมเสื้อเชิ้ตเนื้อดีหลุดกระเด็น องอาจมองตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายทำร้ายก่อนก็เกิดโมโห พุ่งตัวเข้าไปผลักอกภาวินแรงๆ จนอีกฝ่ายถึงกับเซถลา

“แง...” องศาร้องไห้ดังลั่นพร้อมกับโผเข้าไปกอดครูสาว

“คุณภาวิน คุณองอาจคะ ช่วยดึงสติกันหน่อยค่ะ ที่นี่มันเขตโรงเรียนนะคะ” คนที่ยืนฟังสองหนุ่มเถียงกันอยู่นานเอ่ยขึ้น

องศาเกาะขาครูสาวแน่น เด็กน้อยมองไปยังคุณลุงและคนที่เอาแต่พร่ำพูดว่าเป็นพ่อของเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น เมื่อคืนก็ครั้งหนึ่งแล้วที่ผู้ใหญ่สองคนนี้พูดกันเสียงดัง มาวันนี้ก็ทำท่าจะทะเลาะกันอีก องศาไม่เคยเห็นใครทะเลาะกันอย่างรุนแรงขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทะเลาะกันเป็นผู้ชายตัวโตทั้งคู่ จึงทำให้ตกใจกลัวและร้องไห้ออกมาอย่างหนัก

“ครูลิน องศากลัว” เด็กน้อยเอ่ยเสียงสั่น

มือน้อยๆ ที่นลินกุมอยู่เย็นเฉียบจนครูสาวรู้สึกได้ หญิงสาวย่อตัวลง กอดปลอบให้ร่างน้อยที่กำลังสั่นเทาหายกลัว

“ไม่ต้องกลัวนะคะองศา” พูดปลอบแล้วก็พาเขาเดินไปที่รถของภาวิน

“ไม่เอา! องศาไม่ไปกับลุงภาม องศากลัวลุงภาม” คราวนี้องศาร้องไห้จ้า ขืนตัวไว้ไม่ยอมให้ครูสาวพาเขาไปที่รถของคุณลุงเหมือนอย่างเคย

ภาวินหน้าเสีย นึกไม่ถึงว่าจะทำให้หลานชายกลัวจนร้องไห้แบบนี้ ส่วนองอาจเห็นอย่างนั้นก็แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าสะใจที่เห็นลูกชายของเขาหวาดกลัวภาวิน จึงเลิกสนใจที่จะทะเลาะกับอีกฝ่าย แล้วเปลี่ยนมาเป็นพูดปลอบลูกชาย

“โถๆ องศา กลัวเหรอครับ มาหาพ่อนี่มา” พูดแล้วก็ยื่นมือไปหาอย่างมีความหวังว่าองศาจะโผมาให้กอด

“ไม่! แม่สอนว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า!” คนเสียงเล็กตวาดแหว ทั้งกลัว ทั้งหงุดหงิดที่ผู้ใหญ่ทำเสียงเอะอะโวยวายจนเขาตกใจแล้วยังจะพยายามเข้ามาใกล้เขาอีก

องอาจได้ยินลูกชายพูดอย่างนั้นก็ได้แต่ทำหน้าเจื่อน เขาหันไปมองภาวินที่ตอนนี้มองมาด้วยสายตาสะใจไม่ต่างกัน

“องศา กลับบ้านกับลุงนะครับ” พูดกับหลานชายเสร็จ ภาวินก็หันไปพูดกับคุณครูของหลานต่อ “พาองศาขึ้นรถได้แล้วลิน”

“ไม่! องศาไม่ไปกับใครทั้งนั้น” คราวนี้องศากอดนลินแน่นจนหญิงสาวขยับตัวไม่ได้

“โอเค! งั้นองศาไปกับครูลินนะคะ ไม่ต้องไปกับใครทั้งนั้น” นลินตัดสินใจยกเด็กชายตัวอวบขึ้นอุ้ม จากนั้นก็เดินผ่านหน้าสองหนุ่มที่ใช้แต่อารมณ์โดยไม่พูดอะไรอีก

หญิงสาวพาองศาไปยืนที่ริมถนน รอไม่นานก็โบกแท็กซี่คันหนึ่งที่แล่นผ่านมาพอดี รถแท็กซี่พานลินกับองศาออกห่างจากหน้าโรงเรียนมาแล้ว ครูสาวจึงหันกลับไปมองชายหนุ่มสองคนที่เพิ่งมีปากเสียงกันด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าพวกเขาจะมีเรื่องกันต่อ แต่เมื่อเห็นว่าต่างคนต่างแยกย้ายแล้วก็สบายใจขึ้น แล้วจึงหันมามองลูกศิษย์ตัวน้อยที่เอาแต่กอดเธอแน่นด้วยความกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทาอย่างน่าสงสาร

“ไม่ต้องกลัวนะคะองศา พวกเขาเลิกทะเลาะกันแล้ว” ครูสาวบอกพร้อมกับชี้ชวนให้องศามองไปทางท้ายรถ

เด็กน้อยทำตามพร้อมกับเบิกตาโต ก่อนจะรีบฟุบหน้าลงกับตักคุณครูของเขา

“เป็นอะไรไปคะองศา”

“ลุงภามครับ ลุงภามตามมา” เด็กน้อยบอก

นลินมองตามจึงเห็นว่ารถของภาวินตามจริงๆ

“ลุงภามคงตามมารับองศากลับบ้านน่ะค่ะ”

“ไม่เอา องศาไม่อยากไปกับลุงภาม องศากลัวลุงภาม” องศาพูดเสียงสั่นจากความกลัว

“กลัวทำไมคะองศา ลุงภามรักองศานะคะ กลับบ้านไปกับลุงภามเถอะค่ะ”

“ไม่เอา ไม่กลับ องศากลัวจริงๆ นะครับ ครูลินต้องช่วยองศานะครับ ฮือๆ”

เด็กน้อยสะอึกสะอื้นอีกครั้ง ยิ่งเห็นนลินก็ยิ่งสงสาร

“โอเคค่ะองศา ไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวครูจะปกป้ององศาเอง”

 

รถแท็กซี่พาครูกับลูกศิษย์ตัวน้อยมาส่งที่หน้าบ้านของหญิงสาวแล้วจากไปในเวลาไล่เลี่ยกันกับที่รถของภาวินมาจอดแทนที่ นลินยังไม่ทันไขกุญแจที่คล้องเอาไว้ที่รั้วหน้าบ้านด้วยซ้ำ ชายหนุ่มก็ลงจากรถแล้วรีบพุ่งตัวมาหาหลานชาย

“องศาครับ กลับบ้านกับลุงนะครับ”

ภาวินพูดกับหลานชายพร้อมกับยื่นมือไปหาหวังจะดึงตัวแกมาอุ้ม แต่เด็กน้อยกลับเบี่ยงตัวหนีและแทรกตัวอยู่ระหว่างประตูรั้วกับขาของครูสาว

“องศาคะ อย่าเบียดเข้ามาแบบนี้ ครูไขกุญแจรั้วไม่ถนัด”

นลินบอกเด็กน้อยด้วยเสียงดุนิดๆ องศาจึงยอมขยับตัวให้นิดหนึ่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ยังจ้องไปที่คุณลุงด้วยแววตาหวาดระแวงไม่เลิก จนภาวินทำอะไรไม่ถูก

“ผมจะพาองศากลับบ้านได้ยังไงครับ” ภาวินถามเมื่อนลินเปิดประตูรั้วบ้านได้สำเร็จแล้ว แต่ถูกเด็กน้อยเกาะขาแน่นจนก้าวเดินไปไหนไม่ได้

“ฉันว่าคืนนี้ให้องศาอยู่กับฉันที่นี่เถอะนะคะ คุณทำให้แกกลัว ขืนฉันบังคับให้องศาไปกับคุณ แกจะพานไม่ไว้ใจฉันไปอีกคน” นลินให้คำแนะนำชายหนุ่ม

เมื่อองศาได้ยินว่าคืนนี้จะได้อยู่กับคุณครูก็ยิ้มร่าเริงทันที ทั้งที่น้ำตายังไม่ทันแห้งด้วยซ้ำ

“องศาอยากอยู่กับครูลิน ไม่อยากไปกับลุงภาม”

ภาวินได้แต่ถอนหายใจออกมาหนักๆ สีหน้าและแววตาเจ็บปวด ลำพังแค่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้าน โดยเขาพยายามตามใจหลานชายทุกอย่าง องศายังกล้าๆ กลัวๆ ไม่ขี้อ้อน ไม่สดใสร่าเริงเหมือนเด็กในวัยเดียวกัน แต่วันนี้องศากลับมาเห็นภาวินแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด และเกือบจะใช้ความรุนแรงต่อหน้าเขา จากที่ได้ศูนย์คะแนนในสายตาหลานชาย ตอนนี้คงจะติดลบอย่างไม่เหลือชิ้นดี

“โอเคครับ คืนนี้ผมให้องศาค้างกับคุณได้”

นลินถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อภาวินเข้าใจและให้ความร่วมมือโดยง่าย

“แต่!”

“คะ?” คำว่า ‘แต่’ อันแสนหนักแน่นนั้น นลินรู้สึกได้ว่ามีความลำบากซ่อนอยู่

“ผมจะมาค้างด้วย”

“ว่าไงนะคะ!”

“คุณได้ยินไม่ผิดหรอกลิน ผมจะมาค้างที่นี่ด้วย ขืนปล่อยให้องศาอยู่กับคุณแค่สองคน มีหวังหลานชายผมไม่ยอมกลับไปอยู่กับผมอีกแน่ อย่างน้อยองศาก็ต้องเรียนรู้ที่จะมีผมอยู่กับเขาในทุกที่”

“แต่ว่าบ้านฉันมันเล็กอย่างกับรูหนู แถมมีห้องนอนห้องเดียวอีกต่างหาก”

“ผมมีตัวเลือกให้แค่ จะให้ผมมาค้างที่นี่ หรือคุณไปค้างบ้านผม องศาจะยอมไปอยู่ในทุกที่ที่มีคุณ และผมก็จะยอมปล่อยให้แกอยู่กับคุณโดยที่ไม่มีผมอยู่ด้วยไม่ได้” ชายหนุ่มเสนอทางเลือก

นลินนิ่งไปอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจ

“ฉันเลือกที่จะอยู่ที่นี่ค่ะ” ครูสาวตอบ

เธอประเมินแล้วว่าอยู่ที่บ้านตัวเองปลอดภัยกว่า อย่างน้อยคุณป้าข้างบ้านที่เป็นเจ้าของบ้านเช่านั้น แม้จะขี้งกไปหน่อย แต่ก็คงจะไม่นิ่งเฉยถ้าเธอแหกปากร้องขอความช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่หญิงสาวใช้บริการอยู่บ่อยๆ ก็ขี่วนเวียนผ่านหน้าบ้านแทบจะทั้งคืน มีอะไรก็แค่ตะโกนดังๆ เข้าไว้ เธอน่าจะปลอดภัยกว่าไปค้างบ้านผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกัน

“ผมจะกลับไปอาบน้ำที่บ้าน ไปหาซื้อของใช้จำเป็น และจะเอาของใช้ขององศามาที่นี่ด้วย คุณช่วยทำอาหารเย็นไว้เผื่อผมสักจาน เอาอาหารง่ายๆ ก็ได้ ผมทานได้ทุกอย่าง”

ชายหนุ่มสั่งการพร้อมกับกดโทรศัพท์มือถือไปด้วย ไม่นานเสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือของนลินก็ดังขึ้น หญิงสาวเปิดโทรศัพท์ดูแล้วถึงกับทำตาโตเมื่อมียอดเงินโอนเข้าบัญชีแบบไม่คาดฝัน

“ค่าเช่าห้อง ค่าอาหารเย็น ค่าดูแลองศาแบบล่วงเวลาเป็นพิเศษ”

“แต่นี่มันมากเกินไปนะคะ ค่าเช่าห้องที่คุณโอนมา ฉันเอาไปจ่ายค่าเช่าได้ทั้งเดือนเลยนะคะเนี่ย”

“อ้าว เหรอ ปกติผมไปพักโรงแรมคืนหนึ่งแพงกว่านี้อีก นี่กดราคาลงมาครึ่งหนึ่งตามสภาพห้องแล้วนะ” คนที่ประเมินรายจ่ายโดยคำนึงถึงความคุ้มค่าคุ้มราคาบอกไปตามที่เขาคิด

เจ้าของบ้านกลอกตามองบนด้วยท่าทางหมั่นไส้ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเด็กเกาะติดเป็นลูกลิงอยู่แบบนี้ละก็ ป่านนี้เธอคงจะเชิญให้กลับไปนอนบ้านหรูๆ กันทั้งลุงหลานแล้ว

“คุณรีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน” นลินรีบตัดบท ก่อนจะแกะมือองศาที่กอดเธออยู่นานแล้วให้คลายออกเพื่อจะได้ขยับตัวเข้าบ้านเสียที

“ฝากองศาด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบกลับมา” ฝากผังหลานชายเสร็จ ชายหนุ่มก็กลับไปที่รถ แล้วรีบขับออกไป

เมื่อภาวินขับรถออกไปไกลแล้ว นลินก็พาองศาเข้ามาในบริเวณบ้าน ลูกสุนัขตัวน้อยวิ่งกระดิกหางออกมาต้อนรับเมื่อรู้ว่าเด็กน้อยมาถึง องศาจึงยิ้มออกและปรี่เข้าไปอุ้มเล่น

“หายกลัวแล้วใช่ไหมคะองศา”

ครูสาวถามพร้อมกับลูบหัวลูกศิษย์ตัวน้อยเพื่อปลอบขวัญให้หายตกใจ อย่าว่าแต่เด็กเลย ตอนที่เธอเห็นว่าผู้ชายสองคนเกือบจะมีเรื่องกัน เธอก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

“อยู่กับครูลิน องศาไม่กลัวแล้วครับ” เด็กชายตอบเอาใจ

“องศาบอกครูลินได้ไหมคะว่าทำไมถึงกลัวลุงภาม องศาเคยถูกลุงภามดุหรือว่าตีรึเปล่าคะ”

นลินถามด้วยความเป็นห่วงเพราะเห็นองศามีท่าทางกลัวคุณลุงของเขามากขนาดนี้ เธอเกรงว่าเด็กน้อยจะเคยถูกภาวินทำร้าย

“ไม่เคยครับ ลุงภามไม่เคยดุ ไม่เคยตีองศาเลย” เด็กชายตอบในขณะที่ยังอุ้มลิปดาเล่นไปด้วย

“ไม่เคยดุ แล้วทำไมองศาถึงได้กลัวลุงภามนักล่ะคะ”

“ก็เพราะว่า องศากลัวยักษ์”

“อ้าว แล้วยักษ์เกี่ยวอะไรกับลุงภามคะ” ครูสาวถามต่อ

“ก็ลุงภามน่ะ ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ เมื่อกี้ก็ทำเสียงดังมากๆ เลย องศาก็เลยกลัวน่ะสิครับ”

“อ๋อ แค่นี้เองเหรอคะ สาเหตุที่กลัว” นลินฟังแล้วก็ขำไปด้วย ที่คุณลุงของลูกศิษย์น่ากลัวไม่ใช่แค่ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์อย่างเดียวหรอก แต่ท่าทางยิ้มยาก ทำหน้ามุ่ยเก่งแบบนี้ ก็คงเหลือแค่มีเขี้ยวงอกออกมาเท่านั้นแหละ เขาก็เป็นยักษ์ได้อย่างสบายแล้ว

“ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ เวลาที่ลุงภามไปหาแม่ ลุงภามทำให้แม่ร้องไห้ตลอดเลย ตอนนั้นลุงภามต้องแปลงร่างเป็นยักษ์แน่ๆ”

นี่คือข้อมูลใหม่ที่ครูสาวเพิ่งได้รับรู้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา องศาไม่เคยพูดถึงลุงของเขาให้ได้ยินเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่จะเอาแต่ทำตัวห่างเหินและมองภาวินด้วยแววตาหวาดหวั่น นี่คงเป็นสาเหตุที่ไม่ว่าภาวินจะตามใจหลานมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ทำให้เด็กชายเปิดใจให้เขาเลยสักครั้ง

“องศาเห็นลุงภามดุคุณแม่ขององศาเหรอคะ” ครูสาวตะล่อมถาม

“ไม่ครับ ลุงภามไม่ได้ดุ ไม่ได้ตี แต่เวลาลุงภามมาหาแม่ทีไร แม่ก็ต้องร้องไห้ทุกทีเลย”

“แล้ว...ตอนที่คุณลุงไปหาคุณแม่ คุณลุงได้ให้อะไรคุณแม่ไว้รึเปล่าคะ”

“ให้ครับ แต่องศาไม่รู้ว่าลุงภามให้อะไรแม่ พอลุงภามกลับไป แม่ก็พาองศาไปซื้อของเล่น ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ตลอดเลย” เด็กน้อยตอบไปตามที่เขาพอจะจำได้

นลินพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า ภัทราคงจะยังรู้สึกผิดที่ทำให้ครอบครัวอับอาย อีกทั้งคงจะซาบซึ้งใจที่พี่ชายคอยให้ความช่วยเหลือ เธอจึงร้องไห้ทุกครั้งที่พี่ชายแท้ๆ ของตัวเองมาหา

“องศาคะ การที่ผู้ใหญ่ร้องไห้ มันไม่ได้แปลว่าถูกดุ หรือว่าเสียใจเสมอไปหรอกนะคะ”

เด็กน้อยฟังแล้วก็ได้แต่ทำตาปริบๆ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณครูของเขาพูดสักเท่าไร

“อีกอย่าง ลุงภามเป็นคนค่ะ ไม่ใช่ยักษ์ เดี๋ยวพอองศาโต ก็ตัวใหญ่เหมือนคุณลุงนี่แหละ”

“จริงเหรอครับ โตขึ้นองศาจะกล้ามใหญ่ๆ เหมือนลุงภามเลยเหรอครับ” องศาถามด้วยความตื่นเต้น

นลินจินตนาการถึงกล้ามใหญ่ๆ ของคนที่กำลังพูดถึง แก้มก็ร้อนผ่าวอย่างน่าประหลาด ทุกครั้งที่เธอเจอภาวิน เขามักจะสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวอยู่เสมอ แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจปิดบังกล้ามเนื้อบริเวณแขนไปจนถึงหัวไหล่ที่สมบูรณ์แบบของเขาได้

“จริงสิคะ ถ้างั้นองศาต้องกินผักเยอะๆ กินขนมน้อยๆ ออกกำลังกาย แล้วก็เข้านอนให้เป็นเวลา โตขึ้นก็จะกล้ามใหญ่เหมือนลุงภามแน่ๆ ค่ะ” นลินหลอกล่อ

“ต่อไปนี้องศาจะกินผักเยอะๆ องศาจะได้กล้ามใหญ่” เด็กน้อยก็เชื่อจนสนิทใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น