1

บทที่ 1


- - - Koe’s Part - - -

"คงเป็น...รักแรกพบละมั้ง"

ผมตอบเบาๆ โดยไม่หันไปมอง แต่พอจะจินตนาการได้ว่าคู่สนทนาของผมคงหรี่ตามอง ก่อนจะได้ยินเสียงถามหวัดๆ เหมือนไม่เชื่อถือในคำพูดของผม

"กับผู้ชายเนี่ยนะ"

ใช่ครับ...

ผมบอกว่าผมชอบผู้ชาย

ผมชื่อโก้ ปีสาม คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำลังนั่งคุยอย่างเปิดอกกับพี่มุก ดาวคณะนิเทศศาสตร์ คู่จิ้นสมัยมัธยมของผม

"ทำไมล่ะ ไม่ได้เหรอ" ผมย้อนถามก่อนเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ในมือเมื่อได้ยินเสียงเลื่อนประตูกระจก ทั้งผมและพี่มุกมองหน้ากันแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเพื่อไม่ให้คนที่เดินเข้ามาในห้องรู้ตัวว่ากำลังถูกพูดถึง

"นึกว่าวอร์มกลับไปแล้ว" พี่มุกทักคนที่เพิ่งเข้ามา

"ลืมมือถืออะครับ" เขายิ้มเขินๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะเพื่อถอดที่ชาร์จแบตโทรศัพท์ออกจากเต้าเสียบ ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้พี่มุกที่ยืนอยู่ข้างผม แล้วยักคิ้วให้ผมเล็กน้อยแทนการร่ำลา

ผู้ชายคนนี้ชื่อวอร์มครับ เป็นน้องรหัสของพี่มุก ผมเจอเขาครั้งแรกที่ห้องซ้อมดนตรีในช่วงปิดภาคเรียนที่ผ่านมา วันนั้นวอร์มมาช่วยถ่ายวิดีโอการซ้อมดนตรีให้พียูแบนด์ วงดนตรีของมหาวิทยาลัยซึ่งมีพี่มุกเป็นหนึ่งในนักร้องนำและมีผมมาช่วยเล่นกีตาร์ให้บางครั้งบางคราว

เมื่อเขาถอยหลังมาชนผมที่เพิ่งเดินเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ

วินาทีนั้นแหละ เราทั้งคู่จึงได้สบตากัน...

ออกตัวเลยว่าผมไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน จึงไม่สามารถตอบพี่มุกได้เลยว่าอะไรในตัวของวอร์มที่ทำให้เดือนคณะอย่างผมเกิดอยากจะเปลี่ยนรสนิยมทางเพศของตัวเองขึ้นมาได้

จะเป็นสายตามุ่งมั่นแต่อ่อนโยนที่เขามองพี่มุกผ่านกล้องตัวนั้น...

ลักยิ้มที่ปรากฏบนแก้มขาว...

หรือเสียงหัวเราะสดใสเหมือนเด็กๆ...

แต่ก็ช่างเถอะ...

ผมคงไม่เสียเวลาไปนั่งคิดถึงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศในร่างกายผมหรอกนะ เพราะผมยังมีอะไรต้องทำอีกมาก...

เพื่อจะทำให้วอร์มเป็นของผมให้ได้

ผมพูดกับพี่มุกไปแบบนั้น โดยนึกว่าพี่มุกจะเห็นดีเห็นงามกับผมเหมือนครั้งก่อนๆ แน่นอน…เธอมักเห็นว่ามันเป็นเรื่องตลกเสมอเวลาที่ผมพยายามไปมีปฏิสัมพันธ์กับใครๆ รอบตัวเธอ เธอมักจะสนุกไปกับการเฝ้าดูผม คอยติดตามว่าผมจะจีบเป้าหมายนั้นสำเร็จหรือไม่

แต่ครั้งนี้...

"เอาจริงเหรอ"

ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่เธอแสดงออก แต่ยอมรับว่าสีหน้าเป็นกังวลของพี่มุกกลับผลักดันให้ผมยิ่งฮึกเหิม ผมจึงวิ่งออกจากห้องไปโดยทิ้งรอยยิ้มยียวนไว้เป็นคำตอบสำหรับคำถามสุดท้ายนั้น

 

“วอร์ม...วอร์ม...”

ผมตะโกนเรียกเพราะกลัวว่าจะวิ่งตามวอร์มที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ทัน นั่นทำให้เขาหยุดชะงักและหันหลังกลับมามองผมที่ค่อยๆ ชะลอความเร็ว ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าเขา แล้วพูดขึ้นอย่างกระหืดกระหอบ “จะ...จะกลับแล้วเหรอ”

“อืม” เขาพยักหน้าแล้วมองออกไปด้านนอกตึกเรียน “ฝนจะตกแล้วอะ เดี๋ยวกลับลำบาก”

“งั้นกูไปส่ง”

อย่างที่ผมพูด...ว่าผมจะทำให้วอร์มเป็นของผมให้ได้ ทันทีที่เปิดภาคเรียน ผมจึงเริ่มต้นด้วยการลงเรียนวิชาเดียวกับเขา วิชาหลักการตลาด ซึ่งเป็นวิชาเดียวที่นักศึกษาจากคณะอื่นแบบผมสามารถเลือกเรียนเป็นวิชาเสริมได้ และนั่นทำให้ผมได้มีโอกาสทำงานคู่กับวอร์ม

มันง่ายมากเลยครับ เพราะวอร์มไม่มีเพื่อนสนิทแบบที่จะจับคู่กันได้เลยในทันที มีแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูจะสนใจวอร์มเช่นเดียวกันกับผม โชคดีที่เธอนั่งอยู่แถวหน้า กว่าจะเดินมาถึงวอร์มที่นั่งอยู่ด้านหลังของห้องก็ไม่ทันผมที่นั่งติดกับวอร์มอยู่แล้วตั้งแต่แรก

และเพราะคำว่า “คู่กันนะ” ของผมไม่ได้เป็นแค่คำชวนเพื่อทำรายงานคู่กันเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าผู้ชายซื่อๆ อย่างวอร์มคงไม่เข้าใจ เราทั้งคู่จึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว เราคุยกันทุกวันผ่านแอ๊พพลิเคชั่นไลน์ที่วอร์มคงเข้าใจไปเองว่าผมแอดเขาเป็นเพื่อนไว้เพื่อใช้ปรึกษากันเวลาทำรายงาน แต่จนถึงตอนนี้ หากเขาเอะใจและลองย้อนกลับไปดูบทสนทนาสักนิด ก็จะรู้ว่ายังไม่มีช่วงใดเลยที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทเรียน

แต่น่าเสียดายที่วอร์มไม่ใช่คนคุยเก่ง ผมจึงยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเท่าที่ควร รู้แค่ว่าเขาพักอาศัยอยู่กับแม่ในบ้านที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก

และวันนี้นี่แหละ ที่ผมจะได้ไปส่งเขาที่บ้านเป็นครั้งแรก

"มึงกะพี่มุกรู้จักกันนานแล้วเหรอ" เขาเริ่มบทสนทนาขึ้นท่ามกลางเสียงฝนที่ตกกระทบลงบนรถของผมอย่างหนัก

"ก็เรียนโรงเรียนเดียวกันตอนม.ปลายอะ ตอนนั้นเป็นคู่จิ้นกัน"

"คู่จิ้น...?" เขาทวนคำอย่างสนใจ ผมจึงอธิบายต่อ

"ก็ตอนนั้นกูชอบเค้า กะว่าจะแอบจีบ แต่ไปๆ มาๆ คนแม่งแซวกันทั้งโรงเรียน กูก็เลยอดแดก กลายมาเป็นเพื่อนกันแทน"

วอร์มหัวเราะจนตาหยี นั่นทำให้ผมเผลอยิ้มตามไปด้วย แต่ก็ไม่พลาดที่จะถามในเรื่องที่อยากรู้ "แล้วมึงอะ...มีแฟนมั้ย"

ผมไม่ได้หันไปมอง แต่หางตาพลันเห็นคนข้างกายส่ายหน้าถี่ๆ ก็พลอยทำให้ใจชื้นขึ้นได้บ้าง เอาละ…เริ่มแผนต่อไปกันดีกว่า “เออ กูไม่เข้าใจเรื่องการวางตำแหน่งทางการตลาดเลยว่ะ มึงสอนกูหน่อยดิ”

“ที่อาจารย์บอกจะควิซอาทิตย์หน้าอะนะ”

“เออๆ” ผมรีบพยักหน้า “มึงเข้าใจใช่ปะ”

“ก็พอได้นะ”

“งั้นมึงติวให้กูหน่อยนะ พรุ่งนี้สิบโมง มึงว่างมั้ย” ผมรีบนัดเวลาทันที พลางเหลือบมองคู่สนทนาที่เริ่มผูกคิ้วขมวดเป็นปม ปากบางเม้มแน่นอย่างครุ่นคิด

พี่มุกบอกผมว่า วอร์มจะตรงกลับบ้านทันทีที่เรียนเสร็จ พี่มุกเองก็เคยชวนเขากินข้าวเย็นหลายครั้ง แต่คำตอบที่ได้รับคือ ต้องกลับไปกินข้าวกับที่บ้าน

ผมคิดว่านั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้วอร์มไม่มีเพื่อนทั้งๆ ที่เขาก็ดูเป็นคนดี ไม่มีพิษภัยใดๆ

และนั่นทำให้ผมจินตนาการภาพแม่ของวอร์มไว้ว่าคงเป็นหญิงสูงวัย ผมสั้นดัดหยิก แว่นตากรอบใหญ่เลนส์หนา ท่าทางเจ้าระเบียบและคงดุมากพอที่จะทำให้ลูกชายต้องรีบวิ่งแจ้นกลับบ้านไปกินข้าวด้วยทุกวัน

แต่พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ แถมนัดช่วงเช้าด้วย

น่าจะได้แหละน่า...

"ก็ได้"

'เยสสสสสสสสส!'

ผมดีใจแทบบ้าจนแสดงออกมาเป็นรอยยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย หวังว่าเป้าหมายของผมจะไม่ทันสังเกตเห็น "งั้นพรุ่งนี้กูมารับนะ"

"เฮ้ย...ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปหา" เขารีบสวนคำขึ้นทันที "เจอกันที่ไหนอะ"

"ที่หอกูดีมั้ย" หลอกล่อสุดฤทธิ์ "หอชาย ตึกห้า เดี๋ยวไปติวที่ห้องกู"

"อืม" เขาพยักหน้าเออออกับผม ก่อนพูดขึ้น "เออ...หลังนี้แหละ"

วอร์มชี้นิ้วไปทางขวาซึ่งตรงกับบ้านหลังสุดท้ายของซอยตันนี้ เมื่อผมมองตามมือของเขาไปก็พบบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดใหญ่ที่มีหลังคาลอนคู่สีเข้มแตกต่างจากบ้านหลังอื่นในซอยเดียวกัน เริ่มทรุดโทรมและผืนหญ้าแข่งกันเติบโตจนเริ่มรกรุงรัง เสริมความน่าขนหัวลุกด้วยการไม่เปิดไฟเลยสักดวงเดียวทั้งภายนอกและภายในบ้าน

ระหว่างที่ผมกำลังจินตนาการถึงบ้านในภาพยนตร์สยองขวัญสักเรื่องที่เคยดู สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นบางอย่างซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่ชั้นสองของบ้าน

ผ้าม่านสีทึมที่ห้องชั้นบนขยับเล็กน้อย ใครบางคนที่อยู่ด้านหลังผืนผ้านั้นกำลังจ้องมองผมอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งๆ ที่ผมมองเห็นไม่ชัด แต่กลับรู้สึกได้ถึงความดุดันจากแววตาที่จ้องมา

เขาคงเป็นห่วงลูกชายละมั้ง ดูจากนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบสองทุ่ม

"แม่มึงเหรอ" ผมหันไปถามวอร์มที่กำลังจะลงจากรถ เขาไม่มีร่ม ผมก็ไม่มีเช่นกัน จึงต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยในการเตรียมตัวเพื่อวิ่งเข้าไปในบ้าน "กูต้องลงไปสวัสดีมั้ย..."

"ไม่ต้อง" เขาสวนคำขึ้นทันทีทั้งที่ผมยังพูดไม่จบประโยค มือของเขาจับแขนผมไว้แน่นจนเกือบเรียกว่าบีบ ก่อนจะคลายออกเมื่อรู้สึกตัวแล้วพูดต่อ "ฝนมันตกอะ ไว้วันหลังดีกว่า"

ผมพยักหน้าก่อนที่วอร์มจะเปิดประตูแล้วรีบวิ่งลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว

แต่ผ้าม่านผืนนั้นยังคงแง้มอยู่...

และเจ้าของบ้านยังคงจ้องผมอยู่

 

ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...

ผมปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเพียงชั่วอึดใจก่อนจะรีบวิ่งมากดรับ "ถึงแล้วเหรอ"

"อืม รออยู่ข้างล่าง" เสียงปลายสายอู้อี้เหมือนคนหายใจไม่ออก น่าจะเป็นผลมาจากการวิ่งตากฝนเข้าบ้านเมื่อคืนแน่ๆ

"เดี๋ยวกูลงไป"

ผมเดินลงมารับเขาที่ชั้นล่างของหอพัก ซึ่งมีม้านั่งหินพร้อมโต๊ะสองสามชุดตั้งอยู่เพื่อรับรองผู้มาเยือน...

และวอร์มก็นั่งอยู่ตรงนั้น

"วอร์ม" ผมเรียกชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่นั่งฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ไหล่ของเขา...

ตัวร้อนมาก!

ผมจึงเขย่าไหล่ของเขาเบาๆ อีกสองสามที เมื่อเขารู้สึกตัวจึงรีบพาขึ้นไปบนห้องพักโดยเร็ว

"มึงป่วยทำไมไม่บอกวะ" ผมเริ่มบ่นขณะไขกุญแจห้องพักเพื่อพาวอร์มเข้าไปด้านใน เมื่อเปิดประตูได้แล้วจึงประคองเขาเข้าไปนั่งพักบนเตียงของผม

"กูไม่เป็นไรมากหรอก"

"กินยารึยัง" ผมหันไปจ้องเขาที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียง ใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าเขาจะมีสติพอที่จะหันกลับมาตอบ

"กินแล้ว”

"กินไปตอนกี่โมง" ผมพูดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา

"อืม..." ท่าคิดของเขาดูเหม่อลอยมากๆ จนผมทนไม่ไหว

"มึงนอนเลย" ผมใช้มือหนึ่งดันร่างเล็กให้เอนลงนอน แต่เขาก็ยังใช้แรงที่พอมีเหลือจับแขนผมไว้แล้วฝืนลุกขึ้น

"แล้วเรื่องติว..."

"มึงพักก่อน เดี๋ยวหายแล้วค่อยลุกขึ้นมาติวกู" ผมพูดพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายของเขาจนเกือบมิด

หลังจากตกลงกันแล้ว วอร์มก็ทำตามที่ผมสั่งอย่างว่าง่าย ผมคิดว่าเขาเองคงอ่อนเพลียไม่น้อยจึงนอนหลับสนิทด้วยความรวดเร็ว ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมองเขาอยู่อย่างนั้น...

ก่อนจะนึกขึ้นได้...

ทั้งๆ ที่กินยาไปแล้ว แต่ไข้ยังไม่ลด ผมควรต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ปล่อยให้เขานอนอยู่แบบนี้

เปลี่ยนวิธีลดไข้ดีกว่า...

ผมเดินไปที่ห้องน้ำ เตรียมน้ำและผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ออกมาวางไว้ที่เก้าอี้ข้างเตียง ก่อนค่อยๆ เลิกผ้าห่มขึ้นจากร่างบาง บรรจงแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนหมด ตามด้วยการรูดซิปกางเกงยีนขายาวลงจนเห็นกางเกงบ๊อกเซอร์สีอ่อน

แค่นี้ก็ใจสั่นไปหมด...

น้ำลายอึกใหญ่ของผมถูกดันลงคออย่างยากลำบาก ไม่รู้จะหลบสายตาไปทางไหนในเมื่อร่างบางตรงหน้ากำลังจะถูกจัดการให้เปลือยเปล่า แค่ใบหน้าเนียนใสที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยพิษไข้ก็ยากจะหักห้ามใจอยู่แล้ว

“เอาวะ” ผมพูดขึ้นเพื่อปลุกใจตัวเอง ในเมื่อสำนึกด้านดีสั่งผมให้รีบเช็ดตัวคนไข้โดยเร็วก่อนที่เขาจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ ผมจึงเริ่มด้วยการสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วปล่อยออกมาแรงๆ ก่อนจะดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนั้นออกจากเจ้าของ โยนมันลงบนพื้น แล้วลากกางเกงยีนผ่านขาเรียวจนถึงปลายเท้า

แต่ภาพที่ผมเห็นตรงหน้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เลยสักนิด...

ผิวขาวเนียนถูกประทับด้วยร่องรอยหลากสี บ้างสีม่วงปนเขียวจากการถูกกระทบกระแทก รอยช้ำปรากฏขึ้นเป็นจ้ำทั้งบนต้นแขนและหน้าขาสลับกับแนวยาวสีแดงก่ำคล้ายห้อเลือดขนาดพอดีกับความกว้างของเข็มขัดนักศึกษาที่พาดผ่านหลายจุดทั่วร่าง ไม่นับรอยเล็บจิกลึกที่หน้าอก

"ใครทำมึงแบบนี้วะวอร์ม"

 

 

- - - Warm’s Part - - -

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น