2

บทที่ 2


(2)

 

- - - Koe’s Part - - -

ร่างเล็กบนเตียงเริ่มรู้สึกตัว สังเกตได้จากดวงตาที่ขยับไปมาภายใต้เปลือกตานั้น ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้น และใช่…ผมยังนั่งอยู่ข้างๆ เขา

"โก้" วอร์มดันตัวขึ้นทักทายผมก่อนจะเห็นสภาพเปลือยเปล่าที่มีเพียงผ้าห่มปิดกายของตนเอง เขาเงยหน้ามองผมด้วยแววตาตกใจปนสงสัย ผมจึงต้องทักทายเขาซะหน่อย

"ตื่นแล้วเหรอ"

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะแกล้งอะไรต่อ เขาก็คลายความตื่นเต้นลงเพราะหันไปเห็นขันใบเล็กที่มีผ้าขนหนูพาดอยู่

"มึงนี่...เรียนวิศวะเอกพยาบาลเหรอวะ"

"กวนตีนนะมึง" ผมเผลอหัวเราะทั้งที่ตั้งใจจะตีสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนเอื้อมมือไปดันหน้าผากของเขาเบาๆ "ไข้ลดแล้วนิ"

เขาหันมายิ้มให้ผมแทนคำขอบคุณ แต่ผมคงยังยิ้มตอบเขาไม่ได้

หากยังไม่ถามในสิ่งที่ค้างคาใจ...

"มึงไปโดนอะไรมาวะ" ผมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางจ้องเขานิ่งๆ เพื่อดูปฏิกิริยา

เขาเงียบ แต่ลูกกระเดือกที่ขยับเบาๆ จากการกลืนน้ำลายลงลำคอพร้อมสายตาหลบต่ำ ทำให้ผมอดที่จะถามต่อไม่ได้

"ใครทำมึง"

"ไม่มีอะไรหรอก อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ"

ผมหรี่ตามองเขาที่ยังคงเลี่ยงไม่สบสายตาก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หากเขาไม่ต้องการเล่า คาดคั้นไปก็คงไม่มีประโยชน์ อีกอย่าง...เราทั้งคู่ก็ยังไม่ได้สนิทกันขนาดที่เขาจะกล้าเล่าทุกเรื่องให้ผมฟังด้วย

"มา...กูทายาให้" ผมพูดขึ้นก่อนหันไปหยิบยาทาลดอาการบวมช้ำและยาทาแผลสดที่เตรียมไว้แล้วมาวางที่เตียง

"ฮะ!? ทะ...ทายา...?"

"อืม ทำไมอะ" ผมยังคงทำหน้านิ่งทั้งที่ใจจริงอยากจะหัวเราะกับท่าดึงผ้าห่มขึ้นปิดส่วนบนจนเหลือแค่ดวงตาใสของเขา

"กูทาเองก็ได้"

"มึงอายอะไร กูเห็นของมึงหมดตั้งแต่ตอนเช็ดตัวแล้ว" ผมไม่ฟังคำทัดทาน เลื่อนตัวลงนั่งบนเตียงด้านหลังของเขา ดึงผ้าห่มออกจากร่างบางแล้วค่อยๆ ทายาแก้ฟกช้ำลงบนต้นแขน เขาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะบางรอยยังเป็นรอยใหม่

ใบหน้าของคนไข้แดงก่ำลามไปจนถึงใบหู อย่าว่าแต่เขาเลยครับ บุรุษพยาบาลคนนี้ก็กัดริมฝีปากแน่นเช่นกันเมื่อรู้ตัวว่าจะเผลอยิ้มออกมา

เพราะภายใต้ร่องรอยบอบช้ำเหล่านี้คือผิวขาวละเอียด แถมร่างเล็กบางยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก หากแต่ตามต้นแขนและน่องขามีเพียงกล้ามเนื้อมัดบางๆ ดูสมส่วน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากสบู่แตะจมูกผมทุกครั้งที่ขยับตัวเข้าใกล้

"กี่โมงแล้ววะ"

"สามโมงกว่าแล้ว"

สิ้นคำตอบของผม วอร์มสะดุ้งตัวโยน พลางหันไปมาด้วยดวงตาเบิกโพลง "มือถือกูอยู่ไหนวะ"

ท่าทางร้อนรนทำให้ผมตื่นเต้นไปด้วย จึงรีบเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาให้เขาพร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ในช่วงที่เขากำลังนอนหลับอยู่ให้ฟัง "เออ ตะกี้แม่มึงโทร.มา แต่กูบอกให้แล้วว่ามึงไม่สบาย"

วอร์มมองหน้าผม ท่าทางตกใจกว่าเดิมมาก "คุณปัดเนี่ยนะ"

"อืม"

"แล้วเค้าว่ายังไง"

"ก็ไม่ได้ว่าอะไร กูบอกว่า เดี๋ยวมึงตื่นแล้วกูจะไปส่งให้"

เขาพยักหน้าช้าๆ อย่างเบาใจ ก่อนจะหันกลับมาทางผมอีกครั้งเพื่อถามต่อ "เออ...แล้วมึงรู้ได้ไง ว่าคุณปัดเป็น..."

"แม่มึงอะเหรอ กูก็ถามเค้าดิ" ผมตอบคำถามตรงๆ ในเมื่อหน้าจอโทรศัพท์ระบุชื่อว่าสายโทร.เข้า ‘คุณปัด’ มันก็มีโอกาสเป็นได้ทั้งผู้ใหญ่ที่วอร์มเคารพ คนรู้จักซึ่งอาจไม่สนิทกันมาก หรือแม้กระทั่งแฟนสาวของเขา ซึ่งข้อนั้นแหละที่ผมกลัว

แต่คำตอบที่ได้จากปลายสายมันประหลาดเกินกว่าที่ผมคิดไว้มาก

คนอะไรเรียกแม่ว่าคุณ...

"เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ" อยู่ดีๆ ร่างบางก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียง ก่อนใช้มือหนึ่งเอื้อมไปหยิบเสื้อผ้าของตนเองที่ถูกพาดไว้บนพนักเก้าอี้ ขณะที่อีกมือยังคงประคองผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ไม่ให้เลื่อนหลุด

"อ่าวเฮ้ย!" ผมมองเขาแล้วร้องขึ้น "จะรีบไปไหนวะ"

"โทษทีว่ะ คุณปัดโทร.มาไม่รู้มีเรื่องอะไรรึเปล่า"

"แล้วเรื่องติว..."

"เดี๋ยวพรุ่งนี้กูมาติวให้ใหม่นะ" เขายิ้มแหยๆ ให้ผมอย่างรู้สึกผิดขณะกำลังสวมเสื้อแบบเก้ๆ กังๆ เพราะกลัวจะโป๊ ผมจึงหันหน้าไปอีกทาง ก่อนหยิบกุญแจรถไว้ในมือแล้วพูดขึ้น

"งั้นกูไปส่งนะ"

 

หลังจากผมขับรถไปส่งวอร์มที่บ้าน เขาก็กลับมาติวให้ผมตามสัญญาในวันรุ่งขึ้น เขาสอนผมในเรื่องการแบ่งส่วนของตลาด การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และการวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ เอาเป็นว่าถ้าใครเรียนการตลาดมาก็คงรู้ดี ที่ผมบอกเขาว่าผมไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมไม่เข้าใจกว่าเดิมซะอีก ก็ดูอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าผมสิครับ ผู้ชายบ้าบออะไรกันจะน่ามันเขี้ยวขนาดนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งอยากใช้นิ้วจิ้มแก้มใสนั่นเบาๆ ปลายจมูกแหลมๆ ก็น่าขบเล่น ยิ่งริมฝีปากนั่น…อย่าให้มีโอกาสเชียวละ ผมจะจัดการให้ห้อยกว่าเดิมอีก นี่ยังไม่นับดวงตาของเขานะ

ผมชอบที่สุด...ก็เวลาเห็นตัวเองในแววตาของเขานี่แหละ

"เฮ้ย!" ผมโดนอาจารย์กระทุ้งศอกใส่หน้าอกเต็มแรง "ตั้งใจเรียนหน่อยสิวะ อุตส่าห์มาติวให้เนี่ย"

"โทษๆ" ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนเขี่ยหนังสือเข้าหาเขา "อ้ะ ต่อๆ"

แล้วเขาก็สอนต่อไป ส่วนผมก็นั่งมองหน้าเขาต่อไป...

ผมโดนด่าอีกหลายครั้งครับ ทั้งเรื่องไม่ตั้งใจเรียน และเรื่องความโง่ของผมที่สอนกี่ครั้งก็ไม่เข้าใจ ผมว่าเขาคงเริ่มระอาผมแล้วละ ก็เลยชวนเขาลงไปหาอาหารกินเล่นด้วยกัน ระหว่างนั่งพักผ่อนก่อนจะเริ่มติวต่อ เราจึงได้พูดคุยกันบ้าง

"มึงไม่มีแฟนจริงๆ เหรอ" เขาถามผมด้วยสีหน้าไม่เชื่อถืออย่างรุนแรง

"กูจะหลอกทำไมวะ"

"แล้วทำไมเลิกกับคนเดิมอะ"

"ก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องอะ ผู้หญิงก็เงี้ยแหละ กูกะว่าจะเปลี่ยนไปคบผู้ชายแล้ว"

พูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนตรงหน้า เขาคงคิดว่าผมพูดเล่นละมั้ง

"แล้วมีคนที่คุยๆ อยู่ปะ"

"ตอนนี้ไม่มีแล้ว มีแต่ไปชอบเค้า"

"ใครวะ" เขาหน้าหันมาทางผมเพื่อรอฟังคำตอบ จึงได้เห็นว่าผมเองก็จ้องเขาอยู่เช่นกัน

ผมรู้ดีว่าสายตาของตัวเองในเวลานี้ไม่ใช่สายตาของเพื่อนคนหนึ่งอีกต่อไป และดูเหมือนว่าเขาเองก็รับรู้ได้เช่นกันจากสีหน้าที่กำลังเปลี่ยนแปลง รอยยิ้มสดใสค่อยๆ หุบลง แต่แทนที่ด้วยแววตาไววับทำให้ผมเชื่อว่าเขาคงรู้สึกหวั่นไหวไม่น้อย ซึ่งผมตั้งใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่หลงกลอยู่ดี

"เห็นพี่มุกบอกว่าจะมีงานดนตรีที่ลานกิจกรรมเหรอ"

เมื่อเขาเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว ผมก็คงต้องคล้อยตาม "อืม มึงมาดูปะ"

"ยังไม่รู้เลยว่ะ เห็นพี่มุกบอกงานเริ่มเย็นๆ กูคงต้องกลับบ้านก่อน"

“เหรอ...” ผมลากเสียงยาวๆ ตอบรับประโยคของคู่สนทนา ทั้งที่ในใจนึกไปถึงงานวันนั้นแล้ว “เสียดายจัง”

“ทำไมอะ มึงเล่นด้วยเหรอ” เสียงถามอย่างสนใจดังขึ้น เพราะปกติ ผมไม่ใช่มือกีตาร์หลักของวงพียูแบนด์อยู่แล้ว ยิ่งเป็นงานที่ต้องไปเล่นตามคณะต่างๆ ซึ่งมักใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น ผมยิ่งหมดสิทธิ์

“ถ้ามึงมา กูเล่นเลย ร้องด้วย”

พูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะของคู่สนทนา “เว่อร์อะมึง”

“ไม่เว่อร์” ผมแกล้งย้ำหนักแน่นทั้งที่ยังหยุดยิ้มยียวนไม่ได้ “มึงมานะ เดี๋ยวร้องเพลงให้ฟัง”

สิ้นประโยคเชิญชวน วอร์มค่อยๆ หยุดเสียงหัวเราะเพื่อครุ่นคิด แต่ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนยิ้ม

จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้มีรายชื่อในงานครั้งนี้หรอกนะ และเมื่อครู่ผมก็แค่พูดเล่นเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินคำตอบจากคู่สนทนา ซึ่งแม้จะไม่ใช่ประโยคที่ตรงใจนัก แต่ก็ปลุกให้ผมเริ่มใช้ความคิดทันที...

ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

“จะพยายามนะ”

 

หลังจากวันนั้นจนถึงวันสอบย่อยเพื่อเก็บคะแนน ผมยังคงได้รับความกรุณาในด้านการศึกษาจากอาจารย์วอร์มอย่างต่อเนื่อง ถึงเวลาเรียนและเวลาพักของเราจะไม่ค่อยตรงกัน แต่เราก็ยังคงเจอกันได้ในเวลาเที่ยง กินอาหารกลางวันกันไป ติวกันไป ก็ทำให้ผมมีความสุขไม่น้อย

แน่นอนว่าความสุขของผมไม่ได้มาจากการมีความรู้เรื่องการตลาดเพิ่มขึ้นหรอกนะ

จนกระทั่งวันนี้ วันที่อาจารย์ตรวจข้อสอบของนักศึกษาจนเสร็จสิ้นและนำผลมาประกาศในคาบเรียน

"ตายห่า!" เสียงอุทานดังขึ้นจากคนข้างตัวเมื่อเห็นผลคะแนนสอบย่อยของผม

สี่เต็มสิบ

"มึงได้เท่าไหร่วะ" ผมชะโงกหน้ามองโต๊ะเล็คเชอร์ของวอร์มซึ่งมีกระดาษคำตอบที่โชว์ผลคะแนนวางอยู่

แปดเต็มสิบ

"นี่แสดงว่ามึงไม่เข้าใจที่กูสอนเลยใช่มั้ยเนี่ย" วอร์มนิ่วหน้า ท่าทางเป็นกังวลยิ่งกว่าเจ้าของคะแนนอีก

"ตอนมึงสอนกูก็เข้าใจ แต่พอมาทำเองมันก็ไม่ค่อยได้อะ" ผมยิ้มแหยๆ ใส่อาจารย์ที่ดูเป็นห่วงผมมาก ก่อนที่นาฬิกาจะบอกเวลาเที่ยง นั่นหมายถึงหมดเวลาเรียนวิชานี้แล้ว ผมจึงได้โอกาสชักชวนเขาไปกินอาหารกลางวัน แล้วกลับมาคุยเรื่องรายงานต่อที่หอพักของผม

"กูว่าต้องไม่มีใครได้ต่ำกว่ามึงแล้วแน่ๆ เลย" วอร์มยังคงบ่นเรื่องคะแนน

"ให้กำลังใจกูมาก" ผมลากเสียงยาวอย่างประชดแล้วหัวเราะ เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้สนใจคะแนนที่ออกมาเท่าไหร่นักหรอก เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของผมไม่ใช่การหาความรู้เรื่องการตลาดซะหน่อย จนกระทั่งมาเห็นสีหน้าบั่นทอนกำลังใจของวอร์มนี่แหละ

เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น "ถอนมั้ย"

"ถ้ากูถอนแล้วมึงจะทำงานคู่กับใคร"

"กูทำคนเดียวก็ได้ ดีกว่าให้มึงติด F อะ"

"F เลยเหรอ" โอเค…ผมเริ่มเครียดแล้ว ถึงผมจะไม่ใช่คนเรียนดีอยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่ถ้าติด F ก็เท่ากับว่าผมต้องมาเรียนวิชานี้ใหม่ ซึ่งตอนนั้นวอร์มคงสอบผ่านไปแล้ว งั้นผมก็คงต้องเรียนคนเดียวสินะ "ไม่น่าจะขนาดนั้นมั้ง"

คงเพราะเห็นหน้าเหยเกของผมละมั้ง รอยยิ้มจึงเริ่มปรากฏบนปากบาง ก่อนที่เขาพูดขึ้นระหว่างค้นชีทเรียนในแฟ้มพลาสติกใบใหญ่ "เดี๋ยวมึงเอาที่กูจดไปอ่านก่อนแล้วกัน เสร็จแล้วค่อยมาคืน เผื่อจะเข้าใจขึ้นบ้าง"

"ขอบใจ"

"ทำไมมึงถึงมาลงเรียนวิชานี้วะ" วอร์มถามผมโดยที่สายตายังคงจดจ้องชีทเรียนปึกหนา เขาคงอยากรู้จริงๆ ในเมื่อผมไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เลย จากที่นั่งอยู่ด้วยกัน เขาเองก็คงรู้สึกได้ว่าความสนใจในบทเรียนของผมแทบไม่มี

"ก็มันเป็นวิชาเดียวในคณะมึงที่กูลงเรียนได้อะ"

เขายังคงถามต่อ ทว่าสีหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลง "แล้วมึงอยากลงเรียนวิชาในคณะกูทำไมวะ"

"ไม่งั้นเราจะได้รู้จักกันเหรอ"

เพียงชั่วอึดใจ เขาเงยหน้าขึ้นและจ้องมาที่ผมซึ่งกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน "มึงอยากรู้จักกูทำไม"

ผมคิดไว้อยู่แล้ว…ว่าต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เข้าสักวัน

แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป...

"มึงจำวันที่เราเจอกันในห้องซ้อมได้ปะ…

"กูชอบมึงตั้งแต่วันนั้นแหละ"

ผมเผยความในใจจนหมดสิ้น หวังว่าเขาคงจะเข้าใจและไม่รังเกียจในความรู้สึกของผม แววตาของเราทั้งคู่สอดประสานกันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แววหนึ่งคือความสับสน หวั่นไหว และเคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน ส่วนอีกแวว...

ผมค่อยๆ เลื่อนหน้าเข้าใกล้ใบหน้าเรียวขณะที่เขายังคงมองผม ทั้งที่ใจหนึ่งกลัวว่าเขาจะเบือนหน้าหนี ถ้าเป็นอย่างนั้น ความสัมพันธ์ที่เรามีคงจบลง เขาคงไม่มีแม้แต่ความเป็นเพื่อนให้ผมอีก แต่อีกใจกลับไม่ฟังเสียงค้านใดๆ ปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวต่อไปด้วยตัวมันเอง

ยิ่งใกล้ก็ยิ่งตื่นเต้น รู้สึกเลยว่าหัวใจของตัวเองเต้นระส่ำจนเกือบจะหลุดออกมา ตอนนี้ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ได้กลิ่นแม้กระทั่งหมากฝรั่งรสผลไม้ที่ยังคาอยู่ในปากของเขา และนั่นทำให้ลิ้นร้อนของผมพร้อมที่จะทำงาน

ขอชิมด้วยนะ...

...

... ...

... ... ...

กริ๊ง...

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะจนทำให้เราทั้งคู่ต้องผละออกจากกัน ก่อนที่วอร์มจะลุกขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อกดรับ

หน้าจอโทรศัพท์โชว์ชื่อที่วอร์มและผมคุ้นเคยดี

‘คุณปัด’

นั่นทำให้ผมรู้ทันทีว่าถึงเวลาที่ต้องขับรถไปส่งวอร์มที่บ้านแล้ว

 

ผมใช้ปลายเท้ากดเบรกเพื่อชะลอให้รถเคลื่อนตัวไปถึงหน้าบ้านของวอร์มพอดี ขณะที่วอร์มค่อยๆ ปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วพูดขึ้นเบาๆ

"ขอบใจนะ"

"กูมาส่งมึงทุกวันเลยได้มั้ย" ผมถามขึ้นด้วยเสียงเรียบ ทั้งที่ในใจตื่นเต้นแทบบ้า ไม่ใช่แค่คำตอบว่าได้หรือไม่ได้ แต่มันคือการทดสอบว่าเขารู้สึกยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

"มึงอยู่หออยู่แล้ว แล้วจะขับรถออกมาส่งกูอีกเนี่ยนะ"

"แต่กูอยากทำนะ" ผมพูดในสิ่งที่เขาปฏิเสธไม่ได้อีก หากเขามีเหตุผลคือเกรงใจ ผมก็มีความเต็มใจมาหักล้าง

และเมื่อผมหันไปสบสายตา ชายหนุ่มก็ไม่คัดค้านอีก เขายิ้มจนเห็นรอยบุ๋มเล็กๆ บนแก้มนิ่มก่อนลงจากรถ

ส่วนผมก็มองตามเขาไปตั้งแต่ปิดประตูรถจนกระทั่งเดินเข้าบ้าน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างบานเดิมที่เคยเห็นใครบางคนอย่างอดไม่ได้

นั่น! คุณปัด

เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม และจ้องมองผมด้วยสายตาแบบเดิม

ผมยอมรับว่ารู้สึกหวั่นใจไม่น้อย หากคิดว่าที่เขาแอบมองผมวันนั้นเพราะเป็นห่วงลูกชายที่กลับบ้านช้า แล้ววันนี้ล่ะ...

ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดินด้วยซ้ำ

เอาวะ...

ผมตัดสินใจลดกระจกรถลงแล้วยกมือพนมพร้อมก้มลงไหว้จากในรถเพื่อทักทาย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น คุณปัดยังคงจ้องผมเขม็ง ก่อนค่อยๆ ละมือออกจากผ้าม่านให้มันปิดลง ไม่แม้แต่จะยิ้มรับ หรือรับไหว้

น่าขนลุกเป็นบ้า...

ผมเห็นท่าทีของวอร์มเวลาพูดถึงคุณปัดก็พอจะเดาได้ว่าน่าสยดสยองแค่ไหน แต่กิริยาที่ทำเมื่อครู่มันก็เกินไปนะ เหมือนเธอไม่อยากให้ใครรู้จัก ทักทาย หรือแม้กระทั่งพบเห็นอย่างนั้นแหละ

ทั้งที่พยายามจะไม่คิด แต่ก็อดคิดไม่ได้…

ในเมื่อวอร์มอยู่กับแม่แค่สองคน ไม่มีแฟน หรือเพื่อนฝูงที่ไหน โอกาสที่เขาจะได้พบเจอใครก็น้อยเหลือเกิน

งั้นบาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างกายของเขา...

ฝีมือคุณใช่มั้ย...คุณปัด?

 

 

- - - Warm’s Part - - -

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น