3

บทที่ 3


- - - Koe’s Part - - -

"ขอเชิญน้องๆ นักศึกษาทุกคนมาฟังเพลงเพราะๆ จากพวกเราพียูแบนด์ พร้อมทั้งทำบุญบริจาคเงินร่วมกันได้ที่ลานกิจกรรม คณะนิเทศศาสตร์นะครับ สำหรับเงินบริจาคทั้งหมดวันนี้เราจะนำไปมอบให้กับบ้านเด็กกำพร้า..." หัวหน้าวงพียูแบนด์ประกาศออกไมโครโฟนด้วยรอยยิ้ม เชิญชวนให้นักศึกษาที่เดินผ่านไปมาร่วมบริจาคเงินให้แก่โครงการของวง ผมเองก็มีส่วนร่วมกับโครงการนี้เหมือนกันนะ...

ก็ถือกล่องบริจาคอยู่นี่ไง

ตึก...

เสียงตบกล่องบริจาคเบาๆ เพื่อไล่ธนบัตรลงไปด้านในปลุกผมจากอาการเหม่อลอย เมื่อได้สติและเงยหน้าขึ้นจึงพบกับคนที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี

"วอร์ม" ผมทักทายชายหนุ่มตรงหน้าที่ยิ้มอ่อนให้ผม

หลังจากผมบอกความจริงกับเขาวันนั้น เราก็ไม่ได้เจอกันเลยอีกจนกระทั่งวันนี้ ผมรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธผม แต่ที่หายหน้าไปคงเพราะยังทำตัวไม่ถูกเวลาเจอกันมากกว่า...

ซึ่งผมเข้าใจ จึงยินดีให้ทั้งเวลาและระยะห่าง

"มารอฟังนะเนี่ย"

"ฟัง’ไรเหรอ"

"ก็เห็นบอกว่าถ้ามาจะร้องเพลงให้ฟังไม่ใช่เหรอ"

เออว่ะ...พอมีเรื่องนั้นเข้ามาขัด ผมก็ลืมเรื่องที่เคยพูดไว้ซะสนิท แน่นอนว่าสีหน้าผมคงแสดงออกชัด เขาจึงหัวเราะและพูดขึ้น

"เฮ้ย! พูดเล่น เดี๋ยวไปแล้ว"

"ไปไหนวะ"

"กลับบ้านดิ เนี่ย..." วอร์มตอบก่อนชูนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา "ห้าโมงกว่าแล้ว"

"ไม่รอฟังพี่มุกเหรอ"

"ก็อยากรอนะ แต่นี่ยังเซตเครื่องดนตรีกันไม่เสร็จเลยรึเปล่า" เขาพูดแล้วชี้ไปที่ลานกว้างใต้ร่มไม้ซึ่งตอนนี้มีเพียงไมค์ที่เสียบบนขาตั้งเท่านั้น

ผมซึ่งมองตามสายตาของเขาไปยังลานนั้นได้แต่พยักหน้า และปล่อยให้ชายหนุ่มยิ้มให้ผมเพื่อร่ำลา

"กูไปนะ"

ผมมองตามวอร์มที่ค่อยๆ เดินสวนฝูงชนออกไปด้วยใจหาย ยอมรับว่าใจหนึ่งก็ดีใจไม่น้อยที่เขายังเป็นคนเดิม แต่อีกใจก็นึกถึงคำที่เคยพูด...

วี้ดดด...

เสียงไมค์หอนหวีดเมื่อผมใช้มือหนึ่งเคาะเบาๆ อีกมือก็เลื่อนข้อต่อของขาไมค์เล็กน้อยให้พอดีกับความสูง

"ขอโทษนะครับ" ผมพูดใส่ไมค์ เสียงดังพอให้ทุกคนหันมามอง...

รวมถึงวอร์ม

"ก่อนที่พียูแบนด์จะขึ้นเวที ผมขอคั่นเวลาซักนิดนึงนะครับ พอดีผมสัญญากับคนคนนึงไว้ว่าจะร้องเพลงให้เค้าฟัง..."

คนที่ยืนอยู่รอบๆ ลานเริ่มให้ความสนใจ บางคนเริ่มขยับเข้ามาใกล้ๆ บางคนเริ่มจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน แน่นอนว่ามันทำให้ผมตื่นเต้นจนมือที่เอื้อมไปหยิบกีตาร์โปร่งซึ่งตั้งพาดไว้กับขาเก้าอี้สั่นไปหมด

"งั้นผมขอร้องเพลงซักเพลงนะครับ"

เสียงปรบมือดังขึ้นจากคนดูรอบข้าง ถึงจะไม่ดังเท่าเสียงหัวใจของผม แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้ ผมคงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ ให้กับทุกคนแล้วเริ่มร้องเพลงที่ตรงกับความรู้สึกในใจ

รอฟังคำนั้น…

 

“ในแววตาที่เธอมองดู

มีความจริงอะไรฉันเองก็รู้

รู้ว่ามันลึกซึ้งและมีค่า

แต่ว่ามีบางคำที่เธอลืมไป

ทำให้ภายในใจฉันมีปัญหา

ก็ไม่แน่ใจ เก็บไว้ข้างในตลอดมา

รอฟังคำนั้นอยู่ รู้หรือเปล่า

หากเพียงได้ยิน คงบินได้ถึงดวงดาว

จะให้ฉันโชคดีอย่างนั้นได้หรือไม่

ให้ฉันรู้สักครั้ง คำที่ยังเก็บมันไว้ ข้างใน

บอกได้ไหม

แค่เพียงเบาๆ ว่ารักกัน

เท่านั้นฉันคงสุขหัวใจ”

 

เสียงเตือนแอ๊พพลิเคชั่นไลน์ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของผม มือจึงหยิบออกมาดู

'เพลงเพราะดีนะ'

ผมหัวเราะเบาๆ กับข้อความของพี่มุก รู้ว่ามันไม่ใช่คำชมหรอก แต่เป็นคำประชดต่างหาก ซึ่งผมก็ยอมรับผิดแต่โดยดีที่ขึ้นไปร้องเพลงโดยพลการแบบนั้น

'ฝากพี่มุกขอโทษทุกคนด้วยนะ'

'ย่ะ' พี่มุกตอบกลับมาทันทีพร้อมสติกเกอร์กระต่ายเบะปาก

'เดี๋ยวผมเข้าไปขอโทษเองอีกที'

'นี่เอาจริงเหรอวะ'

ผมเห็นข้อความแล้วพิมพ์ตอบกลับไปทันที 'จริงสิ ทำขนาดนี้แล้ว'

'เค้าฮือฮากันใหญ่' คู่สนทนาพูดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ คนฟังที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างตื่นเต้นและเริ่มพูดคุยกันว่าใครคือคนที่ผมพูดถึงและร้องเพลงให้

แน่นอนว่าหลายคนคงสังเกตได้ เพราะตลอดทั้งเพลงนั้น…

สายตาของผมหยุดอยู่ที่เดียว

แต่ผมไม่กลัวหรอกนะ ว่าใครจะพูดถึงผมในด้านไหน จะแซว หยอกล้อ มองเหยียด หรือรังเกี

'เป็นห่วงวอร์มอะ ไม่รู้จะนอยด์รึเปล่า'

'ก็ทำอะไรไม่คิดอะนะ' คู่สนทนายังคงซ้ำเติม ผมจึงได้แต่ใช้นิ้วเขี่ยหน้าจอไปมาเพื่อเลือกหาสติ๊กเกอร์แสดงอารมณ์ แต่ก่อนที่ผมจะพิมพ์อะไรต่อ เสียงเข้มจากด้านหลังก็ดังขึ้นพร้อมมือหนาที่ตบลงบนไหล่ของผมอย่างแรง

"เฮ้ย! โก้"

ผมหันไปมองอย่างไม่ตกใจนัก เพราะจำเสียงของเพื่อนสนิทได้อย่างดี "ไอ้เหี้ยเจ๋ง"

"ไงมึง เดี๋ยวนี้หนุ่มเพลย์บอยเพื่อนกูเลิกชอบผู้หญิงแล้วเหรอ"

ผมถอนหายใจ ฟังแล้วยิ่งเป็นห่วงวอร์ม "มึงเห็นด้วยเหรอ"

"เออสิ เนี่ย คนแม่งพูดถึงกันทั้งลาน"

"แล้วไง มึงก็เลยจะมาตัดกูออกจากทีมเหรอ" ผมกำลังพูดถึงกีฬาฟุตบอลที่เราอยู่ทีมเดียวกันครับ ผม เจ๋ง และเพื่อนอีกหลายคนจับกลุ่มเล่นฟุตบอลด้วยกันเป็นประจำตั้งแต่ปีหนึ่ง ทั้งเล่นเพื่อออกกำลังกายและเล่นแบบจริงจังเพื่อแข่งขันกับทีมอื่น นั่นทำให้เราสนิทกันมาตลอด

"มึงจะเป็นเกย์เป็นตุ๊ดอะไรกูรับได้นะเว้ย! แต่มึงเช็กคนของมึงให้ดีก่อนมั้ย"

"หมายความว่าไง" ผมนิ่วหน้า รู้ดีว่าเจ๋งหมายถึงวอร์ม

"มึงเคยไปบ้านมันมั้ย บ้านที่หลังคาสีดำอะ แล้วเคยเจอแม่มันรึยัง"

ผมเงียบ ทำไมเจ๋งถึงรู้ว่าหลังคาบ้านของวอร์มเป็นสีดำ เขารู้จักกันมาก่อนเหรอ

แต่เจ๋งยังคงพูดต่อด้วยสีหน้าท้าทาย ราวกับมั่นใจในข้อมูลของตัวเองมาก “กูเคยเรียนที่เดียวกับมัน มึงรู้รึเปล่า บ้านหลังนั้นน่ะ เค้าลือกันว่าคนแปลกหน้าเข้าไปแล้วจะไม่ได้ออกมา"

ก่อนจะทิ้งรอยยิ้มมุมปากให้ผมพร้อมกับประโยคสุดท้าย

“ที่กูพูดเนี่ย เพราะกูเป็นห่วงนะ...

“กูว่าบ้านนั้นไม่ปกติว่ะ"

 

แน่นอนว่าผมยังคงคิดเรื่องที่เจ๋งพูดอยู่จนถึงวันนี้ วันที่ผมกับวอร์มนัดกันทำรายงานที่หอของผม แต่ผมไม่กล้าถามเขาเรื่องคุณปัดหรอกนะ เพราะที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยได้รับคำตอบเลยสักครั้งทั้งที่เป็นคำถามธรรมดา แล้วยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่เจ๋งกล่าวหา...

เรื่องความไม่ปกติของคุณปัด...

ถึงเป็นเรื่องจริง เขาก็คงไม่อยากเล่าให้ใครฟัง ถ้าผมไปถามเซ้าซี้ เราอาจจะมองหน้ากันไม่ติดอีกเลยก็ได้

"มีอะไรรึเปล่า" วอร์มถามขึ้นเบาๆ

"เปล่า" ผมสลัดเรื่องนั้นออกจากหัวแล้วหันมาคุยกับวอร์มอย่างจริงจัง "กูขอโทษนะ เรื่องวันนั้นอะ ทำให้มึงซวยไปด้วยเลย"

"ไม่เป็นไรหรอก"

"มึงโดนล้อรึเปล่าวะ"

"ไม่นะ แต่ก็มีคนมองๆ" เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ดูไม่เครียดกับกระแสสังคมเหมือนที่ผมคิดไว้ตอนแรก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเท่าไหร่นัก

"กูโคตรรู้สึกผิดเลย..."

ผมบ่นอะไรอีกมากมายตามที่ใจคิด จนเริ่มรู้สึกได้ว่าสายตาที่กำลังจ้องมาไม่ได้สนใจในคำพูดยืดยาวของผมอีกต่อไป ผมจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อรอฟังประโยคที่จะออกมาจากเขา

"มึงชอบกูจริงๆ เหรอ”

ในเมื่อวอร์มกล้าถาม ผมก็ยินดีตอบโดยไม่ปล่อยให้เขาต้องเสียเวลารอ “อืม...กูชอบมึงจริงๆ”

ผมยังคงยืนยันความรู้สึกที่มีถึงชายหนุ่มตรงหน้าจะหลบสายตาลงพร้อมกับคิ้วเรียวที่ขมวดปมครุ่นคิด เขาอาจจะกลัวผม แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองเสมอ...

และจะยอมรับผลจากการกระทำของตัวเองเสมอด้วยเช่นกัน

“กูเข้าใจ โดนจู่โจมขนาดนี้มึงก็คงกลัวใช่มั้ย แต่มึงไม่ต้องคิดมากหรอกนะ กูสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้มึงลำบากใจอีก แต่...ถึงมึงจะไม่ได้คิดกับกูแบบนั้น เราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่มั้ยว...”

...

... ...

... ... ...

ประโยคสุดท้ายของผมหยุดลงกะทันหันด้วยเรียวปากนิ่มที่กดประทับลงบนริมฝีปากของผม ทำให้ผมแทบหยุดหายใจตรงนั้น

มันนุ่มนวล แต่เร่าร้อน...

มันยาวนาน แต่ยังนานไม่พอสำหรับผม...

มือหนึ่งจึงดันท้ายทอยของเขาเบาๆ เพื่อล็อกไม่ให้ขยับหนีได้อีก อีกมือทาบบนแผ่นหลังบางคอยประคอง ก่อนจะดูดดึงริมฝีปากของเขาอย่างเชื่องช้าแต่รุนแรง นั่นคงทำให้เขาตกใจจึงเผลอเผยอปากออกพอให้ลิ้นอุ่นของผมสอดลึกเข้าไปโดยง่าย มันทำหน้าที่ของมันอย่างชำนาญ ทั้งตวัดเกี่ยวและไล้ลิ้นเรียวของฝ่ายตรงข้าม

“อื้อ” เขาครางอู้อี้ในลำคอเหมือนเริ่มหายใจไม่ทัน ผมจึงปล่อยริมฝีปากของเขาแล้วเริ่มพรมรอยจูบที่แก้มนิ่ม มันนิ่มมากจนผมเกือบฝังปากตัวเองลงไปในลักยิ้มของเขา ต่อที่ติ่งหูขาวซึ่งตอนนี้ขึ้นสีแดงเป็นที่เรียบร้อย มันน่ามันเขี้ยวจนผมเผลองับเบาๆ

“อ๊ะ!” ร่างบางสะดุ้งพลางถอยหลัง มือบางเริ่มดันหน้าอกของผมเบาๆ อย่างตื่นกลัว แต่ผมไม่ปล่อยให้ลูกแมวน้อยหนีไปได้หรอกนะ จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ซอกคอขาวเนียน สูดหายใจเข้าเต็มปอดอย่างหื่นกระหาย ริมฝีปากยังคงกดรอยจูบลงอย่างต่อเนื่อง...

และนั่นทำให้ผมรู้ว่า ซอกคอนี่แหละ จุดอ่อนของวอร์มเลย

มือเล็กๆ ของเขาเริ่มเปลี่ยนตำแหน่งจากดันหน้าอกมาเป็นโอบรัดผมอย่างลืมตัว เสียงครางของเขาเริ่มดังขึ้นรวมทั้งเสียงลมหายใจถี่รัว ปล่อยให้ยืนอยู่นานกว่านี้เขาคงไม่ไหวแน่ ผมจึงค่อยๆ ดันร่างบางลงบนเตียงแล้วเปลี่ยนท่าเป็นขึ้นคร่อมเขาแทน

ผมยอมรับว่าค่อนข้างชำนาญ ถึงจะไม่ใช่กับผู้ชายด้วยกันเองก็เถอะ พิสูจน์ได้จากเวลานี้ ขณะที่ผมยังคงซุกไซ้อยู่ที่ซอกคอหอมๆ มือทั้งสองของผมก็จัดการกับเสื้อผ้าของวอร์มโดยอัตโนมัติ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ร่างของเขาก็เปลือยเปล่าซะแล้ว

เสื้อผ้าของผมจึงถูกโยนลงไปข้างเตียงด้วยเช่นกัน

รอยจูบของผมประทับลงทั่วร่างบาง ตั้งใจจะอ่อนโยนอย่างที่สุด เพราะไม่อยากเป็นอีกคนที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่เขา แค่ร่องรอยบอบช้ำที่คุณปัดสร้างไว้ก็เกินจะรับได้แล้ว...

จนถึงกึ่งกลางลำตัว

ผมกัดกรามแน่นเมื่อต้องสร้างอารมณ์ให้คนที่นอนอยู่ตรงหน้าขณะที่ต้องอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ทะลักก่อนเวลาอันควร ทั้งมือและปากทำงานร่วมกันเพื่อปลุกความรู้สึกและเตรียมร่างกายของเขาให้พร้อมสำหรับ 'ครั้งแรก' ที่กำลังจะมาถึง

ร่างบางบิดเร่าอย่างเสียวซ่าน พยายามดึงไหล่ของผมขึ้นไหวๆ ทั้งที่มือไม้สั่นไปหมด

"ไม่...ไม่ไหวแล้ว"

ผมเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงที่ครางกระเส่าจนฟังแทบไม่รู้ภาษา ก่อนเลื่อนตัวขึ้นมาระหว่างขาเรียว ค่อยๆ แยกมันออกจนกว้างพอ แล้วส่งนิ้วพร้อมเจลใสเข้าไปสำรวจเส้นทางอ่อนนุ่ม

ร่างบางหดเกร็งพลางกัดริมฝีปากระบายความเจ็บ ภายในถูกสมองสั่งการให้ตอดรัดนิ้วผมแน่นจนแทบขยับต่อไปไม่ได้ ผมกลับขึ้นไปบดบี้ปากบางอีกครั้งด้วยปากของผม ก่อนจะขบเม้มปากล่างของเขาเบาๆ เหมือนหยอกล้อเพื่อให้เขาผ่อนคลายลงซึ่งได้ผลดี นิ้วที่สองจึงค่อยๆ ตามเข้าไป

เมื่อสองนิ้วช่วยขยายช่องทางสีหวานได้พอประมาณ มันจึงถึงเวลาของผมแล้วที่จะเข้าไปต่อ

แน่นอนว่าร่างบางสะดุ้งเฮือก ความเจ็บปวดของเขาถูกแสดงออกผ่านทางสีหน้าชัดเจนทั้งที่เพิ่งเข้าไปได้แค่ส่วนหัว ผมใช้ทั้งปากและมือเพื่อโลมเล้า ก่อนจะแทรกกายเข้าไปอีกจนสุดลำ

"อ๊ะ!...อื้อออ" เสียงหวีดดังจนผมต้องหยุดเคลื่อนไหว กรงเล็บเล็กจิกไหล่ผมแน่นจนเริ่มขึ้นรอยแดง แต่นั่นคงยังไม่เท่ากับที่เขารู้สึก ดูได้จากใบหน้าเหยเกและน้ำตาเม็ดโตของเขาที่หยดลงบนหมอน

ไม่อยากทำให้ต้องเจ็บตัวขนาดนี้เลย แต่ในเมื่ออารมณ์พุ่งปะทุขึ้นมาแล้วก็ยากที่จะหยุดอยู่

"กูรักมึงนะวอร์ม" เสียงแหบพร่าของผมดังขึ้นที่ข้างหูคนฟัง พร้อมหอมที่แก้มนิ่มอีกฟอดใหญ่ จริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่แก้ม แต่ก้นขาวๆ ของเขาก็นิ่มมากไม่แพ้กัน มือของผมจึงเข้านวดคลึงเพื่อลดความแน่นจากช่องทางที่ผมกำลังสำรวจ ก่อนค่อยๆ ขยับออกจากร่างบางช้าๆ แล้วดันกลับเข้าไปใหม่อย่างนุ่มนวล ผมทำแบบนั้นอีกหลายครั้งจนนิ้วที่กดจิกบนตัวผมเริ่มผ่อนลง ผมจึงเร่งจังหวะขึ้นทีละน้อย

ภายในห้องตอนนี้มีแต่เสียงลมหายใจถี่รัวสอดประสานกับเสียงกระแทกของผมกับร่างบาง ปะปนด้วยเสียงครางที่เล็ดลอดออกจากปากเรียวซึ่งเม้มแน่นกดกลั้นความรู้สึก ผมเร่งจังหวะกระชั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนร่างบางโยกไปตามแรง

มือทั้งสองจับข้อมือเล็กที่พาดไหล่ผมออกแล้วกดขึงบนผืนเตียงนิ่ม ก่อนโน้มตัวลงกดจูบเขาอีกครั้งโดยลืมไปว่าท่านี้ยิ่งดันให้แก่นกายของผมเข้าไปลึกกว่าเดิม วอร์มจึงสะบัดหน้าพร้อมส่งเสียงครางดังลั่น ผมได้แต่พรมจูบเบาๆ แต่ในใจยังอยากแกล้งแมวน้อยน่ามันเขี้ยวนี้อีก จึงค่อยๆ ถอนออกช้าๆ และกระแทกกลับไปที่จุดเดิมเต็มแรง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่แบบนั้นจนวอร์มที่หมดเรี่ยวแรงอยู่แล้วยิ่งอ่อนปวกเปียก แต่ก่อนที่ผมจะผ่อนแรงลง...

"โก้..."

ใครจะเก็บกักอารมณ์ไว้ได้อีกล่ะครับ ถ้าคนใต้ร่างครางเป็นชื่อผม แล้วมองผมด้วยดวงตาฉ่ำปรือแบบนี้...

จังหวะร้อนจึงถูกเร่งขึ้นอีกครั้ง

ผมรู้นะว่ามันรุนแรงเกินไปสำหรับครั้งแรกของคนตัวเล็ก แต่ผมต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ ที่ชอบเห็นวอร์มร้องครางเหมือนจะขาดใจแบบนี้ ร่างบางสั่นระริก ปลายเท้าและนิ้วเรียวจิกเกร็ง มันยิ่งทำให้ผมไม่รีรอที่จะทำให้วอร์มเสร็จไปพร้อมๆ กับผม

ซึ่งผมรู้ว่ามันใกล้ถึงปลายทางมากแล้ว...

...

... ...

... ... ...

ในที่สุด...

ผมทรุดตัวทับลงบนร่างบางทันทีที่มันสิ้นสุด รู้สึกได้ถึงหน้าอกนิ่มๆ ที่กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน และสติของผมก็ค่อยๆ เลือนรางไป...

 

ผมลุกพรวดพราดขึ้นทันทีที่รู้สึกตัว พลางกวาดสายตาไปรอบๆ

หลับไปตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย...

ความทรงจำสุดท้ายของผมคือตอนที่...

ตอนนั้นแหละครับ

ผมผละออกจากร่างบางที่ตัวเองทับอยู่ เปลี่ยนมานอนข้างๆ เขาที่หอบหนักแทน ก่อนเอื้อมมือไปปาดหยดเหงื่อบนหน้าผากของแมวน้อย แล้วดึงเขาเข้ามาแนบอก

ทั้งๆ ที่เหงื่อท่วมตัวกันทั้งคู่นี่แหละครับ

ถึงวอร์มจะพยายามดันตัวเองออกจากวงแขนผมพร้อมบ่นเหม็นแต่ผมก็ไม่สนใจ ทำหูทวนลมและกอดให้แน่นขึ้น แถมกดจูบบนปากบางที่เริ่มแดงและบวมห้อยด้วยฝีมือของผมเองอีกหนึ่งที ก่อนที่ผมจะเผลอหลับไป

แต่ทำไมพอตื่นมากลับไม่มีร่างบางในอ้อมกอดเหมือนเดิม เขาหายไปไหน

ผมปัดผ้าห่มออกพ้นตัวแล้วลุกขึ้นจากเตียงนุ่ม หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเตรียมกดหาเบอร์ของวอร์ม แต่กลับพบโทรศัพท์ของเขาวางอยู่ข้างๆ

ผมมองหน้าจอที่บอกเวลาห้าโมงกว่าก็พอรู้แล้วล่ะว่าจะคืนโทรศัพท์แก่เขาได้ที่ไหน

คงมีที่เดียวเท่านั้นล่ะครับ...

บ้านหลังคาสีดำ!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น