4

บทที่ 4


(4)

 

- - - Koe’s Part - - -

กริ๊งงง...

กริ๊งงง...

กริ๊งงง...

ผมกดกริ่งที่อยู่หน้าประตูรั้วซ้ำๆ เป็นรอบที่สาม สายตาคอยมองเข้าไปในบ้านของวอร์มที่ยังคงปิดประตูเงียบเป็นระยะ มีเพียงเพื่อนบ้านรอบข้างที่ทำเพียงแง้มประตูหรือม่านออกมาเล็กน้อยเพื่อสังเกตการณ์เท่านั้น

ผมดูเหมือนตัวประหลาดเลยละ เวลาที่ยืนอยู่หน้าบ้านหลังนี้

จะว่าไป ผมก็รู้สึกตั้งแต่วันที่มาส่งวอร์มครั้งแรกแล้ว

"มาหาใครเหรอ"

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อหันกลับมาแล้วพบคุณปัดยืนอยู่ตรงหน้า

เพราะมีแค่รั้วซี่ใหญ่ขวางกั้นจึงทำให้ผมเห็นหน้าของเธอได้ชัด...

ซึ่งไม่เหมือนที่ผมคิดไว้เลยซักนิด

คุณปัดเป็นผู้หญิงร่างเล็กบาง ใบหน้าซูบผอมทำให้เห็นแก้มตอบและคางยาว รอบดวงตาโตคล้ำดำกลวงลึกจนทำให้สายตาที่เธอมองมาหาผมดูน่ากลัวมากทั้งที่ท้องฟ้ายังสว่าง

"เอ่อ..." ปากของผมขยับไม่ได้ไปซะเฉยๆ ต้องรวบรวมสติอยู่พักใหญ่กว่าจะยกมือขึ้นไหว้ทักทาย "สวัสดีครับ...ผมมาหาวอร์มน่ะครับ"

"เพื่อนวอร์มเหรอ"

"ครับ"

"ที่มาส่งวอร์มบ่อยๆ ใช่มั้ย"

รู้ด้วยเหรอ...หรือเป็นเพราะวันนั้นที่ผมลดกระจกรถลงเพื่อสวัสดีเธอ "ใช่ครับ...เอ่อ...คือพอดีวอร์มลืมมือถือไว้อะครับ ผมเลยเอามาคืน"

"ไม่น่าลำบากเลยนะ" คุณปัดยกมุมปากยิ้มอ่อนให้ผม ซึ่งดูเหมือนแสยะยิ้มมากกว่า…หลอนกว่าเดิมอีก

"เอ่อ..." ผมรีบหลบตาแล้วก้มลงหาโทรศัพท์ของวอร์มในกระเป๋า ก่อนที่คุณปัดจะสวนคำขึ้น

"เข้ามาข้างในก่อนสิ"

ถามว่ากลัวมั้ย บอกเลยว่ากลัวมากครับ แต่อีกใจก็อยากเข้าไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งเหมือนกัน ผมจึงไม่ขัดคุณปัดเดินตามเข้าไปในบ้านของเธออย่างว่าง่าย ภายในบ้านหลังเก่าค่อนข้างกว้างด้วยเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ทว่าทุกชิ้นเป็นไม้สักเก่าแก่ ดวงไฟสีเหลืองอ่อนถูกเปิดขึ้นสองสามดวงภายในห้องรับแขกที่ผมยืนอยู่ ส่วนตรงอื่นมืดสนิท

แต่สิ่งหนึ่งที่น่ากลัวกว่าความมืดสำหรับผม คงเป็นกลิ่นเหม็นที่โชยแตะจมูกอยู่ตอนนี้นี่แหละ...

กลิ่นอะไรวะ

"ดื่มน้ำมั้ย"

"ไม่เป็นไรครับแม่...เอ๊ย! คุณปัด ผมทานมาแล้วครับ"

เผลอเรียกแม่ไปซะได้ ขนาดลูกเขายังไม่เรียกเลย ไอ้โก้เอ๊ย!

แต่ก่อนที่คุณปัดซึ่งหุบยิ้มลงทันทีจากประโยคสุดท้ายของผมจะพูดหรือด่าอะไร เสียงวิ่งลงบันไดอย่างเร็วก็ดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของวอร์ม ท่าทางของเขาตกใจสุดขีดเลยละเมื่อเห็นผม

"มาพอดีเลย เพื่อนมาหาน่ะ"

"มึงลืมมือถืออะ" ผมรีบพูดขึ้นหลังจากเห็นว่าวอร์มยังคงอึ้งกับการมาของผม ขณะที่คุณปัดเดินออกจากโซฟายาวเพื่อกลับขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

"วอร์ม หาน้ำรับรองแขกแล้วตามฉันขึ้นไปที่ห้องหน่อย"

ยอมรับว่าเสียงเย็นทุ้มต่ำของคุณปัดสร้างความหวาดหวั่นให้ผมได้ไม่น้อยเลย ยิ่งสายตาที่เธอใช้มองวอร์มก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยิ่งน่าขนลุกเข้าไปใหญ่ วอร์มพยักหน้ารับคำพร้อมสบสายตาคุณปัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาเองก็คงเกรงกลัวผู้เป็นแม่เช่นกัน ก่อนจะหันมาสั่งผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"มึงนั่งอยู่นี่ อย่าไปไหนนะ แล้วอย่าหยิบอะไรกินด้วย เดี๋ยวกูมา"

ผมได้แต่มองวอร์มที่เดินห่างออกไป ทั้งที่ในใจมีคำถามมากมาย แต่ก่อนที่ผมจะตอบรับหรือเอ่ยถาม กลิ่นเดิมซึ่งแตะจมูกของผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาในบ้านก็กลับมาอีกครั้ง

ใช่...

กลิ่นเหม็นเน่า!

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่สายตายังจดจ้องบันไดขั้นบนสุดเท่าที่ผมจะมองเห็นได้โดยหวังว่าคุณปัดและวอร์มจะยังไม่ลงมาในตอนนี้ ก่อนเดินตามกลิ่นไม่พึงประสงค์ไปอย่างช้าๆ

มันไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก ไม่ได้มาจากพื้นที่ใต้บันไดซึ่งมีลิ้นชักเก็บของขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ไม่ใช่ห้องน้ำที่ผมเพิ่งเดินผ่านมา

งั้นก็เหลือแค่ที่เดียว...

ในครัว

ทั้งที่ใจหนึ่งพยายามคิดในแง่ดีว่ามันคงเป็นอาหารเหลือที่เริ่มบูดเน่าและคุณปัดยังไม่ได้นำออกไปทิ้ง แต่สองขาของผมกลับก้าวไม่ออกซะดื้อๆ เพราะอีกใจดันนึกไปว่ามันอาจไม่ใช่แค่ขยะ จากเรื่องที่เจ๋งเล่า ถึงแม้มันจะดูเหมือนเรื่องเล่าเอาไว้หลอกเพื่อนๆ ของพวกเด็กมัธยม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อีกอย่าง ขนาดลูกแท้ๆ ที่ดูแลตัวเองมาตลอดยังทำร้ายได้ลงคอ นับประสาอะไรกับสิ่งมีชีวิตอื่น

"เอาวะ" ผมพูดปลุกใจตัวเอง ก่อนจะรวบรวมความกล้าครั้งยิ่งใหญ่เพื่อสาวเท้าเข้าไปในนั้น

ภายในครัวดูสะอาดเรียบร้อย อุปกรณ์น้อยชิ้นถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ผมคิดว่าคนในบ้านคงไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่ และที่สำคัญ ไม่มีถุงขยะที่คาดว่าน่าจะเป็นที่มาของกลิ่นได้เลยซักถุง

แต่กลิ่นเหม็นยังคงคละคลุ้ง และยิ่งส่งกลิ่นมากขึ้นในห้องนี้

เพราะผมไม่กล้าเปิดไฟ ห้องครัวจึงเกือบมืดสนิท แหล่งเดียวของแสงสลัวที่ช่วยให้ผมพอมองเห็นได้มาจากประตูบานเล็กที่อยู่ลึกสุดของห้องครัวซึ่งถูกเปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อย

และผมคิดว่ากลิ่นมาจากห้องนั้นแหละ...

เอ๊ะ! นั่น?

ถุงดำขนาดใหญ่ที่บรรจุอะไรบางอย่างไว้เต็มจนบวมเป่งวางอยู่ในนั้น

ถุงใหญ่ขนาดนั้นคงไม่ได้ใส่เศษขยะแน่ๆ…

มันใหญ่พอจะยัดศพคนลงไปได้เลยละ

ทำไมผมถึงคิดแบบนั้นไปได้นะ ดูหนังมากไปแล้วมั้ง...

แต่การที่มีกลิ่นเหม็นเน่าและถุงดำขนาดใหญ่ในบ้านซึ่งเงียบสงัดและวังเวงไม่ต่างจากบ้านร้าง ประกอบกับเรื่องเล่าของเจ๋ง และร่องรอยบอบช้ำบนร่างกายของวอร์ม มันทำให้ผมคิดไปในทางอื่นไม่ได้เลยจริงๆ ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อขับไล่ความหวาดกลัวทั้งหมดออกไป แล้วค่อยๆ เดินไปด้านหน้าตามต้นแสง การบังคับให้เท้ายังคงก้าวไป ขณะที่หัวใจเต้นกระแทกจนเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอกนั้นมันยากเย็นจริงๆ สายตาของผมยังคงจับจ้องที่ถุง โดยหวังว่ามันจะไม่ได้มีอะไรอย่างที่คิดอยู่ในนั้น

หรือไม่มีอะไรที่คาดไม่ถึงพุ่งออกมาจากห้อง...

...

... ...

... ... ...

“ทำอะไรอะ”

"เฮ้ย!" ผมสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังพร้อมมือเย็นเฉียบของใครบางคนที่วางลงบนไหล่ของผม เมื่อหันไปมองก็พบวอร์มที่กำลังจ้องผมอย่างดุดัน “โห่! วอร์ม กูตกใจหมด”

"ดื้อนะมึง บอกให้นั่งเฉยๆ"

"มึงได้กลิ่นอะไรปะ" ผมสวนคำขึ้นทันที

"กลิ่น..." เขาย่นคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าตื่นกลัวอย่างไร้สติของผม ก่อนจะลองสูดหายใจเข้า "กลิ่นขยะมั้ง"

"แล้วถุง..." ผมหันไปทางห้องนั้น

"ถุงขยะไง เมื่อเช้ากูลืมเอาไปทิ้งอะ" วอร์มซึ่งไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยซักนิดตอบผมด้วยสีหน้าเฉยเมย ก่อนชวนผมออกจากห้องครัวเพื่อไปคุยกันต่อที่ห้องของเขา นั่นทำให้ผมยอมหยุดโวยวายแล้วเดินตามเขาไปแต่โดยดี

"มือถือค่อยคืนพรุ่งนี้ก็ได้" วอร์มพูดขณะเปิดประตูให้ผมเดินเข้าไปในห้องนอนของเขา

"มึงตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกกูวะ...ฟันแล้วทิ้งเหรอ" ประโยคสุดท้ายที่หยอกล้อเขา ผมพูดเสียงเบาลงเพราะกลัวคุณปัดจะได้ยิน ไม่รู้ว่าห้องนี้เก็บเสียงแค่ไหนจึงต้องป้องกันไว้ก่อน

"เปล่า" วอร์มอมยิ้มแล้วเดินไปเปิดโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียง "ก็กูตกใจอะ...ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดขนาดนี้"

ผมแอบหัวเราะกับท่าทีเขินอายของเขา แต่ก็อดเป็นห่วงกับอาการที่จะตามมาจาก 'ครั้งแรก' ของเขาไม่ได้ จึงเดินเข้าไปใกล้เพื่อจะถามถึงความเจ็บปวด แต่เมื่อแสงสีส้มจากโคมไฟกระทบบนใบหน้าของเขา ผมจึงเห็น...

"เฮ้ย!" ผมมั่นใจว่าตอนที่วอร์มวิ่งลงบันไดมาหาผมครั้งแรก ใบหน้าของเขายังไม่มีร่องรอยใดให้เห็น แต่ทำไมตอนนี้... "รอยอะไรอะ"

ชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มรู้สึกตัว เขารีบหันหลังให้ผมด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก แต่ผมดึงแขนของเขาเบาๆ ให้หันกลับมาทางเดิม

"ตะกี้ยังไม่เห็นมีเลย" ผมเชยคางของเขาขึ้นเพื่อให้เห็นรอยแดงก่ำบนแก้มด้านขวาได้ถนัด นี่มันรอยตบชัดๆ ซึ่งคนตบก็คงไม่ใช่ใครอื่น

"ไม่มีอะไรหรอก"

"นี่แสดงว่าที่ผ่านมา ฝีมือคุณปัดหมดเลยใช่ปะ" ผมคาดคั้น ถึงจะใช้เสียงเบาแต่รู้ดีว่าสีหน้าของตัวเองตอนนี้คงไม่เบาแน่ๆ

วอร์มกัดริมฝีปากแน่น ตาหลบต่ำไม่มองผมที่จ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

"เพราะกูมาที่นี่ใช่มั้ย เค้าถึงตบมึงอะ" ผมหรี่เสียงให้เบาลงอีกแต่คำถามยังคงจริงจัง

"มันไม่มีอะไรหรอก แล้วก็ไม่ได้เป็นเพราะมึงด้วย ไม่ต้องคิดมากนะ"

"ทำไมเค้าต้องทำมึงขนาดนี้ด้วยวะ...นี่มึงเป็นลูกแท้ๆ ของเค้านะเว้ย!"

"เค้าเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว"

"เป็นมานานแล้วด้วย” ฟังแล้วไม่ช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้นเลย “มึงทนอยู่แบบนี้ได้ไงวะเนี่ย ทำไมไม่ทำอะไรซักอย่าง"

ผมรู้ดีว่าภายใต้แววตาของเขาที่มองกลับมามีอะไรซ่อนอยู่มากมาย แต่ที่เขาเลือกซ่อนมันไว้แบบนั้นอาจเป็นเพราะเขาคิดว่า ถึงบอกไปผมก็คงช่วยเขาไม่ได้ ซึ่งถึงจะเป็นความจริง ผมก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี

ผมถอนหายใจยาวเพื่อผ่อนอารมณ์ ก่อนเสนอวิธีหลีกหนีปัญหาที่ผมพอจะคิดได้ในตอนนี้ "วอร์ม มึงมาอยู่หอกับกูมั้ย แค่ช่วงจันทร์ถึงศุกร์ก็ยังดี อย่างน้อยเค้าก็จะได้มีโอกาสทำร้ายมึงน้อยลงนะ"

"กูไม่อยากทิ้งคุณปัดอะ อีกอย่าง กูก็ไม่รู้จะไปไหน กูอยู่กับเค้าแค่สองคนมาตลอด ถ้าไม่มีเค้า กูก็ไม่เหลือใครแล้วอะ"

ดวงตาใสที่มีน้ำคลอคู่นั้นคือสิ่งที่เขาใช้มองผม มันยิ่งทำให้ผมเจ็บแปลบอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่ไม่ใช่ละคร มันคือชีวิตจริง มีคนที่ต้องทนทุกข์แบบนี้จริงๆ และเขาต้องอยู่อย่างทรมานกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่แบบนี้ตลอดไป ไม่มีที่ไปและเขาก็ไม่อยากไป

ประโยคที่ผมตอบเขาต่อไปนี้จึงไม่ได้มาจากสมอง แต่มาจากหัวใจล้วนๆ

"เหลือกูไง...

"ให้กูเป็นอีกคนนึงในโลกของมึงนะวอร์ม"

ผมใช้มือข้างหนึ่งปาดหยดน้ำที่ไหลออกจากดวงตาของเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนโน้มหน้าลงมอบรอยจูบให้แก่เขาอย่างนุ่มนวลที่สุด

 

การปลอบโยนของผมไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรหรอกครับผมรู้ดี วันนั้นผมก็แค่เดินออกจากบ้านไป ทิ้งวอร์มให้อยู่กับแม่ใจยักษ์ของเขาอีกตามเคย แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคงเป็นการที่ผมอาสาเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็กๆ ของเขาอย่างเต็มตัว

ยังไงน่ะเหรอครับ

โดยการที่เราสองคนตกลงจะศึกษากันอย่างจริงจังมากขึ้น ผมคิดว่าวอร์มคงไม่อยากป่าวประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของเรา มันจึงเป็นไปอย่างสงบและเรียบง่าย มีแค่พี่มุกคนเดียวที่รู้เรื่องนี้จากปากของผม ส่วนคนอื่นๆ ที่เห็นเราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จะคิดยังไง ผมคงไม่ไปตอบรับหรือปฏิเสธ

และเพราะว่าผมไม่ได้บอกใคร จึงยังไม่มีใครรู้ รวมถึงคนนี้...

"ไงมึง" เจ๋งเดินตามผมออกมาจากสนามฟุตบอลเมื่อกรรมการให้สัญญาณหมดเวลาแข่งขัน "ได้เรื่องมั้ย"

"เรื่องเหี้ยอะไร"

"อ่าว! สรุปมึงไม่ได้ไปสืบเรื่องที่กูบอกเหรอ"

"โอ๊ย! ปัญญาอ่อนสัสอะมึง" ผมสบถรัวๆ ใส่เพื่อนสนิท "ถ้ากูเชื่อตามมึง ป่านนี้กูคงต้องหาแฟนใหม่แล้วไอ้ห่า!"

"ยังไงวะ"

"กูไปบ้านมันมาแล้ว คุยกับแม่มันมาแล้วด้วย และนี่ไง..." ผมผายมือทั้งสองข้างออกกว้างให้เห็นว่าอวัยวะยังครบสามสิบสองด้วยท่าทางกวนอารมณ์ "ไม่เห็นจะเป็นเหี้ยอะไรเลย"

"คุยกับแม่มันเลยเหรอวะ" เจ๋งทำท่าตกใจเมื่อผมพูดถึงคุณปัด ราวกับว่ารู้จักคุณปัดมานานและความน่ากลัวของคุณปัดก็คงเลื่องลือมานานแล้วด้วยเช่นกัน

แน่นอนครับ ผมก็กลัว แต่จำเป็นต้องพูดเหมือนไม่หวาดหวั่น เพราะถึงคุณปัดจะทำร้ายวอร์ม แต่มันก็เป็นเรื่องในครอบครัวของเขา ไม่ควรที่คนนอกอย่างเราจะเอาไปลืออย่างเสียๆ หายๆ

"เออดิ เค้าก็อยู่กันสองคนปกติ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย แถมตัวแม่งก็เท่าไหล่กูทั้งคู่ จะไปทำอะไรใครได้วะ"

...

... ...

... ... ...

"ตะกี้มึงพูดว่าสองคนเหรอ"

ผมหันไปมองเจ้าของคำถาม สีหน้าซีดเผือดของเขาแสดงถึงการรอคำตอบอย่างใจจดจ่อ จึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น "ใช่ ทำไมอะ"

"กูว่าไม่ใช่แค่สองนะ"

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น