5

บทที่ 5


(5)

 

- - - Koe’s Part - - -

รอบนี้ไม่ใช่แค่พูดเปล่าแล้วให้ผมไปสืบเอาเองเหมือนครั้งก่อน เจ๋งลงทุนขับรถกลับบ้านเพื่อไปเอาหนังสืออนุสรณ์ของโรงเรียนมาให้ผมดู ขณะที่ผมเองก็โทร.หาพี่มุกเพื่อชวนมาฟังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

แน่นอนครับ ในปีที่เจ๋งและวอร์มเรียนเป็นปีสุดท้ายก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีเด็กผู้หญิงชื่อ นภัสสร เรียนอยู่ชั้นม.ห้า ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกันกับวอร์ม แต่ที่อยู่ที่เธอและวอร์มลงไว้ในหนังสือกลับเป็นที่อยู่เดียวกัน

บ้านหลังคาสีดำ!

เจ๋งไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เพียงแต่สายตาที่เขาส่งให้ผมก่อนที่เราจะแยกย้ายสื่อได้ว่าต้องการให้ผมสืบหาความจริงเรื่องนี้ต่อไป ส่วนผมก็กลับมาที่หอด้วยใจโหวง ยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีเลยเมื่อรู้ว่าคำพูดของวอร์มที่บอกว่าอยู่กับแม่แค่สองคนเป็นเรื่องไม่จริง อยากถามตรงๆ แต่ก็ไม่อยากทำให้วอร์มอึดอัด แต่ถ้าเก็บไว้ไม่ยอมถาม ผมก็คงเป็นฝ่ายอึดอัดซะเอง

'คนเราก็ต้องมีทั้งเรื่องที่ไม่อยากบอกใคร เรื่องที่ไม่กล้าบอกใคร หรือเรื่องที่ไม่รู้จะบอกใครไปทำไม'

พี่มุกเตือนสติผมไว้แบบนั้นก่อนเดินจากไป เธอคิดว่าวอร์มคงจะบอกผมเองเมื่อถึงเวลา หรือถ้าเขาไม่บอกผม นั่นก็แปลว่าเรื่องน้องสาวของเขาเข้าข่ายเรื่องสามประเภทของพี่มุก

ผมรู้แหละว่าคนทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะยอมรับด้วยความยินดี เพราะยิ่งผมรู้ความลับของวอร์มมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองรู้จักวอร์มน้อยลงเท่านั้น

"เป็นอะไรรึเปล่า" ร่างบางตรงหน้าถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นท่าทางเหม่อลอยของผม

จริงๆ แล้ว ผมคิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิดสังเกตเลยนะ เรามาเจอกันที่หอของผม นั่งอ่านหนังสือกันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบย่อยที่กำลังจะมาถึงเหมือนหลายวันที่ผ่านมา แต่วอร์มก็ยังรู้สึกได้ว่าผมมีอะไรในใจ

ใจหนึ่งของผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราต้องแปรเปลี่ยน แต่อีกใจก็ยอมรับว่าความสัมพันธ์ของเรามันได้เปลี่ยนไปแล้ว...

ตั้งแต่วันที่ผมรู้จักน้องสาวของเขา

“นภัสสรคือใครเหรอ”

เขาเงียบ...ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบ ผมไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของเขาด้วยซ้ำ ทั้งความสงสัยและหวาดหวั่นแสดงออกมาทั้งหมดผ่านแววตาคู่นั้น ผมจึงถามต่อ

“มึงไม่เห็นเคยบอกกูเลยว่ามีน้องสาวด้วย”

เขายังคงไม่ตอบคำถามเหล่านั้น ตาใสหลบต่ำ ทั้งยังดันก้อนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอจนเห็นลูกกระเดือกเคลื่อนเป็นจังหวะ และนั่นทำให้เส้นสติของผมขาดผึงลงทันที

“มันยากลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ แค่พูดความจริงให้กูฟังเนี่ย!”

เผลอขึ้นเสียงใส่วอร์มจนได้ ทั้งๆ ที่ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นคนดีที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอ คนดี...ที่ไม่ทำร้ายเขาทั้งร่างกายและจิตใจ ผมจึงทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนพ่นมันออกมา เม้มปากที่อยากพูดอะไรอีกมากมายให้แน่นเข้าไว้ ก่อนมอบประโยคสุดท้ายแก่เขาแล้วเดินจากมา

"เมื่อไหร่กูจะได้เข้าไปอยู่ในโลกของมึงซักทีวะ"

 

เท้าของผมไม่หยุดเคลื่อนไปข้างหน้า มันสาวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ผมไม่คาดหวังว่าวอร์มจะวิ่งตามมาแล้วยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟังหรอก ผมดูนาฬิกาแล้วก่อนจะเริ่มถามคำถาม เวลาบีบให้เขาต้องรีบกลับบ้าน ซึ่งเขาคงล็อกประตูห้องให้ผมและฝากกุญแจไว้กับผู้ดูแลที่ชั้นล่าง

นั่นทำให้เขารับเอาความอึดอัดใจ ความเสียใจ และความรู้สึกผิดที่ทำให้ผมผิดหวังกลับบ้านไปด้วย ยิ่งทิ้งระยะเวลาไว้นาน...

ความรู้สึกเหล่านั้นจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

ไม่ใช่ไม่สงสารนะ ผมไม่เคยอยากทำร้ายจิตใจเขาเลย แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเขาไม่ยอมบอกเรื่องน้องสาวให้ผมฟัง เชื่อเถอะ ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องคนอื่นมากมายนักหรอก อย่างน้อย...มันก็ไม่มากไปกว่าที่ผมอยากรู้ว่า ผมสำคัญกับวอร์มแค่ไหน สำคัญพอที่วอร์มจะยอมบอกความลับที่เขาไม่เคยบอกใครให้ผมฟังรึเปล่า

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งบอกเวลาเกือบสองทุ่ม ขณะที่ใจนั่งคิดคำพูดที่จะตอบเขา นึกถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเขามาหาผม เขาอาจร้องไห้หรืออาจจะโกรธผม เขาอาจไม่เล่าอะไรให้ผมฟังเลยหรืออาจจะเล่าเรื่องโกหก

คิดไปเรื่อยเปื่อยจนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มฟุ้งซ่าน จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดหาเบอร์ที่คุ้นเคยแล้วโทร.ออก

"ไงมึง ได้เรื่องน้องมันมั้ย" น้ำเสียงของเจ๋งดูตื่นเต้นกว่าทุกครั้งที่ผมโทร.หา

"ยังอะ" ผมตอบไปตามตรงทั้งที่รู้ดีว่าคงโดนปลายสายรัวคำด่าเป็นชุดแน่ๆ

"มึงนี่แหยสัสๆ" นั่นไง โดนจริงๆ มันคงคิดอย่างสบประมาทไว้อยู่แล้วแหละ ว่าผมขี้ขลาดเกินกว่าจะกล้าถามเรื่องนี้กับวอร์มตรงๆ ผมเองก็ไม่อยากอธิบายอะไรมากถึงแผนการกดดันแฟนตัวเองที่กำลังทำอยู่ อีกอย่าง ที่ผมโทร.หาเจ๋งก็เพราะมีอีกเรื่องที่อยากรู้ไม่น้อยไปกว่าเขา

"หยุดด่ากูแล้วเล่าเรื่องที่มึงรู้เกี่ยวกับวอร์มมาให้หมด" ไหนๆ ผมก็ฟังเรื่องของวอร์มจากคนอื่นมาตลอดอยู่แล้วนิ ฟังอีกซักเรื่องสองเรื่องจะเป็นอะไรไป

"ไอ้ห่า! มึงกลัวเมียมากถึงขนาดต้องแอบมาถามคนนอกเลยเหรอวะ"

"จะเล่ามั้ย" ทั้งที่เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าต้องได้ยินเสียงเยาะเย้ย แต่พอได้ฟังเข้าจริงๆ ก็อารมณ์ขึ้นเหมือนกันนะ "สรุปมึงรู้จริงมั้ยเนี่ย"

หลังจากผมโมโหและเริ่มท้าทายจึงได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วพูดขึ้น "อ้ะ กูสงเคราะห์ให้ก็ได้..."

เชื่อมั้ยครับว่าผมได้ยินเสียงเต้นตุบของหัวใจตัวเองชัดกว่าเสียงของเจ๋งซะอีก

"เอาแค่เรื่องที่กูรู้ว่าเป็นเรื่องจริงชัวร์ๆ แล้วกันนะ เพื่อนสมัยม.ต้นกู ชื่อไอ้นัท บ้านมันอยู่เยื้องๆ กับบ้านเมียมึงอะ ช่วงนึงมีแมวจรเข้ามาในซอยบ้าน แม่ไอ้นัทเป็นพวกรักสัตว์ ก็หาข้าวหาน้ำมาให้มันแดก ไปซื้อกรงเล็กๆ มาให้มันนอนตรงโรงรถ แต่ก็นะ...แมวจรอะมึง มันก็วิ่งเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้ ขี้เยี่ยวเปะปะไปเรื่อย จนวันนึงแมวหาย แม่ไอ้นัทเดินตามหาตั้งนาน มาเจออีกที แม่งกลายเป็นศพถูกแขวนอยู่กับประตูรั้วบ้านเมียมึงอะ"

"เฮ้ย!" ผมอุทานอย่างตกใจ ขนาดไม่ใช่คนรักสัตว์ยังรู้สึกสงสารแมวตัวนั้นเลย

"แม่มันช็อกไปเลย พอไอ้นัทกับพ่อไปถาม แม่เมียมึงก็พูดหน้าตาเฉยว่าแมวมันมาขี้ในบ้านก็เลยจัดการ"

"แล้วบ้านไอ้นัททำไงวะ"

"ทำไงได้ ก็ไม่ใช่แมวเลี้ยงอะ ตอนแรกแม่มันก็จะเอาเรื่องนะ แต่ไอ้นัทแหละขอไว้ มันคงกลัวอะ อยู่บ้านใกล้กันแค่นี้ ถ้าไปด่ามากๆ วันดีคืนดีปีนเข้าบ้านมาฆ่าตายจะทำไง"

"ไม่ขนาดนั้นมั้ง" ผมพูดขึ้นทั้งที่ใจก็ไม่ปฏิเสธว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้

"มึงคิดดูนะ คนปกติที่ไหนจะเอาแมวมาฆ่าแล้วแขวนไว้หน้าบ้านตัวเอง แถมสภาพแมวก็โคตรสยอง โดนแทงจนคอห้อยร่องแร่งเกือบขาด เลือดนี่เต็มหน้าบ้านเลย"

"น่ากลัวว่ะ" ผมตอบเบาๆ ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผม ผมจะจัดการยังไง “เออ แล้วที่มึงบอกว่าคนแปลกหน้าเข้าไปแล้วไม่ได้ออกมาอะไรนั่นน่ะ”

“ที่โรงเรียนกูเค้าลือกัน เรื่องนี้กูก็ไม่รู้หรอกว่าจริงรึเปล่า”

“อ่าว!” ดูเพื่อนผมมันตอบสิครับ “ไอ้ห่า! แล้วพูดอย่างกับรู้จริง กูกลัวแทบตายอะวันนั้น”

ปลายสายได้ยินผมสวนด่าก็หัวเราะแหยๆ ก่อนพูดต่อ “อาจจะจริงก็ได้นะมึง สภาพแม่งอย่างกะบ้านร้างซะขนาดนั้น ไฟก็ไม่เปิดซักดวง”

สงสัยเหมือนผมมั้ยครับ...

ทำไมปลายสายถึงระบุรายละเอียดของบ้านได้ชัดเจนแบบนั้น “มึงเคยเห็นด้วยเหรอ”

เจ๋งเงียบไปชั่วครู่ก่อนตอบรับเบาๆ “อืม แต่ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นแหละ”

ผมไม่ได้ติดใจเรื่องนี้มากนัก เพราะเมื่อมาคิดอีกที เจ๋งอาจจะฟังมาจากเพื่อนๆ เหมือนตอนที่ฟังข่าวลือมานั่นแหละ หรืออาจจะเคยไปเยี่ยมนัทแล้วเห็นก็ได้ ถามต่อในเรื่องที่อยากรู้ดีกว่า “มีข่าวลือแบบนี้ แล้ววอร์มกับน้องมันไม่มีปัญหาเหรอวะ”

“คงชินแล้วมั้ง แม่มันไม่ปกติเองก็ต้องทำใจมั้ยวะ”

มันน่าเศร้านะครับ ที่คนนิสัยดีแบบวอร์ม กลับต้องแบกรับการตราหน้าจากคนรอบข้างและสังคมที่เขาอาศัยอยู่ ทั้งสายตาดูถูก หวาดกลัว หรือเสียงนินทาเหล่านั้น คนแบบเขาไม่ควรได้รับมันเลยซักนิด

“มีเพื่อนบ้างมั้ยวะเนี่ย” ผมคิดตามแล้วถามขึ้น

“ก็มีบ้างมั้ง แต่ก็คงไม่มีใครกล้าสนิทด้วยมากหรอก กูเห็นไปไหนมาไหนคนเดียว เลิกเรียนแล้วก็กลับบ้านเลย”

“วอร์มเหรอ”

“ก็ทั้งคู่อะ”

ผมฟังแล้วยิ่งสงสารวอร์มและน้องสาวจับใจ เพราะทุกคนมองครอบครัวของเขาในแบบนั้น มันจึงยิ่งผลักดันให้เขาต้องใช้ชีวิตตามลำพัง ไม่มีเพื่อนหรือใครที่พอจะรับฟังปัญหาของเขาได้เลย

“เออ กูสงสัยมานานแล้วแต่ไม่ได้ถาม” เจ๋งพูดขึ้นเสียงดัง “คือกูก็ดีใจนะถ้ามึงจะเลิกจีบทิ้งจีบขว้างแล้วหันมาจริงจังกับใครซักคนอะ แต่...มึงชอบคนนี้จริงๆ เหรอวะ”

“ทำไมอะ”

“ก็จริงๆ มึงไม่ได้ชอบพ...”

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา ผมจึงหยุดสนใจเสียงในสายแล้วมองออกไปทางหน้าห้อง

ไม่ผิดแน่ วอร์มมาหาผมแล้ว

“เฮ้ยมึง เดี๋ยวกูโทร.กลับ” ผมพูดกับเจ๋งแล้วกดวางทันทีโดยไม่ฟังเสียงก่นด่าที่เล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ ก่อนเดินไปที่ประตูห้องแล้วเปิดมันออกเล็กน้อยเพื่อสำรวจแขกผู้มาเยือน และใช่…คนที่ผมคิดไว้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ร่างบางค้อมตัวลงเหมือนคนไม่มั่นใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผมเพียงเล็กน้อยแล้วหลบตาลงอีกครั้ง ผมจึงถอยหลังกลับไปยืนที่กลางห้อง เพื่อเปิดทางให้เขาเดินตามเข้ามา

“มีอะไร” ผมถามหวัดๆ แต่ไม่ได้รับคำตอบใดจากชายหนุ่มตรงหน้า เขายังคงนิ่งเงียบ ทว่าเสียงลมหายใจถี่รัว หากมันสอดคล้องกับการเต้นของหัวใจ เขาคงช็อกตายในไม่ช้า

“ดึกป่านนี้แล้ว...เดี๋ยวก็โดนคุณปัดตีเอาหรอก” ผมพูดแล้วมองไปที่นาฬิกาตั้งโต๊ะก่อนหันกลับมามองเขาอีกครั้ง

เข็มวินาทีที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ผมมองหน้าเขา ดูเชื่องช้ากว่าปกติหลายเท่าตัว เขายังคงยืนนิ่ง หลบสายตาไม่กล้ามองผมที่ยืนอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากสีสดถูกกัดแน่นด้วยฟังเรียงจนผมกลัวว่าจะเกิดแผล ยิ่งมองไปที่มือเรียวทั้งสองที่บีบกันแน่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่

ผมนี่เลวจัง...

โอเค ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว จะอยากรู้ไปทำไมถ้ามันทำให้คนตรงหน้าของผมกลายเป็นแบบนี้

ผมถอนหายใจยาว ก่อนเอื้อมไปหยิบกุญแจรถที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้วหันกลับมาดึงมือของวอร์ม “กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวกูไปส่ง”

"ไม่มีใครอยากพูดถึงคุณแป้งหรอก”

เสียงสั่นเครือจากด้านหลังดังขึ้น ผมไม่หันไปมองหากแต่มือเรียวที่กุมไว้กลับสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ ผมจึงหยุดเดินและตั้งใจฟัง

“คือ...เค้าไม่ค่อยสบาย"

ผมหันกลับมามองใบหน้าของเขาชัดๆ มันเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ เขาค่อยๆ ถอยหลังพาร่างซีดเซียวที่ยังคงสั่นสะท้านลงนั่งคุดคู้ที่พื้นปลายเตียงนอน ปากสวยเม้มแน่นแต่เสียงสะอื้นยังเล็ดลอด ผมจึงเดินเข้าไปหา และนั่งลงตรงหน้าเขา ก่อนเอื้อมมือออกไปจับเขาไว้เหมือนเมื่อครู่

...

... ...

... ... ...

“คุณแป้งถูกรุมข่มขืนจนเป็นบ้า”

เนี่ยน่ะเหรอ...เรื่องที่ผมอยากรู้นักหนา

ความเจ็บปวดของผู้หญิงคนหนึ่งเนี่ยเหรอ...ที่ผมคาดคั้นให้พี่ชายของเธอเอ่ยปากออกมา

"คุณแป้งเป็นคนหัวอ่อน เพราะถูกเลี้ยงมาแบบประคบประหงมตั้งแต่เด็ก เลยไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกพวกรุ่นพี่หลอก พอเกิดเรื่องขึ้น คุณปัดคิดว่าโลกภายนอกมันอันตรายเกินไปสำหรับคุณแป้ง ก็เลยตัดสินใจ...เก็บคุณแป้งไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกไปไหน ไม่ให้ใครพบเห็น เราสองคนตกลงจะไม่พูดถึงคุณแป้งอีก ทำเหมือนกับว่าคุณแป้งไม่มีตัวตนไปเลย คุณปัดคิดว่ามันเป็นวิธีที่จะปกป้องคุณแป้งจากเรื่องเลวร้ายพวกนี้ได้”

น้ำตาของเขายังคงไหลเปรอะเปื้อนทั่วทั้งหน้า ขณะที่ปากบางกระทบกันจนเรื่องที่เล่าออกมาเกือบจับใจความไม่ได้ ยังไม่รวมเสียงสั่นเครือที่ปนด้วยสะอื้นหนักหน่วง แต่ระหว่างที่ผมกำลังรวบรวมสติเพื่อคิดหาคำพูดมาปลอบโยน ชายหนุ่มตรงหน้ากลับกรีดร้องลั่น

“ถ้าคุณปัดรู้ว่ากูพูดเรื่องนี้ กูตายแน่เลย”

ผมดึงวอร์มที่ร้องไห้อย่างไร้สติเข้ามาในอ้อมกอด เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดได้ในเวลานี้ หากสามารถดูดซึมความทุกข์ทนจากตัวเขามาสู่ผมผ่านการแนบชิดของร่างได้ ผมก็ยินดี

“กูขอโทษนะวอร์ม กูไม่น่าทำแบบนี้กับมึงเลย” ผมลูบผมของเขาเบาๆ ก่อนพูดขึ้น

"กูไม่เคยเห็นมึงเป็นคนอื่นเลยนะโก้ กูอยากให้โลกของกู...มีแค่กูกับมึงด้วยซ้ำ"

รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเลยครับ...

วอร์มยอมออกจากบ้านมาหาผมในเวลานี้ ทั้งที่รู้ว่าจะโดนคุณปัดทำร้ายร่างกายเมื่อกลับไปถึง ยอมเล่าความลับที่คนในบ้านต่างอยากจะลืมไปจากสมองให้ผมฟัง ทั้งหมดนี้แค่ไม่อยากให้ผมโกรธหรือผิดหวังในตัวเขา ทั้งๆ ที่เขาไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายอะไรให้ผมฟังเลย มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยด้วยซ้ำ

ผมกอดเขาไว้จนนานพอที่ตัวเองจะรวบรวมสติได้ จึงค่อยๆ ดันเขาออกห่างเล็กน้อย ผมคิดว่าวอร์มกำลังหลงทางและผมจำเป็นต้องช่วยเขา “แต่มึงก็รู้ใช่มั้ย ว่าสิ่งที่แม่มึงทำ มันไม่ถูก น้องมึงต้องได้รับการรักษาในแบบที่ควรจะเป็นนะ”

วอร์มยังคงสบตาผมทั้งน้ำตาพลางกลั้นสะอื้นเพื่อฟังสิ่งที่ผมพูด ผมจึงยกมือทั้งสองขึ้นจับแก้มนิ่มก่อนปาดนิ้วโป้งไปเบาๆ เพื่อซึมซับความเจ็บปวดที่ออกมาจากดวงตาคู่นั้น

“มึงช่วยน้องมึงได้นะ ตอนนี้มึงเป็นผู้นำครอบครัวแล้ว ลุกขึ้นมาสู้กับปัญหานี้เถอะนะวอร์ม”

“ถ้ากูบอกมึง...เรื่องของเราคงจบวันนี้”

วอร์มพูดขึ้นเบาๆ สายตาของเขาไม่ได้จับจ้องที่ผมอีกต่อไป มันเหม่อลอยเหมือนกับว่าวิญญาณของเขาหลุดออกจากร่างไปแล้ว และนั่นทำให้หัวใจของผมเต้นเร็วและแรงจนเกือบหลุดออกมาข้างนอกเช่นกัน

จะมีเรื่องอะไรที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราจบลงง่ายๆ แบบนั้น

ต่อให้ผมใช้เวลานึกอีกทั้งปี ผมก็คงนึกไม่ออก

“วอร์ม”

“กูไม่ใช่ลูกคุณปัดหรอก กูเป็นแค่เด็กในบ้านของสามีเก่าคุณปัดที่ลำปาง พอสามีคุณปัดตาย กูก็ไม่มีที่ไป คุณปัดเลยรับกูลงมากรุงเทพฯ กูไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปขัดคำสั่งคุณปัดเค้าหรอก…”

“กูมีหน้าที่แค่ปรนนิบัติเขา...

...

... ...

... ... ...

“และก็นอนกับเขาเฉยๆ...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น