10

10

10

   

“คุณเมธมาครับ”

ชายวัยเกือบเจ็ดสิบชะงักอยู่ชั่ววินาทีเมื่อลูกน้องมารายงาน ก่อนจะวางแก้ววิสกี้ในมือลงบนโต๊ะเตี้ยด้านหน้า

“โทร. บอกหนูปริมว่าไม่ต้องมาแล้ว เลื่อนเป็นพรุ่งนี้แทน” เสียงแหบทว่าดูน่าเกรงขามสั่งคนสนิท

“ครับ” 

เมื่อลูกน้องออกไปจากห้องส่วนตัววีไอพีของสถานบันเทิงแห่งหนึ่งไม่นาน ลูกชายของจองชัยก็เปิดประตูเข้ามา

“ผมคิดไว้แล้วว่าพ่อต้องมาก่อนเวลา” จิรเมธทักทายผู้เป็นพ่อ พ่อเขานัดเจอตอนสี่ทุ่ม แต่ตอนนี้ยังเหลืออีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัด

จิรเมธเลือกมาก่อนเวลา เพราะเขานัดกับกลุ่มเพื่อนไว้ตอนสี่ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่บิดานัดเขา

“พ่อมีอะไรจะคุยกับผมเหรอ” เมื่อนั่งลงบนโซฟานวมฝั่งตรงข้ามบิดา เขาก็ชงเครื่องดื่มด้วยตัวเอง

ปกติจะมีเด็กสาวๆ มาบริการ แต่เป็นเพราะพ่อเขาคงจะคุยเรื่องสำคัญ เลยกันคนนอกออกไปหมด

“แกยังติดต่อปริมรดาอยู่รึเปล่า” จองชัยเข้าประเด็นทันที แม้ลูกชายจะชอบปิดเรื่องผู้หญิง แต่จองชัยก็รู้ว่าลูกควงกับใคร

“เลิกคุยไปนานแล้ว” จิรเมธตอบตามตรง เขาเลิกคุยกับปริมรดาไปนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนงานเลี้ยงของบริษัทด้วยซ้ำ

ทว่าในคืนวันนั้นเธอกลับโผล่หน้ามาหาเขา และชวนทะเลาะ

ปริมรดาเคยท้องกับเขา และเคยทำแท้งด้วยความสมัครใจ เพราะไม่พร้อมที่จะเป็นแม่ 

แต่จู่ๆ คืนนั้นเธอกลับมาเรียกร้องหาความรับผิดชอบจากเขาทั้งที่เรื่องผ่านมานานแล้ว จิรเมธเข้าใจว่าเธอคงมาไถเงิน เพราะเธอขู่จะเอาเรื่องที่ตนทำแท้งไปแฉ แต่เขาไม่เล่นไปตามเกมของเธอ เพราะเรื่องนี้เขาไม่มีส่วนผิด เธอตัดสินใจทำแท้งเองโดยที่เขาไม่ได้บังคับ 

“อืม” จองชัยตอบรับคล้ายไม่ใส่ใจก่อนจะว่าต่อ “อีกไม่นานจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ และเลือกตั้งประธานกรรมการ”

“เรื่องนั้นผมรู้”

“แล้วรู้ใช่ไหมว่าแกจะแพ้ไอ้เพิ่มไม่ได้”

“ผมไม่มีวันแพ้มันอยู่แล้ว”

จองชัยผ่อนลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายให้แก่ความมั่นอกมั่นใจของลูกชาย จิรเมธมั่นใจในตัวเองมากทั้งที่เขาไม่มีดีอะไร

ใช่ จิรเมธไม่มีดีอะไรเลย ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้ว การเรียนก็ไม่เอาไหน พอมาทำงานก็ไม่เอาอ่าว หากว่าไม่มีพ่อถือหางคงไม่ได้ขึ้นมานั่งในตำแหน่งกรรมการบริหารของเครืออัศวพาณิชย์

“อย่าประมาท ถ้าให้ลงคะแนนเสียงวันนี้พรุ่งนี้ แกไม่มีทางเอาชนะมันได้แน่” ชายชราบอกลูกชายอย่างไม่รักษาน้ำใจ “เพราะฉะนั้นสิ่งที่แกควรทำตอนนี้คือทำตัวให้ดี แล้วที่นัดเพื่อนไว้ก็ยกเลิกซะ”

จองชัยสั่ง เขาให้ลูกน้องตามดูพฤติกรรมของลูกชาย เพราะช่วงนี้ต้องเฝ้าระวัง จะมีข่าวเสียหายที่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ไม่ได้

“อะไรกันพ่อ แค่จะไปปาร์ตีกับเพื่อนเองนะ ไม่ถึงต้องงดหรอกมั้ง ผมกำลังลงชิงตำแหน่งประธานบริหารนะ ไม่ใช่ตำแหน่งเจ้าอาวาส”

“ปาร์ตีธรรมดาฉันจะไม่ว่าเลย” 

ผู้เป็นพ่อพูดแค่นี้ จิรเมธก็นิ่งเงียบ ไม่เถียงต่อ พ่อของเขาหูตาสับปะรด ที่พูดมาแบบนี้คงรู้แล้วว่าลูกชายกำลังจะไปปาร์ตียานรก

“ถ้าอยากขึ้นเป็นใหญ่ก็อย่าประมาทแม้แต่ก้าวเดียว”

“ก็ได้ๆ” เขาไม่รั้น เพราะถึงจะเป็นคนไม่เอาถ่าน แต่จิรเมธเป็นลูกที่เชื่อฟังพ่อมาก “แล้วตกลงพ่อเรียกผมมาทำไม” ตั้งแต่คุยกันมายังไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรสลักสำคัญเลย

“แค่จะบอกว่าให้ทำตัวดีๆ” อันที่จริงต้องการจะถ่วงเวลาไม่ให้ลูกไปปาร์ตี 

จิรเมธชอบเล่นยา เป็นแบบนี้มาตั้งแต่วัยรุ่น เขาต้องคอยตามเช็ดตามล้างไม่ให้มีคดีติดตัว โตแล้วแต่ก็ยังไม่เลิก คิดไม่ได้ว่ายาเสพติดมีแต่ส่งผลเสีย

 

 พลิศร์ต้องมาคุยธุรกิจที่ฮ่องกงซึ่งกินเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการมาเยี่ยมหลานสาวและพ่อแม่ของยายหนูซะเลย

“นายลองอุ้มหลานดูไหม” ไม่ถามเปล่า อลันยกตัวเด็กหญิงตาหวานวัยห้าเดือนมาวางแหมะบนตักของน้องชาย

พลิศร์ไม่ทันตั้งตัว เขาตัวแข็งทื่อ แต่ก็ใช้มือหนาทั้งสองข้างช้อนใต้รักแร้ของเจ้าตัวเล็กไว้ เพราะกลัวว่าหลานจะหล่นจากตัก

ตอนนี้ผู้ชายตัวโตสองคนซึ่งประกอบด้วยคุณพ่อและคุณอาของหนูตาหวาน กำลังนั่งอยู่ในคอกกั้นของยายหนู คอยเอนเตอร์เทนทารกวัยห้าเดือน ในขณะที่ลลิณาซึ่งเป็นคุณแม่ของตาหวานกำลังเตรียมอาหารในครัว

“เพิ่ม นายไม่ต้องทำตัวเกร็งขนาดนั้นก็ได้” อลันหัวเราะท่าทางแปลกๆ ของน้องชาย

“ก็มันไม่เคยนี่หว่า” เขาเคยเล่นกับเด็กทารกที่ไหนกันล่ะ ถ้าเป็นเด็กอายุมากกว่าสิบแปดก็ว่าไปอย่าง

“แอ้~”

“ถ้างั้นก็วางลงเถอะ” คุณพ่อสังเกตว่าลูกสาวดูไม่ค่อยสบายตัวเท่าไร เลยบอกคุณอาของตาหวานให้วางลูกสาวลงกับเบาะ 

ก็เล่นล็อกตัวลูกสาวเขาแน่นขนาดนั้น เด็กที่ไหนจะชอบ แต่ก็อดเอ็นดูในความห่วงหลานของน้องชายไม่ได้

เมื่อเจ้าตัวเล็กเป็นอิสระจากคุณอาตัวยักษ์ก็นอนคว่ำอยู่บนเบาะ มือเล็กคว้าจับของเล่นใกล้มือ แต่เพราะกล้ามเนื้อมัดเล็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ของเล่นเลยหลุดมือ คุณพ่อที่คอยมองอย่างไม่คาดสายตาเลยเอื้อมหยิบให้

 “นายไม่อยากมีครอบครัวบ้างเหรอ” เห็นน้องชายมองลูกสาวของเขาด้วยสายตาอ่อนโยน จึงอยากรู้ว่ามันคิดอยากจะมีลูกเป็นของตัวเองบ้างไหม

“อยากสิ” 

“ว่าไงนะ” อลันถามซ้ำ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยิน แต่แปลกใจกับคำตอบของพลิศร์ ที่ถามไปตอนต้นก็คิดว่าพลิศร์จะตอบว่าไม่

น้องชายเขารักอิสระจะตาย เจ้าตัวเคยบอกว่าชีวิตนี้อาจไม่แต่งงาน แต่ทำไมวันนี้ถึงตอบได้อย่างเต็มเสียงว่าอยากมีครอบครัว

“ก็พูดชัดแล้วนะ” พลิศร์ไม่ตอบซ้ำคำเดิม “ทำไม ฉันอยากมีครอบครัวมันแปลกหรือไง” 

เขาอายุน้อยกว่าอลันหกปี แต่ไม่เคยเรียกอลันว่าพี่หรอก ใช้ฉันกับนายมาจนชินปากแล้ว

“แปลกสิ” 

“หน้าที่หนึ่งของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดคือต้องดำรงเผ่าพันธุ์ ดังนั้นการที่ฉันอยากแต่งงานมีลูกเหมือนนายมันก็ไม่เห็นจะแปลก”

“นี่อยากมีลูกด้วยเหรอ” แม้จะไม่รู้จักพลิศร์ดี แต่อลันรู้ว่าน้องชายไม่ชอบเด็ก นี่เขาหูฝาดรึเปล่าที่ได้ยินว่าเจ้าตัวอยากมีลูก “หรือว่านายเจอรักแท้แล้ว เลยอยากหยุดเป็นเสือ”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ สิ่งเดียวที่จะหยุดพี่เพิ่มได้คงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” 

ลลิณาที่เตรียมอาหารเสร็จแล้วเดินมาร่วมวง เธอได้ยินประโยคสุดท้ายที่สามีพูดพอดีเลยอดแซะไม่ได้ ตามประสายุงลายกับทรายอะเบตที่ไม่ค่อยถูกกัน

“ปากดีนะหนูลิณ” พลิศร์สวนกลับ เขาไม่โกรธเธอหรอก แถมยังชอบด้วยซ้ำ เมื่อก่อนเจอกันทีไรเป็นต้องเข้าไปยั่วโมโหยายหนูลิณตลอด ก็เมียอลันน่ะน่าแกล้ง

ในอดีตเขากับอลันยังไม่เข้าใจกันดีเหมือนตอนนี้ พี่ชายไม่ชอบหน้าเขา เหตุเพราะเขาเป็นลูกเมียน้อย เหตุผลนี้พลิศร์ก็เข้าใจได้ หากเขาเป็นอีกฝ่ายก็คงเกลียดตัวเองเหมือนกัน 

แต่เพราะพลิศร์ชอบตื๊อ เรียกว่าอ้อนบาทาดีกว่า เขาอยากมีพี่ชายเลยตามรังควานอลันไม่เลิก จนในที่สุดฝ่ายนั้นก็ยอมรับเขาเป็นน้อง และรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างในปัจจุบัน

ส่วนลลิณานั้นก็เกลียดเขาตามอลัน ที่จริงก็ไม่ถึงขั้นเกลียด เพียงแต่ยายนั่นคลั่งรักพี่ชายเขามากไปหน่อย พออลันไม่ชอบอะไรก็ไม่ชอบตาม 

“หรือไม่จริงคะ พี่เพิ่มเปลี่ยนผู้หญิงบ่อยอย่างกับเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“นั่นก็พูดเกินไป” เกินไปจริงๆ ใครจะเปลี่ยนบ่อยขนาดนั้น

“เลิกเถียงกันได้แล้ว ไปทานข้าวกันเถอะ” อลันเป็นกรรมการห้ามมวย

ชายหนุ่มช้อนตัวลูกสาวขึ้นมาแนบอกก่อนพาเดินไปที่ห้องทานข้าว ตาหวานยังรับประทานอาหารไม่ได้ เลยได้แต่นั่งดู

เมื่อมื้ออาหารจบลง ลลิณาก็พาลูกสาวไปให้นม ส่วนหนุ่มๆ ก็นั่งคุยกันต่อ

“อลัน นายเคยเมาแล้วมีอะไรกับผู้หญิงใช่ไหม” พลิศร์พูดเรื่องในอดีตขึ้นมาอย่างไม่มีอารัมภบท แถมยังพูดด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

ทว่าฝ่ายถูกถามนั้นแทบสำลักน้ำ

“ไอ้เพิ่ม จู่ๆ ทำไมถึงได้พูดถึงเรื่องนี้” อลันอยากจะบิดหูน้องชายเสียจริง ติดอย่างเดียวที่มีโต๊ะกั้นระหว่างกลาง จะเอื้อมแขนไปก็ไม่ถึง

เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นนานแล้ว และไม่ควรนำมาพูดอีก ไอ้เขาไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าหากเมียเด็กมาได้ยินคงเป็นเรื่อง

“มีเรื่องสงสัยจะถาม”

“อะไร”

“ตอนที่มีอะไรกัน นายรู้ตัวไหม” 

“ช่วยลดเสียงของนายลงด้วย” ลลิณาอยู่อีกห้อง ซึ่งมีเพียงผนังกั้น อลันไม่อยากให้เรื่องแบบนี้ระคายหูเมีย เพราะคนที่เดือดร้อนจะเป็นเขาเอง “ก็รู้สิ”

“เหรอ”

“ถามทำไม”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“เล่ามา” อลันเค้น อยู่ๆ มาถามเรื่องแบบนี้ก็ต้องมีเหตุ ไม่อย่างนั้นพลิศร์คงไม่ถาม

 

 พิมพ์พลอยกำลังทำงานอยู่ในห้องพักอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ที่ได้มาอยู่ที่นี่วันนี้เพราะอาจารย์มาภาเชิญให้เธอมาบรรยายในคลาส ซึ่งเป็นหัวข้อเดียวกับที่เธอกำลังทำธีสิส จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้มาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์แก่นักศึกษา

เมื่อหมดคลาสเธอเลยถือโอกาสนั่งทำงานต่อที่คณะเสียเลย

ปกติถ้าทำงานอยู่แบบนี้ มักจะมีข้อความจากพลิศร์ส่งเข้ามารบกวนสมาธิอยู่ตลอด แต่พักนี้ไม่มี ไม่มีมาเป็นสัปดาห์แล้ว มิหนำซ้ำเขาก็ไม่โทร. หา แถมยังไม่มาหาด้วย

ก็ดี!        

ดีมากเลยละ เธอจะได้มีสมาธิกับการทำงาน งานเสร็จเร็วเท่าไรยิ่งได้กลับไปหายายหนูแก้มอ้วนเร็วเท่านั้น 

ที่จริงพิมพ์พลอยมีกำหนดการณ์กลับและจองตั๋วเครื่องบินแล้วเรียบร้อย เพราะเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ได้เกือบครบแล้ว หญิงสาวจะกลับไปอเมริกาในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ถ้างานเสร็จเร็วขึ้น เธอก็จะเลื่อนวันเดินทางขึ้นมา

ตอนนี้จิตใจของคุณแม่ล่องลอยไปอยู่ที่ลูกสาวเรียบร้อยแล้ว วันนั้นที่พาลินน้อยร้องไห้ พี่สาวของเธอสอบถามก็ได้ความว่ายายหนูเสียใจที่ไม่มีคุณพ่อพาเล่นไอซ์สเก็ตเหมือนเด็กคนอื่น แม้จะมีหม่าม้าพัชร์เล่นเป็นเพื่อน แต่ผู้หญิงร่างเล็กอย่างหม่าม้าก็ไม่สามารถเล่นแบบผาดโผนได้อย่างผู้ชาย 

 ยายหนูอยากเล่นสนุกแบบเพื่อนบ้าง เลยคิดว่าหากมีคุณพ่อก็คงจะดี...

หลังจากพิมพ์พลอยได้ฟังที่พี่สาวเล่าก็สะเทือนใจ รู้สึกผิดต่อลูกน้อยอย่างสุดจะบรรยาย

“พลอย”

พิมพ์พลอยสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิดเมื่อมีผู้มาเยือน หันไปมองก็พบว่าเป็นคนคุ้นเคย

“ติ รู้ได้ไงว่าพลอยอยู่ที่นี่”

“เดินสวนกับพี่มาด้านล่าง เลยได้คุยกัน คุยไปคุยมาเลยรู้ว่าพลอยอยู่นี่” 

อติคุณรู้จักมาภาผ่านทางพิมพ์พลอย ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมาก เจอกันก็คุยเรื่องวิชาการเสียส่วนใหญ่ รัฐศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์มีเนื้อหาเกี่ยวพันกันเลยคุยกันได้

“เห็นพลอยบอกว่าศุกร์หน้าจะบินแล้ว เลยเข้ามาคุยเสียหน่อย กลัวจะไม่ได้คุยกันอีกนาน”

“แหม...นัดเจอกันก็ได้ พลอยไม่ได้งานยุ่งอะไรขนาดนั้น” 

“ก็ไม่รู้นี่ อีกอย่างก็เกรงใจ” เจอหน้ากันส่วนใหญ่เขาก็เห็นแต่พิมพ์พลอยนั่งหัวฟู คิ้วขมวดอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ 

“เกรงจงเกรงใจอะไรกัน ทักมาเถอะ ถ้าว่างก็ตอบ ถ้าไม่ว่างก็ตอบช้าหน่อย ว่าแต่หลังสอบมิดเทอมติว่างไหม ถ้าว่างก็บินไปเที่ยวแอลเอสิ ปีนี้พลอยคงได้ฉลองคริสต์มาสและปีใหม่อยู่นู่นเป็นปีสุดท้ายแล้ว ไปฉลองด้วยกันสิ” 

ลูกสาวของเธอปลื้มอติคุณมาก หากเขาไปฉลองคริสต์มาสด้วยพาลินคงมีความสุข

“เพื่อนติที่อยู่ซานดิเอโกก็อยากให้ไปหาเหมือนกัน ไว้จะลองคิดดูนะ เพราะติก็ยังไม่มีแพลนอะไร” 

“งั้นยิ่งต้องไปเลยติ” หญิงสาวโน้มน้าว ลอสแอนเจลิสกับซานดิเอโกอยู่ห่างกันไม่กี่ชั่วโมง เดินทางสะดวก 

“นั่นสิ สงสัยจะต้องแพลนไปฉลองปีใหม่ที่อเมริกาแล้วละ อยากเจอพาลินด้วย” น้ำเสียงอติคุณเหมือนจะพูดเล่น แต่เขาเริ่มวางแผนในหัวแล้ว “แล้วถ้าติไป จะไม่เป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของครอบครัวพลอยเหรอ”

“ไม่หรอก ปีนี้ป๊ากับม้าไปเยี่ยมญาติที่เมืองจีน ถึงป๊ากับม้าอยู่ก็ไม่รบกวนหรอก” เพื่อนลูกสาวทั้งคนพ่อกับแม่เธอยิ่งต้อนรับ

“แล้วพี่สาวพลอยล่ะ”

“เจ้พัชร์น่าจะอยู่ไทย มีแพลนจะเปิดร้านขนมปีหน้า คงไม่ไปไหน” 

ปกติเพียงพัชร์จะช่วยดูแลกิจการร้านเพชรของครอบครัวซึ่งมีอยู่หลายสาขา แต่ตอนนี้ระบบของร้านลงตัวแล้ว พี่สาวของพิมพ์พลอยจึงอยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ นั่นคือการทำเบเกอรี

“งั้นเหรอ”

“อืม” 

“ขอคิดดูก่อนแล้วกัน”

“คงคิดหนักเลยใช่ไหมทีนี้” หญิงสาวหรี่ตามองอย่างมีเลศนัย 

เธออ่านใจคนไม่เก่งหรอก แต่สำหรับเรื่องอติคุณกับพี่สาวของเธอ เธอคิดว่าตัวเองอ่านไม่ผิด อาจารย์อติคุณน่าจะสนใจเพียงพัชร์

ถ้าไม่สนใจเขาคงไม่ถามถึงบ่อยๆ และถามแบบมีความใคร่รู้อย่างจริงจัง ทั้งที่ทั้งสองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน 

“อะไร ทำไมมองติแบบนั้น”

“เปล๊า!” พิมพ์พลอยปฏิเสธเสียงสูงแบบที่ใครฟังดูก็รู้ว่ามีบางอย่างแอบแฝง “พลอยว่าพลอยกลับบ้านดีกว่า” 

ว่าแล้วก็เก็บแลปทอปยัดลงกระเป๋า หนีอติคุณเสียดื้อๆ ทิ้งให้อาจารย์หนุ่มทำหน้าสงสัยกับสายตาแปลกๆ นั่นของเธอ

 

ยังก้าวไม่พ้นตึกคณะ หญิงสาวก็ได้รับข้อความจากคนที่หายหน้าไปกว่าสัปดาห์ เธอเปิดอ่านแล้วกำมือแน่นอย่างเจ็บเคืองใจ ขาเรียวก้าวไปยังจุดหมายที่ชายหนุ่มส่งมาให้ทางโทรศัพท์ทันที

“ว่าไงพลอย ไม่เจอกันตั้งหลายวัน ไม่คิดจะยิ้มให้กันหน่อยเหรอ” พลิศร์ลดกระจกตรงเบาะหลังลงเพื่อทักทายพิมพ์พลอย

“ต้องการอะไร” หญิงสาวถามเสียงลอดไรฟัน อยากจะแว้ดใส่เขาเต็มทน แต่ติดตรงอยู่ในสถานศึกษา  

เขาส่งข้อความให้เธอมาพบที่ลานจอดรถ หากไม่มาก็จะขึ้นไปตามบนตึกคณะ เธอไม่อยากให้เขามาวุ่นวายในที่ทำงานของเธอ จึงได้ลงมาพบอย่างเสียไม่ได้ 

“ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย” เขาไม่ตอบคำถาม แต่ชวนกินข้าวอย่างหน้าตาเฉย

“ไม่ไป” ตอบอย่างไม่ต้องคิด

“ไม่ไป? งั้นเพิ่มบีบแตรเรียกความสนใจนะ” เพราะเคยขู่แบบนี้แล้วเธอยอมตามใจ เลยเอามาใช้อีกครั้ง

พิมพ์พลอยเลยต้องขึ้นรถไปนั่งข้างเขาอย่างขัดอกขัดใจ

เมื่อหญิงสาวประจำที่เรียบร้อย พลิศร์ก็สั่งให้เลขาฯ ส่วนตัวเคลื่อนรถออกไป นาวินเพิ่งไปรับเขาจากสนามบิน พอออกจากท่าอากาศยาน คนเป็นเจ้านายก็สั่งให้ขับรถตรงมาที่มหาวิทยาลัยทันที

“หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเพิ่มไปทำงานที่ฮ่องกงมา และไปเยี่ยมอลันกับครอบครัวด้วย” เขาพูดขึ้นหลังจากรถเคลื่อนตัวมาได้สักพัก

“ไม่ได้อยากรู้”

“แค่พูดลอยๆ” ชายหนุ่มสวนกลับ เขาว่าเธอต้องสงสัยบ้างละ แต่ทำเก๊ก 

หลังจากนั้นภายในรถก็เงียบ จนกระทั่งพลิศร์พาพิมพ์พลอยมาที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านโปรดของพิมพ์พลอยซึ่งชายหนุ่มจำได้ไม่ลืม 

ทางด้านพิมพ์พลอยที่จำใจมาด้วยก็นึกแปลกใจที่เขายังจำรายละเอียดเกี่ยวกับเธอได้ แต่อีกใจเธอก็คิดว่าบางทีอาจเป็นเรื่องบังเอิญ เขาอาจลืมไปแล้วว่าเธอชอบกินอาหารญี่ปุ่นร้านนี้

“เพิ่มจองห้องวีไอพีไว้” เขาบอกก่อนจะลงจากรถ แล้วเดินนำเข้าไปในร้าน

หญิงสาวไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เธอคิดในใจว่าจะรีบกินแล้วรีบกลับ ดังนั้นจะห้องส่วนตัวหรือโต๊ะธรรมดาก็ไม่ได้มีผลอะไร

ทว่าความน่าตื่นเต้นมันเกิดขึ้นตอนที่กำลังก้าวขาเข้าร้าน 

“ป๊า ม้า...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น