9

9

9

 

“รอยแผลนั่น...” เธอกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็หยุดกลางคัน ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง แววตาสับสนว้าวุ่นราวกำลังคิดหนัก ทว่าสุดท้ายก็ยอมพูดออกมา “เป็นแผลผ่าคลอด”

“พลอยว่าไงนะ” เขาได้ยินชัดแล้ว แต่ถามย้ำเพื่อความมั่นใจ

พลิศร์คิดไว้เหมือนกันว่ามันจะต้องเป็นแผลผ่าคลอด แม่เขาก็มีรอยแผลแบบนั้น มันเกิดจากการให้กำเนิดเขา 

“ก็บอกว่าเป็นแผลผ่าคลอดไง” 

ท่าทางของพลิศร์มันทำให้เธอหงุดหงิด เขานิ่งและดูจะไม่แปลกใจ เหมือนรู้อยู่แล้ว เพียงแต่รอเวลาให้เธอพูดความจริง

“ลูกเพิ่มใช่ไหม” ถามแล้วก็รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เขาหวังจะให้เธอตอบว่า ‘ใช่’

“อืม” 

พลิศร์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่ผ่านมาหัวใจเขามันแห้งเหี่ยวมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้มันพองฟูขึ้นเมื่อได้รู้ว่าระหว่างเขากับพิมพ์พลอยมีสายใยที่เชื่อมถึงกัน

อันที่จริงแล้วเขาควรหนักใจ เพลย์บอยผู้รักอิสระไม่เคยปรารถนาอยากมีลูก ทว่าพลิศร์กลับมีความรู้สึกตรงข้ามกับคำว่า ‘หนักใจ’ เมื่อได้รู้ความจริงที่ว่าเขามีลูกกับพิมพ์พลอย

“แต่เขาไม่อยู่แล้ว” 

“หมายความว่าไง” ชายหนุ่มไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่หัวใจก็คล้ายว่าจะหล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้าแล้ว

“เขาเสียตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้แปดเดือน หมอเลยต้องผ่าออก” 

หญิงสาวเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไร้ความรู้สึก ทว่าภายใต้ความนิ่งมันมีความหวาดหวั่น พิมพ์พลอยภาวนาให้พลิศร์เชื่อเรื่องโกหกของเธอ 

“...” ชายหนุ่มนิ่งงันไปเลยทีเดียว หัวใจพองโตได้ไม่ถึงนาทีกลับเหี่ยวแฟบลงอีกครั้ง “ทำไมพลอยไม่บอกเพิ่ม”

เธออุ้มท้องมาได้ตั้งแปดเดือนโดยไม่บอกเขาเนี่ยนะ เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เธอควรปิดบังเขา 

“คุณทิ้งฉันไปอย่างไม่ไยดี จะให้แบกหน้าไปบอกได้ยังไง ฉันก็มีศักดิ์ศรีนะ” 

“แต่พลอยควรจะนึกถึงลูกในท้องก่อนสิ เด็กต้องการครอบครัวที่สมบูรณ์นะพลอย”

“คุณลองมาเป็นฝ่ายโดนทิ้งไหมล่ะ จะได้รู้ว่าการย้อนกลับไปหาคนที่มันทิ้งเรามันรู้สึกแย่แค่ไหน” ใช่ว่าพิมพ์พลอยไม่รู้ว่าเด็กต้องการพ่อแม่ที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า เธอเองก็เคยลังเลใจว่าจะบอกเรื่องลูกแก่เขา แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูด

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลิศร์ เขาเจ้าชู้ เดี๋ยวคบเดี๋ยวเลิกกับผู้หญิงไปทั่ว เธอไม่ต้องการให้ลูกมีพ่อแบบนี้

ถามว่ามีพ่อเจ้าชู้มันดูเป็นปัญหาใหญ่ขนาดนั้นเชียวเหรอ สำหรับพิมพ์พลอยคงตอบว่าใช่ เพราะประสบการณ์ของคนใกล้ตัวมันเตือนให้เธอต้องระวัง

อดีตสามีของอาจารย์มาภาเป็นคนมักมาก เขาเป็นอดีตดาราดังและเคยทำเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีท้อง แล้วเด็กคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเพื่อนสนิทของลูกสาวเขาเอง 

พิมพ์พลอยไม่รู้หรอกว่าในอนาคตพลิศร์จะเลวถึงขั้นนั้นไหม แต่เพื่อตัดปัญหาความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่บอกเขา ในสายตาของเธอเขายังไม่ดีพอที่จะเป็นพ่อใคร ดังนั้นก็ไม่ต้องเป็นมันซะเลย

อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้เลี้ยงลูกให้เกลียดพ่อ เมื่อพาลินน้อยถามถึงผู้เป็นพ่อ หญิงสาวก็เล่าเรื่องของพ่อให้ลูกฟังอย่างไม่ปิดบัง เธอเล่าแต่เรื่องดีๆ ของชายหนุ่ม เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยนาม ทั้งลูกสาวของเธอก็คงเด็กไปที่จะถามซอกแซกถึงบิดาผู้ให้กำเนิด

“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก ยังไงเขาก็ไม่อยู่แล้ว เปล่าประโยชน์ที่จะมาเถียงกัน”

“หากว่าในอนาคตเกิดเรื่องแบบนี้อีก พลอยต้องบอกเพิ่มนะ”

“ใช้สมองคิดสักนิดคุณพลิศร์ ฉันเจ็บแล้วจำ ไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นอีกแน่นอน” พิมพ์พลอยตอกกลับอย่างเหลืออด เป็นไปได้ก็อยากใช้คำพูดที่รุนแรงกว่านี้ตอกหน้าผู้ชายคนนี้ “และต่อจากนี้ไปเราคงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรต้องยุ่งเกี่ยวกันแล้ว”

“แต่...”

“ไม่ต้องมาตงมาแต่ ช่วยขับรถพาฉันไปส่งที่มหาวิทยาลัยที่เดิมด้วย” ตอนนี้อารมณ์พิมพ์พลอยกลับมาคงที่แล้ว น้ำตาก็เหือดแห้งหมดแล้ว ไม่ได้อ่อนไหวอีกต่อไป

“เพิ่มเสียใจนะพลอย” ชายหนุ่มทำตาละห้อย น้ำเสียงฟังดูแผ่วลง

“หยุด! อย่ามาดึงดรามา ช่วยไปส่งฉันที่เดิมก่อน จากนั้นจะไปร้องไห้คร่ำครวญที่ไหนก็ไป” หญิงสาวขึงตาใส่เขา อย่าคิดว่าเธอจะอ่อนโยน เพราะคนอย่างพลิศร์ไม่มีวันเสียน้ำตาให้อะไรง่ายๆ หรอก ที่เห็นอยู่ก็คงเป็นแค่การแสดง หรือถ้าเขาจะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่ใช่ธุระที่เธอต้องใส่ใจ 

“ทำไมถึงได้ปากร้ายจังนะ” เขาบ่นพึมพำให้ผู้หญิงปากร้าย ทว่ามือก็จับคันโยกเข้าเกียร์ถอยหลังเพื่อเคลื่อนรถออกจากช่องจอด 

วันนี้จะปล่อยเธอไปก่อน แล้วที่พิมพ์พลอยบอกว่าไม่มีเหตุผลต้องยุ่งเกี่ยวกันอีกนั้นมันก็จริงอยู่ แต่...ทำไมเขาจะสร้างมันขึ้นมาไม่ได้ล่ะ

คนอย่างพลิศร์สามารถหาเหตุร้อยแปดเพื่อมาเจอเธอให้ได้อยู่ดี ก็เหมือนตอนที่พบกันแรกๆ เขาทำทุกวิธีเพื่อจะได้พบหน้า ไปนั่งรอเธอสอนนักศึกษาทั้งวันก็ทำมาแล้ว

 

“หม่ามี้ขา”

“ว่าไงคะที่รัก ทำไมวันนี้หน้าตาดูไม่สดใสเลยคะ” 

เป็นประจำที่พิมพ์พลอยจะวิดีโอคอลหาลูกสาวในตอนเช้าและก่อนเข้านอน ในเช้าวันนี้ก็เช่นกัน ก่อนออกไปเก็บข้อมูลทำธีสิสเธอเป็นต้องได้ยินเสียงพาลินน้อยก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีแรงทำงาน

“สงสัยจะเล่นจนเหนื่อยละมั้ง” เป็นเสียงเพียงพัชร์ที่ตอบกลับมาแทน

ในช่วงบ่ายคุณป้าพาคุณหลานไปเล่นไอซ์สเก็ต ซึ่งเป็นกีฬาที่เจ้าแก้มอ้วนชื่นชอบ แต่ก็เล่นไม่เก่งหรอก ยังต้องให้หม่าม้าพัชร์ช่วยพยุงตัวอยู่

“เหนื่อยแบบนี้จะนอนเลยไหมคะ หรืออยากฟังหม่ามี้เล่านิทานก่อนดีเอ่ย” ที่เมืองไทยเป็นเวลาเช้า แต่แอลเอเป็นเวลาเข้านอนของยายหนูแล้ว พิมพ์พลอยมักจะสรรหานิทานมาเล่าให้ลูกสาวฟังทุกวัน

“พาลินอยากฟังนิทานค่ะ” เด็กหญิงบอกความต้องการ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันตา

เมื่อหลานสาวจะฟังหม่ามี้เล่านิทาน เพียงพัชร์เลยปลีกตัวออกมาทำธุระอย่างอื่น อย่างเช่นแพ็กของใส่กระเป๋านักเรียนให้ยายหลานสาว เพื่อเตรียมไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น ปกติหน้าที่นี้จะเป็นของลูพิต้า พี่เลี้ยงของยายหนูพาลิน แต่มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่เธอจะทำ เพียงพัชร์เลยทำไว้เองเสียเลย

“วันนี้อยากฟังเรื่องอะไรคะที่รัก”

“โกลดิล็อกส์/ค่ะ”

พิมพ์พลอยเดาไว้ไม่ผิดว่าต้องเป็นเรื่องนี้ พาลินน้อยชอบนิทานเรื่อง/โกลดิล็อกส์กับหมีสามตัว/มาก เธอสามารถเล่าให้ลูกสาวฟังโดยไม่ต้องเปิดหนังสือนิทานเลย เพราะเล่าหลายรอบแล้ว 

และหญิงสาวก็เริ่มเล่านิทานเรื่องโปรดของลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน...

มันเป็นเรื่องของหนูน้อยผมทองนามว่าโกลดิล็อกส์ที่เดินหลงป่า และบังเอิญไปพบบ้านของหมีสามตัว ซึ่งประกอบไปด้วยพ่อหมี แม่หมี และลูกหมี ในขณะที่หนูน้อยผมทองเข้าไปในบ้านหลังนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่ครอบครัวหมีพากันออกไปเดินเล่นนอกบ้านเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอให้ซุปซึ่งเป็นอาหารเช้าที่ตักใส่ชามไว้เย็นลง

หนูน้อยโกลดิล็อกส์ซุกซนตามประสาเด็ก เห็นถ้วยซุปที่วางอยู่บนโต๊ะส่งกลิ่นหอมอบอวลก็รู้สึกหิวเลยตักชิม โดยเริ่มจากถ้วยใหญ่สุดที่เป็นของพ่อหมี ซึ่งมันร้อนไป ลองชิมถ้วยกลางของแม่หมีก็ยังร้อนไป ส่วนถ้วยเล็กของลูกหมีนั้นอุ่นกำลังพอดี เธอจึงกินซุปในถ้วยนั้นจนหมด เมื่ออิ่มท้องก็รู้สึกง่วงจึงเดินเข้าห้องนอน ซึ่งมีเตียงอยู่สามหลัง สามขนาด หนูน้อยขึ้นไปนอนเตียงใหญ่และพบว่ามันแข็งเกินไป จึงย้ายไปนอนเตียงขนาดกลาง แต่มันก็นุ่มเกินไปสำหรับเธอ สุดท้ายจึงเปลี่ยนไปนอนบนเตียงเล็กซึ่งนุ่มกำลังดี

เมื่อครอบครัวหมีกลับมาจากเดินเล่นก็แปลกใจที่ถ้วยซุปของพวกมันมีร่องรอยการตัก และถ้วยของลูกหมีนั้นเหลือแต่ถ้วยเปล่า พวกมันเห็นร่องรอยของผู้บุกรุกบนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ สำรวจจนมาถึงห้องนอนก็พบว่ามีหนูน้อยผมทองกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงของลูกหมี ลูกหมีตัวน้อยโวยวายเสียงดังทำให้โกลดิล็อกส์สะดุ้งตื่น ด้วยความตกใจและหวาดกลัว หนูน้อยจึงลุกพรวดจากเตียง และวิ่งหนีออกจากบ้านไป...

“นับจากวันนั้นเป็นต้นมาครอบครัวหมีก็ไม่เคยเจอหนูน้อยผมทองอีกเลย...” 

ใช้เวลาเล่าไม่ถึงห้านาทีนิทานก็ถึงตอนจบ ปกติแล้วพาลินน้อยมักจะถามนู่นถามนี่หลังเธอเล่าจบ ทว่าวันนี้เจ้าตัวเล็กกลับเงียบจนผู้เป็นแม่ผิดสังเกต

“พาลิน หนูเหนื่อยเหรอคะ อยากจะเข้านอนเลยไหมที่รัก” พิมพ์พลอยสันนิษฐานว่าลูกน้อยคงเหนื่อย เพราะหากได้ไปเล่นไอซ์สเก็ตเมื่อไรยายหนูของเธอก็จะไม่ยอมหยุดพักจนกว่าจะหมดแรง 

“ถ้าโกลดิล็อกส์เข้ามาบ้านของเราคงไม่เตอซุปถ้วยใหญ่ และเตียงนอนใหญ่แบบของพ่อหมีใช่ไหมคะ”

 อาจารย์พิมพ์พลอยสะอึกกับคำถาม มันเป็นคำถามเรียบง่ายทว่าแฝงด้วยความหมายมากมายที่บาดแทงหัวใจผู้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างเธอ

ไหนจะเสียงเล็กอ่อยๆ บวกกับดวงตาสีนิลที่ดูละห้อยของพาลินน้อยนั่นอีก 

“ทำไมจะไม่เจอคะ ถ้าโกลดิล็อกส์เข้ามาบ้านเราจะเจอซุปถ้วยใหญ่กับเตียงนอนใหญ่ที่เป็นของอากงไงคะ” พิมพ์พลอยปลอบลูกสาว อากงที่ว่าคือพ่อของเธอ และเป็นคุณตาของพาลินนั่นเอง

ครอบครัวของหนูพาลินประกอบด้วยพาลิน อากง อาม่า หม่ามี้ และหม่าม้าซึ่งมีศักดิ์เป็นอาอี๊หรือคุณป้า

“พาลินหมายถึงคุณพ่อค่ะ พาลินไม่มีคุณพ่อ” เสียงน้อยๆ ฟังดูไม่สดใสเลยทำเอาหัวใจผู้เป็นแม่กระตุก

“พาลินมีคุณพ่อนะคะ” พิมพ์พลอยตอบทั้งที่ตอนนี้ใจไม่ดีเลย เธออยากจะมุดไปโอบกอดยายหนูของเธอใจแทบขาด 

หญิงสาวไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าในหัวน้อยๆ ของลูกสาวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ถึงได้ถามถึงพ่อด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ปกติพาลินไม่เป็นเช่นนี้เลย...หรือมีเหตุการณ์อะไรที่มากระทบจิตใจลูกสาวของเธอ

“แต่คุณพ่อไม่เคยมาหาพาลิน ฮึก...ฮือ...” ยายหนูฟุบหน้าลงกับหมอนก่อนจะปล่อยโฮออกมา 

“ที่รักอย่าร้องเลยนะคะ หม่ามี้สัญญาว่าสักวันพาลินจะต้องได้เจอคุณพ่อ” ทางด้านหม่ามี้ที่อยู่เมืองไทยนั้นใจจะขาดอยู่รอนๆ เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของลูกน้อย อยากเข้าไปอุ้มไปกอดก็ทำไม่ได้ ด้วยระยะทางที่ไกลกัน 

“พาลิน เป็นอะไรคะ” เพียงพัชร์ที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของหลานสาวก็รีบวิ่งเข้ามาในห้องนอนของยายตัวเล็กทันที ก่อนจะช้อนตัวพาลินน้อยเข้าสู่อ้อมกอด

ยายหนูยกแขนอวบขึ้นเช็ดน้ำตา ปากเล็กอมชมพูเบะออกทั้งยังเปล่งเสียงสะอื้น จมูกเล็กพยายามสูดน้ำมูกใสๆ กลับเข้าไป 

“พลอย เจ้ขอวางสายก่อนนะ ถ้าพาลินนอนแล้วเดี๋ยวเจ้โทร. กลับ” ที่เพียงพัชร์รีบตัดสายส่วนหนึ่งเพราะต้องการให้พิมพ์พลอยรีบไปทำงาน 

“ก็ได้ค่ะ” พิมพ์พลอยไม่ได้ยื้อ แม้จะห่วงลูกแทบตาย แต่เธอเชื่อใจพี่สาว

และพาลินก็ไว้ใจหม่าม้าไม่ต่างจากหม่ามี้พลอยเลย 

“ยังไม่ออกไปทำงานหรืออาพลอย” เกรียงศักดิ์ที่เพิ่งกลับจากไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านเห็นลูกสาวยังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวก็แปลกใจ เพราะเวลานี้พิมพ์พลอยจะต้องออกไปหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์แล้ว

“เพิ่งคุยกับพาลินเสร็จค่ะป๊า”

“งั้นเหรอ ยายหนูจะเข้านอนรึยัง ป๊าเองก็อยากคุยกับหลาน” 

“นอนแล้วค่ะ ไว้ค่อยโทร. ตอนเย็นแล้วกันนะป๊า” คนเป็นลูกสาวรีบตัดบท ที่ต้องโกหกเพราะไม่อยากให้อากงต้องเป็นกังวลหากรู้ว่าหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนกำลังร้องไห้ “แล้วม้าไปไหนคะ ไม่ได้ไปเดินเล่นด้วยกันเหรอ”

“หม่าม้าเข้าไปดูร้านตั้งแต่เช้าแล้ว” ร้านที่ว่าคือร้านขายเพชรของครอบครัวซึ่งตั้งอยู่บนห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง

“ถ้างั้นพลอยขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” 

“ขับรถดีๆ นะ”

 พิมพ์พลอยมาทำงานด้วยใจไม่เป็นสุข เพราะในใจมัวแต่พะวงเรื่องลูกสาว และเอาแต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าเธอทำถูกหรือไม่ที่ปิดบังเรื่องลูกกับพลิศร์

เธอกับพลิศร์อาจไปต่อกันไม่ได้ แต่เขามีสิทธิ์จะรู้ว่าตัวเองมีลูกสาว ทว่าเธอกลับปิดไว้ จะว่าเป็นความเห็นแก่ตัวก็ได้ พิมพ์พลอยไม่ต้องการให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตเธออีก แม้จะเป็นเพียงในฐานะพ่อของลูกก็ตาม

แต่เธอไม่เคยถามความต้องการของลูกเลย...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น