8

8

8

 

หลังจากเหตุการณ์ในเช้าวันนั้น พลิศร์ไม่ได้ติดต่อปริมรดาอีกเลย อันที่จริงพวกเขาไม่ค่อยได้ติดต่อกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ ซึ่งเขาควรจะติดต่อเพื่อถามไถ่อะไรสักหน่อย ทว่าสุดท้ายพลิศร์ก็ไม่ทำ

ในเมื่อปริมรดาบอกว่าไม่ต้องการความรับผิดชอบ เขาเองก็จะเคารพการตัดสินใจนั้น ฟังดูแล้วอาจไม่เป็นสุภาพบุรุษ ก็แน่นอนคำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ ไม่มีในพจนานุกรมของเขา อีกอย่างพลิศร์รู้ดีว่าปริมรดาก็เป็นคนรักสนุกและไม่ชอบผูกมัดคนหนึ่ง เธอก็เหมือนเขานี่แหละ 

ดังนั้นเรื่องในวันนั้นมันจึงเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดที่ต่างฝ่ายต่างไม่อยากจดจำ...

ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตตามปกติ การใช้ชีวิตของเขาในแต่ละวันคือทำงานและตามตอแยพิมพ์พลอย

ไม่ได้เจอหน้าค่าตาหลายวันพลิศร์จึงมาดักเจอพิมพ์พลอยที่มหาวิทยาลัย ชายหนุ่มรู้ข่าวจากมาภา พอรู้ก็รีบบึ่งรถมาทันที ทิ้งงานเอกสารที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จภายในวันนี้ไว้ให้เลขาฯ หนักใจ     

ชายหนุ่มเห็นพิมพ์พลอยเดินลงมาจากตึกคณะ หญิงสาวกำลังเดินมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่ง จึงใช้โอกาสนี้ขับรถเลียบไปกับฟุตพาท แล้วลดกระจกรถลง

“พลอย ขึ้นรถ” เขาตะโกนเรียกหญิงสาวที่กำลังทำไม่รู้ไม่ชี้ เธอเห็นเขาแล้วแต่ยังเมิน “ถ้าไม่ยอมขึ้น เพิ่มจะบีบแตรให้คนมองกันทั้งมหาวิทยาลัยเลย”

“หึ่ม!” พิมพ์พลอยหยุดเดินแล้วหันมอง กัดปากกัดฟันอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมเปิดประตูรถสปอร์ตขึ้นไปนั่งข้างเขาแต่โดยดี “มีอะไร!” 

เสียงเธอแหลม และมันดังพอที่จะทำให้พลิศร์หันมองขวับ

ตั้งแต่พบกันอีกครั้งในรอบสี่ปี พิมพ์พลอยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะ บางครั้งก็เปลี่ยนมากไปจนเขาเกินจะรับได้ อยากให้เธอคนเดิมกลับมาสิงร่าง

“ทำไมต้องตวาดแว้ดแบบนั้นด้วยพลอย พูดดีๆ ก็ได้ แก้วหูจะแตก” พลิศร์พูดขึ้นเมื่อคนตัวเล็กขึ้นมานั่งบนรถแล้ว นอกจากน้ำเสียงของเธอจะไม่น่าฟังแล้ว กิริยาก็ไม่น่าดูอีกต่างหาก พิมพ์พลอยกระชากปิดประตูรถอย่างแรง 

“คุณบังคับให้ฉันขึ้นรถ ยังหน้าด้านมาคาดหวังให้พูดดีด้วยงั้นเหรอ” คิ้วสวยขมวดเป็นปม แถมยังมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

“พูดไม่เพราะเลยนะ ไปหัดมาจากไหน” เห็นเธอดูเดือดดาล น้ำเสียงของพลิศร์ก็เบาลง

พิมพ์พลอยเวอร์ชันนี้แซ่บจนแสบทรวงเลยละ โดยเฉพาะคำพูดคำจา

“ตกลงมีธุระอะไร” ถามด้วยสีหน้าแสนจะรำคาญ 

“เดี๋ยวค่อยคุย” จากนั้นก็ตั้งใจขับรถไม่ปริปากพูดอะไร 

เพราะที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้คอนโดมิเนียมหรูของตน ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถนำรถเข้าจอดยังที่จอดประจำ

“ฉันไม่ลงนะ มีอะไรก็พูดมา” 

พามาคอนโดส่วนตัวแบบนี้ นึกว่าเธอโง่รึไงว่าเขาต้องการอะไร พลิศร์จะไม่มีวันได้มันเป็นอีกครั้งแน่

“ไปคุยในห้องดีกว่า จะได้หาอะไรดื่มด้วย”

“ฉันจะคุยตรงนี้” เธอกอดอก และไม่มีทีท่าจะขยับตัวลงจากรถ

“ก็ได้ๆ” พลิศร์ยอมแพ้และเข้าประเด็นทันที “ขอดูรอยแผลเป็นตรงนั้นหน่อยสิ” 

“แผลอะไร”

“แผลเป็นตรงหน้าท้องไง” 

หลังได้ยินคำตอบ ความกังวลก็ฉายชัดในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้นเธอก็กำจัดมันออก ก่อนหันมาสบตากับนัยน์ตาคมกล้าสีนิล...

นั่นมันดวงตาของลูกสาวเธอชัดๆ 

“ไม่ให้ดู อยากรู้อะไรก็ถามมา” หากปฏิเสธไปเสียทุกอย่างมันจะทำให้พลิศร์สงสัยไปยิ่งกว่าเดิม เธอจึงเปิดโอกาสให้เขาถาม

“แผลนั่นเกิดจากอะไร”

“ผ่าตัดไส้ติ่ง”

พลิศร์ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ตอนแรกว่าเป็นแผลจากการผ่าตัดไส้ติ่ง และเธอก็ตอบตรงตามที่เขาคิดเอาไว้ แต่ทำไมมันถึงไม่น่าเชื่อนะ

“แต่ไส้ติ่งมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะพลอย”

“มันก็อยู่ตรงท้องน้อยด้านขวานั่นแหละ จะอยู่ตรงไหนได้อีก”

“ไม่ใช่ เพิ่มจำได้ มันอยู่ตรงกลาง ไม่ใช่ด้านขวา” เขาเถียง เพราะจำตำแหน่งของมันได้แม่นยำ

“คุณจำผิดแล้ว” พิมพ์พลอยเองก็ตั้งหน้าตั้งตาเถียงกลับเช่นเดียวกัน ยกนี้เธอจะแพ้ไม่ได้

“งั้นเหรอ” คนตัวโตโน้มตัวเข้าหาหญิงสาว จับจ้องดวงตาของเธอไม่วางตาราวกับจะจับผิด มือหนาปลดสายคาดเข็มขัดนิรภัยออกจากคนตัวเล็ก 

“จะทำอะไร” แม้จะทำเป็นเก่ง แต่แวววูบไหวในนัยน์ตาสีน้ำตาลก็บ่งบอกว่าเธอกำลังประหม่า

“จับผิดคนโกหก” 

“ออกไปไกลๆ เลยนะ” 

ใบหน้าคมคายเคลื่อนเข้าหาเธอในระยะประชิดจนต้องหันหน้าหนีไปทางประตูรถ อีกไม่กี่มิลลิเมตรปลายจมูกก็จะสัมผัสกับแก้มนวลเนียนที่ซับสีเลือดจนเป็นสีอมชมพู ทั้งเขายังจงใจเป่าลมหายใจรดใบหน้าและต้นคอจนขนอ่อนชูชัน

“เพิ่ม!” พิมพ์พลอยแหวลั่น

ถ้าไม่อยู่บนเตียง ก็มีแต่ตอนโมโหนี่แหละที่พิมพ์พลอยหลุดปากเรียกเขาด้วยชื่อเล่น แต่ถามว่าคนหน้ามึนสนไหม...ก็ไม่ เขาไม่ยอมเขยิบออกห่าง แถมมือหนาที่วนเวียนอยู่บนหน้าท้องแบนราบยังเลิกชายเสื้อเธอขึ้น 

“หยุดนะ!” มือเล็กทั้งสองข้างผลักอกหนาด้วยแรงที่มีทั้งหมด แต่ไม่สามารถทำให้เขาออกห่างได้ 

ว่าที่ดอกเตอร์รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร 

ชายหนุ่มปลดตะขอกางเกงของเธอด้วยมือข้างเดียว ก็พิสูจน์ให้เห็นกับตาเลยว่าเขาจำไม่ผิดว่ารอยแผลเป็นมันอยู่ตรงกลางบริเวณท้องน้อย เขารูดซิปกางเกงลงและแหวกรอยแยกออกจากกัน จากนั้นก็เลิกชายเสื้อของเธอขึ้น รอยแผลเป็นนูนเด่นปรากฎอยู่บริเวณกลางท้องน้อย

“เห็นไหม เพิ่มบอกแล้วว่าจำไม่ผิด” พูดชิดริมกกหูขาว 

พิมพ์พลอยยอมแพ้ เธอไม่โต้แย้งและเอาแต่เงียบ ทว่าใบหน้ากลับบึ้งตึง แต่นั่นไม่ได้ทำให้พลิศร์รู้สึกกลัวเลยสักนิด มันดูน่ารักในสายตาเขาเสียด้วยซ้ำ

ว่าแล้วก็ขโมยจุมพิตริมฝีปากแดงระเรื่อของคนน่ารักหนึ่งที

“เพิ่ม!” กำปั้นเล็กทุบเข้าที่กลางอกสามศอกหนึ่งทีโดยไม่ออมแรง

คนตัวโตไม่สะทกสะท้าน และดูท่าเขาจะติดใจความนุ่มและรสชาติของริมฝีปากบางเสียด้วย แค่สัมผัสเพียงแผ่วเบามันไม่หนำใจ จึงทาบทับปากหนาลงไปที่ความนุ่มหวานนั่นอีกครั้ง

ครานี้ไม่ใช่แค่จุมพิต แต่เป็นจูบที่ดูดดื่ม ชายหนุ่มมีชั้นเชิงเหนือกว่า และรู้วิธีที่จะทำให้เธอโอนอ่อนตาม แบบนี้พิมพ์พลอยที่ว่าเกลียดเขานักหนาก็ไปไหนไม่รอด เธอเปิดทางให้เขารุกล้ำเข้าหาความหอมหวานอย่างต้านทานไม่ได้ ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกับหญิงสาว ทั้งดูดซับน้ำหวานที่รสชาติดีปานน้ำผึ้ง

“อื้อ” เมื่อสติเริ่มกลับมา พิมพ์พลอยก็ครางประท้วง

เธอทำได้เพียงส่งเสียงอืออาในลำคอ ไม่มีแรงต่อต้านเพราะถูกคนตัวโตดูดไปหมด

“อือ...อ่อย”

“ก็เห็นอยู่ว่าพลอยเองก็ต้องการเพิ่ม จะปฏิเสธทำไม” พลิศร์ผละออกมาพูดชิดริมฝีปากบาง ก่อนจะบรรจงจูบเธออีกครั้ง

“อื้อ!” คราวนี้สติพิมพ์พลอยกลับมาร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะถูกจี้ใจดำด้วยคำพูดที่ว่าเธอต้องการเขา

ใช่...ร่างกายเธออาจไม่ปฏิเสธพลิศร์ แต่ว่าด้วยเหตุและผลต่างๆ นานา มันไม่สามารถทำให้ทำใจยอมรับได้ว่าเธอต้องการเขา

“โอ๊ย!” คนตัวใหญ่กว่าร้องเสียงหลงเมื่อโดนหยิกเข้าที่สีข้าง และเขาก็ต้องปล่อยเธอเป็นอิสระโดยปริยาย “เจ็บนะพลอย”

“ก็บอกให้ปล่อยไง” เธอถลึงตาใส่คนหน้ามึน ที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่นึกถึงใจเธอบ้างเลย

“อยากให้ปล่อยจริงๆ เหรอ” ถามด้วยแววตากรุ้มกริ่ม 

“...” พิมพ์พลอยนิ่งเงียบ เธอมองตรงไปเบื้องหน้าด้วยสายตาที่อ่านยาก

“เป็นอะไร”

“ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ คุณก็ยังเห็นฉันเป็นเพียงสิ่งของที่เอาไว้ตอบสนองความต้องการของตัวเอง” พิมพ์พลอยมองเขาด้วยสายตาเจ็บแค้น และที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือร่างกายไม่รักดี มันโอนอ่อนตามการชักจูงของพลิศร์ “คุณคงคิดว่าฉันง่ายเหมือนเดิมใช่ไหม”

คนหน้ามึนที่ทำตาวับวาวในตอนแรกถึงกับหน้าเจื่อนเมื่อเห็นคนตัวเล็กดูแปลกไป มันแปลกไปในทางที่ไม่ดีนัก เพราะเสียงหวานนั้นเริ่มสั่นเครือ

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า” พูดพลางยื่นมือไปปัดปรอยผมที่ปกใบหน้าเรียวทัดหลังหู 

และแน่นอนพิมพ์พลอยปัดมือหนาออกอย่างไม่ไยดี

“ไม่ใช่? แล้วที่ทำอยู่หมายความว่าไง” คราวนี้คนตัวเล็กหันมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่กลัวเกรง แม้น้ำเสียงจะยังไม่มั่นคงก็ตาม “คุณคงตื่นเต้นกับพิมพ์พลอยคนใหม่ แต่พอได้จนเบื่อแล้วก็คงจะเขี่ยทิ้งเหมือนฉันเป็นผักปลาเหมือนเดิม”

“ไปกันใหญ่แล้วพลอย”

“แล้วที่ทำอยู่คืออะไร! บังคับฉันให้ขึ้นรถมากับคุณ จากนั้นก็ล่อลวงพาขึ้นห้อง ถามจริงเถอะคุณพลิศร์...คุณจะทำกับผู้หญิงที่คุณรักแบบนี้ไหม” ถามเองก็เจ็บเอง เจ็บตรงที่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร เธอก็ไม่ใช่คนที่เขารักอยู่ดี

ทางด้านพลิศร์ที่ไม่เคยมอบหัวใจให้หญิงใดมาก่อน ก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร...

ที่ผ่านมาหากพอใจใคร เขาจะพยายามเข้าหาอย่างไม่อ้อมค้อม จะแสดงออกตรงๆ ว่าอยากอยู่ใกล้และสัมผัสตัวเธอ และแน่นอนมันหมายถึงการอยากมีเซ็กซ์ด้วย

“คงไม่สินะ” 

เมื่อชายหนุ่มไม่ตอบพิมพ์พลอยจึงทึกทักไปเอง และเมื่อเขาไม่ปฏิเสธอีก มันยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า ‘เขาไม่รัก’ 

“พลอย” เสียงเข้มขานชื่อหญิงสาวแผ่วเบา เขาเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นของเหลวใสหลั่งรินจากหน่วยตาคนตัวเล็ก ไม่มีเสียงสะอื้นหลุดรอดจากริมฝีปาก ทว่าตอนนี้ดวงตาใสกลับปิดบังความขมขื่นไว้ไม่มิด

เธอเบือนหน้าหนีและใช้หลังมือบอบบางเช็ดน้ำใสๆ นั่น ทว่ามันกลับไหลไม่หยุด น้ำตาพิมพ์พลอยคือของแสลงสำหรับพลิศร์ เขาไม่ชอบให้เธอร้องไห้ 

“เพิ่มขอโทษ” 

มันไม่ง่ายเลยที่คนอย่างพลิศร์จะเอ่ยขอโทษใคร โดยพื้นฐานเขาเป็นคนอัตตาสูงพอตัว ไม่ยอมอ่อนให้ใครหรอก แต่ครั้งนี้เขาเต็มใจพูดมันออกมา หากว่าจะทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง 

“หยุดร้องเถอะนะพลอย เพิ่มขอโทษแล้วไง”

“ไปให้พ้นหน้าเลยไป!” หญิงสาวตวาดเสียงดัง แค่คำขอโทษมันจะช่วยอะไรได้

“ก็พลอยร้องไห้อยู่ จะให้เพิ่มทิ้งพลอยได้ไง” แม้จะโดนตวาดแว้ด แต่ชายหนุ่มยังใจเย็นพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

เขาไม่ใช่คนแบบนี้หรอก ไม่เคยต้องยอมหรือคิดจะยอมให้ให้มาก่อนด้วย

“เมื่อก่อนคุณก็ทำ” เธอเกลียดเขา เกลียดที่เขาเคยทำเธอเจ็บแสบแต่ไม่เคยสำนึก

 ...

‘ที่เราทำอยู่ตอนนี้มันหมายความว่าไง’ 

พิมพ์พลอยก้มมองตัวเองที่มีผ้าห่มพันกาย ส่วนพลิศร์เองก็อยู่ในสภาพเปลือย มีเพียงผ้านวมปกปิดท่อนล่าง

‘นี่พลอย อย่าทำเป็นไม่เข้าใจโลกไปหน่อยเลย แค่มีอะไรกันมันไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นแฟนกัน รู้จัก friends with benefits ใช่ไหม’  

‘เพิ่ม...’ เธอเรียกชื่อเขาคล้ายกำลังเพ้อ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนค้อนทุบหัว 

‘พลอยคงไม่คิดว่าเราเป็นแฟนกันหรอกใช่ไหม’ ผู้ชายอย่างพลิศร์ไม่ชอบการผูกมัด หากว่าความต้องการของเขากับเธอไม่ตรงกัน ก็คงต้องแยกย้าย

‘คนเลว’ พิมพ์พลอยที่นิ่งเงียบอยู่นานเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายจากพลิศร์ ก่อนจะด่าเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงเป็นครั้งแรก พร้อมธารใสที่ไหลออกมาจากหน่วยตา มันคือความคับแค้น ความผิดหวัง ความเสียใจที่กลั่นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

‘เพิ่มไม่เคยบอกเลยนะว่าเราจะคบกัน และไม่เคยพูดให้ความหวังพลอยด้วย’ คนเลวแก้ตัวให้ตัวเองดูดี

 ใช่ เขาไม่พูด แต่การกระทำของเขาทุกอย่างมันทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่ามันเกินเพื่อน

‘ถ้าพลอยอยากเป็นมากกว่านั้น เพิ่มคงไม่ใช่ผู้ชายที่พลอยต้องการ เพราะเพิ่มไม่สามารถให้สิ่งที่พลอยอยากได้’ 

‘ฮึก’ หญิงสาวสะอื้นไห้ เธอพยายามกักเก็บเสียงแห่งความอดสูไว้ภายใน เพราะแค่น้ำตาที่ไหลรินก็ทำให้ดูน่าสมเพชมากพอแล้ว

จากที่เคยคิดว่าตัวเองฉลาด เธอคงเข้าใจผิด เพราะถ้าเธอฉลาดจริงคงจะทันเกมของผู้ขายคนนี้ แต่ไม่เลย...

‘พลอย หยุดร้องเลยนะ’ เขาไม่ชอบน้ำตาของผู้หญิง มันน่ารำคาญและทำให้หงุดหงิด “ถ้าไม่หยุดก็ไม่ต้องมาคุยกัน”

พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเตียง แต่งตัวอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ออกจากห้องไป ไม่ได้สนใจไยดีเลยว่ามีใครกำลังตรมเพราะน้ำมือของเขาเอง     

...

พลิศร์พอนึกออกว่าเมื่อก่อนเขาทำอะไรเธอไว้ พอคิดได้ก็ซึมลงกว่าเดิม ใช่ว่ารู้สึกดีที่ทำไปเช่นนั้น มันเป็นความโง่เขลาที่ไม่รู้จะรับมือกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร ในตอนนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดินหนีออกมา

“จะไม่ทำอีกแล้ว...” 

ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด และถ้าพิมพ์พลอยหันมาสบตาสักนิดก็จะเห็นความละอายใจในดวงตาสีนิล แต่เธอไม่ไหวติงและยังปล่อยให้น้ำตาไหลรินเปื้อนแก้มโดยไม่คิดจะเช็ดมันออกอีก

มือหนาจึงยื่นไปด้านหน้าหวังจะปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มนวลออก ทว่าคนตัวเล็กกลับคว้ามือเขาไว้และกัดหมับเข้าให้ไม่ยั้งแรง พลิศร์ไม่คิดจะชักมือออก เขานิ่งและปล่อยให้เธอกัด

ความคมของฟันเจาะทะลุผิวหนังสร้างความเจ็บปวดและบาดแผลให้ผู้ชายตัวใหญ่ได้ แต่มันคงไม่สาหัสเท่าแผลที่หัวใจของหญิงสาวที่เขาเคยสร้างไว้เมื่อสี่ปีก่อน

เจ็บแค่นี้เขาทนได้

พิมพ์พลอยสัมผัสได้ถึงรสชาติแปร่งปร่าจากของเหลวสีแดง ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกิดจากรอยฟันของเธอ หญิงสาวจึงยอมปล่อยมือหนาให้เป็นอิสระ

เธอนั่งตัวตรงและสายตายังมองไปด้านหน้า

“รอยแผลนั่น...” เธอกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็หยุดกลางคัน ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง แววตาสับสนว้าวุ่นราวกำลังคิดหนัก ทว่าสุดท้ายก็ยอมพูดออกมา “เป็นแผลผ่าคลอด”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น