7

7

7

 

“ตาเพิ่ม ลูกไม่สบายรึเปล่า“ พิราอรเห็นลูกชายกลับเข้าบ้านในคืนวันศุกร์จึงรู้สึกแปลกใจ 

ปกติหากไม่พาสาวไปกกที่คอนโดจนถึงเช้า ก็ไปเมาหัวทิ่มอยู่ในผับให้เพื่อนหามกลับ แต่วันนี้พลิศร์กลับบ้านแต่หัววัน เธอเลยสงสัยว่าจะป่วยรึเปล่า

“เปล่านี่ครับ” พลิศร์ตอบคำถามหน้าตาย

“แปลก” พิราอรหรี่ตามองอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าไม่มีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกชาย

“แล้วไม่ดีเหรอครับ” ชายหนุ่มปรายตามองผู้เป็นแม่ รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อยกับสายตาที่ท่านมองมาคล้ายว่าจะจับผิด

คยกับแม่พอเป็นพิธีแล้ว พลิศร์ก็ขอตัวเดินขึ้นห้องนอน ระหว่างที่กำลังเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เขาก็หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายของวัน

ก่อนหน้านี้พลิศร์ให้เลขาฯ คนสนิทไปสืบหาข้อมูลของอติคุณ อยากรู้ว่ามันเป็นคนแบบไหน ทำไมพิมพ์พลอยถึงให้ความสนิทด้วย

‘คุณเพิ่มครับ ผมได้ชื่อมาแล้วนะครับ ส่งไปในแชตแล้ว’ 

‘อืม ขอบใจ’

“ว่าแต่คืนนี้คุณเพิ่มจะกลับบ้านเลยใช่ไหมครับ’ นาวินถามคำถามนี้เป็นรอบที่สามของวัน

“เออ ถ้าถามอีกรอบ ปลายปีนี้จะตัดโบนัสสามสิบเปอร์เซ็นต์’ 

สิ้นคำขู่เท่านั้นละนาวินจึงได้ขอตัวออกไปเงียบๆ 

เมื่ออยู่ในห้องคนเดียวแล้ว พลิศร์จึงหยิบสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมาเปิดอ่านข้อมูลที่ลูกน้องส่งมาให้

‘อติคุณ คุณสวัสดิ์’ คือชื่อและนามสกุลของผู้ชายคนนั้นที่เขาให้เลขาฯ ไปสืบมาให้ พลิศร์จึงเจียดเวลางานในข่วงบ่าย ค้นหาชื่อนี้ในอินเทอร์เน็ต พอพิมพ์ชื่อแล้วกดค้นหา ก็พบว่าอติคุณค่อนข้างมีชื่อเสียงในแวดวงวิชาการ

จากข้อมูล อติคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ และตอนนี้ก็เป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

จบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง

‘เหอะ! ก็งั้นๆ’

แถมยังได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยในกลุ่มไอวีลีก

‘แล้วไงวะ ไม่เห็นจะน่าสนใจ’

พลิศร์พูดจากระแนะกระแหนตลอดเวลาขณะอ่านประวัติของอติคุณ พออ่านประวัติการศึกษาคร่าวๆ แล้ว เขาก็กดย้อนกลับมาอ่านบทความที่อติคุณเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่ง ถือเป็นอาจารย์หนุ่มที่ฮอตระดับหนึ่งในหมู่สาวๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้รับเชิญไปสัมภาษณ์

‘ผมชอบผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ถ้าเซ็กซี่ด้วยก็คงดี’ พลิศร์จีบปากจีบคออ่าน ทั้งเบะปากใส่ ก่อนจะชะงักเมื่อมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว

นี่มันพิมพ์พลอยในเวอร์ชันต้มแซ่บนี่หว่า ไม่หรอก พลอยคงไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อนายนั่น 

หรือว่าจะใช่! 

ไม่ ต้องไม่ใช่สิ

สายตาคมยังคงเลื่อนอ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับแสดงความคิดเห็น และยังเถียงกับตัวเองในใจ

ไอ้ติไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แถมไม่ชอบเที่ยวกลางคืนด้วย

‘ใช้ชีวิตได้น่าเบื่อชะมัด’ 

แต่นี่มันสเปกผู้ชายในฝันของพิมพ์พลอยเลยนี่!

พิมพ์พลอยไม่ชอบเที่ยวกลางคืน แปลกไหมล่ะ เธอเปิดบาร์แต่กลับไม่ชอบท่องราตรี

หญิงสาวแค่หลงใหลในศาสตร์การชงเครื่องดื่มแค่นั้น เธออาจจะดื่มบ้าง ทว่าไม่ดื่มหนัก

แต่เมื่อก่อน หากเขาชวนไปเที่ยว เธอก็ไม่เคยปฏิเสธ ถึงปฏิเสธเขาก็หาวิธีหลอกล่อเธอจนได้ อย่างเช่นแกล้งทำเป็นงอน และวิธีนี้น่ะก็ได้ผลดีที่สุด 

แต่แล้วเสียงเตือนสายเรียกเข้าจากสมาร์ตโฟนก็ดึงให้เขากลับออกมาจากห้วงความคิด มือใหญ่จึงล้วงเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกจากกระเป๋ากางเกง มองดูหน้าจอเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อเพื่อนเลยกดรับสายและทักทายอย่างสนิทสนม

“ว่าไง” 

“คืนนี้สี่ทุ่ม ที่เก่า” ปวัตน์โทร. มานัดหมายเวลาเหมือนเช่นเคย “วันนี้มีเด็กมาใหม่ให้มึงเลือกเพียบ”

“ไม่ไป”

“หา! ว่าไงนะ” เพื่อนสนิทดูจะแปลกใจ เป็นคนที่สามของวันนี้ที่คลางแคลงใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพลิศร์ “มึงปฏิเสธเป็นด้วยเหรอ”

“กูเหนื่อย อยากพักผ่อน แค่นี้นะ” พูดจบก็ตัดสายทิ้ง ไม่รอให้อีกฝ่ายถามอีก

เขาแค่อยากลองปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นบ้าง อยากใช้ชีวิตแบบเฮลทิในค่ำคืนวันศุกร์ งดเหล้ายาปลาปิ้ง รวมทั้งนารี และเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ

ว่าแต่...วันนี้ยังไม่ส่งข้อความหาใครบางคนเลยนี่นา

 Palis : พลอย นอนยัง/

 Palis : รับสายหน่อยสิ/

แล้วพลิศร์ก็กดต่อสายถึงหญิงสาว และก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เธอตัดสายเขาอีกแล้ว 

ชักจะหงุดหงิดแล้วนะพลอย...

ว่าแล้วก็อยากสูบบุหรี่สักมวน พลิศร์จึงหยิบซองบุหรี่และไฟแช็กจากลิ้นชักหัวเตียง ก่อนเดินออกไปที่ระเบียงห้องนอน

‘ก็บอกว่าไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ อย่ามาใกล้!’

ขณะคาบบุหรี่ไว้ที่ปากและกำลังจะจุดไฟ เสียงของคนตัวเล็กก็ดังขึ้นในหัวขัดอารมณ์เสียก่อน พลิศร์จึงโยนบุหรี่ทั้งหมดรวมทั้งไฟแช็กลงถังขยะ

เออ...ไม่ดูดก็ได้วะ! จะหักดิบเลยคอยดู

 

ในค่ำคืนวันเสาร์มีงานเลี้ยงของบริษัทที่เลี่ยงไม่ได้ พลิศร์จึงต้องเข้าร่วม ก็เขาเป็นถึงรองประธานคณะกรรมการบริหาร อีกไม่นานจะครบวาระการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่แล้วด้วย ครั้งนี้ เจตน์ อัศวกุล ตั้งความหวังไว้ว่าลูกชายคนเล็กจะได้ขึ้นเป็นประธานกรรมการ

“ว่าไงไอ้ลูกเมียน้อย” จิรเมธเดินเข้ามาทักทายจากด้านหลัง ที่จริงแล้วประโยคนั้นมันน่าจะเป็นประโยคหาเรื่องมากกว่าจะเป็นการทักทาย

พลิศร์ล่ะเกลียดลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้เสียจริง เรียนจบก็สูง สภาพแวดล้อมที่เติบโตขึ้นมาก็ไม่ได้แย่ ทำไมถึงได้ชอบเอาปมด้อยคนอื่นมาล้อนัก

“ไงครับ ไอ้ลูกเมียหลวง” พลิศร์ตอกกลับ เอาสิ อย่าคิดว่าเขาจะยอมให้ข่มฝ่ายเดียว

จิรเมธเป็นลูกชายของคุณลุง อายุไล่เลี่ยกันกับเขา พลิศร์อายุสามสิบสาม ส่วนจิรเมธอายุสามสิบสี่ 

ดูจากการทักทายก็คงจะรู้ว่าทั้งสองเข้ากันได้ดี...

“ไอ้เพิ่ม” จิรเมธกำหมัดแน่นที่โดนยอกย้อน

เพราะมีปมที่พ่อไปมีบ้านน้อย จิรเมธจึงไม่ชอบหน้าพลิศร์ ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นลูกเมียน้อยของผู้เป็นลุง เจอกันทีไรเป็นต้องเข้าไปหาเรื่อง

“ทำไมครับไอ้เมธ” 

อันที่จริงพลิศร์ก็เบื่อที่จะมาต่อปากต่อคำเป็นเด็กๆ แบบนี้ แต่เลือดในกายเขามันเป็นเลือดนักสู้ ไม่ยอมคน จึงไม่อยากยอมใคร

“มึงหัดเจียมตัวบ้างนะ อย่ามาปากดีกับกู” 

“มึงเริ่มก่อนนะ” 

“ไอ้จองหอง นี่ถ้าคุณอาไม่หย่ากับเมียหลวง มึงกับแม่ที่เป็นเมียน้อยคงไม่ได้ออกมาเชิดหน้าชูคออย่างทุกวันนี้” เมียหลวงที่จิรเมธพูดถึงคืออดีตเมียแรกของพ่อพลิศร์

โดนด่ากระทบบุพการีแบบนี้เป็นใครใครก็ขึ้น พลิศร์เองก็เช่นกัน แต่เขามีภูมิคุ้มกันสูงเพราะโดนมาเยอะ และเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะยั่วโมโหเขาให้อาละวาดกลางงานเลี้ยง พลิศร์จึงนิ่งและไม่เล่นตามเกม เขากอดอกฟังฝ่ายนั้นด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง ระหว่างนั้นบริกรยกถาดไวน์เดินผ่านมา เขาเรียกไว้แล้วหยิบมาแก้วหนึ่ง ก่อนจะยกขึ้นจิบด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน

“เพราะฉะนั้นก็จำไว้ซะว่ากูกับมึงมันคนละระดับกัน” จิรเมธยังไม่ละความพยายามที่จะหาเรื่อง เขามักจะใช้คำพูดดูถูกและกดทับอีกฝ่ายให้ด้อยกว่า

“พูดจบแล้วเหรอ” พลิศร์เลิกคิ้วถาม “ถามจริง มึงอิจฉากูใช่ไหม”

“อิจฉา? อิจฉาอะไร” จิรเมธหัวเราะในลำคอด้วยความขัน มันมีอะไรให้เขาต้องอิจฉาลูกเมียน้อย

“ก็อิจฉาที่กูทำผลงานได้ดีเกินหน้าเกินตามึงไง นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่แล้ว ใครๆ ก็ว่ากูอาจจะได้ขึ้นเป็นประธาน มึงอิจฉากูเรื่องนี้ เลยเอาปมด้อยของกูมาพูด” ตอนแรกพลิศร์ก็ว่าจะนิ่ง แต่พอนิ่งแล้วมันก็ยังหาเรื่องเขาไม่เลิก ก็เลยต้องสวนกลับบ้าง

เขาไม่เถียงหรอกว่าเป็นลูกเมียน้อย

ก็มันเรื่องจริง

แม่เขาตกเป็นเมียน้อยพ่อโดยไม่ตั้งใจ มารู้ว่าผู้ชายที่ตัวเองรักมีครอบครัวแล้วก็ตอนตั้งท้องเขา แม่ไม่ใช่ผู้หญิงเด็ดเดี่ยว เพราะกลัวจะเลี้ยงเขาด้วยตัวคนเดียวไม่รอดเลยยังคงไม่ไปจากพ่อ อีกเหตุผลหนึ่ง...แม่ก็คงรักพ่อมาก

ตอนแรกพลิศร์ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นลูกเมียน้อย มารู้ก็ตอนอายุประมาณสิบสองปี ตอนนั้นเขาโกรธพ่อมาก แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ยอมกลับมาคุยกับพ่ออีกครั้ง 

ส่วนเมียหลวงของพ่อก็ขอหย่าขาดตั้งแต่รู้เรื่องว่าพ่อของเขาแอบมีบ้านน้อย หลังจากนั้นไม่กี่ปี พ่อกับแม่ของเขาก็จดทะเบียนสมรสและใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย ถ้าถามว่าพ่อกับแม่ของเขานั้นทำถูกไหม พลิศร์ก็คงตอบว่าไม่ 

ในเรื่องคู่ครอง พ่อของเขาไม่ใช่แบบอย่างที่ดีนัก พ่อเจ้าชู้และมีหลายเมีย แต่ในบทบาทอื่นพ่อทำได้ดีเลยทีเดียว พ่อเป็นนักธุรกิจที่ใครต่างให้การยอมรับ และในบทบาทความเป็นพ่อ พลิศร์ให้คะแนนพ่อเขาร้อยเต็มสิบ

“ประธานงั้นเหรอ ฝันกลางวันรึเปล่า ใครเขาจะเลือกมึง” สายตาของจิรเมธแสดงออกชัดเจนว่าดูถูก

“มึงรู้ดีแก่ใจไอ้เมธ ถ้าให้เลือกระหว่างมึงกับกูขึ้นไปนั่งตำแหน่งประธาน ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็ต้องเลือกกูอยู่แล้ว” ไม่ได้มั่นหน้าอย่างเดียว แต่พลิศร์มั่นใจมากด้วย 

“ใครจะเอาลูกเมีย...”

“พอเถอะ” พลิศร์ยกมือห้ามด้วยความรำคาญ “เบื่อจะฟังคำนี้แล้ว คิดจะกดกูให้ต่ำกว่ามึง ก็ไปทำงานให้เก่งกว่ากูนู่น อ้อ...ลืมไป ไม่มีปัญญา” 

พลิศร์ยิ้มมุมปาก ทั้งยังส่งสายตาเยาะเย้ย

คนที่ชอบถากถางคนอื่นอย่างจิรเมธ แต่ไม่ชอบให้คนอื่นทำเช่นเดียวกันกับตน จึงพุ่งเข้าหาผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องพร้อมกับกำหมัดขึ้น

“อะๆ คลายหมัดมึงซะนะ ถ้าคิดจะต่อย กูสวนนะครับ” แล้วพลิศร์ก็เคยสวนมาแล้วด้วย แค่หมัดเดียวก็ทำอีกฝ่ายล้มไม่ลุกเลย

จิรเมธคล้ายจะนึกถึงเหตุการณ์ครั้งเก่าที่เขาเคยอัดกำปั้นใส่หน้าพลิศร์ แล้วโดนสวนคืนทันควันได้ จึงชะงักมือ

“กูเห็นว่าอยู่กลางงานเลี้ยงบริษัทหรอกนะ ถึงไม่ทำมึง”

“ต่อให้อยู่ข้างนอกมึงก็ไม่กล้า”

“เวรเอ๊ย!” จิรเมธสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินหนีไป

ยกนี้พลิศร์ชนะ เขาคงต้องขอบคุณตัวเองที่ใจเย็น ไม่ชกหน้าคนเป็นลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่ที่มันด่ากระทบแม่เขา 

เมื่อลูกพี่ลูกน้องไปพ้นหน้าพลิศร์ก็เดินทักทายแขกในงาน ส่วนใหญ่ก็เป็นคู่ค้า นอกจากทักษะในการบริหารงานแล้ว ทักษะการเข้าสังคมพลิศร์ก็เป็นเลิศเช่นกัน ซึ่งมันทำให้เขาได้พบคอนเน็กชันดีๆ ที่คอยเกื้อหนุนธุรกิจ

หลังจากพบปะพูดคุยกับแขกในงานพอสมควร ก็ถึงเวลาที่สามารถออกจากงานเลี้ยงแล้วดูไม่น่าเกลียด ชายหนุ่มไม่มีแพลนว่าจะไปต่อที่ไหน จึงตั้งใจว่าจะตรงกลับบ้านทันที

 

พลิศร์ออกจากงานเลี้ยงแล้วเดินตรงมาที่ลานจอดรถทันที 

“คุณเมธจะทิ้งปัญหาให้ปริมแก้ไขคนเดียวไม่ได้นะคะ คุณเองต้องรับผิดชอบด้วย” 

ขณะเดินมาถึงลานจอดรถของโรงแรม พลิศร์กลับต้องชะงัก เพราะได้เจอจิรเมธกับปริมรดาซึ่งเป็นคนรักของจิรเมธตรงทางเข้าเสียก่อน แถมยังเป็นจังหวะที่ทั้งสองคนกำลังถกเถียงกันพอดิบพอดี 

ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากอยู่ในเหตุการณ์ผัวเมียทะเลาะกันเลย ตรงนี้เป็นมุมลับตาคน แต่เขาคงซวยเองที่เดินมาเจอเข้า...  ที่จริงแล้วจิรเมธกับปริมรดาไม่ได้ถึงขั้นเป็นสามีภรรยากันหรอก ทั้งสองแค่คบกันในฐานะคนรัก (แบบลับๆ)

เพราะจิรเมธเป็นคนเจ้าชู้ ไม่คบใครออกหน้าออกตา 

ผู้ชายตระกูลอัศวกุลเป็นอย่างนี้จากรุ่นสู่รุ่น มีแต่ชื่อเสียด้านผู้หญิง รักอิสระ เจ้าชู้ หลายเมีย ที่ว่ามานี้ก็รวมพลิศร์ด้วย  

“ไว้ค่อยคุยกัน” เมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาสอด จิรเมธก็ชักสีหน้า ก่อนเดินเลี่ยงไป

ปริมรดาดูลังเลว่าจะตามไปดีไหม แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่ไป

“ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ แต่มันเดินมาทางนี้พอดี” พลิศร์บอกปริมรดาที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น 

“ช่างเถอะ เพิ่มจะกลับแล้วเหรอ” 

“อืม”

ปริมรดากับพลิศร์เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยกัน เรียนคนละคณะ มาสนิทกันเพราะงานประกวดดาวเดือนตอนปีหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ห่างหายกันไป มาพบกันอีกครั้งก็ตอนที่ปริมรดาคบกับจิรเมธ

ที่จริงจิรเมธก็อยากปิดเรื่องที่คบกับปริมรดาไว้ แต่เขาดันฉลาดดูออก ไม่ตั้งใจมองยังรู้เลยว่าทั้งสองนั้นเป็นมากกว่าเพื่อน อีกอย่างปริมรดาก็เพื่อนเก่า เธอรู้จักเขาดีระดับหนึ่ง รู้ว่าพลิศร์ไม่ใช่คนปากโป้ง จึงไม่ปฏิเสธว่าคบกับลูกพี่ลูกน้องเขาอยู่

“ไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนหน่อยสิ” 

พลิศร์ดูคิดหนัก เขาว่าจะละแอลกอฮอล์ แต่ดูสีหน้าเพื่อนเหมือนมีเรื่องทุกข์หนัก หากปฏิเสธก็ดูใจดำ

สุดท้ายแล้วทั้งสองจึงมานั่งคุยกันที่บาร์โรงแรม

“เลิกกับมันไปเถอะปริม ไม่เห็นมีอะไรให้เสียดาย” เพื่อนระบายความอัดอั้นตันใจเรื่องแฟน แทนที่พลิศร์จะปลอบ ดันยุให้เลิกกันซะอย่างนั้น

เพราะเขาเห็นว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองทะเลาะกัน แต่มันเรื้อรังมาตั้งแต่เริ่มคบกันแล้ว หากคบกันแล้วมีแต่ปัญหาก็ควรจะแยกย้ายไปเริ่มต้นกับคนใหม่ หรือไม่ก็อยู่เป็นโสด ดีกว่าจะทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษเช่นนี้ 

“นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่มีเพื่อนดื่ม ปริมคงไม่ชวนเพิ่มมาด้วย” 

 “เพิ่มก็ปากหมาแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนที่ชวนดื่มคาดหวังอะไรล่ะ คำปลอบโยนงั้นเเหรอ” กับเพื่อน...พลิศร์ก็มักจะปากไม่ดีแบบนี้ละ เขาเป็นคนตรงพูดตรง 

แทนที่จะโกรธ ปริมรดากลับยิ้ม อันที่จริงก็ไม่ได้คาดหวังคำพูดดีๆ จากพลิศร์อยู่แล้ว เขายุให้เธอเลิกกับจิรเมธตั้งแต่ที่รู้ว่าคบกันด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่ถูกกัน

“แปลกแฮะ เพิ่มไม่ดื่ม” 

เธอเปลี่ยนเรื่องคุย ก็ตั้งแต่เข้ามานั่งในบาร์เธอไม่เห็นพลิศร์แตะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เลย จึงแปลกใจ ถึงจะไม่สนิทกันมาก แต่ก็พอรู้ว่าพลิศร์เป็นนักดื่มตัวยง

“อะไรดลใจ หรือผีมาเข้าฝันรึเปล่า” 

“แค่อยากลองเป็นคนดีดู” 

“งั้นเหรอ นึกว่าจะเหมือนตั้ม” ตั้มที่ปริมรดาเอ่ยถึงคือเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่ทั้งสองรู้จัก

“ตั้มทำไม”

“ก็ตั้งแต่เจอรักแท้ มันก็เปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลยทันที”

“มันมีแฟนแล้วเหรอ” เพื่อนคนนี้พลิศร์รู้จักดี ตั้มเป็นนักศึกษาคณะวิศกรรมศาสตร์เช่นเดียวกันกับเขา สำมะเลเทเมามาด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่งจนจบปีสี่ พอเรียนจบก็ไม่ค่อยได้เจอเพราะต่างคนต่างแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง 

“อืม สวยมาก และว่าที่พ่อตาก็หวงลูกสาวซะด้วย ตั้มมันถึงกับยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อให้พ่อของน้องเขายอมรับ” 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น