6

6

6

“ไม่ใช่แน่ ไส้ติ่งไม่ได้อยู่ตรงนั้น”

“คุณเพิ่มว่าอะไรนะครับ” นาวิน เลขาฯ ของพลิศร์ที่นั่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับหันมาหาเจ้านายที่นั่งเบาะหลัง เมื่อได้ยินเสียงพึมพำแต่ฟังไม่ถนัด

“เปล่า” พลิศร์ปฏิเสธ เขากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่คงคิดดังไปหน่อย

อันที่จริงก็ไม่เรื่อยเปื่อยหรอก ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ติดอยู่ในหัวเขาหลายวันจนทำลายสมาธิในการทำงานขนาดนี้

“อีกนานไหมกว่าจะถึง” 

เขากำลังเดินทางไปร่วมงานเสวนาวิชาการหัวข้อเศรษฐกิจระหว่างประเทศในฐานะวิทยากรรับเชิญที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในย่านที่การจราจรแออัดเป็นอย่างมาก นั่งอยู่ในรถมานานสองนานแล้วก็ยังไม่ถึงสักที

            ช่วงนี้นอกจากจะทำหน้าที่บริหารงานในบริษัทแล้ว พลิศร์ก็มักจะรับงานวิทยากร หรือไม่ก็ผู้บรรยายพิเศษในสถานศึกษาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี เผื่อวันหน้าได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งซีอีโอจะได้ไม่มีใครครหาได้

เมื่อก่อนใครๆ ก็ว่าพลิศร์เป็นเพลย์บอย ชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องผู้หญิง และสำมะเลเทเมา แต่เขาเอาอ่าว ถึงจะเจ้าชู้ ดื่มหนัก และเที่ยวจัด แต่ไม่เคยเสียการเสียงาน

ส่วนปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ แต่เพลาเรื่องผู้หญิงลงมากแล้ว เดี๋ยวนี้แทบไม่มีข่าวเสียหายเรื่องนี้เลย เพราะหากอยากได้เขาจะซื้อกินเงียบๆ ไอ้เรื่องจะไปหักอกใครนี่ไม่ทำอีกแล้ว

“จากตรงนี้ถ้าเดินไป ไม่เกินห้านาทีก็ถึงครับ” นาวินตอบเจ้านาย ตอนนี้พวกเขากำลังติดไฟแดง ติดมาเกือบยี่สิบนาทีแล้วเพิ่งขยับได้เพียงร้อยเมตร

“อีกกี่นาทีจะถึงเวลาที่ผู้จัดงานนัดไว้” พลิศร์ไม่เคยจำรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ เขาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเลขาฯ

“อีกสิบนาทีครับ” นาวินวางแผนไว้แล้วว่าในอีกห้านาทีหากรถยังไม่พ้นแยกนี้ เขาจะบอกให้เจ้านายลงเดิน

“งั้นฉันเดิน” พูดเสร็จก็หยิบแท็บเล็ตคู่ใจก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ แล้วมุ่งหน้าเดินไปยังสถานที่นัดหมาย

เมื่อบอสลงเดิน นาวินเองก็ต้องวิ่งตาม ถึงจะเอาแต่ใจ แต่ในบางมุมพลิศร์ไม่ใช่คนเรื่องมาก เขาไม่ชอบทำอะไรให้ยุ่งยาก อย่างเรื่องรถติดนี่ก็เหมือนกัน ชายหนุ่มไม่หงุดหงิดใส่ลูกน้องเลยสักนิด เพราะมันเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาเกินจะควบคุม

นักธุรกิจหนุ่มมาตรงตามเวลานัดพอดิบพอดี เขาพูดคุยกับวิทยากรท่านอื่นๆ และผู้ดำเนินรายการเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นเวทีเสวนา

 

ในฟากฝั่งของผู้เข้าฟังการเสวนา...

อติคุณกับพิมพ์พลอยกำลังลงชื่อเข้าร่วมงานอย่างเร่งรีบ เพราะงานจะเริ่มแล้วแต่พวกเขาเพิ่งมาถึง

ก็รถติดอย่างกับอะไร

เมื่อเข้ามาในห้องโถงก็พากันมองหาที่ว่าง อติคุณเห็นก่อนจึงเดินนำไป พิมพ์พลอยก็ตามไปติดๆ

“สีหน้าดูไม่ดีเลยพลอย” อติคุณสังเกตเห็นว่าใบหน้าพิมพ์พลอยดูไม่ค่อยมีสีสัน และแววตาก็อ่อนระโหย จึงถามขึ้นเมื่อหาที่นั่งได้เรียบร้อย ที่จริงว่าจะทักตั้งนานแล้ว แต่มัวพะวงเรื่องเวลา

“เพลียนิดหน่อย” หญิงสาวไม่ปฏิเสธว่าตนเองสบายดี ก็สารรูปมันฟ้องขนาดนี้

“กลับดีไหม” 

“ไม่กลับ พลอยไหว” เธออุตส่าห์ถ่อสังขารมาขนาดนี้แล้ว จะให้กลับโดยที่ไม่มีอะไรประดับสมองได้อย่างไร ที่ฝืนร่างกายมาเพราะหัวข้อเสวนาตรงกับความสนใจและสิ่งที่เธอเรียนมา

“โทษนะ” อติคุณเอ่ยขออนุญาต แล้วก็ใช้หลังมือใหญ่วัดอุณหภูมิที่หน้าผากมน “ตัวรุมๆ”

“ยังไหว ไม่ต้องห่วง” หากเป็นเพื่อนผู้ชายคนอื่นมาแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้พิมพ์พลอยคงเอี้ยวตัวหลบอัตโนมัติ แต่เพราะเธอไว้ใจอติคุณมากเลยไม่ปัดออก แถมยังยิ้มให้เขาตาหยีจนเป็นรูปสระอิ บอกว่าเธอยังไหวจริงๆ

“ไม่ไหวก็บอกนะ”

“อืม”

หลังจากเข้ามานั่งได้ไม่นานพิธีกรก็เริ่มดำเนินงาน โดยเริ่มจากการแนะนำวิทยากรที่เข้าร่วมเสวนา ในจังหวะนี้พิมพ์พลอยไม่ได้สนใจเท่าไร เธอกำลังนั่งดูรูปลูกสาวที่เพียงพัชร์เพิ่งส่งมาให้ เป็นรูปที่พี่สาวถ่ายตอนพายายหนูไปดูเทศกาลฟักทองที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง

ใกล้ฮาโลวีนแล้วสินะ ปีนี้พาลินน้อยจะแต่งแฟนซีเป็นอะไรนะ

ปีที่แล้วเธอจับยายหนูแต่งเป็นพิกเล็ต หมูน้อยสีชมพู การ์ตูนตัวโปรดของเจ้าตัว

“และในวันนี้เราก็ได้รับเกียรติจากนักธุรกิจหนุ่มที่กำลังเป็นที่จับตามอง...คุณพลิศร์ อัศวกุล ครับ” 

ใครนะ...

พิมพ์พลอยเงยหน้าจากจอสมาร์ตโฟนและสบเข้ากับนัยน์ตาคมสีรัตติกาลพอดี เขาคงจ้องมาที่เธอนานแล้ว

ให้ตายเถอะ...เธอใช้สกิลการหลบหลีกขั้นสูงแล้วนะ มาตายน้ำตื้นได้อย่างไร

ตั้งใจมาฟังเสวนาเพื่อจะได้รับฟังความคิดเห็นจากเหล่าผู้มีประสบการณ์ แต่พลิศร์ทำให้เธอเสียสมาธิ อันที่จริงเขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่เห็นหน้าเขา เธอก็ไม่สามารถจดจ่อกับวิทยากรคนอื่นๆ บนเวทีได้เลย

อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด...

 

การเสวนาดำเนินไปกว่าสองชั่วโมง จากนั้นก็มีการเปิดให้ผู้เข้าร่วมงานได้ซักถามวิทยากร แต่พิมพ์พลอยอยากออกไปจากห้องนี้เต็มทน

“ติ พลอยออกไปรอด้านนอกนะ”

“ไม่เป็นไร ออกไปพร้อมกันเลย” ชายหนุ่มอยากจะอยู่ต่อ แต่สีหน้าคนมาด้วยดูไม่ดีเลย เขาคิดว่าเธอควรรีบกลับไปพักผ่อน

“อย่าเลย พลอยไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้น อยู่ฟังจนจบเถอะ” หญิงสาวรู้ว่าเขาตั้งใจมาเข้าร่วมงานครั้งนี้มาก เธอจะตัดโอกาสได้อย่างไร “พลอยรอด้านนอกนะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ แล้วจะโทร. บอก”

แม่ของหนูพาลินรีบลุกออกมาก่อน ไม่รอให้อาจารย์อติคุณปฏิเสธ เธอออกมาสูดอากาศด้านนอกตัวอาคาร ในโรงเเรมมีสวนร่มรื่นที่จัดไว้เป็นมุมให้แขกผ่อนคลาย

หญิงสาวนั่งเล่นและดูรูปลูกสาวรอไปพลาง ไม่ถึงยี่สิบนาทีอติคุณก็ส่งข้อความมาบอกว่างานเสวนาจบแล้ว แต่เขาขออยู่คุยกับหนึ่งในวิทยากรที่เป็นอาจารย์ของเขาก่อน พิมพ์พลอยไม่ว่าอะไร เธอรอได้ อีกอย่างก็ไม่ได้อยากเป็นภาระให้เขาต้องลำบาก อติคุณเองก็คงรู้จักนิสัยเธอ หากเขาออกมาก่อนงานเลิกเพื่อพาเธอกลับบ้าน เธอเองจะไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

หลังจากนั่งดูรูปจนหมดแล้ว คุณแม่ของยายหนูเดินเรื่อยเปื่อยจนไปถึงมุมหนึ่ง น่าจะเป็นบริเวณที่ทางโรงแรมกันไว้เป็นพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่ เพราะเธอได้กลิ่นโชยมา กำลังจะหันหลังกลับ แต่ใครคนหนึ่งก็โผล่มาก่อน

“พลอย” พลิศร์ที่กำลังคีบบุหรี่อยู่รีบเขี่ยก้นบุหรี่และทิ้งลงถังขยะใกล้ๆ ก่อนเดินเข้ามาหาคนที่เขาเรียกไว้ “ไม่เห็นบอกว่าจะมางานนี้” 

ก็ไม่แปลก เธอไม่ยอมคุยกับเขาด้วยซ้ำ ไอ้เรื่องจะรายงานความเป็นไปในชีวิตแต่ละวันให้รู้ คงไม่มีทาง

“อย่าเข้ามา ฉันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” พิมพ์พลอยขมวดคิ้วมุ่นและก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

พลิศร์ชะงัก ถึงจะโยนบุหรี่ทิ้งไปแล้ว แต่อาจมีกลิ่นติดตัว เขาเกือบลืมไปแล้วว่าพิมพ์พลอยไม่ชอบกลิ่นของมัน

“มากับใคร”

อาจารย์พิมพ์พลอยเข้าใจคำถามของพลิศร์ แต่ทำเป็นเลิกคิ้วใส่อย่างสงสัยว่า ‘ใคร’ ที่เขาพูดถึงหมายถึงใครกันแน่ เธอก็แค่อยากกวนเขาไปอย่างนั้นแหละ

“ผู้ชายคนนั้น ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” ถามเสียงห้วนถึงผู้ชายที่เดินเข้ามาในห้องเสวนาพร้อมเธอ แถมยังนั่งเก้าอี้ติดกันอีก ผู้ชายคนนั้นหน่วยก้านดูดี ดูท่าทางสนิทสนมกับเธอ และยังมีจับการเนื้อต้องตัวกันด้วย

พลิศร์ทำหน้าที่เป็นวิทยากรของงานและเขาก็นั่งอยู่บนเวทีจึงเห็นทุกการเคลื่อนไหวแทบทั้งหมดของผู้เขาร่วม โดยเฉพาะผู้เข้าร่วมงานที่ชื่อพิมพ์พลอย

“อ๋อ ติน่ะเหรอ” พิมพ์พลอยทำเป็นเหมือนว่าเพิ่งนึกออก ทั้งที่ก็คิดไว้แล้วว่าเขาน่าจะหมายถึงอติคุณ

“อ๋อ! ชื่อติงั้นสิ คงสนิทกันสินะ” เขาเลียนแบบน้ำเสียงและท่าทางของเธอ ฟังจากการเรียกชื่อแล้วคงรู้จักกันมานานแล้ว

“อืม”พยักหน้ายอมรับ

“แฟนเหรอ” ถามแล้วก็ตั้งตารอคำตอบอย่างจดจ่อ

“อย่ายุ่ง!” พิมพ์พลอยชักสีหน้าใส่เขาด้วยความรำคาญที่เขาถามซอกแซกไม่หยุด 

เธอกำลังจะเดินหนี แต่คนตัวโตรู้ทัน เดินมาดักหน้าเสียก่อน

“คุยกันก่อนสิพลอย” 

“ไม่อยากคุย” คนไม่อยากคุยทำหน้าไม่สบอารมณ์

“เป็นไร หน้าตาดูเพลียๆ” คนหน้ามึนไม่สน แถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก

“ก็บอกว่าไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ อย่ามาใกล้!” พิมพ์พลอยแว้ดใส่อย่างเหลืออด

พลิศร์ยอมถอยห่างออกไป แต่ก็มิวายถามอย่างสงสัย “เมื่อก่อนก็ไม่เห็นจะว่าอะไร” 

เมื่อก่อนเธอไม่ชอบก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นว่ารับไม่ได้ หลังสูบบุหรี่เสร็จ เขาเข้าไปกอดไปนัวเนียก็ไม่เคยจะไล่ ที่ทนได้ก็เพราะหลง

“ตอนนี้มันหมดโปรแล้วย่ะ” มันหมดเวลาของเขาไปตั้งนานแล้ว

“อ๋อ...ได้ใหม่แล้วลืมเก่าว่างั้น” ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะลืมเขาได้ เมื่อก่อนยังเห็นว่าคลั่งรักเขาจะตาย

“ประมาณนั้น” หญิงสาวยักไหล่ใส่อีกฝ่ายด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ “ก็คุณมันไม่มีอะไรให้น่าเสียดาย จะให้จำทำไม”

“แน่ใจ?” ถามเสียงสูง “เอ...แต่คืนนั้นของเรา พลอยก็จำได้หมดนะว่าเพิ่มชอบหรือไม่ชอบอะไร” 

“ฉันแค่ทำตามสัญชาตญาณ อย่าอินไปหน่อยเลยคุณพลิศร์” เธอกอดอกและเชิดหน้าใส่

“เรื่องคืนนั้นจะบอกว่าไม่แคร์ใช่ไหม” 

“จะถามเอาอะไร ฉันไม่เรียกร้องอะไร มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” หรือว่าติดใจ ตอนนั้นเธอก็เต็มที่จนลืมความเขินอายเสียด้วยสิ 

“ก็...” นั่นน่ะสิ เขาควรจะพอใจที่เธอไม่ติดใจอะไร แต่ทำไมมันกลับกระวนกระวายเมื่อเอาเข้าจริงแล้วพิมพ์พลอยนั้นดูเฉยชากับเรื่องนั้นมาก “แค่ถาม เผื่อว่าพลอยต้องการความรับผิดชอบ”

“รับผิดชอบบ้าบออะไร คุณจะแต่งงานกับฉันงั้นเหรอ” ถามอย่างประชดประชัน

“ถ้าพลอยต้องการแบบนั้นจะกลับไปคิดดู” 

ผู้ชายอย่างพลิศร์ถึงจะเลว แต่ความรับผิดชอบสูง ถึงมันจะกระทบต่ออิสระที่เขาหวงแหนก็เถอะ

“เหอะ! ทำไมถึงเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ แต่ช่างมันเถอะ ความรับผิดชอบอะไรนั่นก็อย่าไปพูดถึงมันอีก หัดมองดูตัวเองซะบ้าง คุณไม่ได้มีคุณค่ามากพอให้ฉันหวนกลับไปหาเลยสักนิด” 

พิมพ์พลอยแสยะยิ้มมุมปากอย่างนึกสมเพช คิดว่าเธอจะยังโง่และรักเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาได้เหมือนอดีตอย่างนั้นหรือ

“พลอย” พลิศร์ถึงกับพูดไม่ออก มันจุก จุกยิ่งกว่าโดนพิมพ์พลอยถีบตกเตียงเสียอีก

“หลีกทางด้วย” บอกไปแล้วแต่เขายังยืนตัวแข็งทื่อ เธอเลยเดินชนไหล่ไปเลย

“เดี๋ยวก่อน! ถ้าจะไปขอถามคำถามหนึ่งก่อน” พลิศร์ตะโกนไล่หลังเมื่อนึกถึงสิ่งที่รบกวนจิตใจเขามาหลายวันขึ้นได้ 

“ไม่!” เธอเดินจ้ำอ้าวโดยไม่หันมามอง

ไม่ก็ไม่...

“ถ้างั้นก็กลับบ้านไปพักผ่อนซะนะ คืนนี้ไม่ต้องออกไปไหนกับใคร” 

ใครที่ว่าก็ ‘ไอ้ติ’ นั่นแหละ

พลิศร์ไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นเป็นการส่วนตัว แต่ก็คุ้นหน้าอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม...เขาไม่ชอบหน้าผู้ชายคนนั้น ท่าทางก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่เขาไม่ชอบ

น่าเสียดายที่เขาไม่ทันถามว่า ตกลงแล้วแผลเป็นที่เขาเห็นในคืนนั้น มันเป็นแผลผ่าตัดไส้ติ่งรึเปล่า...

เพราะผู้ชายชื่อติคนเดียวทำให้เขาหันเหความสนใจไปจากรอยแผลเป็นตรงท้องน้อยของพิมพ์พลอย

แล้วพลิศร์ก็หวนคิดถึงเหตุการณ์คืนนั้นอีกครั้ง...

ใบหน้าคมที่กำลังซุกไซ้ซอกคอขาว เลื่อนลงต่ำเข้าหาทรวงอกนุ่มขนาดพอดีมือ โพรงปากร้อนครอบครองปลายยอดสีหวานก่อนจะวนลิ้นทำให้มันแข็งเป็นไต เขาดูดดึง ขบเม้ม ทำเอาร่างเล็กสั่นสะท้าน แต่กลับแอ่นอกเข้าหา

 ‘เพิ่ม...’ เสียงเล็กสั่นพร่า นิ้วเรียวจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่

 ชายหนุ่มได้ใจ เลื่อนใบหน้าลงต่ำ ทำเอาคนใต้ร่างวูบไหวในท้องน้อย พลิศร์จำได้ เธอชอบให้เขาทำตรงนั้น

‘นี่รอยแผลอะไรน่ะพลอย’ แต่ยังไปไม่ถึงจุดหมาย เขาสะดุดตากับรอยแผลเป็นขนาดประมาณสิบเซ็นติเมตรบริเวณท้องน้อยของเธอเสียก่อน

‘อื้อ’ พิมพ์พลอยครางในลำคอด้วยความรำคาญ ก่อนจะจิกกลุ่มผมดำของเขาดึงขึ้นมาจูบปิดปากคนช่างสงสัย

ส่วนคนที่มีคำถามในใจก็ลืมความสงสัยไปเสียสิ้น เมื่อเธอยอมมอบจูบแรกในรอบเกือบสี่ปีให้ในที่สุด ลิ้นหนาซอกซอนเข้าไปในโพรงปากอุ่นชื้นของคนตัวเล็กที่หวานล้ำกว่ามธุรสเดือนห้า เขาดูดซับรสชาติของคนใต้ร่างอย่างโหยหา 

นี่ใช่ไหม รสชาติที่เขาคิดถึงและเฝ้าคอย หวานจัง...

‘พลอย ยังหวานเหมือนเดิมเลยนะ’ กระซิบชิดริมฝีปากบางที่ตอนนี้แดงระเรื่อเพราะรสจูบ ก่อนจะจุมพิตที่เปลือกตา แล้วเอื้อมหยิบห่อสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดเล็กตรงลิ้นชักข้างเตียง

 

เพราะห่างไกลตัวพี่ถึงได้รู้                                แม่ยอดชู้น้องคือยอดดวงใจ

เคยทำเจ้าขุ่นข้องหมองทรวงใน                          หากฤทัยพี่นี้กลับตรมตรอม

น้องหวนมาหาพี่ให้เชยชม                                ยอดภิรมย์ครานี้พี่ถนอม

จะมิให้ดวงแดแม่พยอม                                  ต้องทุกข์ตรอมทมฤดีพี่สัญญา

 

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น