11

11

11

 

“ป๊า ม้า...”

เอาเข้าไป เธอกลั้นใจมากินข้าวกับพลิศร์เพื่อไม่ให้เขาส่งรูปที่นัวเนียกันในรถให้พ่อกับแม่ แต่สุดท้ายดันมาเจอกันตัวเป็นๆ เสียนี่

“มากับใครพลอย” เกรียงศักดิ์ถามเข้าประเด็นเสียงเข้ม เขาถามลูกสาว แต่สายตากลับจับจ้องชายหนุ่มที่เดินคู่กันมา

“เพื่อนน่ะป๊า”

“เพื่อน?” คนเป็นพ่อไม่เชื่อ

“ลูกบอกว่าเพื่อนก็เพื่อนสิป๊า... ว่าแต่มาทานข้าวกันหรือลูก” วณีลูบแขนสามีให้ใจเย็นแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที 

แม่ของพิมพ์พลอยเป็นคนใจดี และเธอไม่ชอบก้าวก่ายเรื่องของลูกสาว โดยเฉพาะเรื่องผู้ชาย แต่จะคอยช่วยดูอยู่ห่างๆ ทว่าพ่อของพิมพ์พลอยไม่ใช่ เกรียงศักดิ์เป็นพ่อที่หวงลูกสาวมาก

“ครับ สวัสดีครับป๊า ม้า” พลิศร์เอ่ยทักทายพ่อและแม่ของพิมพ์พลอย “วันนี้ผมขออนุญาตพาพลอยมาทานข้าวนะครับ”

“สวัสดีจ้ะ” แม่ของหญิงสาวรับไหว้ ส่วนพ่อนั้นทำเมินใส่ “งั้นเชิญตามสบายเลยนะ ป๊ากับม้าเพิ่งทานเสร็จ เดี๋ยวจะกลับแล้ว” 

เมื่อพิมพ์พลอยบอกว่าชายหนุ่มคนนี้คือเพื่อน นั่นหมายความว่าอาจจะเป็นเพื่อนกันจริง หรืออาจจะยังไม่เริ่มคบกันจริงจัง วณีเลยไม่ถามซอกแซกกวนใจ

“ค่ะม้า”

...

หลังจากนั้นวณีก็ลากสามีที่ยังยืนปักหลักออกจากร้าน

“ม้าไม่น่ารีบออกมา”

“จะอยู่กวนอารมณ์ลูกทำไม ม้ารู้นะว่าป๊าหวงพลอย ปลงได้แล้วนะ ลูกโตแล้ว”

“นั่นลูกสาวป๊านะ ก็ต้องหวงเป็นธรรมดา” เกรียงศักดิ์ฮึดฮัด เขามีลูกสาวสองคน สวยทั้งสองคน ก็ต้องห่วงต้องหวงอยู่แล้วเป็นธรรมดา

“พลอยจะสามสิบแล้วนะป๊า ไม่คิดจะปล่อยให้ลูกไปมีครอบครัวเลยหรือไง”

“ก็เพราะเคยปล่อยไง ถึงได้พาลินมา ป๊าไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดซ้ำ” 

“ถ้าจะไม่ให้เกิดเลย คือต้องขังพลอยไว้ไม่ให้ไปมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นปล่อยลูกไปเรียนรู้ด้วยตัวเองเถอะ เป็นพ่อแม่มีหน้าที่แค่คอยซัปพอร์ต อย่าไปเจ้ากี้เจ้าการชีวิตลูกเลย” 

...

 เมื่อพ่อกับแม่ไปแล้ว พิมพ์พลอยจะหันมาเล่นงานพลิศร์ แต่เขาเดินเข้าห้องรับประทานอาหารซึ่งเป็นห้องส่วนตัวไปเสียก่อน ในห้องมีเพียงโต๊ะไม้เตี้ยกับเบาะรองนั่ง พลิศร์เดินไปนั่งที่เบาะส่วนพิมพ์พลอยก็นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา

 และเธอก็บ่นให้เขาที่เป็นต้นเหตุให้ต้องเจอป๊ากับม้าที่นี่

“เป็นเพราะคุณพาฉันมาที่นี่ เลยเจอป๊ากับม้าเลยเห็นไหม”

“แล้วมันยังไง พลอยไม่ใช่เด็กแล้วนะ” 

“ถ้ามากับคนอื่นจะไม่คิดมากเลย แต่เพราะเป็นคุณฉันเลยหนักใจ ป๊ากับม้าต้องเข้าใจว่าฉันคบกับคุณอยู่แน่เลย” 

“เพิ่มไม่ดีตรงไหน” 

“ทุกตรง” พิมพ์พลอยตอบสั้นๆ ทว่าแทงใจพลิศร์ยิ่งนัก 

“พลอย ช่วยมองให้ดีๆ หน่อย” พลิศร์ถึงกับมองบน “แล้วก็ลืมนายเพิ่มเมื่อสี่ปีก่อนไปด้วย ตอนนี้เพิ่มเป็นคนใหม่แล้ว” 

เหมือนเธอที่เปลี่ยนไป...

เหตุการณ์ที่เขาบอกเลิกเธอไม่ได้ทำให้พิมพ์พลอยเปลี่ยนไปแค่คนเดียว พลิศร์เองก็ด้วย

ในช่วงแรกเขาแค่รู้สึกผิดต่อหญิงสาวที่เอ่ยตัดสัมพันธ์ ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธว่าตัวเองเห็นแก่ตัวที่เลือกทิ้งเธอ ในขณะที่เธออยากจริงจัง 

เขากลัวการผูกมัด และไม่พร้อมที่จะสละอิสรภาพความโสดเพื่อใคร

แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ พลิศร์ก็รู้สึกได้ว่า...

ชีวิตที่ไร้พิมพ์พลอยนั้นไร้ความหมาย มองไปข้างหน้ามันว่างเปล่า เขาอาจจะใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่ทุกข์ร้อน แต่มันจะไม่มีความสุข เป็นเพียงแค่ความรู้สึกราบเรียบ เหมือนเส้นกราฟที่ขนานไปกับแกนเอ็กซ์ ไม่พุ่งขึ้น ทว่าพุ่งลงได้เมื่อคราใดที่หวนนึกถึงวันเก่าๆ ที่ได้ใช้ร่วมกัน หญิงสาวเป็นผู้หญิงที่มีพลังวิเศษ เธอทำให้เขาคิดถึงแต่เธอ ตอนที่มีเซ็กซ์กับผู้หญิงคนอื่น 

ผ่านมาสี่ปีแล้วก็ยังลืมไม่ลง เธอยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดถึง และเขาเองก็ก้าวไปไหนไม่พ้น...ให้ตายเถอะ เป็นฝ่ายทิ้งเธอก่อน แต่ตัวเองยังย่ำอยู่กับที่ ผิดกับคนโดนทิ้งที่ก้าวห่างเขาไปไกลแสนไกล

หากว่าบุญบาปมีจริง สิ่งที่เขากำลังเผชิญคงเรียกว่า ‘กรรมตามสนอง’ 

อยากได้เธอจนตัวสั่น พอได้แล้วก็เขี่ยทิ้ง สุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ...ต้องมาคร่ำครวญเป็นหมาหงอย  

“ทำไมต้องเสียเวลามองของที่มันเก่าแล้ว ในเมื่อยังมีของใหม่อีกมากมายดาหน้ามาให้ฉันเลือก” พิมพ์พลอยว่าต่อ ถึงจะเป็นผู้หญิงมีลูกติด แต่ใช่ว่าไร้คนมาสนใจ มันกลับตรงกันข้าม

 เธอเลือกที่จะไม่สนใจใครเลย ไม่ใช่เพราะลืมพ่อของลูกไม่ได้ ทว่าเป็นเพราะชีวิตในแต่ละวันเธอทุ่มเทให้แก่การเรียนและลูกน้อยไปหมดแล้ว

“เหอะ...ใหม่ให้ตายยังไงมันก็ไม่ดีไปกว่าของที่คุ้นเคยหรอก” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง ไม่กล้าพูดดัง 

“ว่าไงนะ” พิมพ์พลอยหรี่ตามองและถามทวน เธอได้ยินไม่ถนัด แต่รู้สึกคล้ายว่าเขาจะพูดไม่เข้าหู

“สั่งอาหารเถอะ หิวแล้ว” พลิศร์เปลี่ยนเรื่อง เขากดปุ่มเรียกพนักงานเข้ามารับออเดอร์ จะได้ตัดบทสนทนาไปด้วย หากพูดต่อก็คงจะมีแต่ทะเลาะ

เมื่อสั่งอาหารเสร็จ พิมพ์พลอยก็ไม่สนใจอะไร เธอหยิบแลปทอปออกจากกระเป๋ามาวางบนโต๊ะอาหาร หญิงสาวนั่งทำงานอย่างจริงจังระหว่างรออาหาร ส่วนพลิศร์ก็ไม่ว่าอะไร เขาขัดใจเธอได้เสียที่ไหนล่ะ ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายต้องยอมแพ้ให้เธอเสมอ ยอมแบบไม่มีข้อแม้ ผิดกับแต่ก่อนที่เป็นฝ่ายถูกเอาใจ 

พิมพ์พลอยทำงานยังไม่ถึงห้านาที ก็มีการแจ้งเตือนวิดีโอคอลจากโปรแกรมแชตในคอมพิวเตอร์ และหญิงสาวก็เผลอกดรับอย่างไม่ตั้งใจ

“กูดมอร์นิงค่ะหม่ามี้” เสียงเล็กอันสดใสดังผ่านลำโพงออกมา

และแน่นอน...พลิศร์ได้ยิน เขาจ้องมองหน้าพิมพ์พลอยด้วยแววตาสงสัยทันที แต่ไม่ยังไม่ถามแทรก

“ทำไมตื่นเช้าจังคะพาลิน” จะตัดสายลูกไปในตอนนี้ก็ดูน่าสงสัย เธอจึงพยายามเก็บอาการไม่ให้ดูมีพิรุธและตอบลูกสาวไปด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นกัน

“วันนี้หม่าม้าตะพาไปซื้อต้นคริสต์มาสค่ะ” พาลินตอบอย่างร่าเริง คริสต์มาสถือเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่เด็กๆ รอคอย และพาลินเองก็ชอบ เพราะจะได้ของขวัญจากคุณลุงซานต้า

“ว้าว! น่าสนุกจัง” หญิงสาวก้มหน้าก้มตามองจอแลปทอป ไม่เงยขึ้นสบดวงตาคู่คมเลยสักนิด กลัวว่าเขาจะจับสังเกตอะไรได้

“อยากให้หม่ามี้กลับมาเร็วๆ ตัง” ยายหนูทำเสียงอ้อน ใช้เสียงนี้ทีไรใครได้ยินก็เป็นต้องละลาย

รวมถึงผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามพิมพ์พลอย ช่วงนี้เขาอ่อนไหวง่ายกับเด็กผู้หญิง ที่หมายถึงเด็กจริงๆ

ตลอดสัปดาห์ที่อยู่ฮ่องกง เขาแวะเวียนไปหาหลานสาวทุกวัน จากวันแรกที่ไม่คุ้นเคย พูดจาหยอกล้อกับเด็กไม่เป็น  ไม่กล้าอุ้ม มันก็พัฒนาขึ้นจนสามารถอุ้มหลานตัวน้อยได้ชินมือ รู้จักใช้เสียงสองเสียงสามในการพูดคุย 

ส่วนหนึ่งที่ทำให้คุ้นเคยกันเร็วคงเป็นเพราะเขาจินตนาการว่ายายหนูตาหวานคือลูกสาวของตัวเอง พลิศร์คิดว่าหากลูกของเขายังมีชีวิตอยู่ก็คงจะเหมือนตาหวาน พอคิดดังนั้นสัญชาตญานความเป็นพ่อเลยแสดงออกมา

“อีกไม่นานหม่ามี้ก็กลับแล้วค่ะที่รัก...” พิมพ์พลอยคุยกับลูกต่ออีกไม่กี่ประโยคก็ตัดสาย เพราะกลัวว่าถ้าพูดอะไรไปมากกว่านี้จะทำให้พลิศร์สงสัย

“คุยกับใคร” เขาถามขึ้นทันทีหลังพิมพ์พลอยจบการสนทนากับคนทางนั้น

“หลานสาว” 

“ทำไมหลานต้องเรียกพลอยว่าหม่ามี้”

“หลานสาวฉันไม่มีพ่อ ฉันเป็นพ่อให้ไม่ได้ เลยเป็นแม่อีกคนให้แทน” ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เธอไม่ได้คิดนาน พอเขาถามเธอก็ตอบเลย อีกฝ่ายจะได้ไม่สงสัย

“เสียงน่ารักจัง ขอดูรูปหน่อยสิ”

“ไม่!” หญิงสาวปฏิเสธทันควัน หน้าพิมพ์เดียวกันขนาดนั้น หากให้ดูพลิศร์ก็คงต้องรู้แน่นอน

“ขี้หวงจัง” เขาไม่ตอแยต่อ เพราะพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟเสียก่อน

เมื่ออาหารลำเลียงมาเสิร์ฟแล้วหญิงสาวก็ตั้งหน้าตั้งตารับประทาน แน่นอน...เธอไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามอีกเช่นเคย เขาชวนคุย เธอก็ไม่ตอบ จนพลิศร์หมดความพยายามแล้วก็ปล่อยให้เธอนั่งกินเงียบๆ

 

พวกเขาใช้เวลาในร้านอาหารไม่นานนัก เมื่อรับประทานอิ่มพิมพ์พลอยก็เร่งเร้าจะกลับบ้านท่าเดียว พลิศร์ไม่ยื้อ เพราะจุดประสงค์ที่บังคับเธอมาเจอในวันนี้เป็นเพราะแค่อยากเห็นหน้า

หลายวันที่หายหน้าไม่ติดต่อเธอเลย เพราะเขาอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองและคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ระหว่างเขากับพิมพ์พลอย โดยเฉพาะเรื่องลูกที่เขาไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูอุ้มชู 

และชายหนุ่มก็อยากรู้ปฏิกิริยาของหญิงสาวว่าจะเป็นเช่นไร หากเขาหายหน้าไป แล้วก็พบว่าเธอใช้ชีวิตได้อย่างปกติดี ไม่มีเขาพิมพ์พลอยก็ไม่เดือดร้อนอะไร ต่างจากพลิศร์ที่อยู่ไม่สุข ในใจมันอยากจะตามตอแยเธอตลอด

“ฉันจะกลับเอง” พิมพ์พลอยพูดขึ้นขณะเดินออกจากร้านอาหาร

“ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวเพิ่มไปส่ง”

“ไม่ได้เกรงใจ แต่เบื่อหน้า” หญิงสาวยังพูดจาไม่รักษาน้ำใจเขาเหมือนเดิม “แล้วคราวหลัง ไม่ต้องมาบังคับให้ฉันไปไหนมาไหนกับคุณอีกแล้วนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาเรื่องฉาวของคุณมาแฉ”

“จะเอาอะไรมาแฉ” 

ที่พลิศร์ถามแบบนี้ไม่ใช่ว่าตัวเองเป็นผู้ชายสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีประวัติมัวหมอง เขาเคยมีข่าวฉาวเรื่องผู้หญิง ใครๆ ก็ว่าเขาเป็นเสือ แม้จะหยุดล่ามาหลายปีแล้ว แต่ฉายานี้ก็ยังคงอยู่ 

ถ้าพิมพ์พลอยจะเอาเรื่องนี้มาแฉ ก็ดูจะเสียเวลาเปล่า เพราะเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง

“ฉันจะป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าคุณทำฉันท้อง และไม่ยอมรับผิดชอบ จนฉันเครียดแล้วก็แท้งลูก” 

พิมพ์พลอยเพิ่งคิดได้ ถ้าเธอยกเรื่องนี้มาพูดมันคงส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์เขาไม่น้อย และยิ่งใกล้ถึงกำหนดการที่เครืออัศวพาณิชย์จะแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ พลิศร์ที่หวังจะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ หากมีข่าวฉาวคงส่งผลกระทบต่อคะแนนโหวต

ที่หญิงสาวรู้ความเป็นไปในธุรกิจของพลิศร์ ไม่ใช่เพราะสนใจในตัวเขาอะไรนักหนาหรอก แต่เป็นเพราะเธอเองเรียนเศรษฐศาสตร์ จึงได้ติดตามข่าวสารเรื่องเศรษฐกิจและธุรกิจต่างๆ ไปโดยปริยาย อีกอย่างเครืออัศวพาณิชย์ก็ไม่ใช่ไก่กา ดังนั้นจะศึกษาข้อมูลไว้เป็นกรณีศึกษาก็ไม่เสียหายอะไร

“เอาเลย เชิญ” 

คำตอบของพลิศร์ผิดจากที่หญิงสาวคาดไว้ และมันทำให้พิมพ์พลอยไปต่อไม่ถูก เขามาแบบนี้แล้วเธอจะงัดอะไรมาสู้ล่ะ

“แต่ช่วยแก้ข่าวด้วยว่าเพิ่มไม่ได้จะไม่รับผิดชอบ เพียงแต่พลอยไม่บอกเพิ่มเอง”

“เหอะ! คนรักอิสระอย่างคุณเนี่ยนะ จะเต็มใจรับผิดชอบ” พิมพ์พลอยสะอิดสะเอียนกับคำพูดเขา ตอนนี้เขาเข้าใจว่าลูกเสียไปแล้ว จะพูดดีเข้าตัวยังไงก็ได้ 

แต่สี่ปีก่อนที่เขาสลัดเธอทิ้งอย่างไม่ไยดี มันก็น่าจะสันนิษฐานได้ว่าหากเธอท้อง เขาอาจจะไม่รับผิดชอบก็ได้

“ทำไมจะไม่เต็มใจ ก็ในเมื่อเขาเป็นลูกเพิ่ม”

“หยุดพูดเถอะ ดีแต่ปาก”

“จะพิสูจน์ไหมล่ะ” 

“จะให้พิสูจน์ยังไง”

“มีลูกด้วยกันอีกครั้งไง” ชายหนุ่มไม่ได้พูดเพื่อเอาชนะ แต่เขาเอาจริง

“ฝันไปเถอะ” แค่คนเดียวก็เกินพอแล้ว อีกอย่างทำไมเธอจะต้องเปลืองตัวไปพิสูจน์คำพูดเขาด้วย

“ทีหลังก็อย่ามากล่าวหา...”

“เพิ่ม” 

พลิศร์พูดไม่ทันจบก็มีบุคคลที่สามเข้ามาขัดเสียก่อน

“ปริม” ชายหนุ่มมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดตามประสาวัวสันหลังหวะ       

“บังเอิญจังที่เจอเพิ่ม ขอปริมคุยด้วยหน่อยได้ไหม” เธอเอ่ยด้วยท่าทางที่ดูเกรงใจ

พิมพ์พลอยที่รู้ตัวว่าหญิงสาวคนนั้นไม่ยินดีให้อยู่ร่วมวงสนทนา จึงปลีกตัวออกมาเงียบๆ 

ช่างสิ จะคุยอะไรกันเธอไม่สนหรอก ไม่อยากรับรู้เรื่องของพลิศร์เสียหน่อย แต่ถ้าให้เดาเธอคนนี้คงเป็นคู่ขาพลิศร์ 

“ปริมท้อง” 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น