13
พิมพ์พลอยกลับมาหาลูกได้หลายวันแล้ว เธอเลื่อนวันเดินทางจากกำหนดเดิมขึ้นมาสามวัน เนื่องจากเสร็จธุระที่เมืองไทยเร็วกว่าที่คาดไว้
ก็จะไม่ให้เสร็จเร็วได้อย่างไร เธอเล่นทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อที่จะได้เคลียร์ทุกอย่างให้จบ เธอไม่อยากอยู่ไทยนาน เพราะไม่อยากเห็นหน้าใครบางคน
คนเลว!
เจอกันครั้งแรกในรอบสี่ปี พิมพ์พลอยสัมผัสได้ว่าพลิศร์เปลี่ยนไปมาก เขาทำตัวดีขึ้น ใจเย็นลงจากแต่ก่อนที่ร้อนเป็นลาวา ขนาดเธอทำตัวไม่ดี พูดจาไม่ดีใส่ ชายหนุ่มยังระงับอารมณ์ไว้ได้ดี หากเป็นพลิศร์คนเดิมก็คงระเบิดอารมณ์ใส่เธอคืน
ที่สำคัญไม่มีข่าวคาวเรื่องผู้หญิงให้รำคาญใจ...
แต่ก็นั่นละ ไม่มีข่าวก็ใช่ว่าเขาจะไม่ทำ ทีแรกก็ทำเป็นสนใจเธอ ที่ไหนได้เขาก็ยังซุกผู้หญิงไว้อีกคน คนมักมากอย่างพลิศร์คงเปลี่ยนสันดานไม่ได้จริงๆ
“หม่ามี้ขา”
“ขา” พิมพ์พลอยตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ เรียก
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พี่เลี้ยงของยายหนูจึงไม่ต้องมาทำงาน ส่วนพี่สาวเธอก็เพิ่งเดินทางกลับเมืองไทยไปเมื่อวานนี้เอง เพียงพัชร์ต้องกลับไปเตรียมตัวเปิดร้านเบเกอรี
“พาลินหิวแล้วค่ะ” ยายหนูตัวกลมพูดพลางลูบพุงป่องที่ยุบลงนิดหนึ่งโชว์หม่ามี้
“หิวแล้วเหรอคะ”
พิมพ์พลอยถามลูกขณะมองนาฬิกา อีกตั้งหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงมื้อเย็น แถมที่บ้านไม่มีอาหารสำเร็จ จะทำตอนนี้ก็ต้องใช้เวลา
“ค่ะ” พาลินน้อยพยักหน้าทำตาละห้อย
“อืม เราไปทานเบอร์เกอร์กันดีไหมคะ”
“เย้! ดีที่สุดเลยค่ะหม่ามี้” ไม่รู้ว่ากลัวหม่ามี้เปลี่ยนใจรึเปล่า เจ้าแก้มจึงได้รีบวิ่งไปที่ตู้เก็บรองเท้าและแจ็กเกต แล้วหยิบรองเท้ามาสวมเอง
หม่ามี้เซอร์ไพรส์เป็นอย่างมากที่ลูกสาวสามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว พาลินน้อยโชว์สวมรองเท้าให้พิมพ์พลอยดูตั้งแต่วันแรกที่เธอมาถึงแอลเอ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขี้อวดเหมือนใคร
สวมรองเท้าเสร็จแล้วยายหนูก็ยืนรอให้หม่ามี้มาหยิบแจ็กเกตกันหนาวให้ ที่ลอสแอนเจลิสไม่มีหิมะ แต่หน้าหนาวก็อากาศหนาวเย็นใช้ได้
“พาลินขอจี๊สเบอร์เกอร์กับฟรายส์ฉองที่นะคะ” เจ้าแก้มอ้วนชูนิ้วป้อมขึ้นมาสองนิ้วประกอบคำพูด
พิมพ์พลอยรู้เลยว่าลูกคงจะหิวมากถึงรีบสั่งตั้งแต่ยังไม่ออกจากบ้านเลย
“สองที่เลยเหรอคะ จะทานหมดเหรอคะที่รัก”
“หมดค่ะ” เจ้าแก้มป่องตอบอย่างมั่นใจ ก่อนคนหิวจะเร่งเร้าหม่ามี้ที่กำลังสวมรองเท้า “เร็วๆ จิคะหม่ามี้”
“โอเคค่ะ เสร็จแล้วๆ”
พิมพ์พลอยบอก จากนั้นก็จูงลูกน้อยออกไปขึ้นรถ เธออุ้มลูกนั่งบนคาร์ซีตตรงเบาะหลัง จากนั้นก็เดินมาประจำที่คนขับ
“พร้อมยังคะ”
“พร้อมแล้วค่ะ!” พาลินน้อยพูดเสียงดังฟังชัด ราวกับกลัวหม่ามี้จะไม่ได้ยิน
พอลูกสาวรับคำ คุณแม่ก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังร้านเบอร์เกอร์ชื่อดัง ยายหนูส่งเสียงร้องเพลงตลอดทางอย่างอารมณ์ดี พิมพ์พลอยได้แต่ยิ้มเอ็นดูลูกสาวที่ร้องเนื้อร้องถูกบ้างผิดบ้าง แต่ที่แน่ๆ ทำนองผิดเพี้ยนไปหมดเลย กระนั้นคุณแม่ก็ยังชื่นชมในความพยายามของพาลินน้อย
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงร้าน แต่กลับต้องซื้อไปรับประทานที่บ้าน เพราะไม่มีที่นั่ง
“ทำไมคนต้องเยอะด้วยค่ะหม่ามี้” ยายลูกสาวก็ได้แต่บ่นไปตามประสาเด็กเพราะหิว
“เพราะเบอร์เกอร์อร่อยมั้งคะ คนเลยมาทานกันเยอะ” พิมพ์พลอยพูดขณะกำลังพาลูกสาวมาขึ้นรถกลับบ้าน “ทนหน่อยนะที่รัก ขับรถไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงบ้านแล้ว”
“ก็ได้ค่ะ” พาลินรับคำ ถึงจะหิวมากแต่ยายหนูก็ไม่งอแงเลย
“โอ๊ะ! อากงโทร. มา พาลินคุยกับอากงไปนะคะ เดี๋ยวหม่ามี้จะขับรถ”
เธอกดรับสายจากเมืองไทย กล่าวทักทายบิดาเล็กน้อยก่อนจะยื่นสมาร์ตโฟนให้ลูกสาวที่ประจำที่คาร์ซีตเรียบร้อยแล้วคุยต่อ พิมพ์พลอยให้ลูกคุยกับอากงอาม่าไปพลางขณะที่เธอขับรถ เพราะจะได้ไม่เสียเวลา
“พาลินขา คิดถึงอากงไหมคะ” อากงผู้ไม่เคยใช้เสียงสองกับลูกสาว แต่สามารถทำเสียงเล็กเสียงน้อยกับหลานสาวได้อย่างไม่ขัดเขิน เหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติ
“คิดถึงที่สุดในโลกเลยค่ะ”
หลานสาวก็รู้จักอ้อนยิ่งนัก พาลินน้อยเป็นเด็กฉลาด ยายหนูรู้วิธีที่จะละลายหัวใจคนอื่น
“เมื่อไหร่จะกลับมาหาอากงคะ”
“อีกไม่นานค่ะ”
เกรียงศักดิ์ขำคำตอบของเจ้าหลานรัก ถามคำถามนี้ทีไรก็ได้คำตอบนี้ทุกที ถามเมื่อปีที่แล้วก็ตอบว่าอีกไม่นาน แต่ป่านนี้ก็ยังไม่กลับไปหาเลย
พิมพ์พลอยยังไม่เคยพาลูกกลับเมืองไทย จะเป็นอากงอาม่าที่บินมาหาแทน มาปีละหลายครั้งเลยละ ต้องนั่งเครื่องบินเกือบหนึ่งวันเต็มก็ไม่เคยบ่นเมื่อยให้ได้ยินสักครั้ง
พ่อแม่ของเธอเพิ่งรู้ว่ามีหลานก็ตอนที่พาลินอายุได้ประมาณหนึ่งขวบ พิมพ์พลอยใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะกล้าตัดสินใจบอกเรื่องสำคัญแก่พวกท่าน หญิงสาวไม่ได้กลัวจะถูกต่อว่า แต่กลัวที่จะทำให้ทั้งสองเสียใจ
พออากงอาม่าของพาลินรู้เรื่องก็รีบบินมาหาที่อเมริกาทันที คนเป็นพ่อไม่ยอมพูดกับเธอ ส่วนแม่นั้นไม่โกรธเคืองใดๆ เลย
อย่างไรก็ตามเกรียงศักดิ์โกรธเธอได้ไม่นานก็ยอมใจอ่อนคุยด้วยเหมือนเดิม ส่วนหนึ่งเพราะมีพาลินเป็นกาวเชื่อมใจ และที่บิดาโกรธ...เหตุผลหลักเป็นเพราะลูกสาวไม่ยอมบอกให้เร็วกว่านี้
มันไม่ใช่เรื่องเล็กที่ควรปิดบังบุพการี ถึงพฤติกรรมพิมพ์พลอยจะทำให้ท่านผิดหวัง แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ท่านก็ยังอยากจะอยู่เคียงข้างลูกสาวในวันที่ลำบาก การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขนาดพ่อกับแม่มีกันสองคนช่วยกันเลี้ยงลูกยังลำบากเลย
“อากงขา อาม่าอยู่ไหนคะ” ถ้าอากงโทร. มาแล้วไม่เห็นอาม่า ยายหนูก็มักจะถามหา กลับกันถ้าอาม่าโทร. มาแล้วไม่เห็นอากง ก็จะถามหาอากงเช่นกัน
“อาม่าอยู่บ้านค่ะ วันนี้อากงออกมาที่ร้านเพชรคนเดียว”
“เหรอคะ พาลินคิดถึงอาม่าตังเลย...”
คุยกันได้ไม่กี่นาทีอากงก็ขอวางสายทั้งที่ไม่อยาก แต่ต้องจำใจวางเพราะมีลูกค้าประจำเข้าร้านมา
“หม่ามี้ฝากมือถือไว้ก่อนนะคะพาลิน อย่าทำหล่นล่ะ” เธอบอกลูกสาวที่นั่งเบาะหลัง
“ค่ะ” ยายหนูพาลินรับปากอย่างดิบดี และมือน้อยทั้งสองข้างก็จับสมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่ไว้มั่น
แต่ด้วยความสงสัยประสาเด็ก ยายหนูกดนั่นกดนี่ไปเรื่อยโดยที่หม่ามี้ไม่ทันสังเกตเพราะตั้งใจขับรถ และก็มาถึงบ้านในเวลาไม่ถึงสิบนาทีอย่างที่หม่ามี้บอก
พิมพ์พลอยลงจากรถและเดินอ้อมไปเปิดประตูให้ลูกสาว เธอรับสมาร์ตโฟนจากมือเล็กมาถือไว้ ก่อนจะอุ้มเจ้าแก้มลงจากรถ พาลินน้อยถือถุงเบอร์เกอร์วิ่งนำหน้าไปรอที่ประตูหน้าบ้าน ในขณะที่หม่ามี้กำลังล็อกรถ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็เดินตามลูกสาวตัวน้อยไป ทว่าเสียงเตือนจากมือถือก็เรียกความสนใจของพิมพ์พลอยเสียก่อน มันเป็นการแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กว่า มีเพื่อนมาคอมเมนต์โพสต์ของเธอ ทว่าเธอไม่ได้โพสต์อะไรนานแล้ว...ด้วยความสงสัยเลยกดเข้าไปดู
‘เด็กที่ไหนพลอย น่ารักจัง’/
แล้วก็ต้องตกใจที่รูปเซลฟี่ของเธอกับพาลินน้อยโชว์หราอยู่บนหน้าฟีด มันขึ้นโชว์ด้วยว่าเพิ่งโพสต์ไปเมื่อสี่นาทีที่แล้ว หญิงสาวเดาได้ทันทีว่าต้องเป็นเจ้าแก้มที่กดโทรศัพท์เธอเล่นแน่ๆ
พิมพ์พลอยรีบกดลบภาพนั้นก่อนที่เพื่อนในเฟซบุ๊กจะคอมเมนต์อะไรไปมากกว่านี้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอมีลูกนอกจากคนในครอบครัวและอติคุณ เธอปิดมันเป็นความลับเพราะไม่อยากให้มันรั่วไหลไปเข้าหูพ่อของพาลิน
เจ้าแสบเอ๊ย...เกือบหางานให้หม่ามี้แล้วนะ
“พรุ่งนี้เห็นนาวินบอกว่าลูกมีนัดกับคุณปวริศ” เจตน์กำลังนั่งคุยกับลูกชายในห้องนั่งเล่นหลังรับประทานมื้อเย็นเสร็จ
“ครับ พอดีจะพาเขาไปดูที่ดิน” พลิศร์คุยกับพ่อ ทว่าสายตากลับจดจ่ออยู่ที่สมาร์ตโฟน เขากำลังสั่งงานนาวิน
“มั่นใจใช่ไหมว่าที่ดินผืนนั้นจะดึงกิจสิริให้ลงคะแนนโหวตให้ลูก”
กิจสิริที่เจตน์พูดถึงเป็นตระกูลของหนึ่งในผู้ถือหุ้นในเครืออัศวพาณิชย์ จำนวนหุ้นในมือของกิจสิริถือเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดว่าใครจะได้นั่งตำแหน่งประธานกรรมการในการเลือกตั้งครั้งนี้
“เขาดูจะอยากได้มาก คงจะซื้อใจได้ไม่น้อยมั้งครับ” พลิศร์ตอบอย่างไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่ก็คิดว่ามีเปอร์เซ็นต์น้อยที่กิจสิริจะไปเลือกฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากฝ่ายจิรเมธไม่มีผลประโยชน์อะไรที่กิจสิริต้องการ
ต่างจากพลิศร์ที่มีที่ดินแปลงหนึ่งในมือ เป็นแปลงที่กิจสิริต้องการเสียด้วย
“งั้นเหรอ แต่พ่อว่ามันแปลกๆ ที่พวกเขาต้องการแค่ที่ดินเพื่อสร้างมูลนิธิการกุศล” เจตน์รู้สึกแปลกใจ กิจสิริเป็นตระกูลที่เขี้ยวลากดิน ทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร ไม่ใช่พ่อพระ ดังนั้นข้อเสนอที่ต้องการเพียงที่ดินไปสร้างมูลนิธิการกุศลเพื่อแลกกับคะแนนโหวตมันจึงฟังดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไร
“แต่ตอนนี้คุณรักเกียรติหมดอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่างในกิจสิริแล้ว” พลิศร์อธิบายต่อ
รักเกียรติคือผู้นำของตระกูลกิจสิริ เคยเป็นใหญ่ที่สุดในวงศ์ตระกูล ทว่าตอนนี้เป็นแต่เพียงในนาม เพราะเขาหมดศักยภาพที่จะบริหารงาน เนื่องจากนอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงและยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
กิจการงานทุกอย่างจึงตกอยู่ในความรับผิดชอบของลูกเขยอย่างปวริศ เพราะรักเกียรติมีลูกสาวคนเดียว ซึ่งลูกสาวก็ไม่ถนัดงานบริหารเอาเสียเลย
“ลูกเขยที่ขึ้นบริหารงานแทน ดูจะมีวิสัยทัศน์ต่างจากพ่อตา เขาดูเป็นคนใจบุญและใส่ใจสังคม” การลงมติในที่ประชุมเรื่องการรื้อถอนโรงเรียนไปตั้งที่ใหม่ พลิศร์ชนะได้ก็เพราะปวริศลงคะแนนให้เขา “แต่ยังไงผมก็ว่าแปลก...”
ยังไม่ได้อธิบายต่อพลิศร์ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นภาพบางอย่างโชว์บนหน้าจอสมาร์ตโฟน
“พ่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาไม่รอให้ผู้เป็นพ่อตอบรับด้วยซ้ำ รีบลุกพรวดเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นเสียก่อน
เจตน์ที่ยังอยากคุยต่อจะร้องห้ามก็ไม่ทัน เลยปล่อยเลยตามเลย
พลิศร์เดินออกมาแล้วก็ต่อสายถึงเลขาฯ คนสนิททันที
“วิน จองตั๋วไปแอลเอด่วนที่สุด”
“มีเรื่องอะไรหรือครับ พรุ่งนี้คุณเพิ่มมีนัดกับคุณปวริศนะครับ” นาวินเตือนเนื่องจากเป็นนัดสำคัญที่ไม่ควรเลี่ยง
“เลื่อนไปก่อน” คนเป็นเจ้านายตอบอย่างไม่สนใจอะไร “จองตั๋วไฟลต์ที่ไปถึงแอลเอเร็วที่สุดให้ฉัน”
ความคิดเห็น |
---|