2

2

2

วันรุ่งขึ้นพิมพ์พลอยเดินทางมามหาวิทยาลัยหลังรับประทานมื้อเช้าเสร็จ ยอมรับว่าตื่นเต้นและประหม่าที่จะต้องมาพบคนรู้จักที่นี่ในรอบเกือบสี่ปี 

ทำไมน่ะเหรอ เพราะว่าตอนที่จากไปหญิงสาวเป็นพิมพ์พลอยคนละคนกับตอนนี้ ทั้งการแต่งตัวและทัศนคติในการมองโลกต่างจากอาจารย์พิมพ์พลอยโลกสวยคนเดิมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

ฟู่~ สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็เลือกที่จะพ่นลมหายใจออกยาวๆ จากนั้นก็เดินเชิดหน้าขึ้นตึกคณะเศรษฐศาสตร์ไป อย่างไรก็ตามเธอต้องเผชิญหน้ากับผู้คนในอดีต ต่างกันแค่เร็วหรือช้า...แค่นั้น

และก็เป็นดังคาด ทุกคนที่รู้จักเธอต่างทักเป็นเสียงเดียวกันว่าอาจารย์พิมพ์พลอยเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ ตั้งแต่คุณป้าแม่บ้านประจำตึกไปจนถึงคณบดีคนปัจจุบัน 

เข้าไปปรึกษาอาจารย์รุ่นพี่เรื่องข้อมูลวิทยานิพนธ์ ท่านก็ชวนคุยแต่เรื่องของเธอเป็นส่วนใหญ่ คงจะประหลาดใจว่าอะไรทำให้พิมพ์พลอยเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนใหม่

“พลอย”

หญิงสาวกำลังจะเดินลงจากตึกหลังจากคุยธุระเรียบร้อย แต่ดันมีเสียงที่คุ้นเคยเรียกจากด้านหลัง เลยหันกลับไปมอง            “พี่มา”

อาจารย์มาภาสุดแซ่บ เพื่อนอาจารย์และโรลมอเดลของเธอนั่นเอง 

“ฉันเกือบจำเธอไม่ได้แน่ะ” อาจารย์คนสวยเดินเข้าสวมกอดสาวรุ่นน้อง จากนั้นก็ผละออกและหมุนตัวพิมพ์พลอยไปมาเพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลง “เธอไปกินอะไรผิดสำแดงที่แอลเอมารึเปล่า ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ หรือว่าได้แฟนฝอยะ”

มาภาสำรวจเพื่อนรุ่นน้องตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ใบหน้าแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางทำให้ดูมีสีสัน ไม่จืดชืดเหมือนพิมพ์พลอยคนเดิมที่ทาเพียงลิปมัน เธอยังคงไว้ผมยาวเหมือนเดิม ทว่าดัดลอน เมื่อบวกกับสไตล์แต่งหน้าแบบสาวตะวันตกก็ทำให้ยิ่งดูเซ็กซี่

การแต่งกายก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ก่อนเธอแทบไม่เคยเห็นพิมพ์พลอยใส่ส้นสูง มาคราวนี้หญิงสาวกลับยืนบนรองเท้าส้นเข็มยาวกว่าสามนิ้วได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ สวมชุดสูทกางเกงขายาวเข้ารูปสีเทาดำทั้งชุด ด้านในมีสายเดี่ยวรัดรูปสีขาว 

พิมพ์พลอยดูเป็นสาวมั่นและแซ่บขึ้นเป็นร้อยเท่าถ้าเทียบกับแต่ก่อน อาจารย์พิมพ์พลอยคนเดิมจะชอบใส่เดรสความยาวเลยเข่าลายลูกไม้ หรือลายดอกไม้สีหวาน กับรองเท้าคัทชูไม่มีส้น ใบหน้าแทบไร้การแต่งเติม ดูจืดชืดและไร้สีสัน 

ไม่ใช่ว่าแบบเดิมมันไม่ดี แต่แบบใหม่มันดีกว่า พิมพ์พลอยมีต้นทุนความสวยที่สูงอยู่แล้ว ถึงไม่แต่งไม่เติมความสวยก็เป็นที่สะดุดตา แต่ยิ่งพอแต่งพอเติมก็ยิ่งส่งให้สวยไปอีกระดับ

“ฟงแฟนอะไรกันคะ ปั่นธีสิสจนหัวฟู ไม่มีเวลาไปเดตหรอก” ถึงมีเวลาก็ต้องเลี้ยงลูก เพราะฉะนั้นตัดเรื่องผู้ชายออกไปจากชีวิตได้เลย

“การพูดการจาเธอก็เปลี่ยนไปนะ” เมื่อก่อนน้ำเสียงพิมพ์พลอยจะเนิบช้า ไม่มีจริตจะก้าน ไม่เหมือนตอนนี้ที่รู้จักจีบปากจีบคอ แถมจังหวะในการพูดก็กระชับขึ้น “ลื่นหัวฟาดพื้นที่เบเวอร์ลีฮิลส์รึเปล่ายะ”

ถามอย่างจิกกัด แต่พิมพ์พลอยรู้ว่าอาจารย์มาภาแค่พูดหยอกตามนิสัย

“เปล่าหรอกค่ะ คงเป็นเพราะพลอยได้ไปใช้ชีวิตที่อเมริกาหลายปีมั้งคะ เลยซึมซับวัฒนธรรมฝรั่งมา”

“ทำไมไม่ซึมซับมาตั่งแต่ตอนเรียน ป. โท” มาภาจำได้ว่าพิมพ์พลอยเคยเรียนปริญญาโทที่ตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียสองปี

“นั่นสิคะ” 

ย้อนถามซะอย่างนั้น

จะให้เธอตอบได้อย่างไรล่ะว่าที่เปลี่ยนไปเพราะมีลูก เพราะผิดหวังที่ผู้ชายไม่เอา แถมยังทิ้งเจ้าพาลินน้อยไว้ในพุงเธออีกต่างหาก คิดดูแล้วกันว่าเธอต้องผ่านเรื่องราวหนักหนาสาหัสอะไรมาบ้าง 

ทั้งโดนผู้ชายหักอกเพราะไม่ประสีประสากับโลกความจริงอันโหดร้าย ทั้งตั้งท้องโดยไม่มีพ่อ แถมยังต้องเลี้ยงลูกคนเดียวในต่างแดน จะให้เป็นพิมพ์พลอยที่หัวอ่อนคนเดิมพาลินน้อยคงไม่ได้เติบโตและมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้

ที่จริงก็ไม่อยากปิดบังเรื่องลูกหรอก แต่ที่ทำนั้นมีเหตุผล ลูกสาวมาภาเป็นภรรยาของพี่ชายพลิศร์ หากเธอรู้ เรื่องคงถึงหูพ่อของยายหนูพาลิน

เธอไม่รู้หรอกว่าพ่อของลูกจะคิดเช่นไรหากได้รู้ว่าตัวเองมีลูกสาววัยเกือบสามขวบ ไม่รู้ และไม่อยากรู้เพราะไม่แคร์ ที่สำคัญพิมพ์พลอยไม่ต้องการให้เขารู้

“อะไรก็ช่างเถอะ ฉันชอบเธอในเวอร์ชันนี้นะ ค่อยดูเข้ากับฉันหน่อย” แต่ก่อนมาภากับพิมพ์พลอยเหมือนหยินหยางที่ต่างกันสุดขั้ว

“จะว่าไปแล้วที่พลอยเป็นอย่างทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็ได้พี่มาเป็นไอดอล” ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่มีมาภาเป็นต้นแบบ แต่รวมถึงบทบาทคุณแม่ด้วย

อาจารย์มาภาเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเช่นกันกับเธอ แต่กลับเลี้ยงลูกได้อย่างน่าชื่นชม พิมพ์พลอยเองสนิทกับลลิณาลูกสาวของมาภา หนูลิณเติบโตขึ้นมาอย่างดี เป็นสาวน้อยที่อารมณ์ดีและคิดบวก ไม่เหมือนเด็กที่มีปัญหาครอบครัว ทั้งนี้เป็นเพราะความรักความอบอุ่นที่คนเป็นแม่มีให้อย่างเพียงพอ

“เธอคิดดีแล้วเหรอที่เอาฉันเป็นแบบอย่าง” 

มาภาไม่ใช่คนที่เพอร์เฟกต์อะไร เธอเคยใช้ชีวิตผิดพลาด ตั้งท้องตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย แถมยังเรียนไม่จบ แต่เพราะมีลูกและคุณยายของลลิณาเป็นแรงผลักดัน จึงทำให้มีแรงฮึด ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือสอบเทียบมัธยมจนผ่าน จากนั้นก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย สุดท้ายได้ทุนไปเรียนต่อจนจบดอกเตอร์และกลับมาสอนหนังสือนักศึกษาจนถึงปัจจุบันนี้

“คิดถี่ถ้วนเลยละค่ะ อย่าว่าแต่พลอยเลย นักศึกษาสาวทั้งคณะก็ต่างยกให้พี่มาเป็นไอดอล”

“ปากหวานนักนะ” มาภายิ้มรับคำชมแล้วพูดต่ออย่างเร่งรีบ “นี่ เดี๋ยวฉันต้องไปสอนแล้ว ไว้เรานัดทานข้าวกันดีไหม ฉันยังอยากเมาท์กับเธอต่อ

“ได้ค่ะ”

“เดี๋ยวฉันจะทักไปแล้วกันนะ”

“ได้เสมอค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”

แล้วสองสาวก็แยกย้าย มาภาเดินเข้าห้องเรียน ส่วนพิมพ์พลอยเดินลงตึกคณะไปยังลานจอดรถ ระหว่างทางเดินออกจากอาคารมีเสียงเตือนข้อความเข้าจากสมาร์ตโฟน เธอจึงหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน

ริมฝีปากบางที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงอมส้มคลี่ยิ้มออกเล็กน้อย ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มภายใต้เปลือกตาสองชั้นทว่าหลบในเปลี่ยนเป็นรูปสระอิโดยอัตโนมัติเมื่อเจ้าของของมันรู้สึกปีติ 

เพียงพัชร์ส่งรูปเจ้าก้อนในชุดนอนพิกเล็ตสีชมพูตัวโปรดมาให้เธอดู มันเป็นชุดผ้ายืดเนื้อนิ่มแขนขายาวที่หญิงสาวซื้อให้ยายหนูตอนอายุสองขวบ แต่ตอนนี้เจ้าแก้มอ้วนจะสามขวบแล้วยังดันทุรังใส่ ทั้งที่มันรัดแขนรัดขาอวบไปแทบทุกสัดส่วน แถมชายเสื้อยังเก็บพุงขาวป่องนั้นไว้ไม่มิดอีก

เห็นแล้วมันเขี้ยวนัก...

เมื่อเสพความน่ารักจนคลายความคิดถึงลงบ้างพิมพ์พลอยก็ปิดหน้าจอโทรศัพท์เก็บลงกระเป๋า ในจังหวะที่เงยหน้าขึ้นนัยน์ตาสีน้ำตาสบเข้ากับแผ่นหลังของคนคุ้นเคย

ให้ตายเถอะ...ไม่เจอหน้ากันเกือบสี่ปี เห็นเขาจากทางด้านหลังพิมพ์พลอยก็รู้ว่าเป็นพ่อของลูกตั้งแต่วินาทีแรก ดูเหมือนพลิศร์กำลังก้มหยิบอะไรสักอย่างในรถ 

ว่าแต่เขามาทำอะไรที่นี่...ช่างสิ นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมายืนเด๋อด๋าอยู่แบบนี้ ไม่เช่นนั้นพ่อของพาลินอาจจะเห็นเธอได้ 

แทนที่จะเดินตรงไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ หญิงสาวตัดสินใจเดินอ้อมไปด้านหลังตึกคณะ พอเขาไปเธอค่อยกลับมายังลานจอดรถ

 

นับตั้งแต่ก้าวขึ้นเป็นรองประธานคณะผู้บริหารในบริษัทเครืออัศวพาณิชย์ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาเสียเป็นส่วนใหญ่ ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ไฟยังแรงอย่างพลิศร์นำพาบริษัทฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ด้วยการบริหารต้นทุนและการจัดการที่เหมาะสม จนสามารถทำให้กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนได้

ตอนที่ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในกรรมการบริหาร ชายหนุ่มได้รับคำสบประมาทมากมายจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะญาติฝั่งพ่อที่ไม่ค่อยชอบเขากับแม่ด้วยเหตุผลที่ว่าแม่ของเขาเคยเป็นเมียน้อย ใช่...เคยเป็น ทว่าตอนนี้แม่คือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพ่อ

พลิศร์เป็นลูกชายคนเล็กของเจตน์ซึ่งเกิดจากพิราอรผู้ซึ่งเป็นภรรยาคนที่สอง ส่วนลูกชายคนโตคืออลัน...เกิดจากภรรยาคนแรก 

อลันไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานของอัศวพาณิชย์ ไม่ใช่ว่าถูกกีดกัน แต่เขาเลือกที่จะทำแบบนั้นเอง เพราะโกรธพ่อที่หักหลังครอบครัวไปมีบ้านน้อย เมื่อแยกทางกันแม่ของเขาก็ย้ายกลับไปอยู่ฮ่องกงซึ่งเป็นบ้านเกิด อลันเองก็ย้ายตามไปด้วยและตัดขาดจากพ่อนับแต่นั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเจตน์กับลูกชายคนโตได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกัน อลันให้อภัยพ่อของเขา ทว่าก็เลือกที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของพ่อเหมือนเดิม ดังนั้นพลิศร์จึงได้รับช่วงต่อจากเจตน์แต่เพียงผู้เดียวไปโดยปริยาย

ช่วงแรกของการเข้ามาบริหารงานในอัศวพาณิชย์ พลิศร์ค่อนข้างลำบาก แต่เขาก็ได้พิสูจน์ฝีมือจนเป็นที่ยอมรับจากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ และชายหนุ่มก็ได้รับเลือกให้นั่งเก้าอี้ในตำแหน่งรองประธานเพราะมีบุญเก่าที่สั่งสมมาตั้งแต่เข้าทำงาน ทุกผลงานที่ทำเป็นที่ประจักษ์ว่า พลิศร์ อัศวกุล เป็นคนมีความสามารถ

คนเก่ง...แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็นลูกเมียน้อย หรือถูกตราด้วยฉลากอะไรก็ตาม สุดท้ายแล้วก็ยังเก่งอยู่วันยังค่ำ

และเช้าวันนี้คนเก่งอย่างพลิศร์ก็ได้รับเชิญจากอาจารย์มาภาให้มาบรรยายที่คลาสของเธอ ในหัวข้อ การปรับตัวของภาคธุรกิจในการรับมือปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศ 

“พี่มา ผมเพิ่งหาที่จอดรถได้ เดี๋ยวจะขึ้นไปแล้วครับ” 

ชายหนุ่มขับรถวนรอบคณะเศรษฐศาสตร์อยู่หลายนาทีกว่าจะหาที่จอดรถได้ เขาไม่ได้เผื่อเวลาสำหรับการนี้เลยทำให้เข้าคลาสบรรยายเลต อาจารย์มาภาจึงได้โทร. ตาม

เมื่อจอดเรียบร้อยหนุ่มร่างสูงก็ก้าวลงจากรถ กำลังจะเดินขึ้นตึกแล้วแท้ๆ แต่ดันลืมหยิบแท็บเล็ตมาด้วย เขาจึงต้องเสียเวลาอีกหลายวินาทีในการก้มหยิบ ได้ของที่ต้องการแล้วก็วิ่งตรงไปยังตึกคณะ แต่แล้วสายตาคมกริบก็ปะทะกับร่างบางที่แสนจะคุ้นตา ขายาวถึงกับชะงัก

พลิศร์อยากจะวิ่งตามเธอไป แต่เขามีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ จึงจำเป็นต้องสลัดความสงสัยนั้นทิ้ง แล้วก้าวขึ้นอาคารไป

คลาสแปดโมงเช้าเป็นคลาสสั้นๆ แค่หนึ่งชั่วโมงสามสิบนาที พลิศร์ใช้เวลาบรรยายไม่เกินหนึ่งชั่วโมงจากนั้นก็เปิดให้นักศึกษาได้ถามคำถามจนหมดเวลาเรียน

“พลอยกลับมาแล้วนะ” อาจารย์มาภาพูดขึ้นระหว่างที่กำลังเดินมาส่งพลิศร์ที่รถ

“...” 

แสดงว่าหญิงสาวร่างเล็กในชุดสูทสีเทาที่เขาเห็นเป็นพิมพ์พลอยไม่ผิดแน่

“ทำไมเงียบ” มาภามองอย่างสงสัย ปกติหากเธอเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับพิมพ์พลอยขึ้นมา พลิศร์เป็นต้องถามไม่หยุด

เมื่อก่อนมาภาก็ไม่อยากเล่าเรื่องของอาจารย์รุ่นน้องให้พลิศร์ฟังนักหรอก พอรู้ว่าชายหนุ่มทำอะไรไม่ดีกับน้องสาวเธอไว้ แต่ด้วยความช่างตื๊อ บวกกับความเห็นอกเห็นใจที่เห็นนัยน์ตาสีนิลมีแววสำนึกผิด ถึงได้เอ่ยปากเล่าให้ฟังบ้าง

“ผมเจอพลอยแล้ว”

“เจอ? เจอตอนไหน”

“เมื่อเช้า เห็นแค่ด้านหลัง ตอนแรกคิดว่าไม่ใช่พลอยเลยไม่ได้สนใจ” ที่จริงเขาสน แต่ไม่สามารถตามไปดูให้แน่ใจได้

“อ๋อ...ไม่แปลกหรอกที่จะจำไม่ได้ ยายพลอยต่างจากเมื่อก่อนมาก แต่ก่อนเป็นต้มจืด เดี๋ยวนี้เป็นต้มแซ่บ เปลี่ยนจนฉันแปลกใจเลยละ” 

“ผมอยากเจอพลอย”

“ฉันไม่ช่วยหรอกนะ” อาจารย์สาวเมินสายตาวิงวอนคู่นั้น ขืนช่วยพลิศร์ พิมพ์พลอยได้งอนเธอแน่ “นายจะอยากเจอยายพลอยไปทำไม เป็นฝ่ายขอเลิกกับเขาเองไม่ใช่เหรอ”

“อยากรู้ว่าเปลี่ยนไปแค่ไหน” ใช่ เขาอยากรู้แค่นี้จริงๆ

“แต่พลอยคงไม่อยากเจอนาย” 

ตั้งแต่พิมพ์พลอยบินไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา เธอยังคงติดต่อรุ่นน้องอยู่ประจำ ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดคุยกันผ่านข้อความเพราะเวลาต่างกันสิบสองชั่วโมง พอเธอเข้านอน พิมพ์พลอยก็ตื่นไปเรียน เลยไม่สะดวกคุยกันโดยตรง

อย่างไรก็ตามตลอดหลายปีที่ผ่านมา พิมพ์พลอยไม่เคยถามถึงพลิศร์แม้แต่ครั้งเดียว มาภาคิดว่าสาวรุ่นน้องคงลืมชายหนุ่มไปเสียสนิทแล้ว...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น