ความฝันกลายเป็นจริง

 

“จุนแม่!!!”

ร่างเล็กในชุดเสื้อขาวมีหูกระต่ายตรงหัวไหล่ทั้งสองข้าง กระโปรงสีชมพูจีบรอบตัวฟูนิดๆ โผเข้ามาจับมือบอบบางของมารดาบนเตียง ใบหน้าเล็กประดับด้วยรอยยิ้มแป้นแล้นเต็มไปด้วยความสุขจนเห็นฟันซี่น้อยๆ เรียงตัวสวย 

“น้องหนูไปเจเว่นมา จุนแม่จะจินฉะหนมยื้อป่าว” เจ้าตัวเล็กชูถุงสีส้มๆ ในมือให้มารดาได้ดูขนมที่ตัวเองซื้อมา “อะหย่อยมากเลยนะ น้องหนูแกะให้จุนแม่กินตีมั้ย” 

เจ้าตัวเล็กวางถุงขนมไปบนเตียง และทำท่าจะปีนขึ้นไปบนนั้น ร่างเล็กกระโดดดึ๋งๆ อยู่หลายที

“เดี๋ยวนะ...”

จามิกรที่เพิ่งรู้สึกตัวได้ไม่นานจับบ่าน้อยๆ ห้ามไว้ก่อน เธอยังจับต้นชนปลายไม่ถูก และยังไม่รู้ว่าเด็กน้อยคนนี้คือใคร ทำไมถึงมาเรียกเธอว่า ‘แม่’

ถึงจะรู้สึกคุ้นเคยเหมือนว่าเคยเห็นหน้าเด็กน้อยคนนี้มาก่อน แต่ก็เลือนรางคล้ายฝัน พอทบทวนความทรงจำก็ไม่ได้มีเด็กคนนี้ร่วมอยู่ในนั้นด้วย มีแต่เรื่องราวในวันนั้น 

เช้าวันที่ไม่ทันได้ตัดสินใจใดๆ กับคนดื้อด้านราวกับเด็กชายไม่รู้ความอย่างชานนท์ ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เธอต้องร่วมกับทีมแพทย์เพื่อไปช่วยเหลือคนเจ็บยังเขตภัยสงครามอย่างเร่งด่วน ทุกอย่างโกลาหลวุ่นวายไปหมด รอบทิศเองก็เต็มไปด้วยเสียงระเบิด เสียงปืน เสียงโอดครวญ ผสมผสานกลิ่นดินปืนและกลิ่นคาวโลหิตที่ตลบอบอวล ส่งผลให้การทำงานเป็นไปอย่างยากลำบาก

เธอไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะหันไปดูว่าชานนท์จะทำอย่างไร หลังเธอถลาออกจากกระโจมและไม่กลับเข้าไปอีก ไม่เอ่ยสักคำพูดทิ้งไว้ให้เขาด้วย

กระทั่งได้ยินเสียงคนสั่งให้หมอบลง เสียงนั้นดังมาก มากพอที่จะแทรกความอื้ออึงทั้งหมดเข้ามาถึงโสตประสาทภายใน และเสียงนั้นเองที่ทำให้เธอจำได้ว่าทิ้งใครไปอย่างไม่ไยดี 

“หนูเรียกใครว่าคุณแม่นะคะ”

เรื่องราวหลังจากนั้นเธอก็หามันไม่เจอในความทรงจำอีก จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเธอมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร และเด็กคนนี้คือใคร

“จุนแม่ไง” ใบหน้าเล็กเงยขึ้นยิ้มจนตาหยี

“ฉัน...เป็นแม่ของหนู”

“อืม” ศีรษะเล็กขยับไหว “น้องหนูเป็นยูกของจุนแม่จับจุนพ่อ”

“จุนพ่อ!!!” และเด็กน้อยก็ร้องเสียงดัง เมื่อร่างสูงของใครคนหนึ่งผ่านประตูห้องเข้ามา เธอกำลังประกาศชัดว่าบิดาที่พูดถึงคือใคร 

ช่วงหัวไหล่ที่กว้างไม่เกินจริงจากคำว่าอกสามศอก และแผงอกบึกบึนที่เพียงมองผ่านเสื้อผ้าก็ยังรู้ว่าแน่นขนัดไปด้วยมัดกล้าม เขาคือชานนท์ไม่ผิดแน่

“น้องหนู!”

จามิกรไม่ได้เอะใจใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เด็กน้อยแทนตัวเองด้วยชื่อ ‘น้องหนู’ อยู่ตลอด เพราะคิดว่าไม่มีทางใช่!

หญิงสาวถึงกับตัวสั่น ตลอดเวลาเกือบสี่ปีมานี้เพื่อไม่ให้ถูกความคิดถึงทรมานจนตาย เธอเลือกกันพวกเขาพ่อลูกออกจากทุกการรับรู้ รูปสักใบเธอก็ไม่ยินยอมให้ตัวเองได้เห็น 

แต่บัดนี้ ลูกสาวตัวน้อยอยู่ตรงหน้า...

“จุนพ่อ น้องหนูจะจึ้น”

เจ้าตัวเล็กไม่ได้เห็นสีหน้ามารดา เพราะหันไปย่นจมูกใส่บิดาอยู่ มีแต่ดวงตาคมเข้มของชานนท์ที่ตรึงแน่นกับสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีดของภรรยา

“รับทราบครับท่านประธาน” 

ชานนท์น้อมรับความต้องการนั้นแต่โดยดี และก้าวเข้ามาใช้ฝ่ามือใหญ่ยกเจ้าตัวเล็กลอยขึ้นไปวางลงบนเตียง บนตักของมารดา ดึงมือทั้งสองข้างของจามิกรโอบไปรอบๆ เอวเจ้าตัวเล็ก 

“น้องหนู ลูกสาวของคุณ” 

เขาจงใจเน้นคำว่า ‘ลูกสาวของคุณ’ ช้าๆ ชัดๆ ตอกย้ำความคิดของเธอในขณะนี้ให้กระจ่างชัดไปให้ถึงแกนกระดูก และเจ้าตัวเล็กก็ช่างรู้หน้าที่ เอี้ยวตัวกลับไปรวบเอวมารดา

“ไต้ น้องหนูเอง น้องหนูยูกเจ๋าจุนแม่ น้องหนูเป็นเด็กน่ายัก ไม่ดื้อไม่จน หม่ำจ้าวเก่ง” เจ้าตัวเล็กแหงนหน้าขึ้นตั้งฉากเพื่อให้สามารถรับภาพใบหน้าของมารดาและทำให้ท่านได้เห็นใบหน้าเธอชัดๆ

“จุนปู่บอกว่าหม่ำจ้าวเยอะๆ โตไวๆ จุนแม่จะยัก น้องหนูโตแย้ว จุนแม่ยักน้องหนูยื้อยัง”

‘รักหรือยัง’ ไม่ใช่ลูกควรจะถามคนเป็นมารดาว่า ‘รักหนูมากเท่าไหร่’ หรอกหรือ

จามิกรน้ำตาร่วงเผาะ กับคำตอบที่ว่าเพราะลูกไม่เคยได้รับความรักจากมารดามาก่อน ไม่เคยได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ลูกถึงไม่อาจคาดหวังความมากน้อย หวังเพียงแค่ว่าความรักที่ต้องการนั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้วหรือยัง

“ตำมายจุนแม่ย้องไห้” น้ำตาหยดนั้นร่วงลงบนใบหน้าพอดิบพอดี เจ้าตัวเล็กดีดตัวขึ้นมาจัดท่านั่งใหม่โดยพลัน พลิกตัวหันหน้าเข้าหามารดา แล้วยกมือน้อยๆ ขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า “จุนแม่เจ็บตงไหน บอกน้องหนูจี๊ น้องหนูเป่าเจ่ง หายไวๆ”

“ฮึก...” ลูกไม่เอ่ยปลอบ เธอยังสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้บ้าง แต่น้ำเสียงอาทรนี้...

 จามิกรรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบที่ตัวเองพยายามค้ำจุนไว้อย่างยากลำบากมาเนิ่นนานพังทลายในพริบตา สิ่งที่เธอทำไปทั้งหมด ความเจ็บปวดที่เผชิญมา ช่างไร้ซึ่งคุณค่า ยังไม่ได้เศษเสี้ยวของความผิดที่เธอกระทำลงไปกับหัวใจดวงน้อยๆ ตรงหน้านี้

หนูควรจะต้องดุแม่นะลูก!

นอกจากดุ ลูกยังควรจะตีเธอให้หนักๆ ด้วย แต่ไม่...

เจ้าตัวเล็กสีหน้าเหยเก “โอ๋ๆ จุนแม่จนฉวยอย่าย้องนะ อย่าย้อง น้องหนูยักจุนแม่ที่ฉุด น้องหนูไม่ตุ จุนพ่อจ้อไม่ตุ ไต้มั้ย...” เด็กน้อยผู้ไม่รู้ว่าบิดาดุไปแล้ว ดุไปเยอะด้วย แถมยังข่มขู่อีกสารพัด หันไปขอความเห็นพ้องทั้งเสียงที่เริ่มสั่น

“ใช่” 

ชานนท์ตอบรับด้วยใบหน้าจริงจัง ไม่มีทางที่ท่านประธานบอกว่านกแล้วเขาจะแย้งว่าเป็นไม้โดยเด็ดขาด แม้ว่าในความเป็นจริง เขาจะกระทำการดุมารดาแสนรักของลูกไปแล้ว

ร่างสูงขยับเล็กน้อยคล้ายจะแก้กระดากต่อเหตุการณ์นับจากนี้ ยกมือขึ้นกอดอกและโน้มตัวลง

“คุณพ่อจะดุคุณแม่ได้ยังไงครับ ออกจะรักหมดใจขนาดนี้”

“เห็นมั้ย จุนพ่อจ้อยักจุนแม่ จุนแม่อย่าย้องเยยนะจนตี” มือที่เปื้อนน้ำตาไปทั้งสองข้างยังคงขยันปาดความชื้นบนใบหน้ามารดาออก ไม่ได้เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งที่บิดาส่งออกไป และถูกมารดาปัดทิ้งด้วยการไม่สนใจ 

“พี่ต้นบอกว่าถ้าย้องไห้มากๆ ปี๋น้อยจะมาจับตัว ปี๋น้อยน่าจัวมากๆ จุนแม่ต้องจึบไว้”

เจ้าตัวเล็กกุลีกุจอทำให้ดูด่วนจี๋ ด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ ค้างเอาไว้แป๊บหนึ่งถึงผ่อนออก จึบ ก็คือคำว่า ฮึบไว้นั่นเอง

“จุนแม่จึบเร็ว จึบบบ...” 

บนโลกนี้ถ้าได้อยู่ใกล้เด็กน้อย ใครยังจะไม่ทำตาม จามิกรเจ็บปวดใจยังไงก็ยังอดสูดหายใจเข้าไปตามคำสั่งใสๆ นั้นไม่ได้ รางวัลที่เธอได้รับสำหรับการเชื่อฟังจึงเป็นอ้อมกอดนุ่มๆ และรอยประทับตรงข้างแก้ม

“จุนแม่เจ่งที่ฉุด” 

“ใช่ คุณแม่เก่งที่สุด”

พบคนเนียนแล้วหนึ่งอัตรา!

จามิกรเงยหน้าขึ้นขึงตาดุกับเจ้าของรอยประทับข้างแก้มตำแหน่งเดียวกับลูกแบบติดๆ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย 

‘ทำอะไรของคุณ ต่อหน้าลูกนะ’ จามิกรดุโดยไร้เสียง 

ชานนท์เพียงแค่ยิ้มรับ ไม่ตอบกลับ แต่เปิดประเด็นใหม่...

“คุณแม่เพิ่งฟื้น หิวน้ำหรือเปล่านะ” 

“จิงต้วย น้องหนูเอง น้องหนูจะเอาน้ำให้จุนแม่จิน” แล้วเจ้าตัวสดใสก็ผละจากไปหยิบแก้วน้ำแบบพร้อมดื่มขนาดสองร้อยมิลลิลิตรมาเสียบหลอดจ่อไปตรงปากมารดา มือหนึ่งยื่นไปลูบแผ่นหลังไวๆ แต่เพราะมือสั้นเกินไปจึงวนอยู่ตรงหัวไหล่ 

“ต๊าๆ นะ ต๊าๆ” นอกจากใส่ใจ เจ้าตัวเล็กยังใส่ความห่วงใยมาเต็มเปี่ยม

หัวใจคนไม่ใช่เหล็กกล้า ไยจะทานทนไหว 

จามิกรลืมแล้วว่าก่อนหน้ากำลังรู้สึกอย่างไรต่อชานนท์ หญิงสาวรวบเจ้าตัวเล็กเข้ามาในอ้อมแขน กระชับความนุ่มนิ่มที่มีเพียงพระเจ้าบนฟ้ากับหมอนผ้าห่มในห้องเท่านั้นที่รู้ว่าเธอถวิลหาเจ้าตัวน้อยนี้มากปานใด นาทีที่ต้องก้าวจากไปทั้งๆ ที่เพิ่งจะเห็นดวงหน้านี้เสี้ยวนาที ไม่แตกต่างจากการเอามีดกรีดลงบนหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

มารดาคนใดบ้างที่ไม่รักลูก เธอไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ที่ทิ้งลูกไปจะรู้สึกอย่างไร แต่เธอเชื่ออย่างหนึ่งจนหมดใจ ว่าหากเลือกได้ หากสถานการณ์ในตอนนั้นที่เผชิญอยู่มีหนทางให้สามารถเลือกได้จริงๆ ใครเล่าจะเลือกทิ้งสิ่งมีชีวิตน้อยๆ ที่เป็นทั้งเลือดทั้งเนื้อของตัวเองได้ลงคอ

“แม่รักน้องหนู แม่รักน้องหนูมากที่สุดในโลก มากกว่าอะไรทั้งหมดในชีวิตของแม่” 

ที่ทิ้งไปไม่ใช่เพราะไร้รัก ไร้เยื่อใย ไร้ความรู้สึก แต่เพราะรัก รักมากเกินกว่าจะกล้าให้เจ้าตัวนุ่มนิ่มนี้ต้องเสียใจ หากบิดามารดาจะต้องวิวาทจนขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะแย่งเขา

“แม่ขอโทษ”

แม่สำนึกผิดแล้ว...

จามิกรยอมวางทุกอย่างลงตรงนี้แล้วจริงๆ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับชานนท์ เธอจะไม่มีวันเลือกทิ้งลูก เลือกทิ้งความเป็นมารดานี้ไปอีก เธอจะไม่เลือกหนทางโง่เง่านี้อีกแล้ว

ชานนท์อยากเข้าไปมีส่วนร่วม แต่ฝีเท้ากลับถอยห่างออกไปเงียบๆ ให้เวลาแม่กับลูกเขาได้ปรับความเข้าใจกัน ได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง จะได้รู้ว่าความรักความต้องการที่มีให้แก่กันมันมากมายขนาดไหน สำหรับเขาเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว 

มือหนายกขึ้นถูจมูกที่แสบร้อน แล้วดึงประตูปิด

 

“ผู้กอง...” 

วรินทรที่รออยู่ด้านนอกรุกเข้าไปหา เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นผู้บังคับบัญชาออกมาในเวลานี้ เวลาที่ควรจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนพ่อแม่ลูก ช่วงเวลาที่หัวหน้ารอคอย แถมดวงตาทั้งคู่ยังแดงก่ำ ไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่คาดการณ์ คงไม่ใช่ว่า...

ถูกอาซ้อไล่ออกมา!

“ฉันออกมาเอง อาซ้อนายหรือจะกล้าไล่ฉัน” คนอย่างเขาถ้าไม่เต็มใจออกมาเอง เอาช้างมาฉุดก็ไม่ยินยอมกระดิกแม้แต่ปลายเท้า เขาไม่ใช่คนประเภทระมัดระวังใส่เกียร์อยู่ตลอดเวลาเสียหน่อย ชานนท์ปรับอารมณ์หยุดความคิดไม่เข้าท่าของลูกน้องก่อนจะลามไปใหญ่โต “ลงไปคุยกันข้างล่าง”

“แน่ใจเหรอครับ” คนเป็นห่วงกลับไม่ยอมก้าวตาม ดวงตาเช่นนั้นของผู้กอง...

วรินทรรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนผู้บังคับบัญชา เฝ้าอยู่ไม่ห่างมาตลอดเวลาสองเดือน ขนาดว่าทางหน่วยแพทย์ส่งพยาบาลรุ่นพี่ติดตามมาเพื่อดูแลอาซ้อแล้ว ผู้บังคับบัญชาของเขายังไม่ให้ฝ่ายนั้นได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ คอยแย่งหน้าที่อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเช็ดตัว นี่ขนาดเขาไม่ได้ตัวติดหัวหน้าตลอดเวลา เขายังรู้เรื่องพวกนั้นเลย

ชานนท์ที่ก้าวเดินไปแล้วชะงักฝีเท้าหันกลับมา “มีอะไรที่ฉันไม่แน่ใจ”

“พูดไปผู้กองก็ยิงผมสิ” ถามเหมือนเขาไม่รู้จักหัวหน้าตัวเองไปได้

“งั้นนายก็รู้ว่าสิ่งที่จะพูดออกมาสมควรโดนยิง...” คำถามต่อจากนั้นฉายบนใบหน้าชานนท์แทน

“ครับ สมควรอย่างมาก” จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หากเขาเอ่ยออกไปไม่ถูกยิงด้วยปืนก็ถูกยิงด้วยความถมึงทึงของสายตาทมิฬอย่างแน่นอน นี่ขนาดยังไม่ทันพูดก็จะบาดเขาให้ตายแล้ว

รู้ขนาดนั้นแล้วยังจะถามอีก ชานนท์ส่ายหน้าแล้วสะบัดเสียง “งั้นนายก็หุบปากไปซะ"

“แต่เหมือนผมก็อยากจะพูด” วรินทรสวนกลับรัวเร็ว ทำเอาคนฟังนิ่งงัน

“...” 

วรินทรรู้ว่าท่าทีเช่นนั้นเป็นเพียงการพูดไม่ออกชั่วขณะ แต่เขาจะถือเสียว่าเป็นการอนุญาต ในเมื่อกลั้นไว้ไม่ไหวก็ต้องโพล่งออกไป วันนี้เขาจะพูดออกไป

“ผู้กองเฝ้าของผู้กองมาตั้งนมนาน ตอนนี้อาซ้อฟื้นแล้ว ผู้กองก็ควรจะได้อยู่กับอาซ้อสิครับ เห็นชัดๆ ว่าผู้กองก็ต้องการและคิดถึงอาซ้อไม่ต่างจากท่านประธาน ทำไมถึงได้ให้อภิสิทธิ์นี้กับท่านประธานเพียงคนเดียว อาซ้อทำเกินไปแล้ว”

“หึ...” 

นี่หมายความว่าที่พูดไปไม่เข้าหูสักนิด หรืออีกนัยคือ เขาเสียความน่าเชื่อถือไปแล้ว ทันทีที่อาซ้อของพวกเขากลับคืนมาก็เห็นเสือเช่นเขากลายเป็นแมว

ช่างทำได้งามหน้า!

ชานนท์ย่ำเท้ากลับมาวางมือลงบนบ่ากว้าง เขาแค่วางเฉยๆ แต่ใบหน้าวรินทรกลับเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นหนึ่งระดับ

“ซาบซึ้งมากเลยว่ะ น้ำตาแทบจะไหล แต่นายรู้ได้ไงว่าฉันเฝ้าของฉันมาตั้งนาน ความจริงนายน่าจะเห็นว่าฉันมาเป็นเพื่อนท่านประธาน ท่านประธานไม่ยอมกลับ นายจะให้ฉันทิ้งลูกหรือไง”

“…”

“อะๆ ฉันไม่ได้ยกท่านประธานมาอ้าง นายไม่ต้องตวาดกลับฉันแบบนั้นในใจ แค่เปลี่ยนความคิดใหม่ซะ อาซ้อนายเป็นคนหนีไป เขาต้องเป็นคนต้องการฉัน ไม่ใช่ฉันต้องการเขา”

“ผู้กองก็ปากแบบนี้ อาซ้อถึงได้หนีไป ทำไมไม่ปากตรงกับใจเหมือนตอนจีบคุณ...”

“นายไม่ต้องพูดถึงคนอื่น เรื่องนี้มีแค่ฉันกับอาซ้อของนาย” 

เรื่องในอดีตไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูด จบไปแล้วก็คือจบ สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่ความทรงจำและความสัมพันธ์ดีๆ ในสถานะที่จะคงอยู่ได้ตลอดไป 

“แทนที่จะเป็นห่วงเรื่องในมุ้งฉัน นายรีบรายงานเรื่องที่ให้ไปทำมาจะดีกว่า”

ชานนท์ตบลงบนบ่าลูกน้องอีกสามที ไม่หนัก แต่ชายชาติทหารเช่นวรินทรยังอดนิ่วหน้าไม่ได้

“ลงไปข้างล่าง” หันหลังกลับ ฝีเท้าอันมั่นคงก้าวต่อไป ท่าทางองอาจไม่ผิดวิสัยหัวโขนที่สวมอยู่ มีเพียงในใจเขาเท่านั้นที่กดไลค์รัวๆ ให้สเตตัสที่ลูกน้องตั้งให้

เขาอุตส่าห์เฝ้าของเขามาตั้งนมนาน จุ๊บแก้มสักทียังถูกถลึงตาใส่ หากต่อไปอีกฝ่ายยอมรับแค่ลูกไม่เอาพ่อ เขาจะทำยังไง!

'พ่อลูกเขาไม่แยกจากกัน ยอมรับลูกก็ต้องยอมรับพ่อด้วย Love me, love my dog น่ะรู้จักไหม...' 

แบบนี้ได้ไหม เขาไม่ใช่หมาเสียหน่อย แต่ถือว่าเป็นของแถม น่าเกลียดเกินไปหรือเปล่า

หรือเขาจะต้องเข้าโหมดโหด...

'ความเป็นเมียของคุณไม่เคยสิ้นสุด คิดจะหยุดถามผัวหรือยัง กลับบ้านด้วยกันซะดีๆ ทำหน้าที่เมียของคุณซะ ถ้ายังไม่อยากชะตาขาด' 

แล้วถ้าเธอตอบว่าแน่จริงก็เอาสิ เขาจะกล้าไหม!

นั่นสิประเด็น เห็นๆ อยู่ว่าตอนนี้จามิกรไม่อ่อนนุ่มเชื่อฟังเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แผลเป็นของเขายังสวยจนต้องจำขึ้นใจ

“เฮีย!”

“เฮ้ย!”

บัดซบ!

นี่เขาคิดเพลินเสียจนก้าวพลาด ย่นระยะบันไดจากสิบขั้นให้เหลือแค่หนึ่งในครั้งเดียว

 

“เฮียคิดอะไรของเฮียอยู่เนี่ย จะวิดพื้นก็ต้องเอาแขนลง เฮียจะเอาหน้าลงวิดพื้นไม่ได้ ถึงเฮียจะหนังหน้าหนาก็เถอะ”

คนที่ถลันมาช่วยเขาไว้ทันคือกฤตดนัย ชานนท์กลืนถ้อยคำขอบคุณที่หลุดขึ้นมาถึงคอหอยลงไป

เป็นไปอีกคนแล้ว!

“รู้ได้ไงว่าอาซ้อนายฟื้นแล้ว” 

ถ้าไม่รู้ก็คงไม่กล้าพูดจาเล่นไปถึงศีรษะผู้บังคับบัญชาเช่นนี้ ยามปกติเคยกล้ากันขนาดนี้ที่ไหน นอกจากตอนมีอาซ้อคุ้มกะลาหัว

“ไอ้ทรไลน์ไปบอกครับ” ภารกิจคราวก่อนสำเร็จลุล่วง เหลือแค่ติดตามความเคลื่อนไหวของพวกหนูรอดตาข่ายอีกสักหน่อยเท่านั้น ยามนี้จึงไม่ต้องเข้มงวดมาก

“คาบข่าวไปไวจริ๊ง” ชานนท์หันไปแดกดันคนเบื้องหลัง

“ก็ซ้อไม่ใช่แค่เมียเฮียอย่างเดียวนี่ครับ” ที่พวกเขาต้องเปลี่ยนสรรพนามในการเรียก เพราะจุดที่ยืนอยู่นี้มีคนผ่านไปมาแล้ว ตามหลังกฤตดนัยมานั่นละ วรินทรลดความใจกล้าลงไปนิดนึง แต่ก็ยังโต้กลับชัดถ้อยชัดคำ และเอ่ยคำพูดผ่านหัวหน้าไปยังคู่หูอีกด้าน “เฮียมีเรื่องจะคุยด้วย ลงไปข้างล่างกันก่อน”

“นี่ซ้อคงไม่ได้ไล่เฮียออกมาใช่ไหม” ไม่ได้นัดกันไว้เลย แต่เหมือนกันเป๊ะ

‘กูก็คิดแบบนั้น’

วรินทรแอบส่งสารให้เพื่อนด้วยการขยิบตา หมายจะบอกว่าอย่าพูดแทงใจดำเฮีย รู้แล้วก็เหยียบไว้ เขาโดนมาแล้ว

ไหนเลยจะรอดจากสายตาพญาเหยี่ยวเช่นชานนท์ไปได้

ไอ้พวกนี้!

“กูออกมาเอง ต้องให้พูดกี่รอบกัน!”

ชานนท์ฉุนกึก มือขวากระชากคอเสื้อคนหนึ่ง มือซ้ายกระชากคอเสื้ออีกคนที่เหลือ ทวงคืนความเชื่อมั่นในฐานะร้อยเอก ชานนท์ กระโดดสูง

เขาเป็นเสือ ไม่ใช่แมว!

“เฮ้ยเฮีย!” 

 “พวกมึงสองคนมานี่เลย” ชานนท์ไม่ฟังเสียงร้อง ลากสองหนุ่มผู้เก่งกล้าลงบันไดไปอย่างไว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น