6
การสอนอย่างละเอียด
ในฐานะนักเขียนอีโรติก พิชามลไม่ได้เชื่อตามนิยายรักว่าครั้งแรกของผู้หญิงจะงดงามอ่อนหวาน สาดแสงสีรุ้งแห่งความสุข
“หากจะเปรียบเทียบด้วยภาพที่ใกล้เคียงก็เหมือนการฝืนดันนิ้วกลางเข้าไปในรูจมูกย่อมนำมาซึ่งความเจ็บปวด”
พิชามลแบ่งปันจินตนาการในสมองให้คนข้างตัวร่วมรับรู้ แต่อจลตอบแทนด้วยการทำหน้าบึ้งตึง หญิงสาวเดาว่ามันน่าจะกระทบอีโก้บางอย่างของชายหนุ่มที่ไม่อาจทำให้ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอด เลยเลือกที่จะนอนเงียบๆ ดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปในสถานการณ์น่าอึดอัดนี้
เขากำจัดถุงยางวิธีเดียวกับที่อินเทอร์เน็ตให้ข้อมูล ดึงออก มัดปากถุง แล้วก็เหลียวซ้ายแลขวาหาถังขยะ ทำให้สบตากับคนที่จ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
พิชามลรู้สึกว่าอจลหน้าบึ้งไปอีกระดับ แต่เธอไม่แน่ใจว่าสีแดงบนแก้มของเขามาจากโทสะหรือเปล่า เลยเลือกถ้อยคำที่ดูน่าจะฉลาดสุด
“ถังขยะอยู่ในห้องน้ำค่ะ”
จากการที่อจลลุกเดินไปทางห้องสุขาบอกได้ว่าพิชามลเลือกคำพูดได้ฉลาด ส่วนการที่เขาแย่งผ้าห่มจากเธอไปพันรอบเอว ปล่อยให้เธอดึงหมอนมาปิดบังร่างกาย แสดงว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้แก้มแดงเพราะโกรธ ส่วนจะแกล้งเธอหรือไม่ เธอไม่รู้ ได้แต่ขยับรูดซิปบนตัวตุ๊กตาที่เป็นหมอนผ้าห่มเพื่อหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมาใช้ ความจริงเธออยากจะวิ่งไปหยิบผ้าห่มสำรองออกมา แต่นั่นต้องใช้ความสามารถทางกายซึ่งเธอไม่มี ตามปกติเธอก็วิ่งช้าอยู่แล้ว และเหตุการณ์ก่อนหน้าก็ทำให้เธอปวดเมื่อยในจุดที่ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาดังๆ ได้
“ไหนดูหน่อยสิ” อจลเดินกลับมาขัดจังหวะการเหม่อลอยของพิชามล
เธอหันไปมองแล้วพบว่าเขาคงไม่ได้แค่เข้าห้องน้ำเอาของไปทิ้ง ในมือของเขามีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กของเธอ จากลักษณะของมันบอกได้ว่าเขาคงชุบน้ำมาด้วย และจากสายตาของนักเขียนที่มากประสบการณ์จากหนังสือ เธอรู้เลยว่าขอดูหน่อยของเขาหมายถึงจุดไหน
“เหมือนในนิยายเลย”
ชายหนุ่มไม่เสียเวลาถามว่าหญิงสาวหมายความว่าอย่างไร แล้วก็ไม่รอให้เธอขยับร่างกายที่เชื่องช้าขัดคำสั่งของเขาด้วย อจลดึงข้อเท้าข้างซ้ายของพิชามล เพื่อไม่ให้เธอซ่อนจุดที่เขาต้องการจะดูเอาไว้ได้ หญิงสาวหวีดร้องอย่างห้ามไม่อยู่ หนำซ้ำยังเผลอถีบเท้าขวาไปที่หน้าของเขาหนึ่งที โชคดีที่ปฏิกิริยาทางร่างกายของเขารวดเร็วกว่าเธอหลายเท่า เบี่ยงหลบแล้วตะปบจับข้อเท้าข้างที่พยายามประทุษร้ายเขาเอาไว้ แล้วแยกสองเท้าของเธอออก จนตอนนี้ไม่เหลือจุดไหนของเธอที่จะหลบสายตาเขาได้อีก
“มาให้ดูหน่อยว่าเจ็บหรือเปล่า”
“ไม่เคยเห็นของผู้หญิงเหรอคะ” เสียงพิชามลสูงด้วยอารมณ์อายจนกลายเป็นโมโห ก่อนจะลดลงเมื่ออจลทำหน้าเขินใส่เธอบ้าง แล้วยอมปล่อยข้อเท้าทั้งสองข้างของเธอ แต่ถึงจุดนี้เธอทำได้แค่เพียงอยู่นิ่งๆ เหมือนไม่มีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นตรงนี้
“ก็ไม่เคยเห็นน่ะสิ ผมหมายถึงไม่เคยรู้ว่าครั้งแรกของผู้หญิงจะเจ็บขนาดนี้” คำพูดของเขาเป็นการสารภาพกลายๆ ว่าไม่เคยข้องแวะกับผู้หญิงที่ไร้ประสบการณ์มาก่อน
“อย่างนี้ฉันก็เป็นคนแรกของคุณน่ะสิ” เธอทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องจนเขากลับไปทำหน้าบึ้งเช่นเคย แล้วตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง
“มาให้ดูเร็วว่าเจ็บแค่ไหน”
มาถึงจุดนี้ไม่มีอะไรเหลือให้อายอีกแล้ว คิดได้ ปลงได้ พิชามลก็นอนหงายปล่อยให้อจลสำรวจจุดเกิดเหตุ โดยไม่ลืมที่จะเอามือปิดตาตัวเองเอาไว้ ไม่เห็น ไม่มอง ก็ไม่อาย
จากสัมผัสบอกพิชามลว่าอจลทำความสะอาดให้เธอด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น หลังจากนั้นก็นวดเอวกับต้นขาให้เธอเบาๆ เขามีมือที่ช่ำชอง
“มีเลือดไหมคะ” นิยายเรื่องไหนๆ ก็ต้องบอกว่านางเอกมีเลือดออกทั้งนั้น แต่เธอก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเยื่อพรหมจารีเป็นเพียงเยื่อบางๆ ออกกำลังกายหนักๆ ก็ขาดแล้ว
“นิดหน่อย” น้ำเสียงเขาเหมือนโกรธที่เธอเลือดไหล แต่พิชามลไม่ใส่ใจนัก เพราะกำลังปลาบปลื้มที่ครั้งหนึ่งในชีวิตตนเข้าใกล้มาตรฐานนางเอกนิยายได้สำเร็จ
“ดีจังเลย แสดงว่านี่เป็นหนึ่งในข้อมูลที่ใช้เขียนนิยายได้จริง”
“การเขียนมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”
“สำคัญสิคะ เห็นไหมว่าฉันทุ่มสุดตัวขนาดไหน” เธอเผลอเลื่อนมือลงเพื่อสบตาเขาอย่างขึงขัง แต่แล้วก็เขินจนต้องปิดหน้าเหมือนเดิม
“เข้าใจแล้ว ผมเองก็ทุ่มสุดตัวเวลาทำงานเหมือนกัน” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วปรับจังหวะการนวด “ต่อให้เป็นงานชั่วคราว ผมก็พร้อมจะทำเต็มที่”
ไม่นานเธอก็ค่อยๆ ผ่อนคลายไปกับการบีบนวดของเขา แต่ไม่ถึงขั้นที่จะไม่รู้ตัวว่าจากการนวดเฟ้นเพื่อให้เธอผ่อนคลายเปลี่ยนเป็นการนวดด้วยจุดประสงค์ใด ในเมื่อมือของเขาเคลื่อนจากต้นขามายังเอว แล้วคลึงเบาๆ จากฐานทรวงอกไปหาด้านบน ฝ่ามือร้อนผ่าวหยาบกร้านของเขาเสียดสีอยู่กับยอดอกที่ปวดร้าวของเธอ หญิงสาวจึงตัดสินใจปิดดวงตาของตนให้แน่นกว่าเดิม
“รู้ไหมว่าปัญหาที่ทำให้คุณไปไม่ถึงจุดสุดยอดอย่างเต็มที่คืออะไร” อจลถามเสียงทุ้มข้างใบหูจนพิชามลรู้สึกถึงไอร้อน และเธอเลือกส่ายหน้าแทนคำตอบ
“คุณขี้ขลาดเกินไปยังไงล่ะ”
พิชามลไม่คิดจะเถียงอจลเรื่องนี้ และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนกล้าหาญชาญชัยเร็วๆ นี้ด้วย แต่เขาไม่ได้พูดเพื่อให้เธอถกเถียง เขาเพียงแต่บอกเพื่อให้เธอเลิกขัดขืน เขาไม่ดึงมือเธอออกจากดวงตา แต่เลือกดึงเธอขึ้นมานั่งบนตักของเขาทั้งตัว
หญิงสาวไม่คิดว่าตัวเองเบาเหมือนขนนก แต่ชายหนุ่มอุ้มเธออย่างง่ายดายเหมือนเป็นเพียงตุ๊กตายัดนุ่น เธอยังปิดตาอยู่เลยตอนเขาเอนตัวไปนั่งเหยียดขาพิงหัวเตียงโดยมีเธอนั่งงอเข่าอยู่บนตัก หันหลังพิงอกเขาเอาไว้ พอรู้สึกตัวว่ากำลังนั่งทับลงไปบนอะไร เธอก็แยกปลายเท้าออกจากกันเพื่อลุกหนี แต่เขาแค่ใช้แขนข้างหนึ่งรัดใต้อก อีกแขนจับต้นขาซ้ายของเธอกดลงมา เธอก็กลับไปอยู่ในท่านั่งคร่อมตักของเขาแล้ว โดยแผ่นหลังแนบชิดไปกับแผงอกของเขา และเขาบังคับให้เธอกึ่งนั่งกึ่งเอนตัวทาบไปเหนือร่างกายแกร่งร้อน
“อย่าลุกพรวดพราดสิ ระวังจะทำบางอย่างหักพังโดยไม่ตั้งใจนะ” เขากระซิบบอกข้างหูเธอ ตามด้วยงับมันเบาๆ
เธอสั่นเทาไปทั้งตัว ไม่กล้าเอามือออกจากดวงตา แล้วก็ไม่กล้าถามเขาว่าอะไรที่ตกอยู่ใต้ความเสี่ยง ‘บางอย่างของเขา’ หรือ ‘บางอย่างของเธอ’
ซึ่งบางอย่างของเธอนั้น เขาละมือซ้ายจากต้นขาเลื่อนไปลูบไล้มันช้าๆ พิชามลรู้สึกถึงความอุ่นชื้นที่ก่อตัวขึ้นตรงนั้นภายใต้สัมผัสของอจล
“คุณจะไม่มองดูหน่อยเหรอ สำหรับเอาไปเขียนบรรยายไงว่าเวลาที่ผู้หญิงมีอารมณ์ ตรงส่วนนั้นจะเป็นยังไง” ขณะถาม มือขวาของเขาก็เปลี่ยนจากประคองลำตัวเป็นนวดเฟ้นทรวงอกทั้งสองข้างของเธอ
เธอไม่กล้าดู แต่มือสองข้างกลับแยกออกจากใบหน้า กดสายตาลงไปมองตรงที่มือของเขากำลังล้อเล่นกับตัวเธออยู่ แล้วก็อยากจะกรี๊ดด้วยความอับอายขัดเขิน
“เห็นไหม ว่าไม่ใช่แค่ยอดอกของผู้หญิงเท่านั้นนะที่แข็งชันขึ้นเวลามีอารมณ์”
เธอเห็นชัดเจนทีเดียวว่าเขาหมายถึงตรงไหน เพราะมันกำลังถูกเขาเขี่ยไล้ด้วยปลายนิ้ว เรียกเสียงครวญอย่างห้ามไม่อยู่จากปากของเธอ พิชามลตั้งใจจะดึงมือของอจลออก แต่กลายเป็นกดมือเขาลงไป เนื่องจากร่างกายของเธออยากได้มากกว่านี้
“ใกล้แล้วใช่ไหม เอามือของคุณออกก่อนสิ”
พิชามลรู้ว่าใกล้แล้วของอจลคืออะไร เธอเคยสัมผัสมันมา แต่ต้องการมากกว่านั้น เธอจึงยอมเอามือออก ปล่อยให้เขายกข้อมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแทรกสองนิ้วเข้าไปอย่างช้าๆ เรียกอาการเกร็งกระตุกทุกๆ มิลลิเมตรที่เขาล่วงล้ำเข้าไป
“เจ็บเหรอครับ”
เธอพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า รู้สึกมากกว่าได้ยินว่าเขากำลังหัวเราะเบาๆ
“ผมรู้ว่ามันยังไม่ดีพอ แต่มันจะดีขึ้นเรื่อยๆ”
ถ้ามันดีกว่านี้เธออาจจะขาดใจตาย แต่ถึงอย่างนั้นพิชามลก็คิดว่าเธอรับได้ เพราะการขยับเข้าออกของนิ้วชี้กับนิ้วกลางของเขา และการขยับปัดป่ายของนิ้วโป้งทำให้เธอคร่ำครวญด้วยความเร่าร้อนจนเลิกสนใจความเจ็บระบมเล็กๆ น้อยๆ
เธอทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะยกเข่าขึ้น หรือแยกต้นขาออก ระหว่างนั้นเขาก็เล่นสนุกกับเธอด้วยมือและปาก พิชามลรู้ตัวอีกทีตอนนอนหอบฮักคว่ำหน้าอยู่กับฟูก โดยมีมือข้างหนึ่งของอจลฟอนเฟ้นทรวงอก ส่วนอีกมือแทรกผ่านด้านหลังของสะโพก หยอกล้อเธออย่างไร้ความปรานี แต่แทนที่จะขยับหนี เอวกับต้นขาของเธอกลับขยับไปมารับการสอดแทรกของเขา ไม่นานเท่าไรข้างในกายของเธอก็เกร็งเขม็ง ก่อนจะระเบิดออก ไม่อาจขยับไปไหน ได้แต่ทิ้งตัวนอนคว่ำไปอย่างนั้น
“ยังครับ ยังไม่ดีพอ บทเรียนต่อไปจะทำให้คุณเขียนงานได้ละเอียดขึ้น”
เขาจะพูดอะไร หรือทำอะไร เธอไม่สนสักนิด แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะห่อหุ้มตัวเองด้วยถุงยางอนามัยชิ้นใหม่ คว้าหมอนใบหนึ่งสอดเข้าไปใต้ร่างของเธอตรงช่วงใต้หน้าอกเหนือหน้าท้อง ดึงสะโพกของเธอให้สูงขึ้น แล้วสอดแทรกเข้าไปอย่างเชื่องช้า ทว่ามุ่งมั่น ทำให้เธอถึงกับเกร็งกระตุกจากความสุขอีกครั้ง
มันทั้งอึดอัดและทรมาน พิชามลพยายามบอกอจลว่าเธอรับไม่ไหวแล้ว แต่เสียงที่ออกมากลับเป็นการครวญครางไม่เป็นภาษา และเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอคิดผิด เขาเข้าไปเล็กน้อยแล้วถอยออก เข้าไปลึกขึ้นแล้วถอยออก ไม่นานก็ฝากฝังความแกร่งร้อนเข้าไปได้ทั้งหมด ก่อนจะหยุดนิ่งให้เธอคุ้นชินกับการมีตัวตนของเขา
“บอกไว้ก่อน เผื่อคุณจะไม่รู้” เสียงของเขาแหบห้าว ทว่าชัดเจน แต่เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีสติฟังเข้าใจ “ผู้ชายถ้าถึงจุดสุดยอดแล้ว ครั้งต่อไปจะช้าลง แต่ผู้หญิงจะไวขึ้น” อจลบอกเล่าด้วยประโยคขาดเป็นห้วงๆ เช่นเดียวกับเสียงหอบหายใจของพิชามล
เพื่อย้ำคำอธิบาย อจลก็ถอยเอวออก แล้วดันตัวมาข้างหน้า แทรกเข้าไปจนถึงจุดที่ลึกที่สุดด้วยความเชื่องช้าจนพิชามลต้องขยับเอวเร่งเร้า แต่เขาก็ยังทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา เมื่อไม่ได้อย่างใจ หญิงสาวก็พยายามโยกสะโพกของตน แล้วก็โดนสองมือของเขากุมเอวเอาไว้มั่น บังคับให้เธอรับการทรมานต่อ พอถึงจุดที่เธอจะทนไม่ไหว เขาก็เอื้อมมือข้างหนึ่งลงไปหยอกล้อกับจุดที่ทั้งสองร่างประสานกันอยู่ เรียกเสียงกรีดร้องพร้อมกับการถึงจุดสุดยอดจนพร่าพราย
“ผมเอาจริงแล้วนะ”
ถึงจุดนี้แล้วพิชามลไม่สนใจว่าอจลจะพูดอะไร เธอเลือกเก็บแรงเอาไว้ขยุ้มผ้าปูที่นอน ขณะที่ด้านหลังถูกเขาจู่โจมอย่างไร้เมตตา เสียงกระแทกกระทั้นของเนื้อกระทบเนื้อดังลอดใบหูที่อื้ออึงด้วยความสุขของเธอ พร้อมๆ กับที่ทรวงอกถูกนวดเฟ้นอย่างทั่วถึง แต่เมื่อถึงระยะหนึ่ง เขาก็ยืดตัวมานั่งให้มั่นคงขึ้น ใช้ทั้งสองมือจับเอวเธอ เพื่อเพิ่มแรงและกำหนดจังหวะถี่กระชั้น
หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัญชาตญาณสอนให้เธอขยับปรับกายเคลื่อนไหวไปกับจังหวะของเขา ก่อนที่ความหฤหรรษ์จะครอบงำเธออีกรอบ คราวนี้มีเขาร่วมทางไปด้วย ทั้งสองร่างพังพาบลงไปบนเตียงนอนพร้อมกัน โดยมีร่างใหญ่กว่าของอจลอยู่ด้านบน
พิชามลอ่อนเปลี้ยจากความสุขจนไม่สนด้วยซ้ำว่าตัวเองจะถูกทับจนหายใจไม่ออกหรือไม่ ยังดีที่เขาพลิกกายออก แล้วดึงเธอให้หันนอนหงายไปด้วย และเพราะอะไรไม่รู้ เธอก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายหันไปมองหน้าเขา พบว่าเขากำลังมองหน้าเธออยู่เช่นกัน
มีบางอย่างควรพูด มีบางอย่างควรทำ แต่พิชามลเหนื่อยจนคิดไม่ไหว ทว่าเธอรู้สึกได้ว่าสมองของอจลกำลังทำงานอย่างหนักทีเดียว
เสร็จจากตรงนี้น่าจะมีคำพูดอะไรบางอย่างที่เหมาะสม อจลไม่ใช่นักเขียน และไม่กล้าอวดตัวว่าเป็นนักอ่านด้วย เขาจึงไม่มั่นใจว่าจะมีคำพูดเหมาะๆ
‘ขอบคุณ’ เป็นทางการเกินไป
‘รู้สึกยังไงบ้าง’ จำเป็นต้องถามด้วยหรือ เพราะมันชัดเจนแบบเดียวกับที่เขารู้สึกถึงมันอย่างท่วมท้น
อจลไม่ใช่คนไร้ประสบการณ์ทางด้านนี้ แต่พิชามลทำให้เขารู้สึกเหมือนเปิดโลกใหม่ เธอขี้อาย ขณะเดียวกันก็กระตือรือร้น แล้วเธอก็ไม่อยู่นิ่งเฉยแบบที่คนไร้ประสบการณ์มักจะทำ แต่เธอพร้อมไขว่คว้าความสุขมามอบให้แก่ตัวเองและเขา ไม่ใช่เขาสอนเธอ แต่เป็นทั้งคู่เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่คำพูด เขารู้สึกเหมือนรู้จักเธอดีมาค่อนชีวิต ทั้งที่ความจริงทั้งสองคนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้าที่เคยเจอกันมาสองปี
ชายหนุ่มใช้เวลาไม่นานคิดใคร่ครวญไปสารพัด ซึ่งนานมากพอจะทำให้หญิงสาวที่เหน็ดเหนื่อยแทบสลบคนหนึ่งมีแรงมากพอจะยกศีรษะขึ้น มือของเธอทาบลงไปบนหน้าอกข้างซ้ายของเขา มือจับตรงนั้น มองหน้าเขา แล้วย้อนกลับไปมองมือตัวเองใหม่
อจลกำลังกลัวว่าพิชามลจะกล่าวอะไรที่โรแมนติก เช่น ‘หัวใจของคุณเต้นแรงจัง’ หรือ ‘อยากรู้ว่าคุณคิดอะไร’ แต่แล้วก็สังเกตเห็นว่าสายตาเธอไม่ได้มองตรงอกข้างซ้ายของเขา ทว่าเบี่ยงสูงขึ้นไปทางด้านข้าง
“ขนรักแร้ยาวจัง”
“...” อจลไม่คิดว่านี่เป็นคำชม และต่อให้มันเป็นคำถาม เขาก็คิดว่าอย่าตอบจะดีกว่า ยังดีที่พิชามลไม่ปล่อยให้เขาต้องตัดสินใจว่าจะผลักเธอตกเตียงดีหรือไม่ แต่กลับต้องลังเลเพราะดวงตาของเธอที่ละจากรักแร้มายังใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมเหมือนเมื่อครู่เขาพาเธอไปท่องเที่ยวยังสุดขอบฟ้า โบยบินไปหาทางช้างเผือก ก่อนจะเก็บสะเก็ดดาวกลับมาชื่นชมบนพื้นโลก
“คุณเหมาะจะเป็นครูฝึกสอนวิชาเพศศึกษาจริงๆ ค่ะ” คำชมของพิชามลเกือบจะทำให้อจลยิ้มกริ่ม ถ้าไม่ตามด้วยคำถามว่า
“กลิ่นไม่เหมือนปลาเค็มจริงๆ เหรอ”
“ไม่หรอกครับ กลิ่นเหมือนปลาแซมอน”
อจลรู้สึกว่าการที่พิชามลเงียบงันทันควัน ไม่แสดงความคิดเห็นประหลาดใดๆ ตอบโต้เขาต้องมาจากการที่สมองของเธอทำงานอย่างหนัก หรือไม่ก็วิตกจริตกับคำตอบของเขา ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ตาม มันทำให้เขามีความสุขทางใจที่ได้แก้แค้นนิดๆ แล้วยังได้ของแถมเป็นความสุขกายที่ได้พักผ่อนหูชั่วคราว ก่อนจะต้องรับมือกับสมองของนักเขียนที่มีตรรกะต่างจากเชฟต่อ
ความรู้สึกอิ่มเอมและอ่อนเปลี้ยในเวลาเดียวกันเหมาะจะเอาไปใช้บรรยายในนิยายรักเป็นอย่างยิ่ง แต่เข็มนาฬิกาบอกว่าเลยเข้าวันใหม่ไปพักใหญ่แล้ว และพิชามลตัดสินใจจะเลิกสงสัยความแตกต่างระหว่างกลิ่นปลาเค็มกับปลาแซมอนสักที เซ็กซ์เป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าที่คิด เธอเลยเลือกนอนพักผ่อนแทนที่จะลุกขึ้นจากเตียงไปยังคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์ข้อมูลที่เพิ่งค้นพบ หรือค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปลา ทว่าคนข้างตัวขยับลุกมาสวมเสื้อผ้า เธอเลยต้องยื่นแขนไปหยิบเสื้อผ้าที่ตกเรี่ยราดข้างเตียงมาสวมตามลวกๆ ด้วยท่าทีกระมิดกระเมี้ยนกว่าใต้ผ้าห่ม เพราะถึงจะคลุกเคล้ากันมาถึงขั้นนี้ เธอก็ไม่อยากให้อจลเห็นหน้าท้องที่ไม่แบนราบของเธออยู่ดี พอเขาปรายตามอง เธอเลยถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
“คุณจะกลับบ้านเหรอคะ”
“ก็บ้านผมอยู่แค่นี้เอง จะได้ไปดูด้วยว่ามีอะไรต้องซ่อมแซมหรือเปล่า พรุ่งนี้ก็คงต้องตื่นแต่เช้า จะได้ไม่ต้องรบกวนให้คุณตื่นตามไปด้วย” เขาอธิบายยาวเกินไปหน่อยสำหรับคำตอบว่าทำไมต้องกลับบ้าน
พิชามลไม่ได้ถามด้วยน้ำเสียงกล่าวหา เธอจึงแปลกใจที่อจลรีบร้อนตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ นี่ไม่ใช่ในนิยายรัก พระเอกไม่ต้องนอนกอดนางเอกตลอดคืนก็ได้”
สีหน้าของอจลบอกถึงความทึ่ง หรืออาจจะตะลึงงัน ซึ่งเป็นสีหน้าที่พิชามลเห็นบ่อยจนเกินจะย้อนถามว่าเขาแปลกใจอะไร ยังดีที่เธอสวมเสื้อผ้าเสร็จก่อนที่จะกระอักกระอ่วนกันไปมากกว่านี้ และเป็นฝ่ายเดินนำเขาไปชั้นล่างพลางฟังเขาให้คำแนะนำ
“ท่าทางของคุณไม่ค่อยได้ออกกำลังกายใช่ไหมครับ ก่อนนอนอย่าลืมอาบน้ำอุ่น” เขาทำหน้าบึ้งตึงขณะถ่ายทอดคำว่าห่วงใยในรูปแบบใหม่
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันว่าจะลองแช่น้ำอุ่น เคยเขียนไว้ในนิยาย น่าจะช่วยลดอาการปวดเมื่อยได้ดี” พิชามลเหลียวกลับไปส่งยิ้มแสดงความภูมิใจในข้อมูลของตน ไม่ถือสาที่อจลไม่ยิ้มตอบ
“ถ้าไม่สบาย เป็นไข้ หรืออะไร บอกผมทันทีนะ มีเบอร์บ้านผมใช่ไหม โทร. หาก็ได้ถ้าเรียกแล้วผมไม่ได้ยิน”
น้ำเสียงของเขาบอกเธอว่าจริงจังกับคำสั่งนี้มาก พิชามลเลยไม่พูดออกไปว่าเธอแค่ปวดเมื่อยเล็กน้อย ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บสาหัสจากแผลฉีกขาด
ตอนมือเขาเอื้อมไปแตะลูกบิดประตูหน้า พิชามลคิดว่าเธอควรจะพูดอะไรสักอย่าง เช่นราตรีสวัสดิ์ เพราะอจลคงจะไม่จูบอำลาเธอ ยังดีที่มีบางอย่างช่วยไม่ให้ทั้งสองต้องลำบากใจ
“เฉาก๊วย! ทำอะไร” พิชามลถามทั้งที่หมาตอบไม่ได้ และเธอก็เห็นอยู่แล้วว่ามันทำอะไร
เจ้าหมาสี่ตากระดิกหางริกๆ แล้ววิ่งกลับไปกลับมาระหว่างประตูหน้ากับประตูรั้ว บอกด้วยท่าทางว่ามันรอทั้งคู่อยู่นานแล้ว และหวังว่าอจลจะพามันกลับบ้านข้างๆ เสียที ถึงพิชามลจะเลี้ยงดูมันไม่ให้ลำบาก แต่มันเคยชินกับการนอนบนระเบียงบ้านโน้นมากกว่าระเบียงบ้านนี้
“นี่ผมต้องพามันกลับบ้านเหรอ” อจลทำท่าไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
ก่อนจะตอบคำถามของเขา พิชามลก็เดินไปหยิบลังกระดาษหนาใส่อาหารเปียกอาหารแห้งพร้อมด้วยชามใส่อาหารของเฉาก๊วยมายัดใส่มือของเขา มันทั้งใหญ่ทั้งหนัก จนเธอเบาใจที่มันพ้นไปจากมือของเธอเสียที
“ก็มันหมาของบ้านคุณนี่คะ”
แล้วพิชามลก็ผลักทั้งหมาทั้งคนให้ออกไปพ้นจากประตูรั้วบ้านเธอ ให้กลับไปอยู่บ้านข้างๆ ของทั้งคู่ โดยไม่สนว่าอจลจะเต็มใจหรือไม่
“เฉาก๊วยกินอาหารเช้าตอนแปดโมง อาหารเย็นตอนห้าโมงนะคะ ส่วนฉันหาอาหารกินเองได้ คุณไม่ต้องห่วงค่ะ”
หลังจากล็อกบ้าน กลับขึ้นไปนอนแช่น้ำอุ่น หญิงสาวก็ยิ้มกริ่ม เพราะการทิ้งท้ายคืนโรแมนติกแบบนี้ดีกว่ากล่าวลาเยอะเลย
ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือตอนลุกจากอ่างอาบน้ำ ท้องของเธอร้องโครกคราก แล้วยามที่มองข้าวโปะไข่เจียว เมนูที่น่าจะคุ้นเคย พิชามลก็อยากจะวิ่งข้ามรั้วไปลากอจลมาปรุงข้าวผัดไข่ให้เธออีกสักมื้อ
ความคิดเห็น |
---|