7

คนข้างบ้าน จะห่วงทำไม


7

คนข้างบ้าน จะห่วงทำไม

 

ตามขั้นตอนมาตรฐานของอจล หลังกลับจากเดินทางไปทำงานแปดเดือน เขาจะใช้คืนหรือวันแรกอยู่ร่วมกับแฟนสาวเพื่อผ่อนคลายร่างกายที่ห่างหายจากสตรี หลังจากนั้นก็จะปล่อยตัวตามสบาย นอนตื่นสายหรืออาจจะเลยไปถึงเที่ยง

แต่ผลจากการที่สตรีคนที่อจลใช้เวลาอยู่ด้วยคือพิชามล ทำให้ครึ่งคืนที่เหลือของเขาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง นอนไม่หลับ ไม่นับเรื่องที่ท้องเขาร้องจ๊อกๆ เนื่องจากในครัวไม่มีอะไรให้กินเลย นอกจากน้ำเปล่า ถึงจมูกจะได้กลิ่นไข่เจียวลอยมา แต่เขาไม่หน้าด้านพอจะปีนข้ามรั้วไปขอข้าวกับไข่จากข้างบ้านมาผัดกิน เช้านี้เขาเลยเลือกจะขยับจากเตียงมาทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์กว่าการนอนพลิกไปพลิกมาอย่างเช่นไปตลาดเพื่อหาซื้ออาหารสดมาทำอาหาร แต่หลังจากนั้นก็มานั่งคับข้องใจกับปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหา

อจลยังจำได้ถึงสายตาที่พิชามลมองมาตอนเขายกจานข้าวผัดไปวางตรงหน้า มันแสดงถึงความชื่นชมในทักษะฝีมือที่เขารู้ตัวว่ามีอยู่แล้ว แต่ใบหน้ากลมๆ ที่ยิ้มจนลักยิ้มบุ๋มส่งผลต่อความรู้สึกให้อยากจะช่วยเติมเต็มกระเพาะของเธอมากขึ้น ทัศนคติที่เธอมีต่ออาหารของเขาก็เช่นกัน เขาถึงขั้นอยากนั่งกินไปคุยกับเธอไป แม้ว่าการที่เธออ้าปากแต่ละทีทำเขาเกือบจะปวดหัวตายในการพยายามไล่ตามตรรกะประหลาดของเธอก็ตาม

“ใครห่วงกันว่าคุณจะกินข้าวครบสามมื้อหรือเปล่า” อจลบ่นกับกระทะเจียวกระเทียม แล้วมุมปากก็กระตุกเมื่อได้ยินเสียงเฉาก๊วยเห่าเป็นลูกคู่

“ยังไม่ได้เวลาอาหารจะมาเกาะหน้าต่างทำไม”

มันไม่ได้แค่เกาะหน้าต่าง แต่เหยียบลงไปบนกระถางต้นไม้เพื่อยืดตัวให้พ้นขอบหน้าต่างล่าง อจลไม่ต้องมองก็เดาได้ว่าเฉาก๊วยทำไม้กระถางของเขาป่นปี้หมดแล้ว

หลังจากส่ายหัวเพราะพฤติกรรมของหมา เขาก็ส่ายหน้าเพราะพฤติกรรมของตนเอง อจลไม่ได้มีนิสัยชอบพูดคนเดียว และยิ่งไม่ใช่คนประเภทคุยกับสัตว์เลี้ยง จะว่าไปเขาไม่ชอบสัตว์เลี้ยง เพราะสิ่งมีชีวิตหน้าขนเป็นของต้องห้ามในครัวที่สะอาดเอี่ยมของเขามาแต่ไหนๆ แต่นี่เขาก็เพี้ยนถึงขั้นคุยกับหมาแล้ว ก็เลยคิดว่าคุยกับมันต่ออีกสักสองสามประโยคคงไม่เป็นไร

“ทำเสร็จแล้วควรเอาไปให้คุณบีดีไหม”

เสียงเห่าตอบของเฉาก๊วยไม่ได้บอกอะไรเลยเพราะอจลไม่เข้าใจภาษาหมา แต่จากการพยายามยื่นหน้าให้พ้นเหล็กดัดหน้าต่างมาทางหม้อต้มน้ำซุปกระดูกหมูบอกเขาว่ามันไม่ได้แนะนำเขาว่าควรจะเอาข้าวต้มหมูทรงเครื่องไปให้พิชามลดีหรือไม่ แต่ควรเอาของในหม้อมาให้มันกินบ้าง

อจลยักไหล่และเลิกสนใจเฉาก๊วย เพราะเขาควรจะถามตัวเองมากกว่าว่าตื่นแต่เช้ามืดไปจ่ายตลาด เพื่อต้มข้าวต้มหม้อใหญ่ทำไม ทั้งที่อยู่บ้านหนึ่งคนกับหนึ่งตัว ถ้าไม่เอาไปแบ่งปันข้างบ้าน แต่หลังจากผ่านเวลาเจ็ดโมงครึ่ง แปดโมง แปดโมงครึ่ง เฉาก๊วยก็ยังไม่เดินทางข้ามรั้วไปยังบ้านของพิชามลเสียที พอๆ กับที่เขายังไม่เห็นสัญญาณชีพของนักเขียนสาว

ถ้าเธอตื่นมาทำงาน เขาจะได้เอาข้าวต้มไปให้แล้วบอกว่าบังเอิญทำเหลือเยอะ เพราะการเดินไปส่งมันบอกว่าเขามีเจตนาทำมันมาให้เธอกิน

ชายหนุ่มดุตัวเองว่าแค่เอาของกินไปฝากเพื่อนบ้านไม่ใช่ปัญหาโลกแตก ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดเหมือนวิเคราะห์งบประมาณแผ่นดิน เธอยังเคยยกจานใส่ผัดมาม่าที่เขาไม่กินมาให้ตั้งแต่วันแรกที่ทั้งสองมาอยู่บ้านติดกัน ทว่าอจลรู้ดีว่าทำไมเขาถึงไม่ทำอย่างพิชามลบ้าง นั่นก็เพราะเขาเกรงว่าหัวสมองเพี้ยนๆ ของเธอจะตีความไปทางโรแมนติก อย่างเช่นคู่รักเอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟถึงเตียงตอนเช้าตรู่

จะว่าไปมันก็ไม่เช้าแล้ว เขาจัดแจงเอาผ้าออกจากเครื่องซักผ้าไปตากแดด และพบว่าแดดยามสายกำลังส่องประกายเจิดจ้า ไม่นับเสียงเห่าของเฉาก๊วยที่บอกว่าเลยเวลาอาหารของมันแล้ว อจลรีบหันไปเทอาหารใส่ชามให้มัน ก่อนจะพบว่าตอนนี้หมาของเขาหนีข้ามรั้วไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ตอนนี้มันกำลังตะกายประตูบ้านข้างๆ อยู่

“อย่าโวยวายน่าเฉาก๊วย จะหาข้าวให้เดี๋ยวนี้แหละ”

เสียงร้องบอกงัวเงียของพิชามลทำให้อจลกระตุกมุมปาก ไม่ใช่ในแบบตกใจ แต่เป็นแบบยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่

“กลิ่นอะไรหอมจัง” เธอเปิดประตูยื่นศีรษะออกมา แทนที่จะมองหมากลับมองข้ามรั้วไปทางครัวของเขาด้วยสายตาคาดหวัง

อจลไม่โกรธที่พิชามลตื่นเพราะหมา ตาสว่างเพราะอาหาร เนื่องจากในที่สุดเขาก็หาเหตุผลในการเอาอาหารไปส่งให้ข้างบ้านได้แล้ว

 

“เฉาก๊วยมันไม่กินอาหารเม็ดเปล่าๆ ต้องผสมอาหารเปียกให้มันด้วย บางทีก็ต้องให้เป็นข้าวผสมอาหารเปียก ไม่งั้นมันจะเบื่อ”

พิชามลมานั่งอยู่ระเบียงบ้านบอกไปหาวไป มองหมาที่ย้ายมากินข้าวฝั่งบ้านเธอ แล้วค่อยตื่นเต็มตาเมื่อได้กลิ่นของอร่อย เธออยากจะเอ่ยปากขออะไรหอมๆ บนเตาของอจลสักชาม แต่เขาไม่ยอมมองสบตาที่โหยหาความรักความเมตตาจากเธอสักนิด เธอเลยลองลูบๆ ใบหน้า พบว่าโชคดีที่เขาไม่หันมาเพราะยังมีขี้ตาติดอยู่เล็กน้อย ไม่นับว่าเธอยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ซึ่งเป็นชุดนอนตัวโปรด แต่ไม่มีชุดชั้นในช่วยพรางความอุมฟุอูมฟูมของตนเลย

“หอมจังเลย คุณทำอะไรกินเหรอคะ”

หญิงสาวคิดว่าเมื่อเธอพูดแบบนี้ ตามมารยาทเขาควรจะยกอาหารมาให้เธอ แต่เขาแค่เลิกคิ้ว เธอเลยขยายความให้ชัดขึ้นอีกนิด

“ทำเยอะหรือเปล่าคะ มีเผื่อฉันบ้างไหมคะ” บอกทั้งทางตรงและทางนัยว่าเอามาแบ่งให้เพื่อนบ้านบ้างก็ดี

“ข้าวต้มหมูสับเห็ดหอม ว่าแต่คุณไม่ไปอาบน้ำเหรอครับ เดี๋ยวผมเอาเฉาก๊วยกลับบ้านผมเอง”

“ถ้าใจเราสะอาด น้ำอาบก็ไม่จำเป็นค่ะ แล้วตอนนี้ฉันก็หิวมากด้วย”

ในเมื่อมาถึงจุดนี้ พิชามลคิดว่าการรักษาหน้าไม่สำคัญเท่ารักษากระเพาะ ศักดิ์ศรีนั้นสำคัญ แต่ของอร่อยสำคัญกว่ามาก เลยไม่อยากอ้อมค้อมขณะกระเพาะครวญครางเพราะกลิ่นหอม ทั้งที่อยากจะยกมือต่อยอจลที่หัวเราะเยาะ แต่เปลี่ยนเป็นยกเก้าอี้ไปวางชิดรั้วให้เขาเหยียบข้ามรั้วกลับไปแทน

“คุณเหยียบเก้าอี้ข้ามไปก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินอ้อมไปเอาของกินมาให้ฉัน” ถ้าพูดขนาดนี้เขายังไม่เข้าใจ เธอก็พร้อมจะอ้อนวอนขออาหารแล้ว และก็ทำทันที “แบ่งข้าวต้มฉันสักชามได้ไหมคะ” จะให้เธอทำท่าสวัสดีแบบเฉาก๊วย เธอก็ทำให้ได้

“ไม่ต้องบริการทางเดิน ผมทำเผื่อคุณเอาไว้แล้วครับ รอแค่คุณตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันนี่แหละ”

อจลจะพูดอะไรก็ช่าง เพราะพิชามลสนใจถาดที่เขายกมามากกว่า

ตามความเหมาะสม พิชามลควรล้างหน้าแปรงฟันก่อนกินอาหารเช้า แต่ในเมื่ออจลเห็นสภาพยุ่งเหยิงเพิ่งคลานลงจากเตียงของเธอไปหมดแล้ว เธอก็คงไม่เสียหน้าไปมากกว่านี้ ที่สำคัญอาหารเช้าฝีมือเขาช่างเย้ายวนเกินกว่าจะปล่อยให้มันกลายเป็นข้าวต้มชืดๆ เธอถึงขั้นยืนเกาะรั้วรอให้เขากลับมาทีเดียว

มันเป็นข้าวต้มหมูที่ไม่สมควรเรียกด้วยคำพื้นๆ ว่าข้าวต้มหมู

พิชามลไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรมาใช้บรรยายข้าวต้มชามนี้ เม็ดข้าวเรียงตัวแตก แต่ไม่เละ น้ำซุปหอมเข้มข้นอย่างที่อจลเคยพูดว่าควรต้มกระดูกหมูอย่างน้อยสองชั่วโมง เกี้ยมฉ่ายไม่ใช่อาหารโปรดของเธอ แต่มันเข้ากับหมูสับปั้นก้อนที่คลุกเคล้าด้วยพริกไทยดำรากผักชี กับซี่โครงหมูที่ตุ๋นจนเนื้อล่อนออกจากกระดูกอย่างง่ายดาย เห็ดหอมไม่เพียงตัดรากแข็งๆ ออกจนหมด ยังบั้งแฉกด้านบนเป็นรูปดาว แถมนุ่มชุ่มน้ำซุป เพื่อไม่ให้ข้าวต้มขาดสีสัน มีตั้งโอ๋สีเขียวตามมาตรฐานข้าวต้ม และแคร์รอตหั่นแว่นกลมที่ถูกแกะเป็นดอกไม้น่ารักแบบที่เธอเคยคิดจะทำตอนผัดมาม่าให้เขา แต่ไม่สำเร็จ นอกจากโถข้าวต้ม เขายังมีถ้วยเล็กๆ ใส่เครื่องปรุงแยกมาให้เธอเติม พร้อมด้วยถ้วยใส่กระเทียมเจียว

“ผมไม่อยากใส่มันก่อนมา เดี๋ยวกระเทียมจะไม่กรอบ อีกอย่าง ผมไม่รู้ว่าคุณชอบหรือเปล่า”

“ฉันชอบมาก” เธอชอบทั้งกระเทียมเจียวรวมไปถึงกระเทียมอบกรอบ ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะตักใส่ชามข้าวต้ม แต่ไม่กวาดลงไปทั้งหมดทีเดียว เพราะอย่างที่เขาบอก เดี๋ยวมันจะไม่กรอบ

รสชาติที่ผ่านริมฝีปากไปสู่ลิ้นทำให้คนตายได้เลย พิชามลเข้าใจที่อจลบรรยายแล้วว่าว่าอาหารต้องให้คนเสพด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นยังไง ถึงจะไม่ได้ยินเสียงตอนเขาทำอาหาร แต่เสียงน้ำซุปที่ไหลผ่านคอก็ทำให้เธอแทบจะยกทั้งชามซดลงไป

“นี่มันสุดยอดข้าวต้มหมู” ระหว่างสรรเสริญเธอก็ตักกระเทียมเจียวเพิ่มลงไปอีก “แค่กระเทียมนี่ก็อร่อยแบบที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนแล้ว”

ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ผู้ชายตรงหน้ายังมีท่าทีเฉยชา เหมือนไม่ได้ต้องการตักข้าวต้มมาบริการเธอเท่าไร เพียงแต่รั้วบ้านติดกัน ทำเยอะ กลัวของเหลือเลยเอามาให้ แต่ตอนที่เธอยกช้อนจะใส่ปาก เขากลับจับจ้องจริงจังราวกับอยากรู้จริงๆ ว่าเธอคิดอย่างไรกับข้าวต้มของเขา พิชามลจะคิดอะไรได้ แค่ข้าวผัดเมื่อวานก็ทำเธอแทบจะลืมข้าวผัดที่เคยกินมาตลอดชีวิต และพอเธอชมด้วยความจริงใจ เขาก็หลุดสีหน้าเฉยเมย อธิบายส่วนผสมด้วยท่าทางภูมิใจ

“ผมใช้น้ำมันหมูผสมลงไปหน่อยนึงด้วย มันจะได้ช่วยย้ำรสชาติของน้ำซุปกระดูกหมู แต่ไม่ได้ใส่มาก จะได้ไม่เลี่ยนจนเกินไป”

“หมูนี่ก็เด้งดีจัง เหมือนลูกชิ้นเลย สมกับที่คุณเป็นเชฟจริงๆ” ปกติเธอเคยกินแต่หมูสับแข็งๆ แห้งๆ ทั้งที่ทำจากหมูสามชั้นซึ่งมีไขมันอยู่เต็มไปหมด

พิชามลยิ่งกินยิ่งชอบใจ ไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนที่หย่อนกายนั่งลงข้างๆ แทบจะเก็บรอยยิ้มกว้างเอาไว้ไม่ไหว ทำได้แค่ฝืนทำหน้านิ่งๆ เหมือนการตื่นแต่เช้ามืดไปตลาด คอยยืนหน้าเตาช้อนฟองออกจากน้ำซุป ต้มข้าวต้มแล้วยกข้ามรั้วมาไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถึงอย่างนั้นอจลก็อดที่จะโอ้อวดให้เธอฟังไม่ได้

“ผมสับหมูเอง มันจะได้เหนียวนุ่มกว่าที่เขาใช้เครื่องบด แต่มันไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นอาหารของเชฟหรอกครับ พวกนี้คุณเรียนได้จากครัว หรือไม่ก็คอร์สทำอาหารเบื้องต้น แค่เพิ่มเติมเคล็ดลับนิดหน่อย” เขาออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ฝีมือทั้งหมดที่เขามี แต่เธอก็ยังคิดว่าเขาทำได้อร่อยที่สุดเท่าที่เธอเคยกินอยู่ดี

“พอจะบอกได้ไหมคะ ส่วนสำคัญที่สุดอยู่ตรงไหน มันถึงได้อร่อยเหลือเกิน”

“ข้าวต้มก็ต้องอยู่ที่น้ำซุปสิครับ ผมทุบกระดูกหมูก่อนต้ม แต่ต้องระวังพวกเลือดที่ค้างอยู่ไม่ให้มันไปทำน้ำซุปขุ่น น้ำที่ใช้ก็เป็นน้ำซุปที่ผมเคี่ยวผักสดรวมไปด้วย พวกรากผักชี หัวไช้เท้า แล้วก็มีเครื่องเทศดับกลิ่นอีกนิดหน่อย”

แค่น้ำซุปยังยุ่งยากขนาดนั้น พิชามลฟังแล้วรู้สึกว่าข้าวต้มในปากอร่อยกว่าเดิม อร่อยเสียจนเธอทอดถอนใจเมื่อพบว่าข้าวเม็ดสุดท้ายกับน้ำซุปหยดสุดท้ายหายลงไปในกระเพาะเธอหมดแล้ว เธอถอนใจด้วยความเสียดาย หันมามองข้างตัวก็พบว่าอจลกำลังมองเธออยู่ด้วยแววตาพิกล พอคิดว่าเมื่อครู่เขาเห็นเธอแทบจะยกถ้วยซดก็อดเขินอายไม่ได้ รีบหาเรื่องคุยโดยตั้งคำถามที่ผุดมาจากสมอง

“ทำไมคุณถึงไม่เข้าประกวดในรายการแข่งทำอาหารคะ”

หลังจากเขียนเรื่องในบ้านแห่งรักจากประชากรทั่วโลก พิชามลไม่ควรตั้งคำถามที่เป็นส่วนตัวแบบนี้ แต่เธออยากรู้เหตุผลว่า ทำไมเชฟมืออาชีพตัวจริงอย่างอจลถึงไม่พาหน้าตาหล่อเหลาเรียกเรตติงโทรทัศน์ของเขาไปออกรายการประกวดทำอาหาร ซึ่งจะได้ทั้งชื่อเสียงและเงินทอง

“เพราะผมไม่เก่งพอจะเอาชนะน่ะสิ”

“คุณเนี่ยนะคะ” เสียงของเธอสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“อย่างที่บอก อาหารที่ผมทำให้คุณกินสองวันมานี่เรียกว่าอาหารที่พ่อครัวคนไหนก็ทำได้ แต่การเป็นเชฟ โดยเฉพาะการแข่งขัน เมนูที่คุณทำต้องแตกต่างจากคนอื่น ผมชอบทำอาหารนะ ชอบรู้จักรสชาติอาหารจากทุกมุมโลก ชอบเรียนรู้จากวัตถุดิบแปลกใหม่ แต่ผมไม่ชอบสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ”

หญิงสาวย้อนนึกถึงรายการประกวดทำอาหารชื่อดังที่เธอเคยดูผ่านโทรทัศน์แล้วเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ เมื่อมองหน้าอจล พิชามลก็มีคำถามอื่นๆ อีก แต่คำถามสำคัญที่สุดก็คือ

“ขออีกชามได้ไหมคะ แล้วเย็นนี้ฉันจะหาข้าวให้เฉาก๊วยเอง” พิชามลไม่แค่ต่อรอง เธอยังพร้อมจะอ้อนวอน

“ไม่ได้ครับ” อจลปฏิเสธจริงจัง ก่อนจะหลุดรอยยิ้มที่กลั้นเอาไว้ “ถ้าคุณกินอีกชาม มื้อกลางวันจะกินกับข้าวที่ผมทำไว้ไม่ได้นะครับ” พูดจบเขาก็ทำเหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองกระตือรือร้นเกี่ยวกับอาหารของเธอมากเกินไป ปั้นหน้าเคร่งขรึมใส่ ตามด้วยหนีกลับบ้าน ไม่ยอมฟังเสียงอ้อนวอนขออาหารเช้าเพิ่มจากเธอ

ตลอดชีวิตของพิชามลไม่เคยตั้งตารออะไรเท่ามื้อกลางวันฝีมืออจลมาก่อนเลย ยกเว้นตอนกลางคืนที่เธอจ้องจะกินเชฟอีกรอบ ยังดีที่เขาไม่ทำให้เธอต้องรอถึงตอนกลางคืน

 

อจลไม่เคยเกี่ยงงานหนัก ชอบทำอาหาร และชอบจัดการผู้คนให้อยู่ในระเบียบ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมีปัญหาอะไรกับอาชีพเชฟบนเรือสำราญที่ต้องทำงานทุกวัน คอยคุมลูกมือ และลงมือทำอาหารเอง

ชายหนุ่มส่งข้อความไปบอกแม่ว่าจะกลับเดือนหน้า ตามปกติหลังจากขึ้นฝั่งเขาจะปล่อยตัวเองให้มีโอกาสพักผ่อนสักสองสามวันแล้วค่อยวางแผนว่าจะกลับบ้านตอนไหน เขาสนิทกับคนในครอบครัว แต่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันนัก หากไม่มีธุระด่วน เขาจะโทร. กลับไปหาบิดาเดือนละครั้งหรือสองครั้ง เพื่อสอบถามความเป็นไปของบ้านและร้านอาหาร เนื่องจากส่วนใหญ่เขารู้ความเคลื่อนไหวของแม่และน้องๆ จากชีวิตออนไลน์อยู่แล้ว

หลังจากตรวจบรรดาจดหมายและเอกสารที่ส่งมาถึงเขาคร่าวๆ ว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะส่วนใหญ่เขาเลือกให้ส่งเป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เข้าอีเมลเพื่อความสะดวก ต่อจากนั้นอจลก็ลงมือจัดแจงครัวของตัวเองให้เป็นระเบียบขึ้น เพื่อที่จะได้ทำอาหารทุกมื้อให้คนข้างบ้าน

ทำไมเขาต้องทำอาหารให้พิชามลด้วย อจลเองก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าเห็นเธออดอยากจนแก้มป่องๆ ทำท่าจะแฟบแล้วเขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ ชายหนุ่มไม่ได้มีปัญหาอะไรกับอาหารสำเร็จรูป เขาเองยังกินมันเป็นบางครั้ง แต่เขามีปัญหากับคนที่ปล่อยตัวเองให้อดจนจะเป็นลม และกินของที่ไร้สารอาหาร ทั้งที่บ้านห่างจากตลาดสดในระยะเดินทางไม่ถึงสิบห้านาที หรือแค่เธอตะโกนข้ามรั้วมา เขาก็จะทำอะไรที่อร่อยกว่านั้นให้กิน

ใจจริงหากเลือกได้ชายหนุ่มอยากจะไปลากตัวหญิงสาวข้างบ้านมาจับคว่ำจับหงาย ทำอะไรที่ไม่ใช่ทำอาหาร แต่เมื่อคืนเขาจัดการเธอไปเยอะพอแล้วสำหรับมือใหม่ และเขาไม่ได้หื่นกามจนมองข้ามจิตสำนึกที่ดี

ที่สำคัญก่อนจะกินเนื้อหมู เราก็ต้องขุนมันให้อ้วนเสียก่อน

ตู้เย็นถูกทำความสะอาดและเสียบปลั๊กตั้งแต่เช้ามืดก่อนไปจ่ายตลาด เพื่อไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์จากการถอดปลั๊กทิ้งไว้เป็นเวลานาน ตอนนี้มันถูกอัดแน่นด้วยของสดที่เขาวางแผนจะทำเป็นอาหารไปสักสองสามวันก่อนไปซื้อของมาใส่เพิ่ม แต่เปลี่ยนใจว่าจะไปเช้าพรุ่งนี้แทน ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ได้ลอยคออยู่กลางทะเล ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไม่กินของสดใหม่จากตลาดทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อมีคนรอกิน

อจลไม่ได้ถ่อมตัวที่บอกว่าข้าวต้มหมูเมื่อเช้าไม่ได้อยู่ในระดับเชฟทำ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากพูดว่าเขาบรรจงทำอย่างตั้งใจ จึงปลาบปลื้มที่พิชามลชื่นชอบ การที่เราทำอาหารด้วยความใส่ใจแล้วได้รับปฏิกิริยาชื่นชมจากคนกิน ถูกมองด้วยภาพลักษณ์คนครัวผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้เขาอยากทำของที่อร่อยกว่านี้ให้อีกฝ่ายได้ลองลิ้มชิมรส แค่เฉพาะสายตามองมายามที่เขาอธิบายถึงน้ำซุป ราวกับเชื่อว่าสูตรการปรุงอาหารง่ายๆ ของเขายอดเยี่ยมที่สุดในจักรวาล ก็ทำให้อกของเขาอัดแน่นด้วยความภูมิใจ หากเธอบอกว่ามื้อกลางวันอยากกินกุ้งลอบสเตอร์อบเนย หรือฟัวกราส์ย่าง เขาก็คงออกไปหาซื้อมาทำให้เธอกิน

ดังนั้นต่อให้ทำอาหารสำหรับคนเพียงสองคนด้วยวัตถุดิบจำกัด เขาก็ตั้งใจจะทำอาหารที่ครบสมบูรณ์ทั้งคาวหวาน อจลลงมือปอก แคะเมล็ด แล้วหั่นฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิล และมะม่วงดิบ แช่เย็นรวมเอาไว้กับข้าวโพดต้มและองุ่น พวกมันเป็นส่วนผสมสำหรับยำผลไม้ เขาคั่วพริกแห้งกับถั่วลิสงเก็บใส่โหลเอาไว้ เพราะนอกจากจะใช้ทำยำ ยังนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ใช้น้ำซุปกระดูกหมูเมื่อเช้าทำแกงจืดหมูสับลูกรอกเจ้าเงาะ หันไปทำลาบหมูพักเอาไว้ก่อน แล้วค่อยทอดกับไข่ต้มตอนใกล้มื้อเที่ยงเพื่อทำเป็นลาบหมูทอดไข่ต้มลาวา ก่อนจะละของคาวไปทำเจลลีผลไม้สดจากองุ่นและแคนตาลูป แช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นให้ได้ที่ตอนอาหารกลางวันพอดี เขาไม่รู้ว่าเธอจะชอบข้าวไรซ์เบอร์รีซึ่งแข็งกว่าข้าวหอมมะลิหรือไม่ จึงแช่มันทิ้งไว้สักพัก ก่อนจะหุงโดยผสมเข้ากับข้าวหอมมะลิ

เตรียมของเสร็จแล้ว เข็มสั้นของนาฬิกายังชี้ไม่ถึงเลขสิบเอ็ดเลย ที่จริงมันเพิ่งผ่านเลขสิบไปได้เพียงครึ่งชั่วโมง อจลเลยคิดว่าไม่เสียหายอะไรถ้าเขาจะไปเดินดูข้างบ้านเสียหน่อยว่าต้องการอาหารว่างหรือไม่ พร้อมกับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับความรู้สึกแปลกๆ ที่ตอนนี้ข้างรั้วบ้านฝั่งที่ติดกับพิชามลมีเก้าอี้ตัวหนึ่งตั้งอยู่ ช่วยให้เขาข้ามรั้วที่สูงแค่เอวไปบ้านตรงข้ามได้สะดวกขึ้น ต้องโทษเธอที่ลากเก้าอี้มาวางเอาไว้เช่นเดียวกัน หนำซ้ำยังส่งกุญแจสำรองเข้าบ้านเธอให้เขาด้วย

อจลโทษทุกอย่างแม้กระทั่งเฉาก๊วยที่นอนขี้เกียจขวางประตูบ้าน ยกเว้นความกระตือรือร้นที่จะได้พบหน้าพิชามล นั่นมันยากและน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะกล้าวิเคราะห์หาคำตอบ

 

เพราะอจลวุ่นวายกับความคิดของตนจนลืมเคาะประตูบ้าน และพิชามลเคยชินกับการอยู่คนเดียวจึงไม่ยอมปิดประตูห้องทำงาน เขาเลยได้เห็นภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ

“คุณทำอะไรน่ะ” อจลถามเสียงดังไปหน่อย

พิชามลสะดุ้งเฮือกเกือบตกเก้าอี้

“คะ...แค่หาข้อมูลสำหรับทำงานเองค่ะ” พิชามลอ้อมแอ้มบอกด้วยหน้าแดงก่ำขณะพยายามปิดโปรแกรมฉายภาพยนตร์เรตเอ็กซ์ แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งพลาด กลายเป็นเปิดเสียงลำโพงที่ปิดเอาไว้

“อิไต! อิไต อ๊ะ...อ๊ะ...อิคึอิคึคิมูจิ” ระหว่างทั้งคู่มีเสียงอี๊อ๊าดซี้ดซ้าดแทรกตรงกลาง

พิชามลหมดปัญญาปิดบังพฤติกรรมไร้ความเป็นกุลสตรีของตน เปลี่ยนเป็นแสร้งไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นตรงนี้

อจลไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เห็นดีจึงเลือกถามสิ่งที่คิด “ข้อมูลที่ให้ไปเมื่อคืนยังไม่พอเหรอครับ”

เห็นพิชามลเกาหัวเกาหูวุ่นวายไปหมด อจลก็ยกมือปิดหน้าหัวเราะด้วยความขบขัน จนใจ ปนเขินอายหน่อยๆ แล้วลดมือลงเพื่อกดไหล่เธอให้กลับลงไปนั่งที่เดิม ตามด้วยเลื่อนเคอร์เซอร์ให้ภาพยนตร์ย้อนไปฉายตอนต้นๆ

“มาครับ เดี๋ยวผมจะสอนซ้ำให้”

ไหนๆ ช่วงนี้เขาก็พักจากงานเชฟอยู่ อจลเลยคิดว่าควรตั้งใจทำหน้าที่ครูฝึกสอนเพศศึกษาให้แก่พิชามลอย่างเต็มที่และเต็มใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น