5
เวนไตยถอนใจ ยกมือคลึงขมับ พยายามจะคลายความตึงเครียดทั้งจากการรับมือเจ้านายและ...คนที่เหมือนตั้งตนเป็นเจ้านายเขาไปอีกคน...
‘เฮ้อ...แม่งเอ๊ย!’
หลังจากปลุกปลอบสติตัวเองอีกครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจหันมาประนีประนอมกับ 'แขก'
"เรามีเซฟเฮาส์ที่ปลอดภัยอีกแห่ง มีทุกอย่างเหมือนกันกับที่นี่...ถ้าคุณไม่สะดวกใจอยู่..."
"ผมไม่ไป" กาเบรียลไม่รอให้เวนไตยพูดจบ อย่าคิดว่าจะไล่เขาได้ง่ายๆ
"ไม่เป็นไรงั้นผมย้ายเอง" เจ้าบ้านตัดสินใจจะย้ายหนีเสียเองเพื่อตัดปัญหา
"ผมเข้าใจว่าตอนนี้คุณมีปัญหาใหญ่และซับซ้อนมากอยู่..." กาเบรียลทำน้ำเสียงเยียบเย็นที่ชวนให้หนาวสันหลัง "ถ้าพวกคุณอยากรับเพิ่มอีก ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่สัญญาได้เลยว่าผมจะสร้างปัญหาชนิดที่...คุณจะได้รู้ว่าปัญหาที่พวกคุณเจอมาตลอดชีวิตนั้น...ไม่ได้เรียกว่าปัญหา"
ประกายคุกคามในดวงตาสีเขียวบ่งบอกว่าเจ้าตัวเอาจริงทำให้เวนไตยต้องสูดลมหายใจลึกอย่างหนาวเหน็บ
นี่...ไอ้อันมันไปลากปีศาจที่ต้องการล้างแค้นที่ไหนมาตามติดมันอีกคนแล้วก็ไม่รู้...และท่าทางจะสลัดหลุดไม่ได้ง่ายๆ เสียด้วย
"งั้นมาตกลงกัน" เวนไตยตัดสินใจ "ผมห้ามคุณอยู่ที่นี่ไม่ได้ และถ้าย้ายอันหนีคุณก็คงไม่ยอม ดังนั้นเรามีกฎที่ต้องอยู่ร่วมกัน...ไม่สิ กฎเหล็กที่ต้องทำ...ปัญหาคือ ผมไม่ได้แค่ดูแลเจ้านายเหมือนบอดีการ์ดทั่วไป...ดังนั้นนี่จะเป็นก้าวสุดท้ายแล้วที่เราจะถอย...ไม่ว่ารับได้หรือไม่ คุณต้องทำตาม"
คำขาดของเวนไตยทำให้กาเบรียลเลิกคิ้วสูงมองมาด้วยสายตาถามไถ่และรอคอย
"ที่นี่เราจะไม่ถาม...เรื่องอดีต ถ้าจะคุยขอให้คุยเป็น...เอ่อ เรื่องดินฟ้าอากาศละกัน...อ้อ พูดถึงอากาศ ถ้าอันถามเรื่องอากาศที่อาร์กติก เราต้องบอกให้ตรงกันนะว่าอากาศแย่มาก ไม่มีเที่ยวบิน" เวนไตยพูดไปด้วยเก็บล้างบริเวณเคาน์เตอร์จนสะอาดเอี่ยม
"ของมีคม ของแตกได้ ของที่มีแนวโน้มว่าจะเอามาทำเป็นอาวุธได้" คนพูดชูช้อนให้ดูก่อนโยนใส่เข้าไปในลิ้นชัก ไขกุญแจปิด ล็อกแน่นหนา "ยาอันตราย เชือก ผ้ายาวๆ เนกไท หรืออะไรที่เป็นเส้นยาวพอจะผูกได้...ห้ามทิ้งไว้"
เวนไตยทำสีหน้าใคร่ครวญก่อนส่ายหัว
"ที่จริง...ห้ามมันหมดทุกอย่างแหละ สิ่งที่อันพอจะ 'รับได้' คือทั้งหมดที่เห็นนี่แหละ" เขาวาดมือไปรอบตัวที่เป็นสีขาวและว่างเปล่าหมดจด
"ที่ต้องระวังหนักๆ คืออาวุธ ที่นี่ห้ามพกปืน...ห้าม...อืม...มันอาจจะประหลาดหน่อยนะ แต่ฝากบอกคนของคุณด้วยว่า...ถ้าอันมันขอ 'กระสุนปืนนัดหนึ่ง' ห้ามให้เด็ดขาด"
กาเบรียลกำลังจะถามว่าทำไมถึงต้องห้ามกระสุนปืนนัดหนึ่ง จะมีใครมีปัญญาทำอะไรกับกระสุนปืนนัดเดียวนั้นได้ ก็มีคนขึ้นบันไดมา ท่าทางร้อนรน
เวนไตยหันไปสนใจกับการรายงานของลูกน้อง
"ข่าวออก..." คนที่มาใหม่บอกเบาๆ แต่ดูจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ตรงกัน
เวนไตยทำสีหน้ายุ่งยากใจ หมุนตัวก้าวเร็วๆ ลงจากชั้นสาม ทะลุลงไปชั้นใต้ดิน
กาเบรียลถือโอกาสนี้ตามลงมา บรรดาคนของเขาที่รออยู่ชั้นสองก็พลอยติดตามลงมาด้วย
ห้องใต้ดินเป็นโถงกว้างเปิดโล่งถึงกันหมด เพดานสูง มีโต๊ะทำงานหลายสิบตัว และที่แยกสัดส่วนออกไปมีคอกพาทิชันเตี้ยๆ คั่นไว้เหมือนเป็นห้องมอนิเตอร์หลายห้อง มีหลายคนทำงานอยู่...เท่าที่กาเบรียลกวาดตามอง ดูแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสี่ทีม ต่างเฝ้าหน้าจอที่เรียงรายเต็มผนังและแสดงผลต่างกันไป
เวนไตยเดินตรงมาที่ส่วนทีมมอนิเตอร์ข่าว มีจอโทรทัศน์เต็มผนังซึ่งกำลังรับสัญญาณจากสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ช่องยอดนิยมช่องหนึ่งถูกเรียกขึ้นมาหน้าจอใหญ่ และเร่งเสียงขึ้นเพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ในจอเป็นรายการข่าว ที่ผู้ประกาศข่าวสาวสวยกำลังสัมภาษณ์นายตำรวจยศสูงคนหนึ่งที่ดูแลเหตุระเบิดเมื่อวาน นายตำรวจพร่ำบ่นอะไรยืดยาวก่อนประกาศตัวผู้ต้องสงสัย จากนั้นภาพของอันองค์ก็ปรากฏบนหน้าจอ
มันเป็นภาพเบลอๆ จากกล้องวงจรปิดในสนามบิน ที่จับภาพหญิงสาวเดินอยู่ในท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่สายตาของคนที่มีประสบการณ์ย่อมแยกแยะได้ว่าเธอถูกประกบโดยผู้ชายตัวใหญ่หลายคน กาเบรียลกวาดตามองภาพพร่าเบลอนั้นอย่างจับสังเกตและค้นหา...
มันน่าจะอยู่ในกลุ่มนี้นี่แหละ ไอ้เจ้าของชื่อสองชื่อที่เธอเอ่ยออกมา...ไอ้คนที่ทำให้ต้นแขนของเธอเป็นรอยม่วงช้ำ
ดวงตาสีเขียวหรี่ลงเมื่อชายหนุ่มล็อกเป้าหมาย...
สองคนที่ประกบข้างและยึดต้นแขนเธอเอาไว้นั่น...
พวกมันจะต้องไม่ตายดี!
มีสกูปข่าวยาวอีกหลายนาที เพราะผู้ต้องสงสัยเป็นลูกสาวคุณอัครา มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศ และผู้เสียหายเจ้าของโรงแรมก็เป็นพี่ชายเธอเอง เนื้อหาข่าวขุดคุ้ยไปถึงคดีเก่าเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน ภาพของอันองค์ที่ขึ้นหน้าจอตอนนี้เป็นภาพเด็กสาวอายุสิบหกปีที่กำลังยิ้มแย้ม ดวงหน้าอ่อนเยาว์สดใสสมวัย
ผิวของเธอขาวผ่องราวจะมองทะลุเห็นเส้นเลือดที่สูบฉีดจนสองแก้มระบายด้วยสีชมพูจางๆ จมูกโด่ง ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มราวโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องเลวร้าย...ก่อนที่ตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่จะพาดผ่านใบหน้านั้นเป็นคำว่า ‘ฆาตกร’
หลังจากนั้นคือภาพอินโฟกราฟิกบอกเล่าคดีที่เธอเป็นจำเลยในข้อหาฆาตกรรมพี่ชาย พี่สะใภ้ และหลานสาวอายุสี่ขวบ เนื้อหาของคดียังมีต่อไปอีกชั่วพักก่อนรายการจะตัดไป ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศหนักอึ้งและเงียบงัน
"เมื่อไหร่มันจะเลิกใช้รูปนี้เสียที เวย์แกหารูปอื่นส่งไปให้พวกนักข่าวบ้างก็ได้นะ" เสียงแรกที่ดังขึ้นเป็นเสียงของคนในข่าว หญิงสาวผู้เป็นจำเลยในข้อหาฆ่าสามศพ
อันองค์อยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนสีอ่อนแบบเดียวกับที่เธอสวมเมื่อวาน...แบบเดียวกันกับชุดที่เตรียมเอาไว้ในห้องพักทุกห้อง ผมยาวเกล้าลวกๆ เป็นมวยยุ่งเหยิงกลางศีรษะ จนลูกผมรุ่ยระใบหน้า
หญิงสาวไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามจากกลุ่มของกาเบรียล เธอหันไปคุยถามงานกับเวนไตยอีกสองสามประโยค ทำสีหน้าเบื่อหน่ายรำคาญใจ ก่อนจะเดินไปหาทีมมอนิเตอร์ทีมหนึ่งที่ชายสี่คนกำลังเฝ้าหน้าจอที่ฉายภาพโดยรอบตึกหลังหนึ่ง และมีแบบแปลนตึกตรึงบอร์ดแบบเลื่อนได้...น่าจะเป็นแบบแปลนของบ้านถูกจับตาดูอยู่นี่แหละ
หญิงสาวกวาดตามองภาพในจอแวบหนึ่งก่อนหันไปถามเวนไตย
"มันเพิ่มคน?"
"ใช่ หลังจากเมื่อวานนี้มันเพิ่มคนคุ้มกันอีกเท่าหนึ่ง" เวนไตยตอบ
อันองค์ทำปากเบ้พร้อมสีหน้าขัดใจ ละสายตาจากกลุ่มคนในจอมาที่แบบแปลนอาคาร มือเรียวบางไล้แผ่นกระดาษที่ยับย่นเหมือนผ่านการใช้งานมาเป็นร้อยๆ พันๆ ครั้ง อาจจะเป็นครั้งที่หนึ่งพันเอ็ดเสียด้วยซ้ำมั้ง แล้วหญิงสาวก็หันไปถาม
"เจอจุดไหนที่..."
"ไม่มี!" เวนไตยตัดบทอย่างไม่เหลือเยื่อใย "ก่อนหน้านี้ยังหาทางที่จะเข้าไปเอาตัวคุณแก้วออกมาอย่างปลอดภัยไม่ได้ แล้วตอนนี้ที่มันเพิ่มคนขึ้นขนาดนี้แกคิดว่ายังมีทางอีกเรอะ"
"ไม่มีแผนไหนไม่มีรอยรั่ว ไม่มีตึกไหนที่เข้าไปไม่ได้หรอกน่า หาทางมา" หญิงสาวสั่งอย่างหัวเสีย
"แผนที่แกกำลังคิดนี่แหละ ถ้าคิดจะเอาตัวคุณแก้วออกมาอย่างไม่มีรอยขีดข่วนมันยังไม่ใช่ตอนนี้แน่ๆ" เวนไตยปฏิเสธคำสั่งอย่างไม่แคร์เจ้านาย
"คุณแก้วคือใคร" กาเบรียลถามแทรกขึ้น
ถึงจะมีสัญญาว่าจะไม่ถามเรื่องอดีต แต่ในเมื่อตอนนี้เรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ดูจะเป็นปัญหาในปัจจุบัน เขาเลยแกล้งลืมๆ ไป แล้วถามเข้าประเด็นที่สงสัย
ลูกพี่กับลูกน้องที่เถียงกันอยู่ชะงัก แล้วหันมาทางเขา หญิงสาวมีสีหน้าเหมือนคิดอะไร แล้วเบือนหน้าหนีแทบจะในทันที
"แม่อันโดนจับไว้เป็นตัวประกันน่ะ" เวนไตยเป็นคนตอบ ขณะที่เจ้านายเขาเดินหนีไปยังส่วนออฟฟิศที่เต็มไปด้วยโต๊ะทำงานเหมือนไม่ปรารถนาจะรับฟังอะไรทั้งนั้น
"แล้ว...คุณอัคราไม่..." กาเบรียลถามไม่ทันจบประโยค เวนไตยก็บอกอย่างเซ็งๆ ไม่สนใจสีหน้าแปลกประหลาดใจของเขา
"ก็คุณอัครานั่นแหละที่จับไว้...ไม่งั้นอันมันไม่รีบบินกลับมาที่นี่ตามคำสั่งหรอก" ชายหนุ่มชูนิ้วชี้ขึ้นก่อนบอกอีก "เหนื่อยละ วันนี้ให้อีกคำถามเดียว อยากถามอะไรว่ามา"
กาเบรียลใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจโฟกัสที่เรื่องใหญ่สุด
"เกิดอะไรขึ้นกับสามศพนั่นตอนที่อันองค์อายุสิบหกปี"
เวนไตยทำหน้าปั้นยาก ชายหนุ่มเหลือบมองอันองค์แวบหนึ่ง หญิงสาวเข้าไปนั่งโต๊ะทำงานว่างๆ ตัวหนึ่งซึ่งตอนนี้กลายเป็นโต๊ะไม่ว่างแล้วเพราะสุมด้วยกองแฟ้มเอกสารสูงท่วมหัวจนบดบังร่างนั้นได้แทบมิด
"คุณ...กินข้าวเช้าไปแล้วใช่ไหม" เวนไตยถามคำถามที่ไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักนิด ก่อนรอยยิ้มขื่นๆ กึ่งเย็นชาจะปรากฏบนใบหน้าเขา
"เตรียมบอกลาข้าวกลางวันได้เลย คุณอาจกินอะไรไม่อร่อยไปอีกหลายมื้อ และฝันร้ายจิตตกไปอีกหลายวันเลยทีเดียว" เวนไตยมองคนตรงหน้าที่ทำสีหน้าสนใจอยู่ไม่น้อย อยากรู้เหมือนกันว่าหลังจากที่ได้รู้แล้วกาเบรียลจะทำสีหน้าอย่างไร
"แน่ใจนะว่าจะดู"
อันองค์ปรายตามองชายสองคนที่เดินตามกันไปทาง 'ห้องแห่งความลับ' ห้องที่เก็บข้อมูลมากมายไว้ในนั้น หญิงสาวเดาได้ว่ากาเบรียลอยากรู้อะไร และยิ่งกว่ารู้เสียอีกว่าอะไรที่รอให้ชายหนุ่มค้นพบ...
แต่สิ่งที่เธอให้ความสนใจกลับเป็นกลุ่มบอดีการ์ดของเขามากกว่า หญิงสาวลุกขึ้นเมื่อเห็นอเล็กซ์ บอดีการ์ดหนุ่มฝีมือดีชาวอเมริกันเคลื่อนตัวออกห่างมาจากกลุ่มลูกน้องเขา อันองค์เดินเข้าไปสะกิดไหล่และส่งรอยยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม เป็นรอยยิ้มที่เธอมักทำเวลาที่ต้องการจะขออะไรใคร และ...เธอมักได้ในสิ่งที่ต้องการทุกครั้ง
"ขอลูกกระสุนปืนนัดหนึ่งได้ไหม"
ภาพความเสียหายนั้นเป็นสกูปพิเศษอยู่ในช่วงข่าวด่วนของทุกสำนักข่าว ภาพซากกองตึกอันย่อยยับค้างอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ยิ่งย้ำให้เห็นรายละเอียดของความแหลกลาญไม่มีชิ้นดีนั้น
เสียงสบถด่าทอหยาบคายพร้อมกับข้าวของที่ปลิวว่อนทำเอาบรรดาบอดีการ์ดในชุดสูทต้องพากันเอนตัวหลบอาวุธบินพวกนั้นกันให้วุ่น
“แม่ง! ไหนพวกมึงว่าคำนวณแรงระเบิดเรียบร้อยแล้วไงว่า มันจะไม่สะเทือนโครงสร้างหลัก ที่จริงมันควรแค่ทำให้คนที่อยู่บนชั้นสิบแปดนั้นตายหมดไม่ใช่หรือไง ทำไมตึกมันถึงถล่มลงมาทั้งตึกหา” อรรถตะโกนอย่างคั่งแค้น
ห้องทำงานกว้างนั้นอยู่บนตึกสูง ผนังกระจกเผยทิวทัศน์เมืองหลวงกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นท็อปวิวที่เจ้าของห้องไว้กวาดตามองลงไป แล้วรู้สึกยิ่งใหญ่เหมือนได้เหยียบย่ำคนเบื้องล่างไว้ใต้ฝ่าเท้า...แต่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะชมทิวทัศน์สุดโปรดนั้น
อรรถยืนอยู่กลางห้องกว้างปูพรมหนาทั่วทั้งห้อง ซึ่งมีร่องรอยของการระบายอารมณ์ครั้งใหญ่ สิ่งของแตกหักได้ล้วนแหลกเป็นชิ้นๆ แจกันดอกไม้แตกจนน้ำนองชุ่มพรมเนื้อหนา บรรดาผู้ชายในชุดสูทสีเทาต่างพากันยืนก้มหน้า ไม่มีใครกล้าแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น ทั้งๆ ที่พวกเขาต่างก็ประหลาดใจและงงงันกันทั้งหมดว่าทำไมตึกถึงถล่มลงมาได้ เพราะกลุ่มคนที่รับหน้าที่คำนวณแรงระเบิดและจุดวางเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามที่เจ้านายต้องการล้วนเป็นมืออาชีพและเก่งกาจกันทั้งนั้น
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้เอามาคำนวณในครั้งนี้คือ อันองค์นั้นเก่งกาจกว่า แม้ไม่สามารถปลดชนวน หรือเคลื่อนมันไปทิ้งไกลๆ ได้ แต่หญิงสาวก็ขยับตำแหน่งระเบิดเพียงนิดเดียวให้มันไปอยู่ในจุดที่ทำให้เกิดแรงทำลายล้างสูงสุด เท่านี้ก็ทำลายสิ่งที่คนพวกนี้คิดคำนวณกันมาหลายวัน รวมถึงแผนการของพี่ชายเสียย่อยยับ
ด้วยเหตุเหนือการคาดเดานี้ทำให้พวกเขาต่างมึนงงกันไปหมด ไม่มีใครอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รวมถึง...แขกวีวีไอพีสองคนนั้นผู้เป็นเป้าหมายของการระเบิดก็ยังไม่รู้ชะตากรรม เพราะตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกฝังไว้ใต้ซากซึ่งต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรื้อออกมาได้ว่ามีซากของเป้าหมายอยู่ใต้กองนั้นจริงๆ หรือเปล่า
เพลงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่ถูกขว้างไปกลิ้งบนพื้นพรม เป็นเสียงที่เขาตั้งไว้เฉพาะสายสำคัญที่สุด ทำให้การอาละวาดของอรรถต้องหยุดชะงัก
ลูกน้องคนที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบตะปบเครื่องมือสื่อสารนั้นขึ้นมาส่งให้เจ้านายมือไม้สั่น พวกเขาก็จำได้ว่าเสียงเพลงนั้นเป็นเสียงเรียกเข้าของใคร
“นะ...นายครับ เจ้าสัวโทร. มาครับ”
อรรถกระชากโทรศัพท์มาพร้อมสบถหยาบคายอีกชุดใหญ่ เขานิ่งทำใจอยู่ชั่วครู่กว่าจะกดรับสายด้วยน้ำเสียงที่ปั้นให้นิ่งขึ้นแฝงการเอาอกเอาใจอีกนิดหน่อย
"ฮัลโหล ป๊ามีอะไรครับ"
"ไอ้เวรอรรถ! ลื้อทำอะไรกับกาเบรียลวะ!? ไอ้ลูกเวร มึงระเบิดโรงแรมอรรณพทิ้งทำไม!?" เจ้าสัวอัคราไม่สนน้ำเสียงอ่อนเอาใจนั้น เสียงตอบกลับมาจึงเป็นเสียงตะโกนอย่างหัวเสียของชายเชื้อสายจีน
"ป๊าใจเย็นก่อนนะ หมาที่ไหนมันคาบข่าวไม่จริงไปบอกป๊าเนี่ย" อรรถแบ่งรับแบ่งสู้ “ฟังนะป๊า ที่ตึกถล่มแล้วคู่ค้าป๊าเป็นอะไรไปมันไม่ใช่ความผิดผมเลยนะ ทุกอย่างมันเป็นแผนของไอ้อันทั้งนั้น”
อรรถนิ่งฟังเสียงตวาดลั่นของบิดาอีกหลายชุดอย่างใจเย็น ดวงตากลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มเริ่มมีแววคิดหาทางออกให้ตัวเอง ขณะเริ่มกล่อมปลายสายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเอาอกเอาใจ...ซึ่งมันได้ผลทุกครั้ง!
อันองค์เซ็นเอกสารทั้งวันกองแฟ้มสูงถึงค่อยลดลงเหลือหนึ่งในสาม หญิงสาวดื่มน้ำเปล่า เคี้ยวสแน็กบาร์สีขาวที่ไม่มีรสชาติ กลืนวิตามินเพิ่มเข้าไปอีกเป็นกำ เธอสมาธิดีพอที่จะอ่านทุกตัวอักษรในแฟ้ม และตีคืนเอกสารที่ไม่เรียบร้อย หรือมีตัวเลขที่ผิดกลับไปทำใหม่
หญิงสาวลุกไปพูดสายและประชุมทางไกลผ่านวิดีโอคอลหลายครั้ง ก่อนย้ายไปประชุมต่อในห้องที่เหมือนห้องแล็บ ขว้างปาข้าวของนิดหน่อยเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แล้วกลับมาทำหน้าเบ้ใส่กองเอกสารที่เพิ่มขึ้นจนมีปริมาณเกือบเท่าเดิม
ดูเหมือนอันองค์มีงานยุ่งไม่ได้หยุดทั้งวัน แต่คนที่ยุ่งยิ่งกว่าคือเวนไตยที่คอยควบคุมดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่ผู้คน เอกสาร กล้องวงจรปิด ไปจนถึงความเป็นอยู่ของเจ้านาย ตบท้ายด้วยแขกไม่ได้รับเชิญที่เชิญทีมตัวเองลงมายึดมุมห้องซึ่งมีโต๊ะว่างหลายตัว และตั้งเป็นออฟฟิศของตัวเอง
โต๊ะทุกตัวที่นี่เหมือนกันหมด พวกมันตั้งเรียงเป็นแถว ทิ้งระยะห่างให้เดินผ่านถึงกันโดยสะดวก ไม่มีคอกกั้น มีปลั๊กไฟและเดินสายไฟสายสื่อสารพร้อมใช้งาน โต๊ะแต่ละตัวมีแค่เอกสารจำเป็น ไม่มีของใช้ส่วนตัวให้เห็น เหมือนทุกคนแค่เพียงผ่านเข้ามาในออฟฟิศว่างๆ และเข้าใช้โต๊ะที่ไม่มีเจ้าของ ก่อนจะทิ้งจากไปได้โดยไม่มีอะไรให้เก็บกลับคืน
ไม่มีโต๊ะเจ้านายลูกน้อง แต่พื้นที่ส่วนของอันองค์พิเศษนิดหน่อย เพราะมีโซฟานุ่มๆ ให้นอนเหยียดยาวเหมือนคนขี้เกียจ แต่ที่จริงแล้วหญิงสาวนอนอ่านแฟ้มเอกสารหน้ามุ่ยอยู่
กาเบรียลสังเกตว่าทีมงานทีมนี้เป็นทีมที่สอง หลังจากผ่านช่วงเวลาเย็นคนที่ทำงานรอบแรกก็เก็บของกลับไป ทิ้งโต๊ะว่างๆ ไว้ให้อีกทีมเข้ามาแทนที่
"ที่นี่ทำงานสามกะ" เวนไตยอธิบายเมื่อแขกนั่งยาวไม่ยอมไปพักผ่อนทั้งที่ดึกดื่นจนเข้าวันใหม่ไปนานแล้ว "ไม่มีการหยุดพักหรอก เดี๋ยวผมก็จะพักบ้างแล้ว ถ้าคุณต้องการอะไรถามที่แทนได้นะ" เขาพาผู้ช่วยอีกคนมาแนะนำ เป็นชายหนุ่มผิวเข้ม หน้าคม สีหน้าขรึม
"เดี๋ยวสิ แล้วเจ้านายคุณ..." กาเบรียลหันไปถามถึงคนที่ลุกจากโซฟากลับไปนั่งเซ็นเอกสารอีกครั้งแล้ว
"อันทำงานไม่มีกะหรอก มันทำไปเรื่อยๆ เจ็ดสิบสองชั่วโมงขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ" ชายหนุ่มอธิบายเซ็งๆ
อันองค์เป็นโรคนอนไม่หลับ ขณะที่ทุกคนซึ่งทำงานกันมาทั้งวันจนแบตฯ หมดแล้ว แต่คนที่ไม่ยอมหลับยอมนอนก็ยังไม่ยอมหยุด แถมเธอยังเป็นเจ้านายเฮงซวยชนิดที่เที่ยวบังคับให้คนอื่นพลอยไม่ได้นอนไปด้วย
ดังนั้น...เพื่อให้ได้ทุกคนได้พักผ่อนกันบ้าง เวนไตยจึงสร้างระบบทำงานสามกะขึ้นมาเพื่อผลัดกันไปพัก...ส่วนไอ้คนไม่หลับไม่นอนก็จะได้มีเพื่อนอยู่ตลอดเวลา และยังมีคนคอยเฝ้ามันไว้ให้เขาด้วย
"อินซอมเนีย[1]?" กาเบรียลถาม
"หนักกว่านั้นเยอะ...คุณก็ไปพักเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่ยกทีมหนี" ...เฉพาะคืนนี้นะ เวนไตยคิดแล้วตบไหล่คู่สนทนาแปะๆ อ้าปากหาว ทำท่าจะเดินไปนอนจริงๆ
"เดี๋ยว...ผมว่าคุณปล่อยอันองค์ไว้อย่างนี้ไม่ได้หรอกนะ" กาเบรียลทักท้วงขึ้นเสียงเข้ม
[1] โรคนอนไม่หลับ (Insomia) ภาวะที่ผู้ป่วยนอนไม่หลับหรือหลับยาก โดยอาจเกิดจากความวิตกกังวล
ความคิดเห็น |
---|